หมอหญิงยอดมือสังหาร 1113 ราชโองการปลอม (2)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1113 ราชโองการปลอม (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1113 ราชโองการปลอม (2)

ทั้งสองไม่ได้นอนมาทั้งคืน กระทั่งฟ้าสางดวงตาของทั้งคู่ยังคงแดงก่ำจากการอดหลับอดนอน หน้าประตูวังหลวงยังคราคร่ำไปด้วยผู้คน อีกทั้งยังโวยวายเสียงดังยิ่งกว่าเมื่อวาน เมื่อได้รับข่าวทั้งสองจึงรีบมาที่หน้าประตูวังหลวง มองเห็นหันหมิ่นที่อยู่ในชุดขุนนางขั้นหนึ่ง ตามมาด้วยขุนนางจากกรมต่างๆ ที่แต่งกายมาในชุดข้าราชการเช่นกันยืนอยู่แถวหน้าสุด สีหน้าเคร่งขรึม

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หันหมิ่นมาปรากฏตัวที่หน้าประตูวังหลวง แต่เป็นครั้งแรกที่เป็นทางการอย่างไม่ต้องสงสัย เซียวเชียนเหว่ยสีหน้าทะมึน กัดฟันพลางเอ่ย “ใต้เท้าหัน ท่านคิดจะทำอันใด หลายวันมานี้ข้าเกรงใจท่านมากเกินไปหรือไม่ ท่านอย่าคิดได้คืบจะเอาศอกเล่า”

มีหรือหันหมิ่นจะเห็นเขาอยู่ในสายตา ยิ้มเย็นเอ่ยอย่างจองหอง “ข้าเป็นตัวแทนเหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋น ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ขอเข้าเฝ้าไทเฮา”

“ฝ่าบาทบาดเจ็บหนักยังไม่หายดี ไทเฮามีฐานะสูงส่ง ไหนเลยท่านบอกอยากเข้าเฝ้าก็จะเข้าเฝ้าได้” เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยเสียงเย็น

หันหมิ่นเองก็ไม่ใส่ใจ เพียงเอ่ยซ้ำ “กระหม่อมขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

เจ้าหน้าที่ขุนนางคนอื่นๆ ด้านหลังเองก็เอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียง “กระหม่อมขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ขอฝ่าบาทได้โปรดให้กระหม่อมเข้าเฝ้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ราษฎรโดยรอบเห็นเช่นนั้น เมื่อมีคนนำก็มีคนคุกเข่าและเอ่ยเสียงดังตามขึ้นมา “ขอกระหม่อมเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยเถิด” ชั่วครู่ เสียงพลันดังกึกก้องสะเทือนไปทั่วผืนฟ้า เซียวเชียนเหว่ยใบหน้าซีดขาว มองไปยังฝูงชนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าจนมืดฟ้ามัวดิน จะทำอย่างไรดี หรือว่า…เขาจะสังหารคนเหล่านี้ทั้งหมดได้หรือไม่

เซียวเชียนชื่อเองก็หมดหนทาง

“คุณชายใหญ่ คุณชายรอง” ด้านในประตูเมือง องครักษ์คนหนึ่งวิ่งมารายงานอย่างรีบร้อน

“มีเรื่องอันใด”

องครักษ์เอ่ยเสียงเบา “คนในห้องทรงอักษรเริ่มปะทุขึ้นมาแล้วขอรับ ถ้าหาก…ถ้าหากเราไม่ปล่อยคน พวกเขาก็จะ…”

เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยอย่างหงุดหงิด “จะทำอันใด”

“จะ…สละชีวิตเพื่อแผ่นดินขอรับ” องครักษ์รีบเอ่ย

ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเซียวเชียนเหว่ยพลันทะมึนขึ้น

“น้องรอง ตอนนี้จะทำเช่นไรดี”

เซียวเชียนเหว่ยมองไปยังกลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูวังหลวง กัดฟันไม่เอ่ยวาจา

หันหมิ่นเห็นเช่นนั้น ใบหน้ายิ้มหยันขึ้นมา เอ่ยขึ้น “คุณชายทั้งสองบอกว่าฝ่าบาทบาดเจ็บหนักไม่อาจพบใครได้ แต่ข้าได้ยินมาว่าเยี่ยนอ๋องกักขังฮ่องเต้เอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ปรากฏตัวในราชสำนักหลายวัน”

เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยเสียงเย็น “ใต้เท้าหันระวังวาจาด้วย”

หันหมิ่นส่งเสียงหยันในลำคอ หยิบผ้าสีเหลืองออกมาจากแขนเสื้อของเขา เอ่ย “ในมือของข้ามีราชโองการเลือดของฝ่าบาทเป็นพยานว่าเยี่ยนอ๋องกักขังฝ่าบาท วางแผนก่อกบฏ ฝ่าบาทส่งราชโองการนี้ออกมาให้กับขุนนางผู้ซื่อสัตย์อย่างยากลำบาก ข้าที่เป็นขุนนางของต้าเซี่ย รับใช้แผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์ คอยประคับประคองราชวงศ์ ขับไล่โจรกบฏ”

“เจ้าว่าใครเป็นโจรกบฏ” เซียวเชียนเหว่ยเอ่ยเสียงดัง

หันหมิ่นเลิกคิ้ว เอ่ย “ว่าใครก็คนนั้นอย่างไรเล่า”

“บังอาจ”

หันหมิ่นยกราชโองการขึ้นมาตรงหน้า เปิดออกต่อหน้าผู้คน กำลังจะอ่านใจความด้านใน เซียวเชียนเหว่ยโกรธจัด “หุบปาก เจ้า…”

“หุบปาก” เสียงเรียบดังขึ้น แฝงไปด้วยความอ่อนแอและหยาบกระด้าง ทว่าเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่

ทุกคนชะงัก เห็นกลุ่มคนปรากฏตัวเงียบๆ ที่ปลายทางของถนน เมื่อครู่ผู้คนกำลังตื่นตัวไม่ทันสังเกตถึงรถม้าที่มาหยุดอยู่บนถนน ม่านหน้าต่างรถม้าถูกเปิดออก หนานกงมั่วในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนกระโดดลงมาจากรถม้า ทุกคนชะงัก เมื่อครู่เป็นเสียงบุรุษ ไม่ใช่ซิงเฉิงจวิ้นจู่

ไม่นานก็มีอีกคนตามออกมาจากรถม้า ใบหน้าหล่อเหลา อารมณ์เฉยชา เพราะใบหน้าที่ซีดเซียวยิ่งทำให้ดูเย็นชาขึ้นไปอีก ไม่ใช่เว่ยจวินมั่วแล้วจะเป็นผู้ใด เว่ยจวินมั่วหันกลับไปประคองใครบางคนลงมาจากรถม้า หัวใจของทุกคนหดเกร็ง บุคคลผู้มาใหม่ที่ปรากฏตัวคือเยี่ยนอ๋องผู้หายหน้าไปหลายวัน

วาจาเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าออกมาจากปากของเขา

“เสด็จพ่อ” เซียวเชียนชื่อยินดี ร้องเรียกอย่างอดไม่ได้

เยี่ยนอ๋องลงมาจากรถ ทว่ายังคงถูกเว่ยจวินมั่วประคองเดินมายังประตูวังหลวง คนที่ล้อมอยู่หน้าประตูวังเปิดทางให้โดยไม่ได้นัดหมาย หนานกงมั่วเดินตามทั้งสองมาด้วยใบหน้าสบายอารมณ์ ความจริงกลับมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ตอนนี้ทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นผู้ป่วย ใครจะรู้ว่าในกลุ่มคนเหล่านี้มีใครซ่อนตัวอยู่บ้าง

เยี่ยนอ๋องเดินไปหยุดเท้าตรงหน้าเหล่าขุนนางของราชสำนัก สายตาเย็นยะเยือกกวาดมองพวกเขา เหล่าขุนนางต่างพากันสั่นสะท้านอยู่ในใจ ก้มหน้าลงอย่างอดไม่ได้ มีหันหมิ่นเพียงคนเดียวที่ยังเชิดหน้าสบตากับเยี่ยนอ๋องไม่แสดงความอ่อนแอออกมา สีหน้าของเยี่ยนอ๋องดีกว่าคุณชายเว่ยเล็กน้อย แต่ว่าร่างกายกลับอ่อนแอกว่าคุณชายเว่ย ระหว่างที่เดินยังต้องมีคุณชายเว่ยคอยพยุง ทว่าใบหน้ากลับยังคงจริงจังถมึงทึง ใบหน้าเคร่งขรึมมองหันหมิ่นทว่าไม่เอ่ยสิ่งใด สีหน้าหันหมิ่นกลับเปลี่ยนสีไปโดยไม่อาจควบคุมได้ ยามที่เยี่ยนอ๋องสาวเท้าก้าวเดินไปต่อ ในที่สุดหันหมิ่นก็ทนไม่ไหวก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ต่อให้หันหมิ่นเก่งกาจเพียงใดอย่างไรก็เป็นเพียงขุนนางผู้หนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจสู้เยี่ยนอ๋องที่ต่อสู้อยู่ในสงครามมาหลายสิบปีได้

เยี่ยนอ๋องส่งเสียงหยัน เดินผ่านหน้าหันหมิ่นไปยังประตูวังหลวง

หนานกงมั่วเดินอยู่ด้านหลัง ยิ้มบางให้หันหมิ่น เอ่ย “ใต้เท้าหัน เป็นอย่างไรบ้าง”

หันหมิ่นส่งเสียงหยัน ไม่คิดต่อความ หนานกงมั่วรู้สึกน่าเบื่อ ยักไหล่และเดินผ่านไป

“เสด็จพ่อ ในที่สุดพระองค์ก็ฟื้นแล้ว ดีทีเดียว” เซียวเชียนชื่อดวงตาแดงก่ำอย่างอดไม่ได้ เอ่ยขึ้นสะอึกสะอื้น หลายวันมานี้เขาเหนื่อยมากจริงๆ ไม่เคยรู้สึกไร้ความสามารถเพียงนี้มาก่อน เห็นอยู่ว่าต้องการทำทุกอย่างให้ดี พยายามอย่างหนักที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัวของตนเอง ทว่าไม่ว่าจะทำอันใดล้วนแต่ไม่ถูกต้อง ยิ่งทำก็ยิ่งผิด กระทั่งเซียวเชียนชื่อสงสัย หากเสด็จพ่อต้องนอนต่อไปอีกสิบวันครึ่งเดือน วังหลวงนี้จะถูกเปลี่ยนมืออีกหรือไม่

เยี่ยนอ๋องปรายตามองบุตรชายทั้งสอง เอ่ย “ข้าฟื้นแล้ว พวกเจ้าให้ข้าดูสิ่งนี้หรือ”

เซียวเชียนชื่อก้มหน้าอย่างละอายใจ เซียวเชียนเหว่ยก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดก้มหน้าเงียบอยู่ด้านหลังพี่ชาย เห็นท่าทางกระสับกระส่ายของบุตรชายทั้งสอง เยี่ยนอ๋องถอนหายใจออกมา ตบไหล่เซียวเชียนชื่อ เอ่ย “ช่างเถิด ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

วาจานี้ทำให้กระบอกตาของเซียวเชียนชื่อแดงก่ำขึ้นมาโดยไม่อาจห้ามได้ สิ่งที่อยากเอ่ยติดอยู่ในลำคอ เซียวเชียนเหว่ยกลับรู้สึกเพียงอึดอัดและละอายเพียงเท่านั้น ก้มหน้ากำหมัดสองข้างแน่น

“พี่…พี่ชาย ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” เซียวเชียนชื่อยับยั้งความคิดของเขา เอ่ยถามเสียงเบา เมื่อเดินเข้าไปใกล้แน่นอนว่าเขามองเห็นสีหน้าของเว่ยจวินมั่วได้อย่างชัดเจน หลายวันก่อนเมื่อครั้งถอนพิษให้เยี่ยนอ๋องเสร็จเขาเคยไปเยี่ยมเว่ยจวินมั่วหนหนึ่ง เพียงแต่ตอนนั้นเว่ยจวินมั่วยังหลับอยู่จึงไม่ได้สังเกตนัก แต่ตอนนี้มองเห็นสีหน้าของเว่ยจวินมั่ว คุณชายเสียนเกอบอกว่าคุณชายเว่ยถ่ายเลือดกว่าครึ่งตัวให้แก่เยี่ยนอ๋องคงไม่ใช่เรื่องโกหกแล้ว รักษามานานหลายวัน สีหน้ายังคงไม่น่ามองเยี่ยงนี้ หลายปีมานี้ไหนเลยพวกเขาจะเคยเห็นคุณชายเว่ยที่ใบหน้าซีดเซียวเพียงนี้ แม้แต่ริมฝีปากยังไม่มีสีสันเลยแม้เพียงนิด

เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่เป็นไร”

หันหมิ่นมองผู้คนตรงหน้าด้วยใบหน้าตึงเครียด มือที่ถือราชโองการกำแน่น เอ่ยเสียงเข้ม “ในเมื่อเยี่ยนอ๋องมาแล้ว เช่นนั้นช่วยให้คำอธิบายแก่ข้าและราษฎรด้วยเถิด”

“คำอธิบายหรือ” เยี่ยนอ๋องเลิกคิ้ว เอ่ย “อธิบายอันใดเล่า”

หันหมิ่นส่งเสียงหยัน เอ่ย “ท่านอ๋องกักขังฝ่าบาท ไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยเลยหรือ”

เยี่ยนอ๋องเอ่ย “มิสู้ ใต้เท้าหันอธิบายเรื่องราชถ่ายทอดโองการปลอมไม่ดีกว่าหรือ”

สีหน้าของหันหมิ่นเปลี่ยนไป เอ่ยเสียงเย็น “ข้าไม่รู้ว่าท่านอ๋องหมายความเช่นไร”

“เอ่ยเช่นนี้…” เยี่ยนอ๋องเอ่ย “ราชโองการในมือใต้เท้าหันเป็นของจริงอย่างนั้นหรือ ข้ายึดราชโองการของอดีตฮ่องเต้ มุ่งหน้าทางใต้เพื่อสยบความวุ่นวาย เดิมควรประหารขุนนางชั่วอย่างท่านเพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่าง แต่เห็นแก่บุญคุณที่ท่านเคยเป็นอาจารย์สั่งสอนอดีตองค์รัชทายาทและฝ่าบาท แม้ว่าอดีตฮ่องเต้จะรังเกียจทว่าอายุมากแล้ว ไม่มีความดีความชอบก็ยังมีความพยายามจึงได้ละเว้นชีวิตของท่าน เพียงเพราะฝ่าบาทบาดเจ็บหนัก ไม่คิดว่าพวกท่านจะชั่วร้ายถึงขั้นกล้าถ่ายทอดราชโองการปลอม ปลุกปั่นสร้างความวุ่นวายให้กับเมืองหลวง”

“ท่านใส่ร้ายผู้อื่น” หันหมิ่นโกรธจัด เอ่ยเสียงดัง

เยี่ยนอ๋องไม่โกรธ เพียงเอ่ย “ในเมื่อใต้เท้าหันยืนยันว่าไม่ได้ถ่ายทอดราชโองการปลอม มิสู้นำราชโองการในมือให้เหล่าขุนนางตรวจดูเล่า ท่านวางใจ ข้าจะไม่ให้ผู้ใดแตะต้องราชโองการนี้ ผู้คนตรงหน้าล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ใต้เท้าหันพามา ท่านคงจะเชื่อใจได้กระมัง”

ฟังคำเยี่ยนอ๋อง ผู้คนเริ่มลังเลขึ้นมา สายตาสงสัยมองไปยังหันหมิ่นโดยพร้อมเพรียง หรือว่า…ใต้เท้าหันจะถ่ายทอดราชโองการปลอมจริงๆ หรือ

สัมผัสได้ถึงสายตาสงสัยจากพวกเดียวกัน หันหมิ่นยิ่งโมโหขึ้นมา “ข้าจะทำเรื่องเช่นนี้ได้เยี่ยงไร พวกท่านไม่เชื่อข้าหรือ”

ด้านข้างเยี่ยนอ๋อง หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อใต้เท้าหันยืนยันก็นำราชโองการออกมาตรวจสอบเป็นพอ ใต้เท้าถ่วงเวลาเช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด หรือถ่ายทอดราชโองการปลอมจริงๆ เพื่อให้ร้ายเยี่ยนอ๋องหรือ”

ขุนนางคนหนึ่งด้านหลังหันหมิ่นถอนหายใจ เอ่ย “พี่หัน ในเมื่อราชโองการเป็นของจริงก็ให้พวกเราดูเถิด จะจริงหรือเท็จสามารถตัดสินได้ อีกทั้งยังถือว่าเป็นการอธิบายแก่ราษฎรชาวเมืองด้วย” ในเมื่อเยี่ยนอ๋องเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าประชาชน หากไม่ตรวจสอบเท่ากับว่ายอมรับคำของเยี่ยนอ๋อง เช่นนั้นวันนี้พวกเขายืนอยู่ที่นี่…

แน่นอนว่าหันหมิ่นเองก็เข้าใจหลักการนี้ เพียงแต่มองสายตานิ่งสงบตรงหน้า ไม่รู้ทำไมรู้สึกไม่สงบอยู่ในใจ

เขาก้มหน้าลงไปมองราชโองการในมือ กัดฟันเอ่ย “ได้”

เห็นท่าทีของเขา หลายคนจึงรู้สึกโล่งใจ หากราชโองการในมือหันหมิ่นเป็นของปลอม เช่นนั้นพวกเขาที่ยืนอยู่ที่นี่ต่อให้มีเหตุผลก็กลายเป็นไร้เหตุผล เจ้าหน้าที่กรมธรรมการหลายคนเดินเข้ามาใกล้ ตรวจสอบราชโองการอย่างระมัดระวัง สายตาของเจ้าหน้าที่ขุนนางและราษฎรโดยรอบมองไปที่ราชโองการโดยไม่รู้ตัว รอผลอยู่เงียบๆ ประตูวังหลวงเงียบลงในชั่วพริบตา

ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยขึ้นทางทิศตะวันออก แสงอาทิตย์สาดส่องไปบนราชโองการ สะท้อนสีทองจางๆ

เนิ่นนาน สีหน้าของเจ้าหน้าที่หลายคนพลันแปรเปลี่ยน มองไปยังหันหมิ่น เอ่ย “พี่หัน…นี่…ราชโองการนี้…”

หัวใจหันหมิ่นจมดิ่ง เยี่ยนอ๋องเอ่ยขึ้น “ราชโองการเป็นอย่างไร”

คนผู้นั้นลังเลชั่วครู่ เอ่ยด้วยสีหน้าหมองหม่น “ราชโองการ…เกรงว่าราชโองการ…จะไม่ได้เขียนโดยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *