หมอหญิงยอดมือสังหาร 1118 องค์หญิงกลับสู่เมืองหลวง (1)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1118 องค์หญิงกลับสู่เมืองหลวง (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1118 องค์หญิงกลับสู่เมืองหลวง (1)

ทันทีที่ราชโองการของโอรสสวรรค์ประกาศออกมา สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะซับซ้อนและยุ่งเหยิงก็ราบรื่นขึ้นทันที นอกจากข้าราชบริพารบางคนเช่นโจวเซียงและคนอื่นๆ ที่ภักดีต่อฮ่องเต้ทว่าไม่กล้าคัดค้าน ข้าราชบริพารส่วนใหญ่ก็กลับมาเป็นปกติแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้เองยังยอมแพ้ พวกเขายังจะเอาชีวิตของตนกระทั่งชีวิตของคนในตระกูลไปแข็งข้อต่อเยี่ยนอ๋องหรือ ในเมื่อโอรสสวรรค์สละบัลลังก์ด้วยตนเอง ต่อให้พวกเขามายืนอยู่ข้างเยี่ยนอ๋องก็ไม่นับว่าทรยศต่อเจ้านายกระมัง

เมื่อคิดเช่นนี้เหล่าขุนนางที่เดิมลาป่วยอยู่ที่บ้านก็เริ่ม ‘หายเป็นปกติ’ เตรียมกลับมาทำหน้าที่ของตนเอง เพียงแต่มีบางคนพบว่าตำแหน่งที่เคยเป็นของตนเองได้มีคนอื่นมาประจำอยู่แล้ว และทุกคนยังเป็นคนหนุ่มอายุน้อย พวกเขามีรอยยิ้มที่เป็นมิตร ใต้เท้าป่วยไม่อาจทำงานได้มิใช่หรือ พวกเขารับคำสั่งให้มาแทนที่ไม่กี่วัน อย่างไรงานในราชสำนักก็ไม่อาจหยุดได้มิใช่หรือ แม้ไม่มีใครห้ามหรือให้พวกเขากลับไป แต่คนที่มาแทนพวกเขาก็ยังคงอยู่ กรมต่างๆ มีเจ้าหน้าที่มากเกินไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไห้คนที่เดิมทีคิดหาผลประโยชน์ส่วนตนต้องหวั่นเกรงอยู่ในใจ เยี่ยนอ๋องไม่ได้กำลังเตือนพวกเขาอยู่กระมัง หากเจ้าไม่อยากทำงาน บนโลกนี้ยังมีคนอื่นที่อยากทำงาน

สมองของเจ้าหน้าที่ที่มีความผิดเริ่มทำงาน เริ่มเชิญเยี่ยนอ๋องขึ้นครองราชย์ เพื่อปลอบขวัญประชาชน

เยี่ยนอ๋องปฏิเสธด้วยพระองค์เอง

ผู้คนส่งจดหมายเชิญอีกครั้งก็ยังไม่ยอม

ยังคงส่งจดหมาย เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งเยี่ยนอ๋องจึงต้องตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจoyd

เหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกันว่าควรจัดพิธีขึ้นในวันที่สิบห้าเดือนเก้า ทันใดนั้นเมืองจินหลิงพลันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง บรรยากาศสงครามก่อนหน้านี้สลายหายไป และกลุ่มคนที่สูญเสียอำนาจก็ไม่มีผู้ใดไปสนใจอีก บรรยากาศตึงเครียดในจินหลิงก่อนหน้านี้ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

วันที่สิบเดือนเก้า องค์หญิงฉังผิงพาอานอานและผู้คนจากเมืองเฉินโจวนั่งเรือกลับมาถึงจินหลิง หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วพาเยาเยาไปรอรับที่ท่าเรือนอกเมืองด้วยตนเอง

“เสด็จแม่” เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วยืนเคียงข้างกัน มองเห็นองค์หญิงฉังผิงที่ขึ้นมาจากเรือจึงรีบเข้าไปรับ ด้านหลังขององค์หญิงฉังผิงคือฉินจื่อซวี่สองพี่น้อง ชวีเหลียนซิง หนานกงฮุยสองสามีภรรยา เป็นต้น องค์หญิงฉังผิงจูงมืออานอานเอาไว้ แม้จะเป็นเด็กอายุสามขวบกว่าทว่ากลับมีความเป็นผู้ใหญ่แล้ว

“จวินเอ๋อร์ อู๋สยา” เมื่อมองเห็นทั้งสอง องค์หญิงฉังผิงจึงดีใจขึ้นมา มองเยาเยาที่หนานกงมั่วอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเบ่งบานมากขึ้น รีบยื่นมือเข้าไปรับ “เยาเยา มาให้เสด็จย่าดูสักหน่อยผอมลงหรือไม่”

ไม่เจอกันไม่กี่เดือน เยาเยาจึงไม่รู้สึกแปลกหน้า ยื่นมือเล็กออกไปให้เสด็จย่าอุ้มอย่างว่าง่าย “เสด็จย่า เยาเยาคิดถึงเสด็จย่า”

“เด็กดี คนดีหลายวันมานี้ลำบากหรือไม่” องค์หญิงฉังผิงปวดใจไม่น้อย “ดูสิผอมลงไปเพียงใด” เพียงคิดว่าเยาเยาน้อยผู้บอบบางอ่อนนุ่มที่ตนเลี้ยงมาต้องถูกคนจับตัวมาไกลถึงจินหลิง ไม่รู้ได้รับความลำบากมากเพียงใด องค์หญิงฉังผิงแทบอยากกอดหลานสาวเอาไว้ในอ้อมแขนไม่ปล่อยให้นางออกไปไหนแล้ว เด็กตัวเล็กเพียงนี้จะรับได้อย่างไร

หนานกงมั่วพูดไม่ออกมองบุตรสาวเงียบๆ ผอมหรือ ดูไม่ออกเลยนี่นา

“ท่านพ่อ ท่านแม่” อานอานเดินก้าวตรงมาทำความเคารพ หนานกงมั่วมองเห็นบุตรชายที่ว่าง่ายยิ่งรู้สึกละอายอยู่ในใจ โน้มตัวลงไปอุ้มเขาขึ้นมา “หลายวันมานี้อานอานเป็นเช่นไรบ้าง”

ใบหน้าเล็กของอานอานอึดอัดและเขินอายเล็กน้อย ทว่าดวงตากลับสว่างไสว พยักหน้าพลางเอ่ย “ลูกสบายดี ท่านแม่เป็นเช่นไรบ้างขอรับ”

หนานกงมั่วลูบศีรษะเล็กของบุตรชาย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่ก็สบายดี เพียงแต่คิดถึงอานอานมาก”

มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมาคว้าเขาออกไปจากอ้อมแขนของหนานกงมั่ว ใบหน้าเล็กของอานอานแข็งทื่อ เขาเงียบและเป็นผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก นอกจากมารดาและเสด็จย่าที่ชอบกอดชอบบีบเขาแล้ว น้อยนักที่จะให้คนอุ้ม แม้แต่บิดาผู้ให้กำเนิดเองก็เป็นเช่นนี้ เว่ยจวินมั่วสีหน้าอ่อนโยนลูบศีรษะเล็กของบุตรชาย เอ่ยกับหนานกงมั่ว “เดี๋ยวข้าอุ้มเอง” เด็กสามขวบไม่นับว่าเบาแล้ว เยาเยาเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กย่อมไม่เป็นไร แต่อานอานนั้นเป็นเด็กผู้ชาย

อานอานกะพริบตา ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของบิดาอย่างว่าง่าย

ทางฝั่งองค์หญิงฉังผิงที่เล่นกับเยาเยาเสร็จแล้ว เยาเยาโบกมือให้พี่ชายอย่างตื่นเต้น “พี่ชาย”

“เยาเยา” อานอานยื่นแขนไปกอดน้องสาวราวกับผู้ใหญ่ เยาเยาดีใจกับความใกล้ชิดที่พี่ชายมอบให้ จึงจูบพี่ชายของตนเบาๆ “พี่ชาย จุ๊บๆ”

อานอานลังเลอยู่ชั่วครู่ คิดว่าน้องสาวของเขาถูกคนจับตัวไปนานหลายวัน จึงโน้มตัวเข้าไปจูบหัวคิ้วเบาๆ จนองค์หญิงฉังผิงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก แม้ว่าบุรุษสตรีไม่ชิดใกล้ แต่ว่าเด็กทั้งสองนี้เป็นฝาแฝดอีกทั้งยังเด็กจึงไม่เป็นไร

“ถวายพระพรองค์หญิง” อาเจี้ยวติดตามอยู่ด้านหลังหนานกงมั่ว ก้าวเข้ามาทำความเคารพ

องค์หญิงฉังผิงรีบเอ่ย “เด็กดี รีบลุกขึ้นมา หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว” ซังเจี้ยวหายไปเพราะเยาเยา อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ของหนานกงมั่ว แม้แต่เว่ยจวินมั่วยังนับว่าเป็นอาจารย์ของเขาไปกว่าครึ่ง อยู่ด้วยกันมาหลายปี แน่นอนว่าองค์หญิงฉังผิงเองก็ไม่คิดว่าเขาเป็นคนอื่น ซังเจี้ยวส่งยิ้มให้องค์หญิงฉังผิง หันกลับไปทักทายพี่สาวและพี่เขย

หนานกงฮุยยื่นมือมาลูบศีรษะซังเจี้ยว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอกันนาน สูงขึ้นแล้ว”

“มั่วเอ๋อร์”

“พี่รอง” หนานกงมั่วพยักหน้าให้ทั้งสองด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านเดินทางลำบากแล้ว”

ด้านข้าง เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้น “อู๋สยา มีอันใดกลับไปค่อยคุยกันเถิด”

หนานกงมั่วยิ้มร่า “จริงด้วย พวกเรากลับไปค่อยคุยกันเถิด เสด็จแม่ เดี๋ยวหม่อมฉันอุ้มเองเพคะ เด็กคนนี้ตัวหนักแล้ว”

องค์หญิงฉังผิงครุ่นคิด สุดท้ายจึงยกเยาเยาคืนให้หนานกงมั่ว เด็กอายุสามขวบ เยาเยายังเป็นเด็กกระตืนรือร้น อุ้มนางเอาไว้นานๆ คงไม่ไหว

“จวินเอ๋อร์…”

องค์หญิงฉังผิงมองไปที่เว่ยจวินมั่ว เอ่ยอย่างลังเล

เว่ยจวินมั่วส่งเสียงตอบรับในลำคอเบาๆ เอ่ย “เสด็จแม่เดินทางมาเหน็ดเหนื่อย มีสิ่งใดกลับไปค่อยคุยกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เห็นเขายังมีท่าทีปกติ กระบอกตาขององค์หญิงฉังผิงแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รีบพยักหน้า เอ่ย “ได้ ได้”

กลุ่มคนเดินทางเข้าไปในเมืองจินหลิงโดยมีทหารองครักษ์คอยคุ้มกันตลอดเส้นทาง กระทั่งไปถึงจวนองค์หญิงที่ถูกทำความสะอาดรอมาหลายวันแล้ว

ผู้คนในเมืองจินหลิงมองเห็นขบวนก็อดไม่ได้ที่จะลอบแปลกใจอยู่ในใจว่าบุคคลสำคัญใดกลับเมืองมาแล้ว

กลับมาถึงจวนองค์หญิง คนอื่นๆ ออกไปแล้วองค์หญิงฉังผิงจึงถามอย่างอดไม่ได้ “จวินเอ๋อร์ เจ้า…เจ้า…” มองท่าทียากที่จะเอ่ยออกมาขององค์หญิงฉังผิง หนานกงมั่วจึงถอนหายใจ เอ่ยเสียงเบา “เสด็จแม่อยากถาม…เรื่องชาติกำเนิดของเว่ยจวินมั่วหรือเพคะ”

องคหญิงฉังผิงหน้าซีด มองเว่ยจวินมั่วอย่างประหม่า เว่ยจวินมั่วรินน้ำชาด้วยตนเองส่งให้องค์หญิงฉังผิง เอ่ย “เสด็จแม่ ขอเพียงพระองค์เต็มใจ กระหม่อมก็จะเป็นลูกของพระองค์ตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ”

ดวงตาขององค์หญิงฉังผิงแดงก่ำ หลั่งน้ำตาออกมาอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าผ่อนคลายลงไปมาก แม้เว่ยจวินมั่วจะไม่ใช่บุตรชายที่แท้จริงของนางแต่ก็เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิด หากไม่มีบุตรชายคนนี้ เกรงว่าครั้งนั้นนางเองคงไม่อาจข้ามผ่านความเสียใจจากการสูญเสียบุตรชายได้ หลายปีมานี้จึงรู้สึกไม่ต่างอันใดกับลูกที่นางคลอดออกมาเองไปแล้ว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *