หมอหญิงยอดมือสังหาร 1195 เรื่องลับที่ยากอธิบาย

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1195 เรื่องลับที่ยากอธิบาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1195 เรื่องลับที่ยากอธิบาย

โรงน้ำชาทางด้านนี้คึกคักมาก แต่ทางปีกด้านข้างที่อยู่ห่างไกลจากพวกเขาออกไปกลับเงียบสงบกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด ฮ่องเต้ไท่ชูนั่งจิบชาอยู่โดยมีเฉินอวี้และเซวียเจินคอยเอาอกเอาใจอยู่ข้างๆ ในใจก็แอบอิจฉาเพื่อนรักที่กำลังเที่ยวเล่นอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่โยวโจว เมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย การเป็นข้าบริพารอยู่ใกล้ชิดโอรสสวรรค์ในจินหลิงอย่างมีหน้ามีตาถือว่าเป็นเรื่องดี แต่การติดตามราชาก็เหมือนกับการอยู่กับเสืออย่างที่โบราณว่าไว้จริงๆ อย่างเช่นตอนนี้ แม้ว่าฮ่องเต้ไท่ชูจะไม่ทรงกริ้ว พวกเขาไม่อาจบอกได้ด้วยซ้ำว่าพระองค์กำลังกริ้วหรือไม่ แต่สัญชาตญาณจากประสบการณ์ที่ไม่ต่างกับในสนามรบนั้นบอกพวกเขาว่ายังไม่ควรเอ่ยสิ่งใดในเวลานี้

สถานที่ตั้งของโรงน้ำชาแห่งนี้นับว่าไม่เลว พวกเขาสามารถมองเห็นการชุมนุมกวีและการประลองยุทธ์เมื่อครู่นี้ได้อย่างชัดเจน เพียงแต่พวกเขาไม่แน่ใจเท่านั้นว่าฝ่าบาททรงกริ้วเพราะเจิ้งอ๋องจัดงานชุมนุมกวีขึ้นมา หรือกริ้วที่องค์ชายสี่ไม่สามารถจะเอาชนะองค์หญิงหนานเย่ว์ได้กันแน่ หรือแค่กริ้วที่คนหนานเย่ว์ยโสโอหังเกินไปเท่านั้น

เซวียเจินมองเฉินอวี้ด้วยความไม่แน่ใจ แต่เฉินอวี้กลับก้มหน้าจิบชาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น

ช่างเถอะ เขาเองก็ดื่มชาด้วยดีกว่า

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดฮ่องเต้ไท่ชูก็ยื่นมือวางถ้วยชาลงเสียงดังกึก แล้วพระองค์ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “พวกเจ้าคิดว่าคนหนานเย่ว์เป็นอย่างไรบ้าง”

เซวียเจินโล่งใจเมื่อพูดถึงเรื่องการทหาร เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาถนัด เขาสบตากับเฉินอวี้ก่อนจะอธิบายมุมมองความคิดเห็นของตนออกมา ไม่มีอะไรมากไปกว่าตั้งแต่ที่ต้าเซี่ยก่อตั้งประเทศขึ้นมาก็ยังไม่เคยทำสงครามกับหนานเย่ว์เลยสักครั้ง จะมีก็เพียงความขัดแย้งปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ ตรงชายแดนบ้างเท่านั้น ชาวหนานเย่ว์แข็งแรงและกล้าหาญ ชาวบ้านเป็นวรยุทธ์ แต่ประเทศกลับมีขนาดเล็กและมีผลผลิตไม่ดี จึงอิจฉาที่ต้าเซี่ยมีแผ่นดินกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ แม้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะมีท่าทีแข็งกร้าว แต่ก็ไม่ได้เห็นหนานเย่ว์อยู่ในสายตาแม้ว่าจะเพิ่งก่อตั้งประเทศก็ตาม หลายปีมานี้ต้าเซี่ยวุ่นวายอยู่กับการทำสงครามมาตลอด ทางตอนเหนือก็มีชาวเป่ยหยวนคอยก่อกวน ชาวหนานเย่ว์ย่อมต้องการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ควรจะบอกว่าเป็นการลองเชิงมากกว่าการยั่วยุ เป็นการลองเชิงเพื่อดูท่าทีที่ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมีต่อหนานเย่ว์

เฉินอวี้เอ่ย “ฝ่าบาทยังต้องเดินทางไปเป่ยหยวน เกรงว่าไม่เหมาะจะขัดแย้งกับหนานเย่ว์ในช่วงเวลาอันใกล้นี้” การแก้ไขเรื่องต่างๆ ต้องค่อยๆ ทำไปทีละเรื่อง หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูจากสองด้านพร้อมกัน แม้ต้าเซี่ยจะยิ่งใหญ่แข็งแกร่งเพียงใดก็อาจรับมือได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ชาวบ้านก็ต้องการการเพาะปลูกอย่างเร่งด่วน และไม่ว่าในฐานะคนสนิทของฮ่องเต้ไท่ชูหรือตัวเฉินอวี้เอง เขาก็ยังรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับหนายเย่ว์แล้ว เป่ยหยวนนับเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเขาในระยะเวลาอันสั้นนี้

ฮ่องเต้ไท่ชูเอ่ย “หรือว่าเราต้องอดทนยอมปล่อยพวกเขาไปก่อน?”

“ไม่ได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” เซวียเจินกล่าว “เพราะพวกเราไม่ต้องการที่จะทำสงครามกับหนานเย่ว์ในตอนนี้ เราจึงยิ่งต้องเพิ่มความแข็งกร้าว ถ้าพวกเขาคิดว่าพวกเราอ่อนแอรังแกได้ง่าย ชายแดนก็คงจะไม่สงบจริงๆ แล้ว” ฮ่องเต้ไท่ชูพยักพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “มีเหตุผล”

เมื่อเห็นว่าพระองค์เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง เฉินอวี้และเซวียเจินก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก วันดีๆ เช่นนี้พวกเขากลับไม่ได้อยู่บ้านกับลูกเมีย แต่ต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนเจ้านายพระองค์นี้…เป็นเวรเป็นกรรมของพวกเขาจริงๆ

“ฝีมือขององค์ชายและองค์หญิงหนานเย่ว์ไม่เลวเลยจริงๆ” เฉินอวี้พูดขึ้นอีก

เซวียเจินกลับไม่ได้ใส่ใจนัก “ก็ยังแพ้ให้กับพระชายาฉู่อ๋องไม่ใช่หรือ”

เฉินอวี้ขึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “หนานเย่ว์เก่งวรยุทธ์ ระดับของทั้งสองท่านนี้ แม้ไม่ใช่ทั้งหมด แต่อย่างน้อยๆ ก็สามารถแสดงถึงระดับของเชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ของหนานเย่ว์ได้ กล่าวกันว่าฮ่องเต้หนานเย่ว์มีองค์หญิงสิบห้าพระองค์และองค์ชายสิบสามพระองค์”

“มากมายขนาดนั้นเชียวหรือ!” เซวียเจินรู้สึกประหลาดใจ นี่แทบจะเทียบได้กับฮ่องเต้ผู้ล่วงลับไปแล้วได้เลย

เฉินอวี้กล่าว “หากองค์ชายองค์หญิงเหล่านี้สักครึ่งหนึ่งมีทักษะฝีมือเทียบเท่าหรือไม่ต่างจากทั้งสองท่านนี้มากก็น่ากลัวแล้ว” กระทั่งว่าอาจจะมีฝีมือสูงกว่าด้วยซ้ำ

เซวียเจินไม่เข้าใจ “องค์ชายและองค์หญิงเหล่านี้ไม่ได้ศึกษาการปกครอง แต่กลับเสียเวลาไปกับการฝึกยุทธ์หรือ?” สำหรับชาวจงหยวนแล้ว มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่ทายาทของแม่ทัพนายพลอย่างพวกเขาเองก็ใช่ว่าทุกคนในครอบครัวจะต้องมีวรยุทธ์สูงส่งกันหมด

เฉินอวี้เอ่ย “เพราะพวกเขาไม่มีประเทศให้ปกครองมากมายอย่างไรเล่า พื้นที่ของหนานเย่ว์มีไม่ถึงหนึ่งในยี่สิบของต้าเซี่ยด้วยซ้ำ พวกเขาก็ไม่ต่างกับเป่ยหยวนนัก ไม่ว่าชายหรือหญิงก็สามารถลงสนามรบเพื่อสังหารศัตรูได้ การปกครองกองทัพก็คือการปกครองประเทศ”

“แข็งแกร่งมากหรือ” เซวียเจินลังเลขึ้นมาทันที

เฉินอวี้ยักไหล่ “ฉีอ๋องกล่าวว่าแข็งแกร่งมาก”

ฉีอ๋องถูกลดขั้นลงไปปกครองอี้โจว แม้จะไม่มีพรมแดนติดกับหนานเย่ว์ แต่ถึงอย่างไรก็ใกล้กันมาก เขาจึงรู้ข่าวมากขึ้นตามไปด้วย

เฉินอวี้เอ่ย “แต่พวกเขามีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง”

“ปัญหาอันใดหรือ”

เฉินอวี้กล่าว “การต่อสู้ภายในราชวงศ์ดุเดือดมาก จึงทำให้พวกเขาเองเสียหายร้ายแรงมากเช่นกัน” เรื่องนี้นับเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา หากหนานเย่ว์มีผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นปรากฏขึ้นจริงๆ ต้าเซี่ยก็จะตกที่นั่งลำบาก เซวียเจินโบกมืออย่างห้าวหาญ “ข้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก สรุปก็คือถ้าพวกมันกล้ามา เราจะจัดการพวกมันให้หนัก!”

ฮ่องเต้ไท่ชูมองดูการสนทนาของผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองคน สีหน้าของพระองค์ผ่อนคลายลงมากในขณะที่เอ่ยว่า “เซวียเจินพูดได้ดีมาก ถ้ากล้ามา ก็ทุบพวกมันให้แหลก! อย่าลืมเตือนให้ข้าให้รางวัลพระชายาฉู่อ๋องด้วย” ประโยคหลังพระองค์รับสั่งกับฝ่ายกิจการภายใน ซึ่งรีบพยักหน้ารับคำและจดบันทึกไว้ทันที

เซวียเจินเองก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง “ชายาฉู่อ๋องเป็นสตรีที่ไม่น้อยหน้าบุรุษจริงๆ”

ฮ่องเต้ไท่ชูแค่นเสียงออกมาเบาๆ “อู๋สยาเก่งมาก แต่เจ้าเด็กสองคนนั่น…ถึงเวลาฝึกฝนแล้วจริงๆ!”

กลางดึกระหว่างทางกลับจวนเจิ้งอ๋อง บนรถม้ามีจูชูอวี้และชายารองเหวินนั่งขนาบข้างเซียวเชียนเหว่ยฝั่งละคน เซียวเชียนเหว่ยพิงรถม้าหลับตาพักผ่อน สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าและหม่นหมองเล็กน้อย แม้ว่าวันนี้เขาจะได้รับความประทับใจที่ดีจากบัณฑิตหลายคน แต่เขาก็เสียหน้าต่อหน้าคนเหล่านี้ไปไม่น้อยเช่นกัน ความรู้สึกที่ไม่มีความสุขหลังจากทำเรื่องสำเร็จไปแล้วเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก

จูชูอวี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เพราะถึงอย่างไรเรื่องในวันนี้ก็เป็นเรื่องของตระกูลเหวิน ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับตระกูลจูของนาง จูชูอวี้สัมผัสได้ว่าตั้งแต่ที่ชายารองทั้งสี่แต่งเข้ามาแล้ว เซียวเชียนเหว่ยก็เย็นชากับตระกูลจูมากขึ้น แต่นั่นก็เป็นเพราะตระกูลจูไม่เอาไหนเองด้วย หลายเดือนผ่านไปตระกูลจูก็ยังคงฟื้นตัวอย่างช้าๆ ไม่สามารถช่วยเซียวเชียนเหว่ยในราชสำนักได้มากนัก

ชายารองเหวินก็ไม่ได้มีสีหน้ายินดีมีความสุขนัก นางมองไปที่เซียวเชียนเหว่ยที่กำลังหลับตาพักผ่อนด้วยท่าทางเหมือนลังเลจะเอ่ยบางอย่าง

“น้องสาวมีสิ่งใดจะพูดหรือ” จูชูอวี้ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยถาม

เมื่อเซียวเชียนเหว่ยได้ยินเช่นนี้ เขาก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน ชายารองเหวินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋อง ข้าได้ยินมาว่าคุณชายเสียนเกอมีวิชาแพทย์สูงส่ง…” นางยังพูดไม่ทันจบก็เงียบไปก่อน เนื่องจากชายารองเหวินเห็นสีหน้าของเซียวเชียนเหว่ยที่เปลี่ยนเป็นหน้าเกลียดอย่างกะทันหัน เซียวเชียนเหว่ยเหลือบตามองชายารองเหวินอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องยุ่ง พูดให้มันน้อยๆ หน่อย! พระชายายังไม่พูดเลย เจ้ามีสิทธิ์พูดด้วยหรือ!”

ชายารองเหวินอดตะลึงไปไม่ได้เมื่อเห็นแววตาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มของจูชูอวี้ นางรู้ตัวทันทีว่าตนเองตกหลุมพลางของจูชูอวี้เสียแล้ว แต่ว่า…นางพูดเพื่อท่านอ๋องจริงๆ นี่

เซียวเชียนเหว่ยยิ่งรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางสับสนและลำบากใจของชายารองเหวิน เนื่องจากเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ต่อมาเขาจึงไม่ได้พักผ่อนอยู่กับนางในห้องเป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว แม้ว่าชายารองทั้งสี่จะแต่งเข้ามานานขนาดนี้แล้ว แต่พวกนางก็ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ นอกจากชายารองหลี่ว์แล้ว เดิมทีชายารองทั้งสามก็น่าจะยังไม่มีใครเข้าใจ แต่เหล่าชายาทั้งหลายต่างก็มีแม่นมและบ่าวหญิงชราที่ติดตามมาดูแลพวกนางเป็นการเฉพาะด้วย แม้ว่าหญิงสาวในห้องหออย่างพวกนางจะไม่เข้าใจ แต่มีหรือบรรดามามาที่มีประสบการณ์มากมายเหล่านั้นจะคิดไม่ออก ดังนั้นเรื่องเรือนหลังในจวนเจิ้งอ๋องจึงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

เรื่องที่ทุกคนล่วงรู้ความลับที่น่าอายของเขาก็ทำให้เซียวเชียนเหว่ยรู้สึกอับอายและหงุดหงิดมาก แม้แต่ความภูมิใจที่ได้แต่งงานกับชายารองทั้งสี่ที่มีภูมิหลังที่ดีก็ยังลดน้อยถอยลงไปด้วยเช่นกัน เซียวเชียนเหว่ยจะไม่รู้สึกโกรธได้อย่างไรที่พระชายารองเหวินเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาโต้งๆ ในยามนี้

เมื่อเห็นพระชายารองเหวินน้ำตานองหน้า เซียวเชียนเหว่ยก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเหลือเกิน เขาแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชาพลางลุกขึ้นยืน และสั่งให้คนขับหยุดรถม้าก่อนที่เขาจะเปิดม่านแล้วเดินออกไป

บนรถม้าเหลือเพียงจูชูอวี้และชายารองเหวินสองคนเท่านั้น จูชูอวี้มองพระชายารองเหวินด้วยท่าทีเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มก่อนจะเอ่ยเรียบๆ “น้องสาว ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงสุขภาพของท่านอ๋อง แต่เรื่องแบบนี้…อย่าใจร้อนจะดีกว่า”

ชายารองเหวินรู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ คำพูดของจูชูอวี้ราวกับจะเยาะเย้ยที่นางไม่สามารถรอได้อย่างนั้น

หลังจากนั้นไม่นานนางก็ตอบเสียงเบา “ขอบคุณพระชายาที่สั่งสอน”

จูชูอวี้ยิ้มน้อยๆ “ไม่เป็นไร ข้าก็เพียงเตือนเจ้าเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรหากท่านอ๋องขุ่นเคือง ข้าก็อาจจะต้องลำบากเดือดร้อนไปด้วย” ตระกูลสูงส่งแล้วอย่างไรหรือ คำพูดเมื่อครู่นี้ของชายารองเหวินได้ทำลายผลงานที่ตระกูลเหวินพยายามหลายวันมานี้ลงไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน แม้ว่าเซียวเชียนเหว่ยจะอารมณ์ดีขึ้น แต่เขาก็คงจะเย็นชากับนางไปสักระยะ

ส่วนเรื่องสุขภาพของเซียวเชียนเหว่ย ในเมื่อจูชูอวี้รู้แล้วว่าเขาได้รับพิษ นางจึงไม่ได้รู้สึกกังวลร้อนใจอีก แทนที่จะรังแกผู้หญิงพวกนี้ตอนนี้ นางรอให้ตนเองพร้อมกว่านี้ก่อนค่อยว่ากันจะดีกว่า เดิมทีนางคิดที่จะลงมือจัดการชายารองทั้งสี่พวกนี้ทันที แต่ใครจะไปคิดว่าตระกูลพวกนางจะไม่ได้รังแกกันง่ายๆ และมีการป้องกันที่ดีเช่นนี้ การลงมือโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีรังแต่จะทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น แต่การพยายามมีลูกให้ได้ก่อนผู้หญิงเหล่านี้และยังต้องมั่นใจว่าเป็นเด็กผู้ชายด้วยใช่เรื่องง่ายเสียที่ไหน หลายปีมานี้ยังไม่มี แล้วในเวลาเพียงเดือนสองเดือนนี้นางจะทำได้หรือ

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้จูชูอวี้ก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ดวงตาของนางเจือแววกังวลเล็กน้อย

เมื่อเทียบกับฝั่งของจูชูอวี้แล้ว ฝั่งหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วดูอบอุ่นและมีความสุขกว่ามาก หนานกงมั่วที่อยู่ในอ้อมกอดของเว่ยจวินมั่วยังคงไม่คลายความสงสัย เหตุใดเซียวเชียนเหว่ยถึงไม่มาหาพวกเขาเพื่อขอยาแก้พิษเล่า เขาไม่กลัวว่าต่อไปนี้มันจะใช้การไม่ได้แล้วหรือไร

“คิดอันใดอยู่หรือ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถามเบาๆ

“เซียวเชียนเหว่ย” หนานกงมั่วตอบอย่างสบายๆ

มือที่จับเอวนางอยู่กระชับแน่นขึ้นมาทันที “คิดถึงเขาทำไม”

หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้น “ไยเขาถึงไม่ร้อนใจ”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ร้อนใจ” เว่ยจวินมั่วเอ่ย หนานกงมั่วยักไหล่ “ก็เห็นๆ กันอยู่ ยานั่นเป็นยาลับเฉพาะของศิษย์พี่ข้า ไม่มีใครแก้ได้นอกจากอาจารย์ ในเมื่อศิษย์พี่ถามก็แปลว่าเขาคงยังไม่หายแน่ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะไม่ยอมรับ หรือว่าหน้าตาสำคัญกว่าไปกว่าสุขภาพภายในจริงๆ” และยังสำคัญกว่าทายาทในอนาคตและความสุขเสียด้วย ความเฉยเมยของเซียวเชียนเหว่ยทำให้ความพึงพอใจแต่เดิมที่นางมีต่อเรื่องนี้ลดน้อยลงทันที

เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ไม่มีใครยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่นหรอก”

เรื่องแบบนี้ทำลายศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ตีเขาให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับต่อหน้าธารกำนัลหรอก ถ้าเขายอมรับ ก็ยากที่จะบอกได้ว่าคุณชายเสียนเกอจะเอ่ยเรื่องของเขาออกมาต่อหน้าคนอื่นตรงนั้นเลยหรือไม่

“หากพวกเราไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็จะผัดผ่อนเรื่องนี้ออกไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หากปล่อยไว้เป็นเวลานานเกินไป มันจะ…แน่นอนว่านางไม่สนใจ แต่ฮ่องเต้ไท่ชูและฮองเฮาต้องสนใจเรื่องนี้อย่างแน่นอน

“ไม่หรอก” เว่ยจวินมั่วเอ่ย “เขาจะมาขอพบอาจารย์เร็วๆ นี้”

“อาจารย์?” หนานกงมั่วตกใจ “เขาควรขอพบศิษย์พี่ไม่ใช่หรือ”

“เขาน่าจะคิดว่าอาจารย์แก่ชราแล้ว ต้องไม่ใช่คนชั่วร้ายอย่างคุณชายเสียนเกอแน่ๆ และจะปิดปากได้สนิทกว่าด้วย”

หนานกงมั่วนิ่งเงียบไร้คำพูด “เขาจะต้องเข้าใจอันใดผิดแน่” อาจารย์ของนางนั้นนิสัยเลวร้ายเสียจนตอนหนุ่มๆ แทบจะอยู่ในยุทธภพต่อไปไม่ได้แล้ว ไหนเลยจะเทียบได้กับชื่อเสียงหมอเทวดาของศิษย์พี่

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเรา” เว่ยจวินมั่วเอ่ย

หนานกงมั่วพยักหน้า “เอ่ยได้ดีมีเหตุผล” นางเพียงกลัวเซียวเชียนเหว่ยจะไม่ยอมเสียหน้า จนให้เรื่องเท็จกลายเป็นเรื่องจริงในท้ายที่สุด แม้แต่อาจารย์และศิษย์พี่ก็ช่วยเขาไว้ไม่ทันเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นจริง นางคิดๆ แล้วก็รู้สึกผิดต่อฮ่องเต้และฮองเฮาอยู่บ้าง

“คืนนี้องค์หญิงหลิงเซียงและองค์ชายหนานเย่ว์นั่นต้องการจะทำอันใดกันแน่” หนานกงมั่วเปลี่ยนเรื่อง อดขมวดคิ้วไม่ได้

เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบนิ่งๆ “ก็ไม่มีอันใด เพียงต้องการลองเชิงเท่านั้น”

“องค์หญิงและองค์ชายมาด้วยตัวเอง ชาวหนานเย่ว์ลงทุนจริงๆ” หนานกงมั่วเลิกคิ้วพลางชมเชย ด้วยบาดแผลบนร่างกายและใบหน้าขององค์ชายหนานเย่ว์ไม่มีทางที่เขาจะออกมาพบผู้คนได้อย่างน้อยๆ ก็สิบวันถึงครึ่งเดือนแน่นอน เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ชาวหนานเย่ว์ทะเยอทะยานมาก เมื่อก่อนตอนที่เป่ยหยวนรุกรานจงหยวน พวกเขาก็ถือโอกาสรุกรานและยึดครองชายแดนใต้ แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็สู้กองทัพทหารม้าของเป่ยหยวนไม่ได้จึงถูกบีบให้ถอยร่นกลับไป ตอนนี้ชาวเป่ยหยวนถูกขับไล่ออกไป ต้าเซี่ยกำลังสู้รบอย่างต่อเนื่อง ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะมีความคิดบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง”

หนานกงมั่วพยักหน้าและอดไม่ได้ที่จะหาวออกมาเล็กน้อย “ไม่ใช่เพียงหนานเย่ว์ ข้าได้ยินมาว่ายังมีอานจี้ หว่าหลาและแคว้นอื่นๆ อีก ไม่ใช่ว่าจะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กันหรอกหรือ องค์หญิงหนานเย่ว์ผู้นั้นก็งดงามอยู่นะ”

“ง่วงแล้วหรือ” เว่ยจวินมั่วก้มหน้าลงแล้วเอ่ยกับนางเสียงเบา

หนานกงมั่วพยักหน้า “ดูเหมือนจะง่วงแล้ว” เกือบเที่ยงคืนแล้ว นางก็ควรจะง่วงจริงๆ นั่นล่ะ

เว่ยจวินมั่วโอบนางไว้ในอ้อมแขนและตบหลังของนางเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็นอนไปเถอะ ถึงแล้วข้าจะปลุกเจ้า”

หนานกงมั่วเองก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน นางโน้มตัวเข้าไปในอ้อมอกของเขาและหลับตาลงช้าๆ พลางเอ่ย “หากจะต้องแต่งงานก็ต้องเลือกเชื้อพระวงศ์ใช่หรือไม่ ข้ารู้สึกว่าองค์หญิงหนานเย่ว์นั่น…น่าจะสนใจเจ้า…”

“ข้าไม่สนใจนาง” เว่ยจวินมั่วตอบง่ายๆ

เมื่อเขาก้มหน้าลงก็เห็นว่าหนานกงมั่วหลับไปแล้ว ลมหายใจของนางแผ่วเบาและสีหน้าของนางสงบนิ่ง มันเป็นความรู้สึกที่สุขสงบมาก

เว่ยจวินมั่วปกป้องนางไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างระมัดระวัง และกระซิบบอกกับองครักษ์ที่ขับรถม้าอยู่ด้านนอกให้ขับช้าๆ

องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกมุมปากกระตุกทันที เดิมทีไม่ได้ขับเร็วอยู่แล้ว ถ้าช้ากว่านี้อีก เขาลงไปเดินเองเสียไม่ดีกว่าหรือ

หลังจากนั้นไม่นาน องครักษ์ก็กระซิบว่า “ท่านอ๋อง ถึงแล้ว”

เว่ยจวินมั่วอุ้มหนานกงมั่วขึ้นมาอย่างอ่อนโยนและเดินออกไป หนานกงมั่วขมวดคิ้วและกำลังจะลืมตาตอนที่เว่ยจวินมั่วกระซิบ “ไม่เป็นไร นอนต่อเถิด”

หลังจากหนานกงมั่วดิ้นรนอยู่พักหนึ่ง นางก็ยอมเชื่อฟังและหลับต่อไป เว่ยจวินมั่วอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนของเขาและลอยลงสู่พื้นอย่างเงียบกริบก่อนจะเดินไปที่ประตูใหญ่ของจวนฉู่อ๋องช้าๆ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *