หมอหญิงยอดมือสังหาร 1204 คำขอขององค์หญิงหลิงเซียง

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1204 คำขอขององค์หญิงหลิงเซียง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1204 คำขอขององค์หญิงหลิงเซียง

เซียวเชียนเหว่ยกลับถึงจวนได้ก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทันทีและอยู่ในอาการเหม่อลอยครู่ใหญ่ จูชูอวี้ที่นั่งดูบัญชีในห้องหนังสือเหลือบมองเขาด้วยความงุนงง “ท่านอ๋องเป็นอันใดไป” เมื่อนางมองเห็นสีหน้าซีดขาวและเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้าของเซียวเชียนเหว่ยแล้วก็ตกใจทันที หรือว่าถูกฝ่าบาทดุเอาอีกแล้วหรือ

เซียวเชียนเหว่ยหลับตาลงและหายใจเข้าลึกๆ จึงสงบใจลงได้ เอ่ยด้วยเสียงต่ำลึก “เมื่อครู่ในท้องพระโรง ฝ่าบาทเกือบจะแต่งตั้งฉู่อ๋องเป็นรัชทายาทแล้ว”

จูชูอวี้ตกใจทันที นิ้วมือที่กำลังถือสมุดบัญชีสั่นเทาอย่างช่วยไม่ได้ “จะเป็นไปได้อย่างไร เสด็จพ่อไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทมาก่อนเลยมิใช่หรือ” เซียวเชียนเหว่ยขบฟัน “ก็พวกอ๋องศักดินาพวกนั้นน่ะสิ! กินอิ่มแล้วคงว่างมากไม่มีอันใดทำกระมัง ไยไม่แต่งตั้งรัชทายาท บ้านเมืองจะไม่มั่นคง!” จูชูอวี้ขมวดคิ้ว “ต่อให้เป็นอย่างนั้น ในที่ประชุม…” ช่วงนี้ใช่ว่าพวกเขาจะทำงานได้ไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย เทียบกับฉู่อ๋องที่สูงส่งจนไม่สามารถจะอาศัยเกาะบารมีได้แล้ว เจิ้งอ๋องเข้าถึงได้ง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเว่ยจวินมั่วจะดำรงตำแหน่งสำคัญกันทั้งนั้น แต่พวกเขาก็ยังอายุน้อยและไม่ได้มีจำนวนมากนัก

เซียวเชียนเหว่ยเอ่ย “เจ้ายังไม่รู้จักนิสัยของเสด็จพ่ออีกหรือ การบังคับให้พระองค์ทำอันใดที่ไม่เต็มพระทัยกลับจะให้ผลตรงข้าม พวกงี่เง่าพวกนั้นนึกว่าจะสามารถเกาะตามกระแสไปได้ แต่กลับไม่รู้ว่าถ้าพวกเขายิ่งส่งเสียงดังเท่าไร เสด็จพ่อก็จะยิ่งรู้สึกรำคาญมากเท่านั้น หากข้าไม่ทำอันใดลงไปเสียก่อน เสด็จพ่อก็คงจะประกาศราชโองการออกมาแล้ว”

จูชูอวี้ได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกตกใจอยู่ลึกๆ และโล่งใจไปในเวลาเดียวกัน

“เสด็จพ่อทำเช่นนี้ อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าทรงมีความคิดที่จะแต่งตั้งให้ฉู่อ๋องเป็นรัชทายาทจริงๆ” จูชูอวี้นิ่วหน้า

เซียวเชียนเหว่ยยิ้มขื่น “ข้าหรือจะไม่รู้ เพียงแต่ตอนนี้ในสายตาเสด็จพ่อก็มีแต่เขาคนเดียว พวกเราสามคนพี่น้องมีใครที่เข้าตาเสด็จพ่อบ้าง ต่อให้วันนี้เสด็จพ่อตั้งใจจะแต่งตั้งเขาจริงๆ พวกเราก็ทำอันใดไม่ได้อยู่ดี” จูชูอวี้เห็นสีหน้าท้อแท้ของเขาแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ “ท่านอ๋องยอมแพ้แล้วหรือเพคะ”

สีหน้าเซียวเชียนเหว่ยเปลี่ยนไปทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใครบอกว่าข้ายอมแพ้แล้ว หนทางยังอีกยาวไกล ใครจะแพ้หรือชนะก็ยังไม่รู้!”

จูชูอวี้จึงพยักหน้าและยิ้มออกมาได้ “ต้องอย่างนี้สิเพคะ ท่านอ๋องจะสูญเสียความมั่นใจไม่ได้ ต่อให้ฉู่อ๋องจะเก่งกาจเพียงใด แต่จุดอ่อนของเขาก็เห็นได้ชัดเจนเช่นกัน ดังนั้นคนที่ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางในราชสำนักมากกว่าก็คือท่านอ๋อง” เซียวเชียนเหว่ยค่อยมีสีหน้าดีขึ้น พยักหน้าลงน้อยๆ “พระชายาเอ่ยถูกแล้ว ข้าจะคิดเรื่องนี้ให้ดี”

จูชูอวี้ยิ้มเล็กน้อย “ท่านอ๋องดี หม่อมฉันก็ไปดีด้วยเพคะ”

เซียวเชียนเหว่ยเอ่ย “ช่างเถิด วันนี้ผ่านไปแล้วก็คงจะไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องนี้ไปสักระยะ จริงสิ การแต่งงานของพี่ใหญ่ของเจ้ากับคุณหนูลิ่นหกเป็นอย่างไรบ้าง”

จูชูอวี้หลุบตาลงท่าทางเสียดาย “ตระกูลลิ่นส่งตัวลิ่นฮั่นไปที่ตระกูลจูเมื่อผ่านปีใหม่ไปได้ไม่นาน นอกจากสินสอดทองหมั้นเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีอันใดอีก ได้ยินมาว่าตระกูลลิ่นลบชื่อลิ่นฮั่นออกจากผังตระกูลไปแล้วด้วย”

เซียวเชียนเหว่ยหรี่ตา “ตระกูลลิ่นตัดสินใจแล้วว่าไม่ต้องการบุตรสาวคนนี้อีกหรือ”

จูชูอวี้พยักหน้า “ดูท่าว่าจะเป็นเช่นนั้น เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ ผู้เฒ่าตระกูลลิ่นที่ว่ากันว่ารักใคร่เอ็นดูบุตรสาวถึงกับทอดทิ้งนางโดยไม่ลังเลได้เลยทันที”

เซียวเชียนเหว่ยแค่นเสียงหยัน “ไม่เห็นความหวังดีของผู้อื่น!”

จูชูอวี้ประคองแขนของเขาก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ท่านอ๋องอย่าได้โมโหไปเลย ตระกูลลิ่นเป็นพวกปรับตัวตามสถานการณ์ ตอนนี้พวกเขาก็ยังมีลิ่นฉังเฟิงที่มีอำนาจในราชสำนักด้วย คงยังรอให้ลิ่นฉังเฟิงกลับไปตระกูลลิ่นอยู่ พวกเขาย่อมไม่ฝักใฝ่ฝ่ายเราแน่” เซียวเชียนเหว่ยเยาะหยัน “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เปลี่ยนเจ้าบ้านคนใหม่ไปเลยดีกว่า!”

จูชูอวี้เม้มปากยิ้มทันที “ท่านอ๋องพูดถูก”

วันพระบรมราชสมภพของฮ่องเต้ใกล้เข้ามา อ๋องศักดินาจากที่ต่างๆ พาครอบครัวกลับมายังจินหลิงด้วยเช่นกัน หลายวันมานี้มีงานเลี้ยงจัดขึ้นในจินหลิงทุกวัน บรรยากาศจึงครึกครื้นมาก แค่เทียบเชิญที่ส่งไปถึงมือของหนานกงมั่วก็มีมาไม่ขาดสายแล้ว วันนี้พระชายาโจวจัดงานเลี้ยง พรุ่งนี้พระชายาคังเชิญไปดูงิ้ว มะรืนพระชายาจ้าวเชิญไปชมดอกไม้ แต่ละคนต่างมีสถานะสูงส่งกันทั้งนั้น นางจะไม่ให้เกียรติก็ไม่ได้

หนานกงมั่วเองก็รู้เรื่องที่ราชสำนักเกิดความวุ่นวายขึ้นมาเนื่องด้วยเรื่องรัชทายาท ดังนั้นเมื่อนางไปร่วมงานเลี้ยงจึงมีสายตาไม่น้อยที่คอยจับจ้องมองประเมิน และมีคนอีกมากมายหลายประเภทเข้ามาสนทนากับนางเพื่อลองเชิง ชั่วขณะนั้นแม้แต่พระชายาฉู่อ๋องที่มีสภาพจิตใจแข็งแกร่งก็ยังต้องรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและหมดแรงรับมือ นางแอบทอดถอนใจ จะตัดสินคนกันที่หน้าตาไม่ได้เลยจริงๆ ผู้สูงศักดิ์เหล่านี้แต่ละคนต่างก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ร่างกายบอบบางอ่อนแอ แต่กลับสามารถทนต่อแรงกดดันได้ดีกว่านางเสียอีก

เพราะหนานกงมั่วมัวยุ่งอยู่กับเรื่องเหล่านี้ จึงรู้สึกตกตะลึงไปเมื่อมีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าองค์หญิงหลิงเซียงขอเข้าพบ หลังจากคืนวันสิ้นปี แม้ว่านางได้พบองค์หญิงหลิงเซียงหลายครั้งในงานเลี้ยงต่างๆ แต่ทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยอันใดกัน หนานกงมั่วก็ค่อยๆ ลืมเลือนไป ไม่คิดเลยว่าองค์หญิงหลิงเซียงจะมาหานางถึงที่เช่นนี้

“เพียงองค์หญิงหลิงเซียงคนเดียวหรือ” หนานกงมั่วถาม

ชวีเหลียนซิงพยักหน้าพลางยิ้ม “เพียงองค์หญิงหลิงเซียงคนเดียวเพคะ”

หนานกงมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้น “ให้นางรอสักครู่ เดี๋ยวข้ามา”

“เพคะ พระชายา” ชวีเหลียนซิงทำความเคารพก่อนจะจากไป ตอนนี้นางเป็นคนดูแลเรื่องภายในบ้านให้กับพระชายาฉู่อ๋อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ใดๆ ก็อยู่ในการดูแลของนางทั้งสิ้น แม้ว่าจะมีเรื่องต่างๆ มากมาย แต่นางกลับดูสดใสขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ฝึกฝนอยู่ข้างกายหนานกงมั่วในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อกับผู้คนหรือการจัดการเรื่องต่างๆ ก็ยังเทียบกับสิ่งที่ชวีเหลียนซิงต้องเผชิญในเฉินโจวไม่ได้เลย ชวีเหลียนซิงรู้สึกว่าตนเองโชคดีที่ได้พบกับพระชายาฉู่อ๋องมากขึ้นทุกที การที่นางได้ใช้ความพยายามของตนเองหาเลี้ยงชีพเช่นนี้มีความสุขกว่าการแต่งงานเข้าตระกูลใหญ่เป็นฮูหยินผู้สูงส่งมากนัก แม้ว่าจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาของเว่ยจวินมั่วหลายคนต้องการจะแต่งงานกับนาง แต่พวกเขาก็ถูกชวีเหลียนซิงปฏิเสธไปโดยไม่ลังเล นางตั้งใจจะติดตามหนานกงมั่วทำหน้าที่ผู้ดูแลของตนให้ดีที่สุด

องค์หญิงหลิงเซียงกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องโถงขณะครุ่นคิดถึงเรื่องที่นางจะเอ่ยไปด้วย แต่แล้วนางก็ได้เห็นหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์สีชมพูลูกท้อก้าวเข้ามา ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายสุกใสงดงามจนนางอดประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้ ได้ยินมาว่าฉู่อ๋องไม่มีผู้หญิงอื่นนอกจากพระชายาฉู่อ๋อง แม้แต่นางข้างห้องก็ไม่มี นึกไม่ถึงเลยว่าจะยังมีผู้หญิงที่สวยสดงดงามเพียงนี้อยู่ด้วย แม้ว่าชวีเหลียนซิงจะไม่ได้มีหน้าตาที่งดงามและรัศมีอย่างพระชายาฉู่อ๋อง แต่ก็มีความสดใสและมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะวางนางไว้ตรงไหนก็สามารถทำให้ผู้หญิงคนอื่นเกิดความรู้สึกระแวงและปรปักษ์ได้ทั้งนั้น

“องค์หญิง พระชายามีงานติดพันเล็กน้อย หากมีตรงไหนที่ต้อนรับบกพร่องไปก็ต้องขออภัยด้วยเพคะ” ชวีเหลียนซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

องค์หญิงหลิงเซียงสังเกตท่าทีอ่อนหวานของนาง แม้ว่านางจะดูมีเสน่ห์ แต่คิ้วของนางกลับตั้งตรง ดูท่าว่านางจะไม่ใช่พวกอนุแน่ๆ จึงพยักหน้าน้อยๆ “ข้าต่างหากที่รบกวนพระชายา ไม่ทราบว่าแม่นางคือ…”

ชวีเหลียนซิงโค้งคารวะทันทีก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันไม่กล้ารับคำว่าแม่นางขององค์หญิง หม่อมฉันชวีเหลียนซิง เป็นผู้ดูแลจวนฉู่อ๋องเพคะ”

“ที่แท้ก็เป็นผู้ดูแลชวีนี่เอง”

องค์หญิงหลิงเซียงรู้สึกชื่นชมหนานกงมั่วจริงๆ ไม่คิดว่าชวีเหลียนซิงจะความคิดเกินเลยบ้างหรือ ถึงได้ปล่อยให้ผู้หญิงที่งดงามเช่นนี้อยู่ข้างกาย แถมยังให้ดูแลเรื่องต่างๆ ภายในจวนฉู่อ๋องอีกด้วย ไม่กลัวว่าจะถูกแว้งกัดหรือ แต่หากหนานกงมั่วใจกว้างเช่นนี้จริงๆ เรื่องนี้ก็ถือว่าดีสำหรับนาง

ชวีเหลียนซิงไม่สนใจว่าองค์หญิงหลิงเซียงกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เพียงแต่ดื่มชาและพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไปอยู่เป็นเพื่อนนางสักพัก แม้ว่าทั้งสองจะพยายามลองเชิงกันด้วยคำพูด แต่ทั้งคู่ก็ไม่ใช่ธรรมดาเลย จึงไม่มีใครล้วงถามสิ่งใดออกมาได้จนต้องเงียบไปทั้งคู่

ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นมาจากด้านนอก องค์หญิงหลิงเซียงยืนขึ้นก่อนที่หนานกงมั่วจะปรากฏตัวขึ้นที่ประตูในอาภรณ์เรียบๆ “องค์หญิงหลิงเซียง ขออภัยที่ให้รอนาน”

องค์หญิงหลิงเซียงเอ่ยด้วยรอบยิ้ม “มิกล้า ข้าต่างหากที่มารบกวนพระชายา”

“พระชายา” ชวีเหลียนซิงก้าวเข้าไปทำความเคารพ

หนานกงมั่วพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งในตำแหน่งเหนือสุด ชวีเหลียนซิงไม่ได้นั่งลงด้วย แต่กลับยืนอยู่ถัดจากหนานกงมั่วด้วยท่าทีเคารพเชื่อฟังโดยไม่ได้สูญเสียความสดใสเช่นเดียวกับในยามที่เผชิญหน้ากับองค์หญิงหลิงเซียงเมื่อครู่นี้เลย องค์หญิงหลิงเซียงเลิกคิ้วพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาเยือนอย่างกะทันหัน ความจริงคือข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับพระชายา ไม่ทราบว่า…จะขอพูดคุยกับท่านตามลำพังได้หรือไม่” นางหันไปมองชวีเหลียนซิงเพื่อส่งสัญญาณว่าตนต้องการจะเอ่ยกับหนานกงมั่วตามลำพัง

หนานกงมั่วพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นชวีเหลียนซิงก็ยอบกายลงก่อนจะขอตัวออกไป

องค์หญิงหลิงเซียงถอนใจขณะที่มองนางเดินออกไป “พระชายามีผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถมากมาย ช่างมีบุญจริงๆ”

หนานกงมั่วยิ้มเบาๆ แล้วจึงเอ่ย “องค์หญิงชมเกินไปแล้ว ว่าแต่องค์หญิงมีเรื่องใดที่ต้องการคุยกับหม่อมฉันตามลำพังหรือ”

องค์หญิงหลิงเซียงมองหน้านาง “ข้าคิดว่าพระชายาคงทราบแล้วว่าหนานเย่ว์และต้าเซี่ยต้องการให้มีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์” หนานกงมั่วพยักหน้าเล็กน้อยแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ องค์หญิงหลิงเซียงถอนหายใจเบาๆ “ข้าเองก็เกรงใจที่มาที่นี่ในวันนี้ ข้ามีคำขอบางอย่าง”

หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับคำขอขององค์หญิงหลิงเซียงอยู่บ้าง

องค์หญิงหลิงเซียงถอนหายใจ “ฮ่องเต้ต้าเซี่ยมีพระราชโอรสเพียงสี่องค์ ดังนั้นราชสำนักจึงมีความมั่นคง แต่กลับไม่รู้ว่าหนานเย่ว์ของเรา…มีองค์หญิงถึงสิบกว่าองค์ และข้าก็อยู่ในลำดับที่สิบเอ็ด องค์หญิงใหญ่มีอายุมากกว่าข้าถึงยี่สิบปี ตอนนี้นางเป็นฮูหยินของเผ่าที่ใหญ่ที่สุดของหนานเย่ว์ คนที่เหลือก็ไม่ต่างอันใดกันมากนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพี่ชายและน้องชายอีกสิบกว่าคนเลย…”

หนานกงมั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเงียบ

องค์หญิงหลิงเซียงเอ่ยต่อ “เดิมที่เสด็จพ่อตั้งใจที่จะให้ข้าแต่งกับแม่ทัพหนานเย่ว์ แต่ข้าขอแต่งมาที่ต้าเซี่ย ความจริงคือข้าอยากหาทางรอดให้ตัวเอง แม่ทัพหนานเย่ว์มีกำลังทหารมากมาย เสด็จพี่ทั้งหลายมีหรือจะยอมให้ข้ากุมอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้”

หนานกงมั่วพยักหน้า “หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์หญิงหนานเย่ว์สามารถกุมอำนาจได้เช่นกัน”

องค์หญิงหลิงเซียงยิ้ม “ถูกต้อง แม้ว่าหนานเย่ว์จะไม่เคยมีผู้นำที่เป็นผู้หญิงมาก่อนก็จริง แต่ก็ไม่ได้จำกัดอำนาจขององค์หญิง ขอแค่ต้องมีความสามารถเท่านั้นเอง เพราะอย่างนี้การต่อสู้แย่งชิงภายในวังหนานเย่ว์จึงรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เสด็จพ่อทรงโปรดปรานข้ามาก แต่น่าเสียดายที่ข้าอายุยังน้อย พอข้าโตขึ้น…ทุกคนก็จะมองเห็นข้าเป็นหนามยอกอก คงยากที่จะเอาชีวิตรอดได้ ไม่สู้ข้าออกมาจากหนานเย่ว์เพื่อหาความสงบสุขดีกว่า”

หนานกงมั่วหันไปมององค์หญิงหลิงเซียงก่อนจะเอ่ยถาม “เช่นนั้นแล้วองค์หญิงหลิงเซียงมาที่จวนฉู่อ๋องด้วยเรื่องอันใด”

องค์หญิงหลิงเซียงเอ่ย “ข้าหวังว่าพระชายาจะยอมรับข้าไว้…”

องค์หญิงหลิงเซียงรีบเอ่ยขึ้นทีเมื่อเห็นว่าสีหน้าของหนานกงมั่วอึมครึมลงไปเล็กน้อย “พระชายาอย่าได้เข้าใจข้าผิด หลิงเซียงไม่ได้มีความต้องการต่อตัวฉู่อ๋อง ข้าต้องการให้พระชายารับข้าไว้ในฐานะชายารองคนหนึ่งเท่านั้น ให้ข้าได้มีที่อยู่อย่างสงบในต้าเซี่ย สิบปีให้หลัง เมื่อหนานเย่ว์ไม่สนใจความเคลื่อนไหวของข้าแล้ว ข้าก็จะไปจากต้าเซี่ย ในช่วงระหว่างนี้ข้ารับรองว่าข้าจะไม่คิดอันใดที่ไม่สมควรต่อฉู่อ๋องเลย”

หนานกงมั่วมองประเมินองค์หญิงหลิงเซียงด้วยความรู้สึกประหลาดใจ คำพูดขององค์หญิงหนานเย่ว์ท่านนี้ทำให้นางรู้สึกสนใจ

“พระชายาไม่เชื่อข้าหรือ” องค์หญิงหลิงเซียงขมวดคิ้วถาม

หนานกงมั่วส่ายหน้า “ไม่ใช่ หม่อมฉันเพียงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น”

องค์หญิงหลิงเซียงยิ้มขื่น “ทำให้พระชายารู้สึกขบขันแล้ว ทั่วทั้งต้าเซี่ย…นอกจากการเข้าวังแล้วก็น่าจะมีเพียงพระชายาฉู่อ๋องเท่านั้นที่สามารถหาที่อยู่ที่สงบให้ข้าได้ หากพระชายารับปากได้ก็จะเป็นพระคุณกับข้ามาก หลิงเซียงจะไม่ลืมเลย”

หนานกงมั่วหลุบตาลงท่าทางครุ่นคิด องค์หญิงหลิงเซียงเองก็ไม่ได้ร้อนใจ หนานกงมั่วคงไม่สามารถตัดสินใจเรื่องแบบนี้ได้ในทันที แต่นางก็ยังคิดว่าตนเองมีโอกาส “ข้าได้ยินมาว่า…ขุนนางในราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์ที่เรือนหลังจวนฉู๋อ๋องเงียบเหงา หากพระชายาสามารถช่วยให้หลิงเซียงสมความปรารถนาได้ เรื่องนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายใช่หรือไม่”

หนานกงมั่วเงยหน้า หลังจากที่นางมองประเมินองค์หญิงหลิงเซียงอยู่นานก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ต้องขออภัยด้วย หม่อมฉันคงไม่สามารถช่วยองค์หญิงได้”

องค์หญิงหลิงเซียงอดตกตะลึงไม่ได้ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายาฉู่อ๋อง…จึงปฏิเสธนางได้อย่างเด็ดขาดเช่นนี้

“ทำไมหรือ พระชายา ข้าไม่ได้…”

หนานกงมั่วยกมือขึ้นเพื่อหยุดสิ่งที่นางกำลังจะเอ่ย “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการที่หม่อมฉันจะเชื่อหรือไม่และการที่องค์หญิงจะคิดอันใดกับฉู่อ๋องหรือไม่เลย” องค์หญิงหลิงเซียงอึ้งงันไปทันที “แล้ว…มันเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า”

หนานกงมั่วเอ่ย “จวนฉู่อ๋อง…ไม่รับใครทั้งนั้น”

“จะเป็นไปได้เช่นไร!” องค์หญิงหลิงเซียงเอ่ย “พระชายาคิดว่า…เรื่องแบบนี้เป็นไปได้จริงหรือ” แม้แต่ที่หนานเย่ว์ที่สถานะของผู้หญิงสูงกว่าที่ต้าเซี่ย แต่ก็ยังมีผู้ชายจำนวนมากที่มีภรรยาและอนุหลายคน ราชวงศ์หนานเย่ว์ยิ่งมีจำนวนพระชายาและพระสนมมากมายด้วยกลัวว่าจะมีไม่พอไปเสียอีก ต้าเซี่ยมีพิธีรีตองที่เคร่งครัดยิ่งกว่าหนานเย่ว์ แถมต้าเซี่ยก็ยังมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าหนานเย่ว์มากนัก องค์ชายใหญ่ของต้าเซี่ยจะมีพระชายาเอกเพียงคนเดียวโดยไม่มีอนุเลยได้อย่างไร แม้ว่าราชวงศ์และข้าราชบริพารในราชสำนักอาจจะทนได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่อาจจะทนได้ตลอดไปอยู่ดี

องค์หญิงหลิงเซียงมองหนานกงมั่วด้วยสีหน้าแปลกๆ “หรือว่าพระชายาเชื่อจริงๆ ว่าฉู่อ๋องจะรักเดียวใจเดียวต่อท่านไปตลอดชีวิตหรือ”

องค์หญิงหลิงเซียงรู้สึกว่าผู้หญิงที่สวมอาภรณ์เรียบๆ ที่นั่งอยู่ตรงหน้านางนั้นน่าขันเล็กน้อย นางได้ยินมาว่าพระชายาฉู่อ๋องแห่งต้าเซี่ยนั้นยอดเยี่ยมอย่างนั้นอย่างนี้ ที่แท้นางก็เป็นเพียงผู้หญิงไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ

หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นราวกับว่านางมองไม่เห็นถึงสายตาไม่เห็นด้วยที่สะท้อนอยู่ในดวงตาขององค์หญิงหลิงเซียง ก่อนจะเอ่ยเรียบๆ “เชื่อหรือไม่นั้นไม่สำคัญหรอก จะรักเดียวใจเดียวไปตลอดชีวิตได้หรือไม่ก็ต้องอยู่ด้วยกันไปจนสิ้นลมหายใจจึงจะรู้ได้มิใช่หรือ”

องค์หญิงหลิงเซียงถอนใจด้วยความโล่งอก ที่แท้นางก็ไม่ได้ซื่อขนาดนั้นจริงๆ

“ทั้งที่พระชายารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วเหตุใดจึงต้อง…”

หนานกงมั่วยิ้ม “แต่ว่าตอนนี้หม่อมฉันเชื่อเขาจริงๆ”

“…”

หลังจากเงียบไปนาน องค์หญิงหลิงเซียงก็ถอนหายใจอย่างจนใจแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อพระชายาเชื่อในตัวฉู่อ๋องแล้ว เหตุใดจึงไม่สามารถช่วยข้าได้เล่า ข้าย่อมไม่หักหลังพระชายาและฉู่อ๋องแน่นอน”

หนานกงมั่วยิ้มอย่างเย็นชา “เพราะว่าหม่อมฉันไม่ชอบให้ใครก็ตามมาติดป้ายชื่อว่าเป็นของเขา ต่อให้รู้ว่าเป็นเรื่องโกหกก็ไม่ได้ อีกอย่าง…องค์หญิงเพียงต้องการจะหาที่อยู่สงบๆ จริงหรือ หรือว่าในสายตาขององค์หญิงแล้ว หม่อมฉันเป็นคนหูเบาเชื่อคนง่ายหรือ”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *