หมอหญิงยอดมือสังหาร 1214 บุญคุณช่วยชีวิตทดแทนดุจสายธารอย่างนั้นหรือ

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1214 บุญคุณช่วยชีวิตทดแทนดุจสายธารอย่างนั้นหรือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1214 บุญคุณช่วยชีวิตทดแทนดุจสายธารอย่างนั้นหรือ

หลุบตามองชายฉกรรจ์สองคนที่นอนอยู่บนพื้น หนานกงมั่วถอนหายใจยาว “ไยอายุเพียงนี้แล้ว ทำข้อตกลงยังไม่ซื่อสัตย์เพียงนี้หรือ”

ชายสองคนจ้องเขม็งไปยังสตรีที่ดูไม่พอใจตรงหน้า ดวงตาแทบจะพ่นพิษออกมาได้แล้ว หนานกงมั่วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าชายฉกรรจ์ผู้นั้นที่ดูเป็นหัวหน้า ยกเท้าเกี่ยวถุงผ้าไหมใบเล็กประณีตที่เดิมยกให้อีกฝ่าย มันลอยขึ้นมาตกลงในมือของหนานกงมั่วอีกครั้ง หนานกงมั่วโยนกลับไปกระทบหน้าอกคนชายหนุ่มผู้นั้น คนหนุ่มยืนถือของในมือนิ่งอึ้งอยู่อย่างนั้น ไม่ทันได้สติกลับคืนมา

หนานกงมั่วก็ไม่สนใจก้มลงไปมองคนที่จ้องเขม็งมายังตนด้วยความไม่พอใจ เลิกคิ้วพลางเอ่ย “อย่ามองข้าเยี่ยงนี้ หากเมื่อครู่ถูกเจ้าฟันไปแล้ว คนที่น่าเวทนาอยู่ในตอนนี้มิใช่ข้าหรอกหรือ ไม่สิ คงจะน่าเวทนามากกว่าเจ้าในยามนี้เสียอีก ตั้งแต่แรกพวกเจ้าก็ไม่คิดจะไว้ชีวิตพวกข้าสองคนกระมัง เพียงแต่พบว่าข้ามีวรยุทธ์จึงต้องเปลี่ยนวิธีการ”

“เจ้าเป็นใครกันแน่”

“เจ้าลองเดาดูสิ” หนานกงมั่วยิ้มหวาน “ช่วงนี้กำลังเบื่อ ไม่คิดว่าเพียงออกมาเดินเล่นก็เจอเรื่องน่าสนุกเช่นนี้ มา บอกข้ามาว่าเจ้านายของเจ้าคือผู้ใด และให้ข้าได้รู้ด้วยว่าผู้ใดช่างใหญ่โต กล้าฆ่าชิงทรัพย์ภายในเมืองจินหลิง”

ทั้งสองกัดฟันไม่เอ่ยวาจา หนานกงมั่วก็ไม่สนใจ มองพิจารณาทั้งสองคนพลางเอ่ยเนิบช้า “ดูฝีมือพวกเจ้าแม้แต่ขั้นสองยังไม่อาจเรียกได้ คงจะไม่ได้มาจากตระกูลยิ่งใหญ่อันใด กล้าจองหองในเมืองจินหลิงเพียงนี้ ไม่ได้มีที่พึ่งพิงใหญ่โตก็คงสมองมีปัญหาแล้ว ด้วยฝีมือของพวกเจ้า ข้าไม่คิดว่าสมองของพวกเจ้าจะดีกว่าฝีมือแต่อย่างใด ดังนั้น…คนไม่ใช่ตระกูลเก่งกาจอันใด สืบหาได้ง่ายๆ คงไม่ยากหรอก”

“เจ้า”

หนานกงมั่วสงสัย “หรือว่าข้าเอ่ยไม่ถูกหรือ”

เอ่ยจบก็ไม่สนใจคนเหล่านี้อีก กวักมือไปยังคนหนุ่มที่ซ่อนอยู่ในมุมมืด เอ่ย “บัณฑิตตรงนั้น เจ้าอยู่ที่นี่รอหยาอี่จากเขตอิ้งเทียนมา หรือจะไปด้วยกัน”

ในที่สุดคนหนุ่มผู้นั้นก็ได้สติกลับคืนมาจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปกะทันหัน มองสองคนเบื้องล่าง เอ่ยถามว่า “สิ่งที่แม่นางผู้นี้เอ่ยเป็นความจริงหรือ พวกเจ้า…ไม่เพียงคิดแย่งชิงของ ยังคิดจะเอาชีวิตข้าด้วยหรือ”

แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่มีทางตอบคำถาม ความจริงเขาก็ไม่ได้คิดจะเอาคำตอบ ร่างกายที่เดิมก็ไม่ได้แข็งแรงโอนเอนไปมา ใบหน้าที่ซีดขาวไม่น่ามองขึ้นมา เนิ่นนานจากนั้นจึงโยนถุงผ้าไหมในมือกลับไปให้หนานกงมั่วอีกครั้ง ก้มลงไปเอ่ยกับคนบนพื้น “ของข้าให้คนอื่นไปแล้ว หากยังมีโอกาสพบเจ้านายของเจ้าอีกครั้ง บอกกับเขาว่าเรื่องในครั้งนั้นให้มันจบสิ้นไป ข้าเซ่าฟั่งจะไม่ไปรบกวนอีก”

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เปิดถุงผ้าไหมออกด้วยมือข้างเดียว ด้านในกลับเป็นหยกหนึ่งชิ้น และยังเป็นชิ้นหยกที่มีเพียงครึ่งเดียว คนหนุ่มผู้นี้ไม่ได้โกหก หยกชิ้นนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าของมีค่า และไม่ใช่ของล้ำค่าอันใด โจรธรรมดาทั่วไปอาจคิดว่ามีค่า แต่สำหรับหนานกงมั่วกลับไม่นับประสาอันใด อย่างมากก็ขายได้สามร้อยตำลึง

เพื่อของเล่นชิ้นนี้ สองคนนี้ไม่เพียงยอมทุ่มเทเงินกว่านับพันตำลึงยังคิดฆ่าคิดปิดปากด้วยหรือ

หนานกงมั่วเล่นชิ้นหยกในมือด้วยความสนอกสนใจ เลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “ของหมั้นหมาย หรือว่าของตอบแทนบุญคุณหรือ”

คนหนุ่มยิ้มเจื่อนไม่เอ่ยวาจา หนานกงมั่วหยิบชิ้นหยกขึ้นมาส่องกับแสงจันทร์สำรวจดูให้ละเอียดอีกครั้ง ในที่สุดก็มองเห็นตัวอักษรจ้าวที่เขียนอยู่ด้านล่าง หนานกงมั่วครุ่นคิด “เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อเซ่าฟั่งหรือ เซ่าฟั่งผู้มีความสามารถแห่งชวีโจวน่ะหรือ ผู้ที่เป็นที่นิยมในประกาศรายชื่อการสอบขุนนาง ควรจะมีอนาคตที่สดใสสิ ไยจึง…ข้านึกขึ้นได้แล้ว ได้ยินมาว่าบรรพบุรุษของใต้เท้าจ้าวเฟิ่งเจิ้งต้าฟู ดูเหมือนจะเป็นคนชวีโจวเช่นกันหรือไม่”

ฟังคำของหนานกงมั่วแล้ว ไม่เพียงคนหนุ่มทว่าสองคนที่นอนอยู่บนพื้นเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เห็นสีหน้าเช่นนี้ของพวกเขาหนานกงมั่วก็รู้ว่าตนเองทายถูกแล้ว ทันใดนั้นในสมองพลันเกิดจินตนาการเกินจริงมากมายหลายเรื่อง เซ่าฟั่งมองสตรีตรงหน้าด้วยสีหน้าระแวดระวังขึ้นมา เอ่ยถาม “แม่นาง…เป็นผู้ใดกันแน่”

หนานกงมั่วกลับไม่ปิดบัง เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “อ้อ ข้ามีแซ่สองพยางค์หนานกง ชื่อตัวอักษรมั่วตัวเดียว”

สองคนที่นอนอยู่บนพื้นแทบกระอักเลือดออกมา หากท่านบอกตั้งแต่แรกว่าท่านคือพระชายาฉู่อ๋อง ต่อให้พวกเรามีความกล้านับสิบก็ไม่มีทางแตะต้องท่านหรอก นี่ไม่ใช่กับดักหรืออย่างไร

เซ่าฟั่งนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ เอ่ย “ที่แท้ก็เป็นพระชายาฉู่อ๋อง โชคดีที่ได้พบเจอพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงมั่วยิ้มอ่อนโยน “ได้ยินว่า บุญคุณช่วยชีวิตทดแทนดุจสายน้ำใช่หรือไม่”

เซ่าฟั่งนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง ยกมือขึ้นประสานอย่างไม่มีทางเลี่ยง เอ่ย “แล้วแต่พระชายาจะรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงมั่วมองพิจารณาเขาชั่วครู่ เอ่ย “จวนของข้าขาดผู้ดูแลหนึ่งคน เจ้าจะมาลองดูหรือไม่”

สีหน้าของเซ่าฟั่งพลันเปลี่ยน เงียบไปชั่วครู่ เอ่ย “พระชายาเห็นความสำคัญของกระหม่อม แน่นอนว่าเป็นเกียรติของเซ่าฟั่งแล้ว ขอยอมเป็นม้ารับใช้” ได้ยินเช่นนั้น หนานกงมั่วจึงมองพิจารณาเขาด้วยความตกใจ ต้องรู้ว่าเมื่อเขาตอบรับคำเชิญของหนานกงมั่วเช่นนี้ เท่ากับว่าเขาละทิ้งโอกาสเข้ารับการเป็นขุนนาง ว่ากันว่าขุนนางขั้นสามหน้าประตูอัครเสนาบดี แต่หากมีโอกาสจริงๆ ใครจะยอมไปเฝ้าประตูใหญ่ให้กับเสนาบดีกันเล่า ยิ่งไปกว่านั้นหากคนตรงหน้าคือเซ่าฟั่งจริงๆ เช่นนั้นก็คือคนเก่งเมืองชวีโจว ด้วยชื่อเสียงของเขาเป็นได้ถึงบุตรเขยของขุนนางใหญ่ แต่เขากลับจะมาเป็นผู้ดูแลไร้ชื่อเสียงอย่างไม่มีมูลเหตุ ความแตกต่างนี้ไม่ใช่ใครจะรับได้

เซ่าฟั่งเอ่ย “ชีวิตของกระหม่อมเป็นพระชายาที่ช่วยเอาไว้ หากไม่มีพระชายายื่นมือมาช่วยเซ่าฟั่งก็คงตายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงมั่วหันกลับไปมองเขา พยักหน้าพลางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตามข้ามาเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เซ่าฟั่งเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม เดินตามหลังหนานกงมั่วอย่างนอบน้อมราวกับเป็นลูกน้องของหนานกงมั่วแล้วจริงๆ เมื่อครั้งเดินออกจากตรอกเล็กๆ แม้แต่มองก็ไม่หันกลับไปมองสองคนที่นอนอยู่ในตรอกเล็ก

ออกมาจากตรอกเล็กมืด เสียงดังจอแจและแสงไฟจากโคมไฟตะเกียงสาดส่องสว่างไสวเข้ามายังใบหูและสายตาของทั้งสอง หนานกงมั่วหรี่ตามองความครื้นเครงตรงหน้า ผู้คนสนุกสนานไร้ความกังวลเหล่านี้คงคิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่ในซอยเล็กๆ ด้านหลังเกือบเกิดเรื่องเศร้าน่าหวาดกลัวขึ้นแล้ว นักปราชญ์ผู้หนึ่งเกือบเอาชีวิตไปทิ้งในสถานที่มืดและสกปรกนี้แล้ว

นางหันกลับไปมองเซ่าฟั่งเล็กน้อย “รู้สึกเหมือนได้กลับมาบนโลกอีกครั้งใช่หรือไม่”

เซ่าฟั่งกระตุกมุมปากใบหน้าสับสนทว่าไม่ได้มีรอยยิ้มอันใด หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เสียเวลาเพราะเจ้าไปไม่น้อย พวกเรารีบไปเดินเล่นเถิด”

เซ่าฟั่งเอ่ยเสียงเบา “งานเทศกาลร้อยเผ่ามีทั้งหมดสามวัน พระชายาไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงมั่วเอ่ย “ไหนเลยจะมีเวลาว่าง วันมะรืนก็เป็นวันฉลองพระบรมราชสมภพแล้ว พรุ่งนี้เกรงว่าคงไม่ว่าง”

“ฝั่งนั้นคืออันใด” หนานกงมั่วหรี่ตามองไปยังที่ไกลๆ มองพื้นที่มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ราวกับมีไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เซ่าฟั่งกลับไม่ตื่นตกใจ ครางตอบรับในลำคอ เอ่ย “คงมีการแสดงระบำกองไฟกระมัง พระชายาลองฟัง มีเสียงดนตรีพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงมั่วมองเขา “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร”

เซ่าฟั่งเอ่ยเสียงเรียบ “แม้ชวีโจวจะไม่ใช่เขตชายแดน แต่ก็นับว่าใกล้ เมื่อครั้งยังเด็กกระหม่อมเคยติดตามท่านพ่อไปหลายแห่ง ชนเผ่าต่างๆ ตามเขตชายแดนต่างก็ชื่นชอบการร้องเล่นเต้นรำ เมื่อถึงยามเทศกาลก็จะจุดกองไฟ ชายหญิงไม่แบ่งแยกร่วมกันร้องเล่นเต้นรำ”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เราไปดูกันเถิด” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อผ่านลานขนาดใหญ่ที่มีผู้คนมากมาย พื้นที่ลานกว้างฝั่งมุมตะวันออกเฉียงใต้มีกองเพลิงใหญ่ลุกโชน ชายหญิงสวมอาภรณ์เสื้อผ้าต่างๆ นานาล้อมกันเป็นวงกลม เต้นรำไปตามเสียงดนตรีบรรเลงของตนเอง ดูออกว่าไม่ใช่ชนเผ่าเดียวกันและกระทั่งไม่ใช่แคว้นเดียวกัน ยามนี้กลับมีความสุขร่วมกัน เพียงแต่ผู้คนในชุดจงหยวนน้อยนักจะเข้าร่วมด้วย ส่วนใหญ่มีเพียงมาชื่นชมอยู่รอบข้างเท่านั้น เมื่อเทียบกับผู้คนที่กำลังกระตืนรือร้นเหล่านี้ คนจงหยวนที่ได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมต่างๆ กลับราวกับถูกควบคุมจำกัดเอาไว้

ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ คนที่สะดุดตาที่สุดคือองคหญิงหลิงเซียงที่อยู่ในอาภรณ์กระโปรงสีแดงที่อยู่รอบๆ กองไฟ ย่างเท้าแผ่วเบา อาภรณ์สีแดงของนางพริ้วไหวไปตามการขยับตัวราวกับผีเสื้อที่กำลังเริงระบำอยู่ใต้แสงไฟ แสงไฟสาดส่องให้ใบหน้างามยิ่งแดงระเรื่องดงาม ดวงตาราวกับดวงดาว ใบหน้าสวยเป็นที่น่าหลงใหล

“อู๋สยา” เสียงทุ้มต่ำดังเข้าหูหนานกงมั่วมา หนานกงมั่วมองตามเสียงไปพลันมองเห็นเว่ยจวินมั่วยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนกำลังมองมาที่ตน ตรงหน้าเว่ยจวินมั่วยังมีฮ่องเต้ไท่ชูที่ดูสนอกสนใจและเฉินอวี้ เซวียเจินที่มีท่าทีสบายๆ ยืนอยู่ด้านข้าง รวมไปถึงเหล่าเซียวเชียนชื่อที่ไม่รู้ทำไมมาอยู่ด้วยกัน ต่างก็อยู่กันครบ เหมือนนางที่แตกต่างอยู่เพียงผู้เดียว หนานกงมั่วยกยิ้มขึ้นมา โบกมือให้ฝั่งนั้นและเดินเข้าไป

“อู๋สยา”

เว่ยจวินมั่วยื่นมือมากุมมือหนานกงมั่ว ดวงตาสีม่วงกวาดตามองไปยังเซ่าฟั่งช้าๆ สบเข้ากับดวงตาสีม่วง เซ่าฟั่งก็รู้ถึงตัวตนของคนตรงหน้า ยกมือขึ้นประสานอยากคารวะทว่าพบว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยจึงนิ่งค้าง หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “อยู่ข้างนอกไม่ต้องมากพิธี”

ฮ่องเต้ไท่ชูได้ยินเสียงจากฝั่งนี้ จึงมองมาด้วยความสงสัย “เจ้ายังมาถึงที่นี่ได้ นี่คือ…”

หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปัญญาชนอ่อนแอที่ไม่ได้ตั้งใจช่วยมาเพคะ”

หนานกงมั่วไม่ได้แนะนำ ฮ่องเต้ไท่ชูเองก็ไม่สนใจ มองฝุ่นที่ไหล่และชายเสื้อของเซ่าฟั่ง เอ่ย “ปัญญาชนส่วนใหญ่ก็ไม่มีกำลัง เพียงแต่…เมืองจินหลิงยังมีใครกล้าปล้นกันกลางถนนด้วยหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนยังนอนอยู่ในตรอกเล็กๆ หม่อมฉันให้คนของเขตอิ้งเทียนไปจับแล้วเพคะ” ฮ่องเต้ไท่ชูพยักหน้าไม่สนใจเรื่องนี้อีก เห็นว่าหนานกงมั่วไม่คิดแนะนำตน เซ่าฟั่งเองก็ไม่เป็นที่สะดุดตานักเพียงยืนเงียบๆ แฝงตัวอยู่กับผู้คนด้านหลัง เดิมทีเขาก็เป็นเพียงบัณฑิตที่ไม่สะดุดตาเท่านั้น เพียงแต่ติดตามหนานกงมั่วมาจึงถูกเอ่ยถึงเพียงประโยคสองประโยคเท่านั้น ยามนี้ไม่มีใครสนใจเขา แน่นอนว่าเขาจึงทำให้คนลืมว่าเขามีตัวตนได้อย่างง่ายดาย

หนานกงมั่วยืนอยู่ด้านข้างเว่ยจวินมั่ว เอ่ยเสียงเบา “ไยพวกท่านจึงมาอยู่ที่นี่”

เว่ยจวินมั่วมองฮ่องเต้ไท่ชูเล็กน้อยไม่เอ่ยสิ่งใด หนานกงมั่วเข้าใจทันใด คงเพราะฮ่องเต้ไท่ชูอยากมีความสุขไปพร้อมกับราษฎร เมื่อเทียบกับการเบียดเสียดผู้คนไปซื้อของ แน่นอนมิสู้อยู่ชมการร้องเล่นเต้นรำอยู่ที่นี่ อย่างไรสินค้าที่ขายต่อให้แปลกใหม่ แต่คุณภาพของสิ่งที่ถูกส่งมาถวายย่อมดีกว่า

ข้างกองไฟ องค์หญิงหลิงเซียงที่มองเห็นเหล่าหนานกงมั่วที่เพิ่งมาถึง หยุดเต้นรำชั่วครู่สาวเท้าเดินเข้ามาหา เดิมทีนางก็เป็นที่ดึงดูดเมื่อนางเคลื่อนตัวมาฝั่งนี้แน่นอนว่าสายตาของผู้คนก็มองตามมาด้วย องค์หญิงหลิงเซียงเดินมาใกล้แล้วจึงเห็นว่าฮ่องเต้ไท่ชูเองก็อยู่ด้วย ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ย่อตัวทำความเคารพฮ่องเต้ไท่ชูเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยกับหนานกงมั่วด้วยรอยยิ้ม “ไม่คิดว่าจะเจอทั้งสองท่านอยู่ที่นี่”

หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “หม่อมฉันรบกวนความสนุกขององค์หญิงหรือไม่”

องค์หญิงหลิงเซียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้เยี่ยงไร การเต้นรำทำเพลงแน่นอนว่าคนยิ่งเยอะก็ยิ่งดี พระชายาทั้งสามจะมาร่วมด้วยหรือไม่”

ซุนเหยียนเอ๋อร์ขยับเข้าใกล้เซียวเชียนจย่ง ใบหน้างามมีแววลำบากใจ นางเติบโตมาเป็นคุณหนูผู้อยู่ในกฎมาตลอดตั้งแต่เด็ก การเต้นรำท่ามกลางผู้คนนับเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง จูชูอวี้เพียงยิ้มไม่เอ่ยวาจา นางไม่รังเกียจหากต้องเต้นรำ แต่นางต้องสนใจความรู้สึกของฮ่องเต้ไท่ชู ยิ่งเข้าใจหลักการเลี่ยงจุดอ่อนเสริมจุดแข็งเป็นอย่างดี สตรีชาวจงหยวนไม่ว่านิสัยเป็นอย่างไร ล้วนไม่เคยเรียนการเต้น ประลองการเต้นกับองค์หญิงแห่งหนานเย่ว์ในเวลานี้ ต่อให้ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวก็ไม่ใช่การเลือกที่ฉลาดอย่างแน่นอน

จูชูอวี้มองไปยังหนานกงมั่ว แสดงท่าทีอย่างชัดเจน ท่านคือพี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราฟังท่านเพคะ

หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “ช่างเถิด มีองค์หญิงหลิงเซียงอยู่ พวกเราจะเป็นตัวตลกเสียเปล่า”

องค์หญิงหลิงเซียงยิ้ม “อย่าสิ เวลาเช่นนี้ควรกินดื่มอย่างมีความสุข ร้องเล่นเต้นรำมิใช่หรือ ยืนมองอยู่ที่นี่จะสนุกอันใด ท่านดูพวกเขาสิ มีความสุขใช่หรือไม่” องค์หญิงหลิงเซียงชี้ไป เห็นได้ว่ามีหลายคนมือเท้าแข็ง ท่าทางที่เต้นรำออกมาแม้ไม่เรียกว่างดงาม แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

องค์หญิงหลิงเซียงจูงมือหนานกงมั่ว เอ่ย “เจ้าดูสิ ทุกคนต่างเต้นรำอย่างมีความสุข เมื่อครู่ข้ามองเห็นองค์หญิงตงจู มีเพียงคนจงหยวนอย่างพวกท่านที่ทำเพียงมอง ทำให้คนอื่นเขินอายแล้ว พวกท่านไม่เบื่อหรือ อืม…ท่านเซียว ท่านว่าใช่หรือไม่”

ฮ่องเต้ไท่ซูเลิกคิ้วเล็กน้อย มองไปยังองค์หญิงหลิงเซียงพยักหน้าเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเอ่ยมีเหตุผล อู๋สยา หากพวกเจ้าสนใจก็ไปเล่นเถิด ไม่ต้องสนใจคนแก่อย่างพวกข้า”

ฮ่องเต้ไท่ชูอยู่เขตชายแดนมานานหลายปี ตัวเขาก็ไม่ใช่คนเคร่งในกฎอันใด สำหรับสิ่งที่คนอื่นให้ความสำคัญเหล่านั้นยิ่งไม่สนใจ ยิ่งไปกว่านั้นงานเลี้ยงเช่นนี้เป็นความสุขของประชาชนไม่มีอันใดไม่ดี

เมื่อฟังคำตอบรับจากฮอ่งเต้ไท่ชู องค์หญิงหลิงเซียงพลันดีใจขึ้นมาไม่สนใจว่าหนานกงมั่วยังไม่ตอบรับก็จูงมือเข้าไปยังกลุ่มคนเต้นรำ มือข้างที่ถูกนางจับจูงของหนานกงมั่วพลิกขึ้นจับเข้าที่ข้อมือของนาง ดวงตาขององค์หญิงหลิงเซียงวาวขึ้น ประมือกัน ชั่วพริบตาทั้งสองก็ผ่านไปกว่าสิบกว่ากระบวนท่าเงียบๆ สุดท้ายเป็นหนานกงมั่วที่ฝีมือสูงกว่าจับยึดมือขององค์หญิงหลิงเซียงเอาไว้ได้

เพียงมองก็รู้ว่าองค์หญิงหลิงเซียงผิดหวังเล็กน้อย ทว่าเห็นว่าองค์หญิงตงจูเองก็กำลังมองมาทางพวกนาง จึงโบกมือตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันกลับมาหาหนานกงมั่ว หนานกงมั่วจนปัญญา หากให้องค์หญิงตงจูมาทางนี้ ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน หากฮ่องเต้ไท่ชูไม่อยู่ด้วยคงไม่เป็นไร อย่างไรนางก็หน้าด้านไม่กลัวถูกคนมอง แต่ว่าฮ่องเต้ไท่ชูอยู่ที่นี่ มีคนสนใจมากเกินไปก็ไม่ดี จึงทำได้เพียงหันไปเอ่ยกับจูชูอวี้และซุนเหยียนเอ๋อร์ “น้องสะใภ้ทั้งสอง พวกเราไปเล่นด้วยกันเถิด”

องค์หญิงหลิงเซียงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “เยี่ยม คนยิ่งเยอะยิ่งดี”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *