หมอหญิงยอดมือสังหาร 1220 กลับตระกูลลิ่นอีกครั้ง

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1220 กลับตระกูลลิ่นอีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1220 กลับตระกูลลิ่นอีกครั้ง

คุณชายฉังเฟิงมาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูใหญ่จวนตระกูลลิ่น ทำให้ผู้คนต้องตกใจจนอ้าปากค้างอยู่ไม่น้อย

“คุณ…คุณ คุณ…” คนเฝ้าประตูเอ่ยอึกอักอยู่เนิ่นนาน คุณชายฉังเฟิงลูบปลายคางเลิกคิ้วเอ่ย “คุณอันใดกัน ดูเหมือนว่าเจ้ายังรู้จักคุณชายข้าด้วย ไม่ง่ายเลยจริงๆ” นี่ไม่ใช่การถ่อมตัว ลิ่นฉังเฟิงออกจากบ้านไปตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากนั้นก็น้อยครั้งมากจะกลับบ้าน การกลับตระกูลลิ่นครั้งล่าสุดก็คงเป็นหกปีที่แล้ว คนเฝ้าประตูเล็กๆ ยังรู้จักเขา ไม่ง่ายเลยจริงๆ

ในที่สุดคนเฝ้าประตูก็ตั้งสติได้ “คุณชายใหญ่ ท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ”

“ข้ากลับมามิได้หรือ” ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้ว

“เปล่าขอรับเปล่า…ข้าน้อยจะไปรายงานฮูหยินเดี๋ยวนี้ขอรับ” เอ่ยจบกำลังจะหมุนตัววิ่งกลับเข้าไป ลิ่นฉังเฟิงลูบปลายคางครุ่นคิด “รายงานฮูหยินหรือ ดูเหมือนตาเฒ่าจะป่วยหนักไม่น้อยเลยนี่นา” ก้มลงมองชุดขุนนางขั้นสามของตน รู้สึกปวดใจกับมารยาทของตระกูลลิ่น อย่างไรเขาก็เป็นถึงรองเจ้ากรมขุนนางขั้นสาม อย่างน้อยก็สวมชุดขุนนางมาด้วย ไม่รีบเชิญเขาอย่างประจบสอพลอเข้าไปในห้องโถง อย่างน้อยก็ต้องเชิญเขาเข้าไปนั่งดื่มชากระมัง ปล่อยให้ขุนนางขั้นสามยืนตากลมอยู่หน้าประตู ไม่เป็นไรจริงหรือ

คุณชายฉังเฟิงลืมไปแล้วว่าตนเองไม่มีเทียบเชิญ แน่นอนการเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลลิ่นเดิมทีเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เทียบเชิญด้วยซ้ำ

คุณชายฉังเฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แสดงออกว่าตนเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่มีทางมายืนรอคนอยู่หน้าประตูให้เขาสาดน้ำไล่อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงหมุนตัวเดินก้าวลงบันได ภายใต้การจับจ้องของทหารเฝ้าหน้าประตู ลอยตัวข้ามกำแพงจวนตระกูลลิ่นเข้าไปทันใด

“คุณ…คุณชายใหญ่” ทหารเฝ้าหน้าประตูที่เหลือต่างพากันมึนงง

ลิ่นฉังอวิ๋นและลิ่นฉังอานสองพี่น้องเมื่อรู้ข่าวจึงรีบวิ่งมา มองเห็นประตูที่ว่างเปล่าจึงโมโหขึ้นมาเป็นที่สุด ลิ่นฉังเฟิงนั่งดื่มชาสบายอกสบายใจอยู่ในห้องรับแขกภายใต้สายตาแปลกประหลาดของบ่าวรับใช้ มองเห็นลิ่นฮูหยินที่พุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าไม่น่ามอง ข้างกายยังมีคุณหนูหกลิ่นฮั่นที่เดิมทีควรแต่งออกเรือนไปแล้ว

สองแม่ลูกมองเห็นลิ่นฉังเฟิงสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นโกรธแค้นจนแทบอยากฉีกเขาเป็นชิ้นๆ เสียงแหลมของลิ่นฮูหยินดังขึ้น “เจ้ากลับมาทำไม”

ลิ่นฮั่นโกรธลิ่นฉังเฟิงเข้ากระดูก แต่เดิมทีนั้นลิ่นฮูหยินไม่ได้เป็นเช่นนี้ แม้จะโกรธเกลียดเพียงใด แต่ลิ่นฮูหยินยังคงรักษาท่าทีของตน เบื้องหน้ายังแสดงออกมาว่าเกรงใจต่อลิ่นฉังเฟิง แต่เบื้องหลังนั้นจะวางแผนจัดการเขาอย่างไรก็เป็นอีกเรื่อง แต่ยามนี้ลิ่นฮูหยินคงยากที่จะรักษานิ่งสงบเอาไว้ได้แล้ว เพราะเดิมทีลิ่นฮูหยินเป็นฝ่ายยืนอยู่ในจุดของผู้ชนะชายตามองลิ่นฉังเฟิงบุตรชายที่ถูกนายท่านลิ่นทอดทิ้ง แต่ว่าตอนนี้ บุตรชายของภรรยาเก่าที่ถูกทอดทิ้งผู้นี้กำลังได้ดิบได้ดีกว่าบุตรชายบุตรสาวอันเป็นที่รักของตน แม้แต่นายท่านลิ่นเองยังแสดงท่าทีเสียใจออกมา บวกกับสิ่งที่ลิ่นฮั่นต้องเจอ หากลิ่นฮูหยินยังสามารถรักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ได้ แม้แต่ลิ่นฉังเฟิงก็คงอดชื่นชมความมุ่งมั่นอันน่าอัศจรรย์ใจของนาง

ลิ่นฉังเฟิงยกมือวางลงบนถ้วยชา หันกลับไปส่งยิ้มสดใสดุจฤดูใบไม้ผลิ “ทำไมหรือ ข้ามาไม่ได้หรือ”

“เจ้าไม่ใช่คนตระกูลลิ่นแล้ว” รอยยิ้มน่ารังเกียจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลิ่นฮั่น

ลิ่นฉังเฟิงเชยดวงตามองสำรวจนาง “เอ่ยอย่างกับเจ้าไม่เหมือนกัน” ยามนี้เมื่อลิ่นฮั่นถูกแบกเข้าไปที่จวนตระกูลจูก็ถูกนายท่านลิ่นลบชื่อออกไปจากลำดับวงศ์ตระกูลด้วยมือของเขาเอง ดังนั้น เอ่ยตามหลักแล้ว ลิ่นฮั่นไม่ใช่คนตระกูลลิ่นแล้ว อีกทั้งตระกูลจูและตระกูลลิ่นยังไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน ต่อให้ตระกูลจูยอมนับญาติกับบ้านภรรยารอง ตระกูลลิ่นก็ไม่มีคนผู้นี้แล้ว

รอยยิ้มบนใบหน้าลิ่นฮั่นนิ่งค้าง มือที่ประคองลิ่นฮูหยินก็กำแน่น ดวงตาคมจ้องเขม็งไปยังลิ่นฉังเฟิง

ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องตึงเครียดเพียงนั้น ได้ยินว่าตาเฒ่าใกล้ตายแล้ว คุณชายข้าว่างจึงมาเยี่ยมเขาสักหน่อย”

ลิ่นฮูหยินกัดฟัน เอ่ย “ไม่จำเป็น นายท่านไล่เจ้าออกจากบ้านไปแล้ว เขาไม่อยากเจอเจ้า”

ลิ่นฉังเฟิงหรี่ตาลง “เป็นเขาที่ไม่อยากเจอข้า หรือมีคนหวังว่าเขาจะไม่เจอข้า”

ดวงตาของลิ่นฮูหยินไหววูบ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเอ่ยสิ่งใด หรือเจ้าคิดว่านายท่านยังอยากเจอลูกเนรคุณอย่างเจ้าอยู่หรือ หากไม่ใช่เพราะเจ้า…หากไม่ใช่เพราะเจ้านายท่านจะ…” ลิ่นฉังเฟิงส่งเสียงหยัน “โยนความผิดมาให้ข้าน้อยลงสักหน่อย ใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ราชสำนักเจ้าคงรับโทษนั้นไม่ไหว เห็นอยู่ว่าตาเฒ่าโกรธบุตรสาวไร้ยางอายของเจ้าจนป่วย อย่าได้เอามาโยนให้กับข้า ตอนนั้นมีคนเห็นไม่ใช่น้อยเลยนะ”

“ลิ่นฉังเฟิง” ลิ่นฮั่นกรีดร้องขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “หากไม่ใช่เพราะเจ้า…หากไม่ใช่เพราะเจ้า…” หากเอ่ยว่าคนที่ลิ่นฮั่นเกลียดที่สุดบนโลกใบนี้คือใคร แน่นอนว่าไม่ใช่หนานกงมั่วเว่ยจวินมั่วหรือคุณชายใหญ่ตระกูลจู แต่เป็นลิ่นฉังเฟิงพี่ใหญ่ต่างมารดาผู้นี้ หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นลิ่นฉังเฟิงปฏิเสธนางอย่างไม่มีความลังเล ไหนเลยนางจะไปวางแผนต่อฉู่อ๋อง หากไม่ใช่เพราะลิ่นฉังเฟิงซ้ำเติม นางจะตกมาอยู่ในจุดนี้ได้เยี่ยงไร นึกถึงคุณชายเสียนเกอที่ราวกับเทพสวรรค์และหนานกงชวี่ที่หล่อเหลาไม่ธรรมดา จากนั้นนึกไปถึงคุณชายใหญ่ตระกูลจูที่ไม่มีสิ่งใดเลย ทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าโง่เง่านั่น ลิ่นฮั่นก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นลิ่นฉังเฟิงขึ้นไปอีก

คุณชายฉังเฟิงหันไปมองนาง เอ่ยถามด้วยท่าทางเกียจคร้าน “หากไม่เพราะข้าแล้วอย่างไร หรือว่าคุณชายข้าไปบังคับเจ้าให้ไปล่อลวงคุณชายใหญ่ตระกูลจูหรือ เป็นคุณชายข้าที่วางยาน่าอายกับเจ้าหรือ ตัวเจ้าเองทนเหงาไม่ได้ทำตัวไร้ยางอาย อย่าได้โยนความผิดมาให้คนอื่น ทำความชั่วเอง ไหนเลยจะหลุดพ้นความผิดไปได้”

“เจ้า…เจ้า…” ต่อหน้าบ่าวรับใช้เต็มห้องรับรอง ใบหน้าของลิ่นฮั่นเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวคล้ำ สีหน้าของบ่าวรับใช้แปลกประหลาดขึ้นมา รีบก้มหน้ากลัวว่าหากเจ้านายมองเห็นจะเดือดร้อนเอาได้ ลิ่นฮั่นเป็นคุณหนูเชื้อสายหลักตระกูลลิ่น ต่อให้ฝ่าบาทไม่เห็นตระกูลลิ่นอยู่ในสายตาแต่อย่างไรก็ยังเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของจินหลิง อยู่ดีๆ ไยจึงมีเรื่องน่าขายหน้ายกคุณหนูเชื้อสายหลักให้ไปเป็นภรรยารองแก่คุณชายใหญ่ตระกูลจูเช่นนี้ อีกทั้งยังรีบเร่ง แม้ลิ่นฮูหยินจะกำชับไม่ให้คนในเรือนเอ่ยเรื่องลิ่นฮั่น แต่ส่วนตัวแล้วผู้คนต่างก็ได้รับข่าวสารมาบ้าง แต่ต่อให้ตนเองได้รับรู้ข่าวมาอย่างไร ก็ไม่เหมือนกับคุณชายใหญ่ตระกูลลิ่นเอ่ยยืนยันขึ้นมาเองอย่างเปิดเผยนี่นา

ลิ่นฉังเฟิงหาวออกมา เอ่ย “แต่เรื่องนี้จะโทษเจ้าก็ไม่ได้ มารดาของเจ้าก็สั่งสอนเจ้าเยี่ยงนี้มาตั้งแต่เด็กมิใช่หรือ ไม่ว่าจะทำผิดอันใด เพียงโยนไปให้คนอื่นก็พอแล้ว จะว่าไป…เจ้า หึๆ กระหายเพียงนี้ คงไม่ใช่เพราะมารดาของเจ้าสั่งสอนมากระมัง ตอนนี้มาคิดดูแล้ว มารดาของข้าจากไปยังไม่ถึงครึ่งปีมารดาของเจ้าก็แต่งเข้ามาแล้ว ลิ่นฉังอวิ๋น…ดูเหมือนจะคลอดก่อนกำหนดกระมัง”

“ลิ่นฉังเฟิง” ลิ่นฮูหยินโกรธจนตัวสั่น ชี้หน้าก่นด่าลิ่นฉังเฟิง “เด็กๆ ไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้”

ความจริง เรื่องนี้ลิ่นฉังเฟิงเข้าใจลิ่นฮูหยินผิดแล้ว แม้ก่อนแต่งเข้าจวนนางจะยักคิ้วหลิ่วตาให้นายท่านลิ่นจริงๆ มิเช่นนั้นนายท่านลิ่นก็คงไม่รับนางเข้าจวนมาเร็วเพียงนั้น แต่การตั้งครรภ์ลิ่นฉังอวิ๋นนั้นเกิดขึ้นหลังจากเข้ามาในจวนแล้ว และไม่ใช่เด็กทุกคนที่จะคลอดครบกำหนด แต่งเข้ามาในจวนสูงศักดิ์อย่างตระกูลลิ่น ลิ่นฮูหยินรีบกุมอำนาจ รีบกีดกันลิ่นฉังเฟิงบุตรชายคนโตผู้นี้ ยุ่งจนเหนื่อยเกินไปทำให้ลิ่นฉังอวิ๋นคลอดก่อนกำหนด เพียงแต่ยามนี้ฟังลิ่นฉังเฟิงเอ่ยเช่นนี้ หลายคนจึงมีความคิดตามลิ่นฉังเฟิงไป

คนที่ถูกสั่งการไม่กี่คนเกิดความลังเล ไม่ใช่เพราะลิ่นฉังเฟิงเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลลิ่น แต่เพราะชุดขุนนางขั้นสามบนตัวของเขา เห็นเช่นนั้น ลิ่นฮูหยินพลันโมโหขึ้นมา “บังอาจนัก แม้แต่คำของข้าพวกเจ้าก็ไม่ฟังแล้วอย่างนั้นหรือ ให้ข้าขายพวกเจ้าออกไป หรือจะไล่เจ้าบ้านี่ออกไปให้ข้า”

คุณชายฉังเฟิงมองสตรีตรงหน้าโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยวพลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อด้วยท่วงท่าสง่างาม เอ่ย “คุณชายข้าไม่มีเวลาว่างจะมาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า ไป เจ้า พาข้าไปเรือนตาเฒ่า ไม่ได้กลับมานานแล้ว ลืมไปหมดแล้วว่าต้องไปอย่างไร”

คนที่ถูกลิ่นฉังเฟิงชี้พลันชะงัก มองลิ่นฉังเฟิงด้วยความลำบากใจจากนั้นหันไปมองลิ่นฮูหยินก็ไม่กล้าขยับตัว

“ข้าจะดูว่าใครกล้า” ลิ่นฮูหยินเอ่ยเสียงเย็น

ลิ่นฉังเฟิงเบ้ปาก บ่นพึมพำว่าสตรีผู้นี้น่ารำคาญ ยื่นมือเข้าไปหยิบป้ายคำสั่งออกมาจากแขนเสื้อแกว่งไกวไปมา เลิกคิ้วพลางเอ่ย “ตอนนี้เล่า กล้าหรือไม่”

แผ่นป้ายสีทองแกว่งไกวส่องสว่างอยู่ในมือลิ่นฉังเฟิง ‘ดุจข้ามาเยือน’ สี่ตัวอักษรใหญ่ๆ ทำให้หัวใจกระตุกวูบ ลิ่นฉังเฟิงหัวเราะมองไปยังลิ่นฮูหยิน “เจ้าว่า วาจาของเจ้ามีค่า หรือแผ่นป้ายนี้ของข้ามีค่ากว่า” ลิ่นฮูหยินหุบปากไม่เอ่ยวาจา ทำเพียงจ้องลิ่นฉังเฟิงเขม็ง อย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่าลิ่นฉังเฟิงจะมีป้ายทอง ‘ดุจข้ามาเยือน’ นี้ที่ฝ่าบาทประทานให้

ลิ่นฉังเฟิงบิดขี้เกียจ “ไปกันเถิด”

บ่าวรับใช้ตระกูลลิ่นที่คุกเข่าอยู่นานในที่สุดก็ลุกขึ้นตัวสั่นงันงก เดินนำลิ่นฉังเฟิงตรงไปยังเรือนนายท่านลิ่น

เพียงมาถึงหน้าประตูทางเข้าจวน เจอเข้ากับลิ่นฉังอวิ๋นและลิ่นฉังอานสองพี่น้องที่กำลังรีบวิ่งมา ไม่เจอกันหลายวัน ภายนอกสองคนนี้ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปนัก ทว่าท่าทางเปลี่ยนไปไม่น้อย ลิ่นฉังอวิ๋นดูทะมึน เรียกได้ว่าสุขุมขึ้น หว่างคิ้วยังมีความโหดเหี้ยมขึ้นมาอย่างชัดเจน ลิ่นฉังเฟิงรู้สึกแปลกใจ การเปลี่ยนแปลงนี้มากไปสักหน่อย

“โอ้ อันใดกัน คุณชายข้าเพียงกลับมาเยี่ยมตาเฒ่า ไยจึงมีแต่คนเข้ามาขวางเล่า” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มมองไปยังคนทั้งสอง

ลิ่นฉังอานจ้องมองเขา เอ่ย “ท่านพ่อไล่เจ้าออกจากบ้านไปนานแล้ว เจ้ากลับมาทำไมกัน”

ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้ว “อ้อ แต่วันนั้นเห็นอยู่ว่าตาเฒ่าบอกให้ข้ากลับมานี่นา แม้คุณชายข้าจะไม่อยากกลับมานัก แต่ว่ากลับไปคิดดูแล้วกลับรู้สึกว่า…ของที่สมควรเป็นของข้า ต่อให้ข้าไม่ต้องการก็ไม่ควรเสียเปรียบให้ใครง่ายๆ พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่”

“ลิ่นฉังเฟิง” ลิ่นฉังอานกัดฟัน

ลิ่นฉังเฟิงยกมือขึ้นแคะหู ถอนหายใจพลางเอ่ย “สมกับที่แม่เจ้าเป็นคนสั่งสอนมา ต่างชอบจ้องคุณชายข้าเยี่ยงนี้กันนัก เป็นเด็กโง่จริงๆ ต่อให้เจ้าจ้องข้าจนตาถลนออกมา คุณชายข้าก็ไม่เสียหายแม้เพียงนิด หากข้าเป็นเจ้า ก็คงตรงดิ่งเข้ามาต่อยข้าสักหมัด” จากนั้นก็จะเอาคืนได้ ต่อยให้เจ้าเป็นหมาเสียเลย

แน่นอนว่าลิ่นฉังอานไม่มีทางเข้าไปต่อยลิ่นฉังเฟิง นับตั้งแต่อายุสิบสองสิบสามเขาก็เริ่มรู้แล้วว่าลงมือกับลิ่นฉังเฟิงเขาไม่อาจทำอันใดเขาได้ นอกเสียจากโกรธจนขาดสติ เขาไม่มีทางไปหาเรื่องเจ็บตัวอย่างแน่นอน

เทียบกับน้องชาย ลิ่นฉังอวิ๋นดูใจเย็นกว่ามาก เพียงมองลิ่นฉังเฟิงนิ่ง เอ่ย “พี่ใหญ่กลับมา มีเรื่องอันใด”

ลิ่นฉังเฟิงยักไหล่ “เรียกข้าว่าคุณชายฉังเฟิงก็พอ ขอบคุณ กลับมาเยี่ยมตาเฒ่าสักหน่อย ได้ยินว่าเขาโกรธใกล้ตายแล้วหรือ” ลิ่นฉังอวิ๋นสีหน้าทะมึน เอ่ยเสียงเย็น “พี่ใหญ่กังวลไปแล้ว ท่านพ่อยังสบายดี เพียงช่วงนี้ไม่สบายเล็กน้อยเท่านั้น อยู่ในจวนตระกูลลิ่นใครจะกล้าทำให้ท่านพ่อโกรธกันเล่า”

“นั่นก็ไม่แน่” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย ยกท้าวเตรียมก้าวเข้าไปด้านใน ทว่าถูกคนไม่กี่คนวิ่งมาขวางตรงหน้า ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้ว “นี่หมายความเช่นไร”

ลิ่นฉังอวิ๋นเอ่ยเสียงเข้ม “ท่านพ่อไม่สบาย ไม่อยากพบใคร พี่ใหญ่เชิญกลับไปเถิด มีเรื่องอันใดอีกสองวันค่อยว่ากันได้หรือไม่”

ลิ่นฉังอานกลับไม่ได้มีความอดทนอย่างพี่ชายของตน เอ่ยเสียงดัง “พี่ใหญ่ ไยต้องเกรงใจเขาเพียงนั้น ไล่เขาออกไปก็พอแล้ว”

ลิ่นฉังเฟิงคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มปรายตามองหลายคนที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนมีวรยุทธ์ เลิกคิ้วเอ่ย “ต่อให้ข้าหยิบป้ายทองออกมา คิว่าพวกเจ้าคงไม่ปล่อยข้าเข้าไปกระมัง”

ลิ่นฉังอวิ๋นหลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “ต่อให้เป็นฝ่าบาท ก็คงไม่บีบบังคับกันในยามที่ท่านพ่อกำลังป่วยเช่นนี้กระมัง”

ลิ่นฉังเฟิงส่งเสียงหยันในลำคอ พัดเล็กในมือคลี่ออกเสียงดังขึ้นมา เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าคุณชายข้าไม่เกรงใจแล้วกัน” กวาดตามองหลายคนที่อยู่ไม่ไกล เอ่ย “คิดว่าพวกเจ้าเองก็รู้ว่าเมื่อก่อนคุณชายข้าทำอะไร หากรู้ก็รีบไสหัวไป มิเช่นนั้นหากลงมือแล้ว อย่าได้โทษคุณชายข้าหากทำให้ใครต้องบาดเจ็บ”

หลายคนสีหน้าพลันเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว ต่างฝ่ายต่างมองสบตากัน พวกเขาไม่ใช่สองพี่น้องลิ่นฉังเฟิงลิ่นฉังอาน ที่ต่อให้เกลียดลิ่นฉังเฟิงเข้ากระดูก แต่ไม่ได้รู้จักลิ่นฉังเฟิงดีนัก คิดเพียงว่าลิ่นฉังเฟิงโชคดีอาศัยฉู่อ๋องจึงมีวันนี้ได้ แต่พวกเขาเหล่านี้กลับรู้ ลิ่นฉังเฟิงเคยควบคุมดูแลวังจื่อเซียวแทนเว่ยจวินมั่ว ไม่เพียงขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าสำนักวังจื่อเซียว ยิ่งเป็นมือสังหารขั้นหนึ่งในยุทธภพอีกด้วย

เห็นท่าทางหัวหดของพวกเขา ลิ่นฉังเฟิงสาวเท้าก้าวเข้าประตูไป คนที่ยืนขวางอยู่หน้าประตูจำต้องก้าวถอยหลัง ลิ่นฉังอานที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “พวกเจ้าทำอันใดกัน ยังไม่ลงมืออีก” หลายคนเริ่มลังเล สุดท้ายก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของนายจ้าง กัดฟันเอ่ย “คุณชายฉังเฟิง อย่าได้ทำให้พวกข้าลำบากใจเลย”

ลิ่นฉังเฟิงยิ้มเอ่ย “ถ้าหาก คุณชายข้าจะทำให้พวกเจ้าลำบากใจเล่า”

“เช่นนั้นอย่าโทษว่าพวกเราไม่เกรงใจเล่า” คนหนึ่งเสียงเข้มขึ้น

ลิ่นฉังเฟิงเพียงยิ้มไม่เอ่ยวาจา เดินหน้าต่อไป ในที่สุดก็มีหนึ่งคนที่ทนไม่ไหวยกดาบคู่กายฟันไปยังลิ่นฉังเฟิง พัดในมือลิ่นฉังเฟิงสะบัด ขวางดาบที่ฟังลงมาผลักกลับคืนไป พัดนั้นคมราวกับดาบ แม้คนที่ลงมือจะหลบทัน ทว่าเส้นผมของเขาก็ยังถูกตัด

“ลุยพร้อมกัน”

ลิ่นฉังเฟิงส่งเสียงหยัน เก็บพัดกลับคืนชักกระบี่อ่อนที่เอวออกมา การเป็นจอมยุทธ์แม้ปัจจุบันจะกลายมาเป็นขุนนางในราชสำนักทว่าคุณชายฉังเฟิงยังชินกับการพกอาวุธติดตัวตลอดเวลา นอกจากเวลาเข้าวังเข้าเฝ้าฝ่าบาท

หลายคนล้อมลิ่นฉังเฟิงเอาไว้ ร้องตะโกนกระโจนเข้าหา ลิ่นฉังเฟิงก็ไม่เกรงใจ เกิดการต่อสู้ชุลมุนอยู่หน้าเรือนผู้นำตระกูลลิ่น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *