หมอหญิงยอดมือสังหาร 1227 รับผลกรรมที่ตนเองก่อ

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1227 รับผลกรรมที่ตนเองก่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1227 รับผลกรรมที่ตนเองก่อ

ได้ยินเช่นนั้น ชายรูปร่างเล็กผู้นั้นพลันโกรธขึ้นมาดวงตาฉายแววอาฆาต เอ่ยเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็…สู้ให้ตายกันไปข้าง” ด้วยวรยุทธ์ของพวกเขา ทหารธรรมดาเหล่านี้ไม่อาจขวางพวกเขาได้เป็นแน่ สิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวได้มีเพียงยอดฝีมือไม่กี่คนที่อยู่ตรงนี้และพลธนูเท่านั้น แต่หากพวกเขาต้องเสี่ยงชีวิต อีกฝ่ายก็ไม่อาจหนีไปได้เช่นกัน

หนานกงมั่วก้มหน้ายิ้ม เอ่ยเสียงเข้ม “กองปัญจทิศและพลธนูทั้งหมด ถอยออกไปสองร้อยจั้ง”

หนานกงชวี่ขมวดคิ้วหันมองไปยังหนานกงมั่ว หนานกงมั่วยิ้มปลอบใจ เอ่ย “พี่ใหญ่ ไม่ต้องกังวลให้พวกเขาถอยออกไปเถิด มีคนบาดเจ็บน้อยจะดีกว่า” หลายคนนี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือ อาศัยพลธนูไม่อาจทำอันใดพวกเขาได้ในเวลาเพียงสั้นๆ หากพวกเขาพุ่งเข้าไปอยู่ท่ามกลางนายทหารทั่วไป พลธนูคงยากที่จะยิงได้ ถึงตอนนั้นคงมีคนล้มตายไม่น้อย

เมื่อเห็นนางให้คนถอยออกไป สีหน้าของทั้งสามจึงผ่อนคลายมองไปยังหนานกงมั่วโดยพร้อมเพรียง ท่าทีเมื่อครู่ดูแข็งกระด้างแต่ยามนี้กลับให้คนถอย พวกเขาไม่เชื่อว่าหนานกงมั่วคิดจะปล่อยพวกเขาไป รอจนทหารกองปัญจทิศคุ้มกันเมืองถอยออกไป หนานกงมั่วจึงตบมือเบาๆ เงาสีดำเคลื่อนไหวรวดเร็ว ชายในชุดสีเทาหลายคนปรากฏตัวยืนอยู่ตรงหน้าหนานกงมั่ว “พระชายา”

คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือ แม้ไม่นับว่าเยี่ยมยอดแต่ก็ไม่ธรรมดา ด้วยความสามารถของพวกเขา การต่อสู้ตัวต่อตัวแน่นอนว่าไม่เกรงกลัว แต่คนเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าไม่คิดให้โอกาสพวกเขา

หนานกงมั่วเอ่ย “ยุทธภพก็ให้เป็นเรื่องของยุทธภพ ในเมื่อทุกท่านเองก็เป็นคนในยุทธภพ เช่นนั้นก็ลองดูเถิด พี่ใหญ่ หากท่านมีธุระก็ไปจัดการก่อนเถิด ที่นี่ให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาเป็นพอ” หนานกงชวี่มอง ก่อนจะพยักหน้า มียอดฝีมืออยู่ คิดว่าคงไม่ปล่อยให้คนสามคนหนีไปได้กระมัง หนานกงชวี่เองก็ไม่เสียเวลา หันหลังกลับไปส่งสัญญาณให้เฉินซิวและเซวียปิน “พวกเราไปกันเถิด”

พวกเรายังมีธุระอีกมาก ไม่มีเวลามาเล่นกับคนเพียงไม่กี่คนอยู่ที่นี่

คนกลุ่มใหญ่ถอยออกไป ตรอกเล็กที่เคยมีคนแน่นขนัดพลันเงียบลง ทั้งสองฝ่ายยังคงเผชิญหน้ากัน รู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ชายที่นิ่งเงียบมาตลอดกัดฟันเอ่ย “ฆ่าเด็กนั่นเสีย สู้กับพวกนาง”

ชายร่างสูงใหญ่พยักหน้า ออกแรงที่มือ ชายชุดเทาพลันพุ่งเข้าหา ชายร่างสูงใหญ่สะบัดมือออก โยนเด็กสาวในมือออกไป เด็กสาวผู้นั้นยังไม่ตาย แต่หากกระแทกเข้ากับผนังที่ไกลออกไปคงได้ตายอย่างแน่นอน ชายชุดเทาจำต้องเปลี่ยนเส้นทางไปรับเด็กสาวผู้นั้นที่ถูกโยนไป ชายร่างสูงใหญ่พลันถีบเท้าลอยตัวขึ้นหันหน้าไปฝั่งตรงข้ามลอยหนีไป ไม่มีพลธนูคอยกดเอาไว้ พวกเขาจึงไม่มีความกังวลต่อการหลบหนี

หนานกงมั่วที่ยืนดูอยู่ด้านข้างไม่รีบร้อน ชายคนนั้นลอยออกไปได้ไม่ถึงสิบจั้งก็หยุดลง เพราะตรงหน้านั้นก็มีชายชุดเทาสองคนยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว เพียงเห็นชุดเครื่องแบบก็ดูออกแล้วว่าเป็นพวกเดียวกันกับคนต้าเซี่ยต้าหลัง

เขาได้แต่กัดฟัน ในเมื่อหนีไปพ้น เช่นนั้นจำต้องสู้แล้ว

ชายชุดเทาหลายคนแบ่งกันล้อมมือสังหารหนึ่งคน ต่อสู้กันอยู่ในมุมลึกของตรอกเล็ก

วรยุทธ์ของคนเหล่านี้ร้ายกาจจริงๆ และกระบวนท่ายังแตกต่างไปจากจอมยุทธ์ในต้าเซี่ย หากต่อสู้ตัวต่อตัว มือสังหารวังจื่อเซียวหลายคนดูจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา แต่หากสามคนล้อมโจมตีหนึ่งคนละก็ ถือว่ายังรับมือได้ สายตาของหนานกงมั่วจับจ้องอยู่ที่ชายร่างผอมตลอดเวลา วรยุทธ์ของเขาอ่อนที่สุดในสามคน แต่เขากลับดูหมดจดไร้บาดแผลที่สุดในสามคนนี้ แม้แต่ชายร่างสูงใหญ่ผู้มีวรยุทธ์เก่งกาจยังถูกกระบี่ของซิงเวยฟันเข้า ทว่าเขากลับรอดมาได้โดยไม่มีบาดแผลแม้เพียงนิด

เสียงฟึบดังขึ้น แส้ยาวในมือหนานกงมั่วถูกตวัดม้วนชายชุดเทาคนหนึ่งดึงกลับมา “หลบไปให้หมด”

ชายชุดเทาเหล่านี้แม้ไม่นับว่าเป็นมือสังหารวังจื่อเซียว แต่ก็เป็นคนที่ซิงเวยฝึกมาเองอีกทั้งยังมีเว่ยจวินมั่วคอยชี้แนะอยู่บ้าง นอกจากสะสมประสบการณ์การเป็นมือสังหารวังจื่อเซียวแล้ว สิ่งที่คนวังจื่อเซียวทำได้พวกเขาเองก็ทำได้ การตอบสนองแน่นอนว่าไม่ช้า เสียงของหนานกงมั่วเพิ่งดังขึ้น ชายชุดเทาที่ล้อมชายร่างผอมเอาไว้จึงรีบหลบไป แต่ยังคงปิดทางหนีทุกเส้นทาง ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนีไปได้

กลิ่นคาวโชยพัดมา หนานกงมั่วยื่นมือไปรับของบางอย่าง ทุกคนมองเห็นพลันขวัญผวา ในมือของหนานกงมั่วกำลังบีบงูที่มีลวดลายหลากสีขนาดเล็กมีขนาดตัวไม่ใหญ่เกินนิ้วชี้ ยาวประมาณหนึ่งชุ่นกว่า มองลวดลายและพิษที่มันพ่นออกมาก็รู้แล้วว่างูตัวนี้แม้จะตัวเล็กทว่าพิษคงร้ายแรง

น่าเสียดายงูถูกนิ้วมือเรียวสวยของหนานกงมั่วบีบตายไปกว่าเจ็ดส่วน ทำได้เพียงดิ้นรนใช้ร่างกายตนเองม้วนรัดแขนของหนานกงมั่ว แต่ขนาดตัวของมันบ่งบอกแล้วว่าไม่อาจสร้างบาดแผลให้หนานกงมั่วได้ มือหนานกงมั่วบีบเค้นเบาๆ งูตัวเล็กพลันคลายร่างกายออกอย่างไร้เรี่ยวแรง กระทั่งทิ้งตัวอยู่ท่ามกลางอากาศ

มองงูตัวเล็กที่กึ่งเป็นกึ่งตาย สีหน้าของชายร่างผอมไม่น่ามองยิ่งขึ้น

หนานกงมั่วก้มลงไปหยิบงูตัวเล็กน่าสงสารขึ้นมา แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มแต่งแต้มทว่าสายตากลับไม่มีรอยยิ้มแม้เพียงครึ่งเดียว เอ่ยเสียงเรียบ “ของอันตรายเช่นนี้ อย่าได้ปล่อยไปทั่วถึงจะถูก ทำให้คนอื่นตกใจคงไม่ดี คืนให้เจ้า” เอ่ยจบ โยนงูในมือกลับคืน ชายร่างผอมผู้นั้นรีบยื่นมืออกมารับ รอกระทั่งงูตกลงมาในมือแล้วจึงนิ่งค้าง งูที่เดิมยังมีชีวิตเมื่อครั้งอยู่ในมือของหนานกงมั่วยามนี้ได้ตายไปแล้ว ถูกหนานกงมั่วใช้กำลังภายในสังหารไปแล้ว

“เจ้า…” เด็กหนุ่มตัวเล็กโกรธขึ้นมา งูตัวนี้แม้จะเล็กแต่ก็เป็นงูพิษที่เขาเลี้ยงดูด้วยความใส่ใจมาหลายปี ความร้ายแรงของพิษไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าไม่พอยังฉลาดและเชื่อฟัง ทว่ากลับถูกสตรีผู้นี้บีบตายแล้ว หากเป็นไปได้ เขาแทบอยากบีบสตรีตรงหน้าให้ตายเพื่อแก้แค้นคืนให้สัตว์เลี้ยงที่รัก จ้องมองหนานกงมั่วเนิ่นนาน ชายหนุ่มร่างเล็กพลันหัวเราะขึ้นมา ดวงตาเต็มไปด้วยความดุร้ายที่ยากจะอธิบาย “ดีมาก…เจ้าฆ่าลูกรักของข้า เช่นนั้นเจ้าก็เอาชีวิตของเจ้ามาแทนเขา” เดิมทีใบหน้าเขาก็ทะมึนน่าเกลียด ไม่คาดคิดว่าเมื่อเขาหัวเราะจะยิ่งบิดเบี้ยวน่ากลัวยิ่งกว่าตอนเขาโกรธเสียอีก

“ข้าจะทำให้เจ้า…อ้าก” ชายผู้นั้นเอ่ยได้เพียงครึ่ง ก็โยนงูในมือทิ้งออกไป ที่แท้เขาโกรธจนไม่อาจควบคุมตนเองได้จึงบีบงูที่ตายแล้วอยู่ในมือจนเละ เลือดในกายของงูที่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนมือของเขา ทำให้มือของเขาลวกเป็นพื้นที่กว้าง ธรรมดาแล้วต่อให้เป็นงูพิษในเลือดก็ไม่มีพิษ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพิษชนิดที่เผาผลาญคนได้ คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่เด็กหนุ่มร่างผอมผู้นี้เดิมก็เชี่ยวชาญการใช้พิษ แม้ต่างแคว้นจะแตกต่างจากจงหยวน แต่ว่าหลักการยังคงเหมือนกัน ต้องเป็นหนานกงมั่วที่วางยาพิษที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อเจอกับเลือดบนร่างของงู เขาสูญเสียการควบคุมทำให้เลือดของงูไหลออกมา ดังนั้นจึง…

เมื่อืก้มลงไปมองร่างบนพื้น งูตัวเล็กๆ พลันโดนกัดกร่อนจนกลายเป็นกองเลือด หันมองมาที่มือของตน เขาปัดออกได้ทันเวลา ยังไม่ทันถูกกัดกร่อนเข้าไปลึกนัก เพียงแต่ฝ่ามือถูกลวกเป็นบริเวณกว้าง แม้ไม่นับว่าสาหัส แต่ความปวดแสบปวดร้อนได้เตือนสติเขา สตรีตรงหน้าไม่ใช่คนไม่เข้าใจเรื่องพิษ

เด็กหนุ่มร่างเล็กส่งเสียงหยัน ยกมือดึงเสื้อคลุมบนร่างของตนออก

“ถอยไป”

แมงป่องหลายตัวร่วงลงมาจากผ้าคลุม ตกลงไปบนพื้น งูตัวหนึ่งเลื้อยลงมาจากขาของชายผู้นั้นตกลงมาอยู่บนพื้นเช่นกัน จากนั้นก็เป็นแมงป่องและงูมากมาย เจี่ยนชิวหยางที่ยืนดูอยู่ด้านข้างอดลูบหน้าของตนไม่ได้ สั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าไม่ใช่เพราะเขากลัวสิ่งเหล่านี้ แต่เพราะ…เด็กคนนี้เอางูและแมงป่องไว้บนร่างกายตนเองมากเพียงใดกัน เขาไม่ขยะแขยงหรือ

ซิงเวยอยากเดินเข้ามาทว่าถูกหนานกงมั่วห้ามเอาไว้ “ข้าเอง”

“พระชายา…”

“แมลงไม่กี่ตัวเท่านั้น” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ ถีบตัวลอยขึ้นไปพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มร่างผอมผู้นั้น คนผู้นั้นเห็นหนานกงมั่วพุ่งเข้าหา เผยยิ้มประหลาดขึ้นมา แมงป่องและงูเบื้องล่างมุ่งหน้าไปทางเจี่ยนชิวหยางและซิงเวย หนานกงมั่วสะบัดแขนเสื้อ ควันสีเหลืองจากฝุ่นผงพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ แมงป่องและงูที่เดิมทีเคลื่อนไปข้างหน้าราวกับสูญเสียการรับรู้หมุนตัวอยู่กับที่ หนานกงมั่วเองก็ไม่หยุด พุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มร่างเล็กคนนั้น ดวงตาของคนผู้นั้นหดเกร็ง ก้าวถอยหลังไปหลายก้าวขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกมา แสงสีเงินออกมาจากแขนเสื้อของเขาตรงเข้าหาหนานกงมั่ว ความเร็วเร็วกว่างูตัวเมื่อครู่อยู่มาก หนานกงมั่วเบี่ยงตัวหลบ แขนเสื้อกว้างสะบัดปัดอยู่กลางอากาศ ผ้าอ่อนนุ่มบวกกับกำลังภายในทำให้แข็งดั่งเหล็ก บังแสงสีเงินเหล่านั้นให้สะท้อนกลับไป

เด็กหนุ่มร่างเล็กรีบยื่นมือออกมารับจากนั้นโยนออกไปอีกครั้ง หนานกงมั่วแสยะยิ้มเย็น ครั้งนี้กลับไม่หลบอีกครั้ง แสงสีเงินในมือวาววับ กริชสั้นงดงามปรากฏขึ้นในฝ่ามือ มือข้างขวาพลิกกริชออกรับแสงสีเงินที่พุ่งเข้าหา แสงสีเงินชนเข้ากับกริชของหนานกงมั่วพลันหยุดลง กำลังของหนานกงมั่วกลับไม่ลดลง พุ่งตรงเข้าหาเด็กหนุ่มร่างผอมผู้นั้น คนผู้นั้นไม่คิดว่าหนานกงมั่วจะกล้าปะทะกับสิ่งมีพิษของตน ตื่นตกใจเมื่อได้สติคิดหลบหลีก แต่มีหรือหนานกงมั่วจะให้โอกาสนั้นกับเขา กริชสั้นราวกับมีพลัง ไม่ว่าเขาจะหลบหลีกไปทางใดต่างก็ติดตามเขาไม่ห่าง

เดิมวรยุทธ์ของเด็กหนุ่มร่างผอมก็อ่อนที่สุดในสามคนนี้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานกงมั่ว หากอยู่ในระยะที่สามารถต่อสู้กันด้วยพิษได้ไม่แน่ว่าอาจจะใช้เวลาอยู่ชั่วครู่ แต่ว่าเมื่อยามถูกหนานกงมั่วเข้าใกล้ร่างกาย กลับตระหนกขึ้นมา เพียงไม่กี่ครั้ง กริชสั้นของหนานกงมั่วก็แทงเข้าที่หน้าอกของเขาอย่างง่ายดาย

ใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างผอมผู้นั้นพลันขึ้นสีเทา เขานิ่งอึ้งก้มลงมองกริชที่ปักอยู่บนหน้าอกของตน ตัวของกริชปักเข้าที่หนอนสีขาวมีความยาวไม่เกินสองชุ่น แทงทะลุผ่านหนอนสีขาวก่อนจะปักเข้าไปที่หน้าออกของตน

ความจริงไม่ได้เข้าลึกมาก หากเป็นยามปกติไม่อาจเอาชีวิตของเขาได้ แต่ว่ากริชนี้สัมผัสกับพิษบนร่างของหนอน เลือดจุกที่ลำคอ เด็กหนุ่มร่างผอมส่งเสียงเบาๆ ในลำคอ ดวงตาเบิกโพลงก่อนจะก้มหน้าลงไป

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ดึงกริชกลับคืน เห็นว่าชายเสื้อของเด็กหนุ่มเคลื่อนไหวเบาๆ รีบเปิดออก งูตัวเล็กที่หน้าเหมือนตัวที่นางสังหารกำลังพ่นพิษจ้องมาที่นาง หากไม่ใช่เพราะหลบได้อย่างรวดเร็ว เกรงว่างูตัวนี้คงกัดเข้าที่ข้อมือของนางแล้ว

ที่แท้ก็มีถึงสองตัว

หนานกงมั่วสงสัย เข็มเล่มหนึ่งถูกนางบีบอยู่ในมือ ในยามที่ดีดเข็มเงินออกไปงูตัวนั้นเองก็พุ่งเข้ามาหานาง หนานกงมั่วเคลื่อนตัวถอยอย่างรวดเร็ว จากนั้นมองดูงูร่วงลงบนพื้นม้วนตัวเข้า ผ่านไปชั่วครู่ก็ค่อยๆ คลายออกไม่ขยับแล้ว หนานกงมั่วพ่นลมหายใจ นางไม่กลัวงู แต่ไม่ชอบสัตว์เลือดเย็นเช่นนี้

“พระชายา” เห็นว่าที่นี่ไม่มีอันใดแล้ว เจี่ยนชิวหยางและซิงเวยจึงรีบเข้ามา “พระชายาไม่เป็นไรใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” การโจมตีครั้งสุดท้ายเมื่อครู่ พวกเขาต่างตกใจไม่น้อย โดยเฉพาะงูที่เห็นอยู่ว่าไม่ใช่งูที่จงหยวนมี ใครจะรู้เล่าว่าพิษนั้นร้ายแรงเพียงใด แม้จะมีคุณชายเสียนเกอและท่านผู้เฒ่าอยู่ในเมือง แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงหรอกนะ

หนานกงมั่วส่ายศีรษะ ยื่นกริชในมือให้เจี่ยนชิวหยาง เอ่ย “ให้คนเผาคนผู้นี้ อีกทั้งสัตว์มีพิษพวกนั้น อย่าพึ่งให้คนเข้ามาที่นี่สักระยะ คอยเฝ้าระวังว่าช่วงนี้มีใครแถวนี้ถูกพิษ ไม่รู้ว่ามีแมลงที่หลุดรอดไปได้หรือไม่”

เจี่ยนชิวหยางพยักหน้า รับกริชมาพลันชะงัก “พระชายา พระองค์ฆ่าอาไป๋หรือพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงมั่วหัวเราะออกมา “เพียงคล้าย อาจจะเป็นแฝดของอาไป๋”

“…” ได้ยินว่าเฟยเฟยคือพี่น้องของไป๋ไปไม่ใช่หรือ เจี่ยนชิวหยางพูดไม่ออก หนานกงมั่วเอ่ย “เก็บไว้ก่อน เอากลับไปให้ศิษย์พี่ดูว่าเป็นพิษชนิดเดียวกันกับอาไป๋หรือไม่ เขาคงจะสนใจ” เจี่ยนชิวหยางพยักหน้า รับกริชมาอย่างระมัดระวังตั้งใจว่าจะไปหากล่องมาใส่ เจ้าไม้ไผ่ผอมนั่นตายสนิทขนาดนั้น โดนพิษนี้ไปต่อให้เป็นคุณชายเสียนเกอก็คงมาช่วยไม่ทันกระมัง

อีกสองฝั่งก็ต่อสู้จบสิ้นแล้ว มือสังหารคนหนึ่งตายอีกคนบาดเจ็บ ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นที่ยังมีชีวิตมีบาดแผลเต็มตัวถูกลากมาวางไว้ตรงหน้าหนานกงมั่ว หนานกงมั่วปรายตามองเล็กน้อยโบกมือสั่งให้คนเอาตัวไป ออกคำสั่งเจี่ยนชิวหยาง “เจ้าจัดการ ข้าไปก่อนล่ะ”

เจี่ยนชิวหยางพยักหน้าตอบรับ

หนานกงมั่วไม่สนใจพวกนี้อีก หมุนตัวเดินนำซิงเวยออกจากตรอกนี้ไป

ขณะที่เดินผ่านบ้านผุพังเล็กๆ หลังหนึ่ง ประตูด้านข้างพลันเปิดออกกะทันหัน หนานกงมั่วชะงัก ไม่คิดว่าเวลานี้ในตรอกยังมีคน อีกทั้งฟังการหายใจไม่เหมือนคนแก่ที่ไม่ออกจากบ้านเพราะร่างกายอ่อนแอเคลื่อนไหวลำบาก ดวงตาของซิงเวยหดเกร็ง มองไปยังประตูอย่างระแวดระวั

ประตูพลันเปิดออกอีกนิด หนานกงมั่วหันกลับไปพลันชะงัก ยังเป็นคนคุ้นเคยคนหนึ่งด้วย…จิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เว่ยหงเฟย

นับตั้งแต่ปล่อยเว่ยหงเฟยไปเมื่อปีที่แล้ว หนานกงมั่วก็ไม่เคยสนใจเว่ยหงเฟยอีกแล้ว ครึ่งปีมานี้ยังยุ่งจนลืมคนผู้นี้ไปแล้ว เว่ยหงเฟยดูผอมน้อยกว่าตอนที่ถูกกักขังแต่สีหน้ากลับดูมีอายุขึ้นมามาก ดูอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าคนผู้นี้เคยเป็นจวิ้นอ๋อง เป็นแม่ทัพที่เคยอยู่ในสนามรบ ยังเป็นต้นตอของความเจ็บปวดขององค์หญิงฉังผิงมายี่สิบกว่าปี ยามนี้เว่ยหงเฟยดูเหมือนคนแก่ทั่วไป เส้นผมสีเทายุ่งเหยิง เสื้อผ้าเก่าโทรม ใบหน้าซูบตอบดูหวาดกลัว หลังของเขาเริ่มค่อมลงไปเล็กน้อย ราวกับมีสิ่งใดกดเอาไว้ไม่ให้เหยียดตรงได้

สบเข้ากับดวงตาของหนานกงมั่ว ดวงตาของเว่ยหงเฟยมีความละอาย รีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว

หนานกงมั่วหันกลับไป เอ่ยกับซิงเวยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร ไปกันเถิด”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *