หมอหญิงยอดมือสังหาร 1110 เปลี่ยนแปลงแสวงหาความสงบสุข (1)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1110 เปลี่ยนแปลงแสวงหาความสงบสุข (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1110 เปลี่ยนแปลงแสวงหาความสงบสุข (1)

เรื่องราวเป็นไปตามที่หันหมิ่นคาดการณ์เอาไว้ สถานการณ์ในจินหลิงตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ นับวันยิ่งวุ่นวาย เพราะร้านค้าต่างปิดร้าน ราษฎรในเมืองจินหลิงไม่อาจหาซื้ออาหารได้ และเพราะกรมคลังหยุดทำงาน ทหารในกองทัพจึงไม่ได้รับอาหาร กำลังจะต้องหิว ในกองทัพยังมีเซวียเจินคอยควบคุม กองทัพเฉินโจวเป็นอิสระไม่จำเป็นต้องรับเสบียงอาหารจากราชสำนัก เพราะเหตุนี้เสบียงอาหารมากมายจึงถูกแบ่งไปให้กองทัพโยวโจวด้วยส่วนหนึ่ง ดังนั้นกองทัพจึงนับว่ามั่นคง เพียงแต่ทหารที่ถูกบีบบังคับให้ยอมจำนนกลับเริ่มเคลื่อนไหว

เรื่องราวการนองเลือดหน้าประตูวังหลวงถูกกระจายข่าวไปทั่วเมืองจินหลิงทั้งชั้นนอกและชั้นใน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าเรื่องใดก็สามารถกระตุ้นจุดอ่อนไหวของราษฎรและบัณฑิตทั้งหลายได้ เบื้องหลังมีคนคอยยั่วยุปั่นป่วน เป็นเช่นนั้นไม่นานเมืองจินหลิงจึงเดือดขึ้นมาทันที นักวิชาการหลายคนนำผู้คนในเมืองไปยังหยาเหมินเขตอิ้งเทียน และที่ทำการไม่กี่แห่งที่ยังคงเปิดดำเนินการอยู่ ปิดล้อมสถานที่เหล่านี้แม้แต่น้ำก็ไม่อาจรั่วไหลได้ และผู้คนส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปยังประตูวังหลวง ร้องตะโกนให้จวนเยี่ยนอ๋องปล่อยตัวขุนนางและฮ่องเต้ คนเหล่านี้ที่ถูกยั่วยุจนลืมความไม่พอใจก่อนหน้านี้ที่มีต่อเซียวเชียนเยี่ย ลืมข่าวลือและการคาดเดาเกี่ยวกับเซียวเชียนเยี่ยไปโดยสิ้นเชิง

การปรับปรุงแก้ไขให้ถูกหลักตามครรลองครองธรรมเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เมื่อมีความสนับสนุนนี้ ทุกคนจึงคิดว่าการกระทำของตนนั้นยุติธรรมและยิ่งใหญ่

เมื่อเกิดความวุ่นวายเช่นนี้ ราชสำนักที่เดิมทียังทำการอยู่ต้องปิดตัวลงโดยสิ้นเชิงแล้ว

ขณะนั่งอยู่ในวังหลวง แทบจะได้ยินเสียงร้องตะโกนของราษฎรด้านนอก สีหน้าของผู้คนในห้องทรงอักษรต่างตึงเครียดขึ้น

เซียวเชียนจย่งลุกขึ้น เอ่ยเสียงดัง “ข้าจะไปสังหารเซียวเชียนเยี่ยและตาเฒ่าพวกนั้นตอนนี้เลย ดูว่าพวกเขายังจะโวยวายอีกหรือไม่”

“คุณชายสามระวังวาจาด้วย” ท่านซูถอนหายใจ เอ่ยเกลี้ยกล่อม วุ่นวายถึงขั้นนี้แล้ว หากมีข่าวกระจายออกไปว่าคุณชายสามสังหารฝ่าบาทและเหล่าขุนนาง นั่นเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟแล้ว

เซียวเชียนจย่งเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เช่นนั้นพวกท่านยังมีวิธีเช่นไรหรือไม่”

ท่านซูยิ้มขมขื่น มองไปยังเฉินอวี้ที่นั่งอยู่ด้านข้าง เฉินอวี้หลุบตาลง ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างสงบไม่เอ่ยวาจา เขาเป็นขุนพล

เซียวเชียนชื่อทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เรื่องราววุ่นวายมาจนถึงขั้นนี้แล้ว…ยังมีวิธีใดอีกเล่า” วังหลวงถูกราษฎรล้อมเอาไว้ นอกจากออกคำสั่งให้ปราบปราม มิเช่นนั้น..พวกเขาก็ไม่มีวิธีอื่นใดแล้ว ไยเรื่องจึงมาถึงขั้นนี้ได้เล่า

เซียวเชียนเหว่ยสีหน้าทะมึนไม่เอ่ยปาก นั่งเหม่อลอยอยู่เงียบๆ เซียวเชียนชื่อมองเขาแล้วจึงถอนหายใจออกมา

เสด็จพ่อ หากพระองค์ยังไม่ฟื้นอีก เมืองจินหลิงคงต้องโกลาหลแล้ว

จวนตระกูลเซี่ย หนานกงมั่วนั่งดื่มชาอยู่ในห้องหนังสือกับเซี่ยโหว เซี่ยโหวมองหนานกงมั่วที่ยังนิ่งสงบ เลิกคิ้วพลางเอ่ย “วุ่นวายถึงขั้นนี้แล้ว จวิ้นจู่ยังสงบอยู่ได้หรือ มีแผนอยู่ในใจแล้วหรือไม่”

หนานกงมั่ววางถ้วยชาลง ยิ้มบางพลางเอ่ยว่า “เซ่ยโหวชมเกินไปแล้ว ไยเซี่ยโหวจึงไม่คิดว่าข้าเป็นคนนอกเล่า” เรื่องไม่เกี่ยวกับตัวเอง ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ

เซี่ยโหวลูบเคราของเขาเบาๆ ส่ายศีรษะแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นจู่คิดว่าตนเองเป็นคนนอกได้ หรือว่าคุณชายเว่ยเองก็เป็นคนนอกด้วยเล่า ความคิดของท่านอ๋องข้าเข้าใจ เพียงแต่…การกระทำเช่นนี้โหดร้ายเกินไปสักหน่อย” เมืองจินหลิงกลายเป็นเช่นนี้ คนที่ต้องตายและร้านค้าที่เสียหาย เพราะราชสำนักหยุดทำการ คนส่วนใหญ่คือผู้บริสุทธิ์ เป็นเบี้ยที่ถูกบีบบังคับให้ออกมาทั้งนั้น ผู้ที่เดินหมากกระดานนี้ที่แท้จริงกลับไม่ได้รับความสูญเสียใดๆ

หนานกงมั่วเองก็จนปัญญา “นิสัยของเยี่ยนอ๋องเป็นคนเด็ดเดี่ยวเสมอ เกรงว่าคงไม่ยอมรับความโกรธของคนเหล่านั้น” ไม่ใช่ไม่มีวิธีสยบสถานการณ์ในยามนี้ แต่นั้นหมายความว่าเยี่ยนอ๋องต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อต่อสู้กับคนเก่าคนแก่ในราชสำนัก เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนอ๋องไม่ได้มีความอดทนเพียงนั้น

เซี่ยโหวทำได้เพียงถอนหายใจ ยิ้มมองหนานกงมั่วแล้วจึงเอ่ย “ไม่มีเรื่องคงมิได้มาเยือน ไม่รู้ว่าจวิ้นจู่มาวันนี้ มีเรื่องแนะนำอันใดหรือ”

หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “ยามนี้เจ้าหน้าที่กรมต่างๆ ต่างขอลางาน ลากิจบ้างป่วยบ้าง อู๋สยาอยากยืมคนจากเซี่ยโหวสักหน่อย”

เซี่ยโหวเลิกคิ้วนิ่งมองหนานกงมั่ว หนานกงมั่วเอ่ยต่อ “โวยวายก็โวยวาย งานที่ควรจัดการก็ต้องจัดการ บัณฑิตของสำนักศึกษาตระกูลเซี่ยเดิมทีก็เป็นเสาหลักของราชสำนักมาโดยตลอด อีกทั้งคุณชายในจวนของท่าน ไม่รู้ว่าจะขอยืมจากเซี่ยโหวสักพักได้หรือไม่เจ้าคะ”

เซี่ยโหวขมวดคิ้ว เอ่ย “เอ่อ…ไม่เหมาะสมกระมัง” มีลูกหลานตระกูลเซี่ยไม่น้อยเคยผ่านการสอบขุนนาง แต่ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาตระกูลเซี่ยกลับไม่เคยผ่านการสอบฮุ่ยซื่อ[1]

หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “เรื่องเร่งด่วนยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ ยิ่งไปกว่านั้น มาเป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษาตระกูลเซี่ยได้ ส่วนใหญ่คงได้รับการคัดเลือกแล้วกระมัง ใช่ว่าจะไม่สามารถรับราชการได้ ถือว่าเป็นการฝึกฝนก่อน เซี่ยโหวน่าจะรู้ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า…จะเริ่มสอบขุนนางแล้ว”

เซี่ยโหวใจเต้น ปีหน้าไม่ใช่การสอบขุนนาง ซิงเฉิงจวิ้นจู่เอ่ยออกมาแสดงว่าเยี่ยนอ๋องคงมีแผนการอยู่ในใจแล้ว เช่นนี้…ตระกูลเซี่ย ไม่อาจทำตัวไม่ชัดเจนอีกต่อไปได้แล้ว หลายวันก่อน หลังจากพูดคุยกับหนานกงมั่วเซี่ยโหวได้หารือกับลูกหลานในตระกูลอยู่นาน แม้ว่าไม่ได้แสดงออกชัดเจนทันทีว่ายืนอยู่ข้างเยี่ยนอ๋อง แต่ท่าทีตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็ทำให้คนนอกเข้าใจถึงการเลือกของตระกูลเซี่ยแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้…

“เช่นนี้ ข้ายังมีลูกหลานที่ไม่คู่ควรอยู่ไม่กี่คนคงต้องรบกวนจวิ้นจู่แล้ว” เซี่ยโหวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่มีความสามารถ มีชื่อเสียงเพียงเล็กน้อย ช่วยส่งจดหมายโน้มน้าวขุนนางเก่าแก่ในราชสำนักไม่กี่คน” เซี่ยโหวนั้นไม่ได้มีชื่อเสียงเล็กน้อย ตระกูลเซี่ยบ่มเพาะลูกศิษย์สอบจอหงวนมาได้ไม่น้อย สามในสิบที่เข้ามาอยู่ในราชสำนักยังรำลึกบุญคุณของสำนักศึกษาได้ นับว่าเป็นกำลังยิ่งใหญ่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ขุนนางทุกคนที่เข้าข้างเซียวเชียนเยี่ยต่อต้านเยี่ยนอ๋อง เพียงแต่เวลานี้หากไม่ไหลไปตามน้ำก็แสดงว่าตนไม่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีไม่ใช่หรือ

หนานกงมั่วยกมือขึ้นประสานด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณเซี่ยโหวมาก เยี่ยนอ๋องจะต้องจดจำน้ำใจอันงดงามนี้ของเซี่ยโหวขึ้นใจอย่างแน่นอน”

“จวิ้นจู่เอ่ยหนักแล้ว” เซี่ยโหวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“รายงานนายท่าน นายท่านตระกูลฉินมาเยี่ยมขอรับ” ด้านนอก เสียงผู้ดูแลดังขึ้น

เซี่ยโหวเลิกคิ้ว “โอ้ เวลานี้มาทำอันใดหรือ” หันไปมองหนานกงมั่ว หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “เซี่ยโหวเชิญตามสบายเถิด ข้าไม่รบกวนเซี่ยโหวแล้ว”

เซี่ยโหวพยักหน้า เอ่ยกับคุณชายเซี่ยเจ็ดที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เจ้าเจ็ด ไปส่งจวิ้นจู่ด้วย”

“ขอรับ” คุณชายเซี่ยเจ็ดเอ่ยตอบรับด้วยท่าทางนอบน้อม “จวิ้นจู่เชิญขอรับ”

“รบกวนคุณชายแล้ว”

คุณชายเซี่ยเจ็ดมาส่งหนานกงมั่วออกจากจวนด้วยตนเอง ทั้งสองเดินเคียงข้าง หนานกงมั่วมองสำรวจคุณชายเซี่ยเจ็ดที่มีชื่อเสียงไปทั่วจินหลิง คุณชายเซี่ยเจ็ดเองก็กำลังมองสำรวจซิงเฉิงจวิ้นจู่ผู้นี้ นี่ไม่ใช่การเจอกันครั้งแรกของทั้งคู่ แต่ไม่เคยได้สนทนากันมากนัก ลูกหลานตระกูลเซี่ยมีความสามารถมากมายทว่าพวกเขาต้องกดข่มเอาไว้และมุ่งมั่นในการสอน เพียงแต่หว่างคิ้วของคุณชายเซี่ยเจ็ดผู้นี้กลับไม่ได้แสดงความหดหู่ใจ บางทีอาจเพราะเขายังหนุ่ม และอาจเพราะยามนี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าอย่างไรมีใจก็ดีกว่าไม่มีใจ

[1]ฮุ่ยซื่อ การสอบคัดเลือกขั้นสุดท้าย ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบคือผู้ที่สอบได้ในระดับมลฑลและเป็นบัณฑิตจวี่เหรินแล้ว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *