หมอหญิงยอดมือสังหาร 1134 สละบัลลังก์ สืบทอดบัลลังก์ (1)

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1134 สละบัลลังก์ สืบทอดบัลลังก์ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1134 สละบัลลังก์ สืบทอดบัลลังก์ (1)

ในห้องเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดโจวเซียงก็ได้สติ เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “คุณชายเว่ยกำลังข่มขู่ข้าหรือ

“เป็นการเตือน” คุณชายเว่ยเอ่ยเสียงเรียบ

“ไร้ยางอาย” โจวเซียงกัดฟัน “เมื่อเทียบกับเยี่ยนอ๋อง เจ้านั้นจอมปลอมเสียยิ่งกว่า” ในสายตาของโจวเซียง สองพ่อลูกนี้ใครก็ไม่ดีทั้งนั้น แต่เยี่ยนอ๋องนั้นชั่วร้ายจริงๆ ส่วนเว่ยจวินมั่วก็เป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม คุณชายเว่ยไม่ใส่ใจนัก เอ่ยตอบเสียงเรียบ “ข้าไม่สนใจวาจาระบายความโกรธของผู้แพ้ ท่านโจวพอใจก็พอแล้ว”

วาจาที่อยู่ในปากของโจวเซียงต้องชะงักงัน ดวงตาจ้องเขม็งไปยังบุรุษตรงหน้า ปลายนิ้วสั่นเทาชี้ไปยังเขา ใบหน้าที่มีรอยยับย่นเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาวเดี๋ยวคล้ำ จนผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างต้องอกสั่นขวัญแขวน เกรงว่านายท่านของตนจะโกรธจนตายไปอย่างนี้

“นายท่าน…นายท่าน ใจเย็นขอรับ”

ในที่สุดโจวเซียงก็หายใจออกมาได้ จ้องเว่ยจวินมั่วเขม็งอยู่เนิ่นนาน พลันเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “ในเมื่อคุณชายเว่ยมาเชิญด้วยตนเอง อย่างไรข้าก็ต้องไว้หน้าเจ้า เพียงพระราชพิธีสละราชสมบัติวันพรุ่งนี้มิใช่หรือ ต่อให้เป็นราชโองการสืบทอดบัลลังก์ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าเขียนด้วยตนเองได้”

เว่ยจวินมั่วมองเขาเล็กน้อย พยักหน้าพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว” หยิบม้วนผ้าไหมสีทองออกมาจากแขนเสื้อยื่นไปตรงหน้าโจวเซียง โจวเซียงหางตากระตุกโดยไม่อาจควบคุมได้ ใบหน้าไม่น่ามองขึ้นมา ส่งเสียงหยัน ทว่ายังคว้าเอาผ้าไหมมาก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้องหนังสือไป เว่ยจวินมั่วไม่ได้ตามเข้าไป ทว่ายืนมือไพล่หลังอยู่ใต้ชายคา ชื่นชมดอกเบญจมาศในสวน ไม่นานโจวเซียงก็ถือสิ่งที่เขียนเรียบร้อยแล้วออกมา โยนให้เว่ยจวินมั่ว คุณชายเว่ยยกมือขึ้นมารับ เปิดราชโองการในมืออ่าน ก่อนจะพยักหน้า เอ่ยตอบ “ขอตัวลาแล้ว

“ไม่ส่ง” โจวเซียงเอ่ยเสียงเย็น

เว่ยจวินมั่วเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวราวกับนึกอันใดขึ้นได้ หันกลับมาเอ่ยกับโจวเซียง “หากใต้เท้าโจวคิดจะซื้อความเชื่อใจเสด็จพ่อด้วยวิธีนี้ เพื่อวางแผนจะทำอันใดในอนาคต เช่นนั้นควรล้มเลิกเสียเถิด ท่านน่าจะเคยได้ยิน เยี่ยนอ๋องอาฆาตพยาบาท” ดังนั้น อย่าว่าแต่โจวเซียงเขียนราชโองการสืบทอดราชสมบัติให้ ต่อให้ใต้เท้าโจวยอมทิ้งชื่อเสียงการจงรักภักดี เขียนบทกวีสรรเสริญกองพะเนิน เยี่ยนอ๋องก็ไม่มีทางให้ความเชื่อใจเขาแม้เพียงนิด

โจวเซียงจ้องบุรุษที่เอ่ยจบแล้วสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปเขม็ง ดวงตาถลนหงายหลังลงไป

“นายท่าน นายท่าน…ใจเย็นขอรับ ใจเย็นนะขอรับ”

โจวเซียงผลักผู้ดูแลที่กำลังประคองตนเองออกไป กัดฟันพลางเอ่ย “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ตายง่ายๆ เพียงนั้น ข้าต้องเก็บชีวิตนี้ไว้…เก็บชีวิตนี้เอาไว้ เขาไม่อาจทำให้ข้าโกรธจนตายได้”

เมื่อกลับถึงวังหลวง เยี่ยนอ๋องกำลังนั่งพูดคุยกับฉีอ๋องอยู่ในห้องทรงอักษร เยี่ยนอ๋องขึ้นครองบัลลังก์เร่งด่วน ไม่ทันได้ป่าวประกาศไปถึงผู้ปกครองเมืองต่างๆ แต่ว่าฉีอ๋องนั้นแตกต่าง อย่างไรก็เป็นน้องชายร่วมมารดาของเยี่ยนอ๋อง ความจริงแล้วเมื่อครั้งตีจินหลิงได้เยี่ยนอ๋องก็ส่งคนไปแจ้งฉีอ๋องให้เข้าเมืองมาแล้ว เพียงแต่ฉีอ๋องถูกย้ายไปอยู่ที่อี้โจวเส้นทางห่างไกล ไปกลับสามารถมาถึงก่อนวันขึ้นครองบัลลังก์ก็นับว่าเดินทางอย่างเร่งรีบแล้ว

ได้ยินคนรายงานว่าคุณชายเว่ยขอเข้าพบ ใบหน้าของเยี่ยนอ๋องพลันมีรอยยิ้มมากขึ้น “ให้เขาเข้ามา”

เห็นเช่นนั้น ฉีอ๋องเลิกคิ้ว เขารู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าพี่สามของตนให้ความสำคัญกับเว่ยจวินมั่วหลานชายผู้นี้ บางครั้งฉีอ๋องยังอดที่จะริษยาไม่ได้ อย่างไรพี่สามก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับบุตรชายเหล่านั้นของเขานัก ทว่าตอนนี้เข้าใจชัดเจนแล้ว ที่แท้ไม่ใช่ลุงหลานแต่เป็นพ่อลูกนี่ การได้มายากนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างแท้จริง ยามนี้สามารถรับบุตรชายผู้นี้กลับมาได้ยิ่งเป็นพันดีหมื่นดี เขากลับมายังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม พี่สามก็เอ่ยถึงบุตรชายผู้นี้ไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว แน่นอนว่าความสามารถและผลงานของเว่ยจวินมั่วก็เพียงพอให้เป็นที่น่าตกตะลึง

เว่ยจวินมั่วเดินเข้ามาจากด้านนอก มองเห็นฉีอ๋องเองก็ชะงักไป “เสด็จพ่อ เสด็จอาฉีอ๋อง”

ฉีอ๋องยิ้มร่าพยักหน้า หันกลับไปเอ่ยกับเยี่ยนอ๋อง “พี่สามช่างโชคดีนัก”

เยี่ยนอ๋องเองก็พึงพอใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ มองไปยังเว่ยจวินมั่ว เอ่ย “ได้ข่าวว่าเจ้าไปบ้านตระกูลโจวหรือ เจ้ายังสนใจตาแก่นั่นอีกหรือ”

เว่ยจวินมั่วหยิบม้วนผ้าไหมสีทองสว่างขึ้นมาจากแขนเสื้อ เยี่ยนอ๋องชะงักก่อนจะรับไปเปิดดู ใบหน้ามีความยินดีขึ้นมา “ตาแก่นั่นยอมแพ้แล้วหรือ” เยี่ยนอ๋องไม่ได้ให้ความสำคัญกับราชโองการที่โจวเซียงเขียนนัก แต่คนที่จะเขียนสิ่งนี้ออกมาได้ย่อมหมายความว่าโจวเซียงผู้นี้ยอมก้มหัวให้เขาแล้ว

วางม้วนผ้าไหมลงด้านข้าง รอประทับตราราชลัญจกร[1]ก็ได้แล้ว “ให้ตาเฒ่านั่นเขียนสิ่งนี้ คงใช้เวลาไม่น้อยกระมัง”

เว่ยจวินมั่วท่าทางไม่ใส่ใจ “ดื่มชาครึ่งชั่วยาม” ยังเป็นชาพระราชทานอีกด้วย

ฉีอ๋องมองทั้งสองด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “พี่สาม วันพรุ่งนี้ก็ต้องขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ตอนนี้พวกท่านยังว่างเช่นนี้ได้อีกหรือ”

เยี่ยนอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ “เพียงเข้าพิธีเท่านั้น จะมีความหมายอันใดเล่า รอขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เจ้าก็จะได้กลับไปยังเขตปกครองเดิมของเจ้า”

ฉีอ๋องยกมือขึ้นประสาน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องต้องขอบคุณพี่สามแล้ว” เดิมทีเขตปกครองของฉีอ๋องนั้นอยู่ชิงโจว แม้ไม่ได้ร่ำรวยมั่งคั่งอย่างเจียงหนาน แต่ก็เป็นใจกลางของจงหยวน ดีกว่าหมานอี๋ทางใต้กว่าหลายเท่า เมื่อครั้งที่ฉีอ๋องไปถึงหมานอี๋ครั้งแรกก็ป่วยหนักจนเกือบเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะกลับไปยังเขตปกครองเดิมของตน

“พี่น้องคนอื่นๆ ไม่ได้กลับมาเลยหรือ”

เยี่ยนอ๋องส่ายศีรษะ เอ่ย “เจ้าสิบเจ็ดจะมาถึงคืนนี้ คนอื่นๆ คงมาไม่ทัน ช่างเถิด รอใกล้สิ้นปีค่อยให้พวกเขาเข้าเมืองก็พอ”

ฉีอ๋องครุ่นคิด พยักหน้าพลางเอ่ย “จะว่าไปก็ถูก ยามนี้มีเรื่องไม่น้อย พวกเขาไม่กลับมาก็มีเรื่องน้อยลงไป”

เยี่ยนอ๋องมองเขา เอ่ย “ยามนี้มีเรื่องไม่น้อย ดังนั้น สองวันนี้มีเรื่องอันใดเจ้าก็ช่วยเหล่าหลานชายของเจ้าสักหน่อย”

ฉีอ๋องหัวเราะ เอ่ยตอบรับอย่างรวดเร็ว

ฉีอ๋องยังต้องไปพบไทเฮาที่วังหลัง พูดคุยต่อเพียงเล็กน้อยก็ขอตัวลา เยี่ยนอ๋องมองพิจารณาเว่ยจวินมั่ว ก่อนจะเลิกคิ้วพลางเอ่ย “ด้วยนิสัยของตาเฒ่าโจวเซียงนั่น คงไม่ตอบรับเขียนสิ่งนี้ให้เจ้าง่ายเพียงนี้กระมัง ไม่ใช่ไปให้เซี่ยหยวนเขียนให้หรือไม่ ทุ่มเทเพียงนี้เพื่ออันใด ยามนี้เจ้าทำให้โจวเซียงขุ่นเคือง เดี๋ยวเขาจะทำร้ายเจ้าในภายหลังเป็นแน่”

เว่ยจวินมั่วไม่ใส่ใจ เอ่ยเสียงเรียบ “ต้องใช้ตระกูลเซี่ยมิใช่หรือ การทำเช่นนี้ไม่ดีต่อชื่อเสียงของเซี่ยโหว”

เยี่ยนอ๋องเอ่ยเสียงหยัน “เจ้าช่างรอบคอบ ช่างเถิด แม้ตัวเจ้าเองยังไม่สนใจข้าก็ยากจะยุ่งด้วย”

เขาไม่มีความอดทนไปข้องเกี่ยวกับตาเฒ่าเหล่านั้นมาก เพียงปัญญาชนคร่ำครึที่ถูกเสด็จพ่อเนรเทศเท่านั้น หากก่อเรื่องเกินไปก็เนรเทศอีกครั้งเท่านั้น เซียวเชียนเยี่ยเกรงใจต่อพวกเขามาหลายปี คิดว่าตนเองเป็นขุนนางคนสำคัญผู้มีคุณธรรม เป็นบุคคลที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์แล้วหรืออย่างไร

เว่ยจวินมั่วเงียบไม่เอ่ยวาจาใด เยี่ยนอ๋องมองไปยังเว่ยจวินมั่ว เอ่ยเสียงเบา “หลายปีมานี้ เจ้าลำบากแล้ว หากเสด็จแม่ของเจ้าได้เห็นในยามนี้ คิดว่าคงดีใจไม่น้อย”

เว่ยจวินมั่วแสดงสีหน้าออกมาเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ได้ลำบากอันใด” ราวกับนึกอันใดขึ้นมาได้ ใบหน้าเย็นชาของคุณชายเว่ยมีรอยยิ้มบางๆ และความอ่อนโยนขึ้นมา

[1]ตราราชลัญจกร ตราสำหรับพระเจ้าแผ่นดินที่ใช้ประทับในเอกสารต่างๆ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *