หมอหญิงยอดมือสังหาร 1175 สายน้ำไม่หวนคืน

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1175 สายน้ำไม่หวนคืน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1175 สายน้ำไม่หวนคืน

พระชายาฉู่อ๋องมาเยือน…ผู้จัดการร้านตื่นเต้นขึ้นมากจนไม่รู้จะเอ่ยอันใดดี หนานกงชวี่เหลือบมองเครื่องประดับที่วางอยู่ในกล่องผ้าไหม หยิบปิ่นหยกขาวที่แกะสลักเป็นรูปดอกอวี้หลานออกมา ยื่นไปปักลงบนผมของหนานกงมั่ว ปิ่นปักผมชิ้นนี้ก็งดงามไม่แพ้กัน แกะสลักจากหยกขาว ฝีมือการแกะสลักแม้จะเรียบง่ายทว่าลายเส้นกลมมน ดอกอวี้หลานที่กำลังเบ่งบานมีความงามบริสุทธิ์ แต่เซวียเสียวเสี่ยวไม่ชอบเครื่องประดับเรียบง่ายเช่นนี้ เหมาะสมกับหนานกงมั่วมากกว่า

หนานกงมั่วชะงัก ยื่นมือขึ้นมาคลำปิ่นบนศีรษะ เมื่อครู่นางเพียงมองปิ่นชิ้นนี้มากไปสักหน่อย

หนานกงชวี่เอ่ย “บุรุษต้องให้ของขวัญบ่อยๆ มิใช่หรือ”

หนานกงมั่วได้ยินเช่นนั้น ยิ้มหวานอย่างอดไม่ได้ “เช่นนั้นต้องขอบคุณพี่ใหญ่แล้ว”

มุมปากของหนานกงชวี่ยกยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอันใดมากทว่ามองไปยังผู้จัดการร้าน “เอาเท่านี้เถิด”

ผู้จัดการร้านรีบพยักหน้าอุ้มกล่องผ้าไหมกลับไปคิดเงิน รู้สึกเสียใจไยจึงไม่เตรียมของให้มากกว่านี้สักหน่อย สองท่านนี้ไม่ใช่คนที่ขาดเงินเลยสักนิด แต่สามารถค้าขายได้เท่านี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว อย่างไรทั้งสองท่านนี้ก็ไม่ได้ไปร้านมีชื่อเสียงในจินหลิงทว่ามายังร้านเล็กๆ ที่ไม่ได้โด่งดังอันใดของเขา เห็นได้ชัดว่าสวรรค์ประทานโชคมาให้แล้ว

ความจริงมิใช่หนานกงมั่วไม่พาหนานกงชวี่ไปร้านใหญ่ๆ แต่ว่าสถานที่เหล่านั้นมีอันใดบ้างหนานกงมั่วพอจะคาดเดาได้อยู่บ้างก็เท่านั้น อีกทั้งช่วงนี้ตระกูลที่เตรียมสินสอดสินเจ้าสาวมีไม่น้อย สิ่งที่ควรมีก็รวบรวมได้พอสมควรแล้ว แม้แต่กิจการร้านค้าภายใต้ชื่อของฉู่อ๋องหลายวันมานี้ก็มีสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการ มิสู้มาสถานที่เหล่านี้ไม่แน่ว่าอาจมีสิ่งใดแปลกๆ

นี่ก็ได้ของที่ถูกใจแล้วมิใช่หรือ

ไม่นานผู้จัดการก็คิดบัญชีเรียบร้อย ยื่นรายการไปตรงหน้าทั้งสองคน “ท่านโหว พระชายา ทั้งหมดสี่ชิ้น นอกจากชิ้นบนศีรษะของพระชายา ทั้งสามชิ้นจะถูกส่งไปยังจวนจิ้งอานโหว ยอดเงินทั้งหมดสามพันสองร้อยตำลึงขอรับ” หนานกงชวี่รับรายการมา พยักหน้าพลางเอ่ย “ไปคิดบัญชีที่จวนข้าก็พอ”

ผู้จัดการร้านรีบพยักหน้า เห็นทั้งสองเตรียมตัวกลับจึงรีบไปส่งทั้งสองอย่างกระตือรือร้น

เพิ่งเดินมาถึงประตู ทว่าเผชิญหน้ากับไม่กี่คนที่กำลังเดินเข้ามา เกือบชนเข้ากับสตรีที่เดินนำหน้าเข้ามาอย่างเต็มแรง หนานกงชวี่สีหน้าเรียบนิ่ง เบี่ยงตัวหลบอีกฝ่าย ฝีมืออย่างหนานกงมั่วยิ่งไม่อาจโดนชนได้ง่ายๆ ยังใจดีดึงผู้จัดการที่อยู่ด้านหลังหลบไปด้วย ผู้จัดการผู้นี้ดูอายุย่างเข้าหกสิบแล้ว หากถูกชนเข้าเกรงว่าคงมีการบาดเจ็บไปถึงกระดูกแล้ว

สตรีที่เดินนำจูงมือสตรีด้านหลังเดินอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเดินพร้อมพูดคุยกับสตรีด้านหลัง ไม่สังเกตเห็นคนเดินมาด้วยซ้ำ รอจนพบว่ามีคนอยู่ เท้าก็กลับหยุดไม่ทันแล้ว แม้ว่าเหล่าหนานกงมั่วจะหลบได้ แต่สตรีผู้นั้นหยุดเท้ากะทันหันชนเข้ากับคนด้านหลังที่ถูกนางดึงเอาไว้

“โอ๊ย”

สตรีทั้งสองถูกชนจนมึนศีรษะ สาวใช้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็ตกใจไม่น้อ รีบเดินมาประคองทั้งสองคน

หนานกงชวี่หันกลับมามองหนานกงมั่ว เห็นนางไม่เป็นอันใดก็ไม่สนใจคนอื่น เอ่ยเสียงเบา “พวกเราไปกันเถิด”

หนานกงมั่วพยักหน้า กำลังเดินออกประตูพร้อมกับหนานกงชวี่ ทว่าได้ยินสตรีด้านหลังร้องตะโกนเรียกอย่างตกใจ “พี่เขยหรือ”

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เท้าของหนานกงชวี่ไม่หยุดยังคงเดินต่อไป ราวกับไม่ได้ยินเสียงเรียกจากสตรีด้านหลัง สตรีผู้นั้นกลับไม่ยอมแพ้ ก้าวเดินเข้ามากำลังจะดึงแขนเสื้อของหนานกงชวี่ “พี่เขย ท่านจำพวกข้ามิได้แล้วหรือ”

หนานกงมั่วยื่นมือไปจับมือคนผู้นั้นที่คิดจะดึงหนานกงชวี่เอาไว้ เลิกคิ้วเล็กน้อย สตรีตรงหน้าดูเหมือนอายุยี่สิบกว่า รูปโฉมนับว่าไม่เลว รู้สึกคุ้นตา อืม นึกออกแล้ว คือน้องสาวที่หลินซื่อพามายังจวนฉู่กั๋วกงเมื่อครั้งที่นางเพิ่งกลับมาจินหลิง หลินเย่ว์หลาน

“เจ้าเป็นใคร” หลินเย่ว์หลานถูกจับข้อมือเอาไว้ เอ่ยถามอย่างไม่พอใจ ทว่าเพิ่งเอ่ยจบพลันชะงัก รูปร่างหน้าตาของหนานกงมั่วไม่มีทางที่นางจะจำไม่ได้

“ท่านพี่หรือ” สตรีอีกคนที่ถูกสาวใช้ประคองเขาไว้หันกลับมา มองหนานกงชวี่พลางเอ่ยอย่างน่าสงสาร

หนานกงมั่วกุมขมับอย่างอดไม่ได้ หันหน้าไปมองหนานกงชวี่ สีหน้าของหนานกงชวี่กลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป ยังคงเย็นชาและสุขุมอย่างที่เคยเป็น ราวกับคนที่ปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันตรงหน้าไม่ใช่คนที่เคยเป็นภรรยาของเขาทว่าเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน หนานกงชวี่เอ่ยกับหนานกงมั่วเสียงเรียบ “มั่วเอ๋อร์ ไปกันเถิด”

หนานกงมั่วพยักหน้า สายตาเย็นชาเหลือบมองไปยังหลินซื่อและหลินเย่ว์หลาน

เห็นได้ว่าหลินซื่อไม่อาจยอมรับได้ถึงท่าทางเย็นชาไร้เยื่อใยของหนานกงชวี่ มือที่สาวใช้ประคองอยู่สั่นเทาราวกับถูกโจมตีอย่างรุนแรง “ท่านพี่ ข้า…”

หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเข้ม “แม่นางหลิน ระวังวาจาด้วย พี่ชายของข้าเพิ่งหมั้นหมาย คุณหนูตระกูลเซวียยังไม่ทันแต่งเข้ามา” หลินซื่อดูโทรมกว่าเมื่อครั้งที่เป็นฮูหยินน้อยในจวนฉู่กั๋วกงมาก ดูมีอายุมากกว่าอายุจริงไปอีกหลายปี ความจริงก็เข้าใจไม่ยาก ตระกูลหลินไม่ใช่ตระกูลใหญ่ ยิ่งไม่เหมือนบุตรสาวตระกูลจ้าวที่ทำเรื่องเช่นนั้นแล้วยังมีหน้ามีตาของตระกูลคอยคุ้มกัน หลินซื่อหย่ากับหนานกงชวี่ ตระกูลหลินรับนางกลับไปให้ที่อยู่อาศัยแก่นางก็นับว่ามีเมตตาที่สุดแล้ว คราแรกนางเป็นฮูหยินน้อยของจวนฉู่กั๋วกง พี่น้องตระกูลหลินแน่นอนว่าประจบประแจงนาง แต่ว่าจวนฉู่กั๋วกงไม่เหลือแล้ว นางเป็นสตรีที่หย่ากับสามี กลับมาถึงบ้านก็กินอยู่เสียข้าวเสียน้ำ ต่อให้สิ่งที่นางใช้ความจริงคือสินเจ้าสาวของนาง พี่น้องในตระกูลก็คงไม่ดีใจ

หลินซื่อเองไม่ใช่ไม่รู้ถึงเรื่องนี้ แต่จะให้นางต้องถูกเนรเทศไปทุกข์ยากลำบากกับหนานกงชวี่ นางไม่มีทางยอมเป็นแน่ นางคิดว่าเมื่อครั้งอยู่ในจวนฉู่กั๋วกงนั้นได้รับความลำบากไปไม่น้อยแล้ว แม้แต่ความรักที่มีต่อกันก็ไม่มี เรื่องอันใดนางจะต้องไปร่วมทุกข์กับหนานกงชวี่ เพียงแต่นางเองก็คงไม่รู้ หนานกงชวี่ที่ถูกกดถึงเพียงนั้นจะสามารถโงหัวขึ้นมาอีกครั้งได้ กระทั่งขึ้นไปได้สูงกว่าแต่ก่อน หนานกงชวี่อายุได้สามสิบก็มีความสามารถพาตนเองขึ้นมาสู่ตำแหน่งโหว อนาคตข้างหน้าไม่มีทางด้อยกว่าหนานกงไหวอย่างแน่นอน หนานกงมั่วยิ่งขึ้นไปจนถึงพระชายาอ๋อง เมื่อครั้งได้ยินข่าวนี้หลินซื่อแทบไม่เชื่อ ในใจของนาง หนานกงชวี่ไม่ได้เป็นคนมีความสามารถอันใด

คิดมาถึงตรงนี้ น้ำตาพลันไหลรินออกมาจากกระบอกตา

“ท่านพี่ หลายปีมานี้ข้าคิดถึงท่านมาก” หลินซื่อเอ่ยทั้งน้ำตา “ข้า…ข้ารอท่านกลับมาโดยตลอด”

หนานกงมั่วแสยะยิ้ม เมื่อรู้ว่าตระกูลหลินคิดเข้ามายุ่งเกี่ยวกับหนานกงชวี่ พวกเขาจะไม่สืบเรื่องตระกูลหลินได้อย่างไร ตลอดหลายปีมานี้หลินซื่อไม่ได้รอหนานกงชวี่มาโดยตลอด แต่เพราะไม่มีใครยินดีแต่งกับนาง เดิมทีตระกูลหลินอาศัยจวนฉู่กั๋วกงจึงพอมีหน้ามีตาอยู่บ้าง เมื่อจวนฉู่กั๋วกงล้มตระกูลหลินก็ลำบาก หลินซื่อเคยเป็นฮูหยินน้อยจวนฉู่กั๋วกง หนานกงชวี่แม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสามีที่ดี อย่างน้อยเขาอายุน้อยรูปโฉมดี นิสัยเย็นชาทว่าไม่ได้มีปัญหาเรื่องความเจ้าชู้หรือนิสัยแปลกประหลาด แม้แต่ตอนที่อยู่จวนฉู่กั๋วกง หลินซื่อไม่พอใจกับสถานการณ์ของตนคิดว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่เมื่อออกจากจวนฉู่กั๋วกงแล้วนางจึงได้รู้ว่า ด้วยฐานะของตระกูลหลินนางไม่อาจมีตัวเลือกที่ดีได้

ครั้งนั้นหลังจากหลินเย่ว์หลานถูกส่งกลับตระกูลหลิน ผ่านไปสองปีอายุไม่น้อยแล้วจึงได้แต่งไปกับพ่อม่ายเมียตายที่เป็นพ่อค้าคนหนึ่ง ส่วนหลินซื่อ มีเพียงชายชราอายุไม่น้อยที่ยอมแต่งกับนาง หรือไม่ก็แต่งไปเป็นอนุของคนอื่น แน่นอนว่านางไม่ยินยอม ดังนั้นจึงปล่อยผ่านมานานหลายปี กระทั่งมาถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ที่บ้านของมารดา เวลานานไปไม่เพียงน้องชายและภรรยา แม้แต่บิดามารดาของหลินซื่อเองก็ไม่ต้อนรับบุตรสาวที่เอาแต่ทำหน้าบูดบึ้ง รอจนข่าวการแต่งตั้งของหนานกงชวี่เผยแพร่ออกมา ตระกูลหลินก็รีบส่งคนมาหา น่าเสียดายที่ถูกหนานกงชวี่ปฏิเสธอยู่หน้าประตู ส่วนหลินซื่อ วันนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกันหลังจากที่ไม่ได้เจอมานานหลายปี

แม้จะไม่ได้ชอบหลินซื่อนัก แต่ความจริงหนานกงมั่วก็ไม่ได้มองหลินซื่อไม่ดีเพราะนางทิ้งหนานกงชวี่ยามตกทุกข์ได้ยากทันทีโดยไม่ลังเล อย่างไรหลินซื่อก็เป็นสตรีอ่อนแอธรรมดาคนหนึ่ง ยิ่งไม่ได้มีความรักลึกซึ้งกับหนานกงชวี่แต่อย่างใด ไม่ยอมพาตนเองไปรับโทษด้วยถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อเห็นหนานกงชวี่กำลังรุ่งเรืองแล้วอยากเข้ามาเกาะก็น่ารังเกียจเกินไปแล้ว โดยเฉพาะยังเอ่ยอีกว่าเฝ้ารอมาโดยตลอดคำเหล่านั้น ราวกับว่าหลินซื่อมีใจซื่อสัตย์เฝ้ารอสามีกลับมาอยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น หนานกงชวี่ยังคงไม่สนใจนางราวกับคนไร้ความรู้สึก

“แม่นางหลิน รบกวนเจ้าเอ่ยให้ชัดเจน เมื่อครั้งนั้นพี่ใหญ่ไปจากจินหลิงพวกเจ้าก็จากไปแล้ว เจ้าแสดงออกมาเยี่ยงนี้ หากแพร่งพรายออกไป คนไม่รู้จะคิดว่าพี่ใหญ่ของข้าใจจืดใจดำเอาได้” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเข้ม แม้ร้านนี้ไม่นับว่าใหญ่มาก ไม่ได้เป็นร้านที่มีชื่อเสียงในจินหลิง แต่ก็ยังมีคนเข้าออกมากมาย เพียงพวกเขายืนอยู่หน้าประตูชั่วครู่ก็เป็นที่สนใจของผู้คนไม่น้อยแล้ว หากคำของหลินซื่อถูกส่งต่อไปถึงตระกูลเซวีย แม้ว่านายทั้งสองแห่งตระกูลเซวียนั้นเป็นคนมีเหตุผล คิดว่าคงไม่เข้าใจหนานกงชวี่ผิด แต่ว่าที่พ่อตาและพี่ชายของภรรยาอาจจะลงมือให้ได้เจ็บเนื้อเจ็บตัวก็ไม่แน่ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ แม้หนานกงมั่วจะคิดว่าวรยุทธ์ของเซวียเจินและเซวียปินนั้นธรรมดา แต่หนานกงชวี่ก็ธรรมดาเสียยิ่งกว่าพวกเขาอีก

“ข้า…” หลินซื่อมองหนานกงมั่วด้วยความน้อยอกน้อยใจ เอ่ยอึกอัก

หลินเย่ว์หลานแต่งงานออกไปก็เปลี่ยนไปไม่น้อย เห็นท่าทางไม่สู้คนของหลินซื่อจึงโมโห ดึงนางพร้อมเอ่ยขึ้นเสียงกับหนานกงมั่ว “พระชายาฉู่อ๋อง โบราณว่าทำลายวัดดีกว่าทำลายครอบครัว พี่สาวของข้ากับพี่เขยได้กลับมาคืนดีกันนับว่าเป็นเรื่องดี ท่าทางไม่พอใจเช่นนี้ของท่านหมายความเยี่ยงไร”

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว มองสตรีตรงหน้าที่ดูฉลาดและปากร้ายกว่าหลายปีก่อนอยู่มากด้วยความประหลาดใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มเสียงเรียบ “ได้ยินมาว่าตระกูลหลินก็เป็นตระกูลผู้มีความรู้ เกรงว่าฮูหยินผู้นี้คงเข้าใจความหมายของคำว่ากลับมาคืนดีผิดไปแล้ว ปีนั้นพี่ใหญ่ของข้ากับแม่นางหลิน มากที่สุดก็คงเรียกว่าคนเห็นแก่ตัวหนีเอาตัวรอดเมื่อคู่ชีวิตมีภัยร้าย อย่างไรก็ไม่อาจใช้คำว่าคืนดีคำนี้ได้กระมัง”

ผู้คนที่รุมล้อมพลันนึกถึงเรื่องจวนฉู่กั๋วกงถูกยึดทรัพย์สินในปีนั้น เรื่องที่หนานกงชวี่ถูกเนรเทศ ค่อยๆ พากันพยักหน้า

หลินเย่ว์หลานรู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อย สะกิดแขนเสื้อของหลินซื่อบอกให้นางพูดอันใดสักอย่าง หลินซื่อกัดริมฝีปาก เอ่ย “ท่านพี่ ท่านโทษข้าจริงหรือ ตอนนั้น เป็นท่านต่างหากที่เอ่ยเรื่องหย่า”

“มั่วเอ๋อร์ ไปกันเถิด” หนานกงชวี่ไม่ได้มองหลินซื่ออีก เพียงเอ่ยกับหนานกงมั่ว

หนานกงมั่วพยักหน้า รู้สึกว่าสถานที่เช่นนี้ยกเหตุผลมาเอ่ยกับพวกเขาก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งสิ่งที่ควรเอ่ยก็เอ่ยไปแล้ว คนอื่นๆ แน่นอนว่าสามารถไตร่ตรองได้เอง เอ่ยมากไปจะทำให้คนเข้าใจว่าพวกเขารังแกคนอื่น

มองเห็นสองคนกำลังจะเดินออกจากร้านไป สองพี่น้องตระกูลหลินจึงร้อนใจ หลายวันมานี้คนตระกูลหลินไปขอพบหนานกงชวี่ไม่ใช่เพียงหนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่อาจได้เข้าประตู วันนี้ไม่ง่ายที่จะได้บังเอิญเจออยู่บนถนน หากปล่อยไปเช่นนี้…ตระกูลหลินของพวกนางคงจบสิ้นแล้วจริงๆ

ไม่สนอันใดมาก หลินเย่ว์หลานก้าวขึ้นมาสองก้าว เอ่ยเสียงดัง “พี่เขย พวกเรารู้ว่าท่านจะแต่งกับคุณหนูตระกูลเซวียแล้ว พี่สาวมีความรักต่อท่าน ไม่กล้าชิงชัง รอคุณหนูเซวียแต่งเข้าจวนแล้ว พี่สาวข้าจะปฏิบัติต่อคุณหนูเซวียในฐานะภรรยาที่ถูกต้องอย่างแน่นอน”

หลินซื่อไม่คิดว่าน้องสาวของตนจะเอ่ยวาจาเหล่านี้ต่อหน้าผู้คน ใบหน้าพลันแดงขึ้นมา ทว่าอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหนานกงชวี่ด้วยความคาดหวัง หนานกงชวี่กลับไม่หันกลับมา จูงมือหนานกงมั่วเดินออกไป

หลินเย่ว์หลานเห็นเช่นนั้นทั้งโกรธทั้งโมโห กระทืบเท้าเร่า “ไยเขาจึงเป็นเช่นนี้ พวกเรายอมถอยหนึ่งก้าวแล้วยัง…”

ผู้จัดการที่อยู่ด้านข้างลอบเบ้ปาก จิ้งอานโหวยังหนุ่มยังแน่น ตำแหน่งสูงส่งอำนาจยิ่งใหญ่ ต่อให้เขาอยากรับอนุก็มีคนมากมายที่อยากจะส่งหญิงสาวอายุน้อยมาให้ ยังจะเสียดายพวกเจ้าอีกหรือ

หลินซื่ออย่างไรก็ไม่เหมือนหลินเย่ว์หลานที่ฝึกฝนความหน้าด้านท่ามกลางผู้คนมาจากสามีกว่าหลายปี นางทั้งอับอายทั้งลำบากใจจึงลากหลินเย่ว์หลานออกไป หลินเย่ว์หลานปัดมือนางออกอย่างรำคาญ เอ่ย “โอกาสหาได้ยากเพียงนี้ ท่านไม่คิดจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สักนิดเลยหรืออย่างไร”

หลินซื่อเอ่ยไม่พอใจ “เขาใจแข็งดั่งหินผามาแต่ไหนแต่ไร ข้าจะทำอันใดได้” เมื่อครั้งที่พวกเขายังเป็นสามีภรรยานางเห็นเพียงหนานกงชวี่ที่เย็นชาไร้ความรู้สึก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดกัน

หลินเย่ว์หลานส่งเสียงหยัน มองหลินซื่อพลางเอ่ย “พี่สาว อย่าหาว่าข้าไม่เตือนท่าน นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของท่านแล้ว ให้จิ้งอานโหวรับท่านกลับไปเป็นภรรยารองหรือจะให้ท่านพ่อท่านแม่ยกท่านให้ตาเฒ่าวัยเจ็ดสิบ ท่านคิดเอาเองเถิด”

ถูกนางเอ่ยเตือน หลินซื่อหน้าซีด กำแขนเสื้อเอาไว้แน่น มองตามแผ่นหลังที่กำลังเลือนหายไปจากสายตาของสองพี่น้อง ความเสียใจจึงมีมากขึ้น ตอนนั้นทำไมนางถึงไม่ยอมถูกเนรเทศไปกับหนานกงชวี่ ความจริงหลายปีนั้นหนานกงชวี่ก็ไม่ได้รับความลำบากอันใดมากมาย เมื่อเทียบกับเฉียวเฟยเยียนแม่ลูกที่ถูกเนรเทศไปยังชายแดนแร้นแค้น หนานกงชวี่ที่ถูกเนรเทศไปชิงโจวทว่าไม่นานก็หนีไปอยู่โยวโจว จากนั้นชีวิตก็ราบรื่น หากตอนนั้นนางติดตามหนานกงชวี่ไปยังโยวโจว เช่นนั้นตอนนี้…จิ้งอานโหวฮูหยินก็คือนางแล้ว

นึกถึงวันใดที่บังเอิญเจอกับคุณหนูตระกูลเซวียผู้มีเกียรติคนนั้นบนท้องถนน ดวงตาของหลินซื่อพลันลุกโชนไปด้วยความอิจฉาและริษยา

เพียงน่าเสียดาย…มันสายไปแล้ว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *