หมอหญิงยอดมือสังหาร 1211 พรสวรรค์ ชื่อเสียง ความสามารถ
ตอนที่ 1211 พรสวรรค์ ชื่อเสียง ความสามารถ
ปกติแล้วคุณชายเซี่ยเจ็ดไม่ใช่คนไร้มารยาท แต่กับคนทะนงตัวมากเกินไปเช่นนี้ เขากลับรู้สึกขัดหูขัดตาจริงๆ แม้ว่าชายผู้นี้จะสวมเสื้อผ้าใหม่ที่ดูราวกับว่าเหมาะสมลงตัวอย่างที่สุด แต่การกระทำและท่าทางของเขากลับดูฝืนๆ มักจะยื่นมือออกไปลูบจัดเสื้อผ้าของตนเองอยู่บ่อยครั้งจนเห็นได้ชัดว่าเขาน่าจะเพิ่งใส่ชุดนี้เป็นครั้งแรก
ที่จริงก็ไม่เป็นไรหรอก คุณชายเซี่ยเจ็ดเองก็มีมิตรสหายมากมาย ในหมู่สหายของเขาก็มีคนที่มาจากครอบครัวยากจน ทว่าคนผู้นี้มาจากครอบครัวยากจนก็จริง และพอจะเห็นได้ว่าความยากจนข้นแค้นทำให้เขาผ่ายผอม แต่เขาก็ยังทำตัวเหมือนคนที่ไม่เคยแตะต้องการงานใดมาก่อน ทั้งๆ ที่ยังมีคนกำลังรอเขาอยู่ที่บ้านอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่เพียงแต่ทำอันใดเกินตัว แต่ยังทำให้คนในครอบครัวเดือดร้อนไปด้วยเพราะความฟุ้งเฟ้อของตนเอง คนเช่นนี้หากได้เป็นขุนนาง ถ้าไม่ใช่ขุนนางที่ดีแต่พูดเก่งแต่บนกระดาษแล้ว ก็ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างแน่นอน
เมื่อชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นท่าทางของเขาก็รีบดึงเอาไว้แล้วเอ่ยเกลี้ยกล่อมทันที “พี่เจี่ยงใจเย็นๆ จะไปพูดกับคนที่ไม่รู้ทำไม”
“ถูกต้องๆ พี่เจี่ยงมีพรสวรรค์เพียงนี้จะไปเสวนากับคนเช่นนี้ทำไม”
ชายหนุ่มดูเหมือนจะเชื่อ หลังจากที่เขาขึงตาใส่คุณชายเซี่ยเจ็ดด้วยความโกรธแล้ว ในที่สุดเขาก็หมุนตัวกลับไปนั่งดังเดิม
คุณชายเซี่ยเจ็ดขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ยเสียงเบา “คนผู้นั้นคือ…” หลี่ซวี่ตอบอย่างจนใจ “พี่เซี่ยก็พูดตรงไปหน่อย เขา…” เห็นได้ชัดว่าเขามองคุณชายเซี่ยเจ็ดเป็นพวกคุณชายเสเพลที่ไม่รู้จักวางตัว ผู้ศึกษาเล่าเรียนหนุ่มอีกด้านก็เอ่ยโน้มน้าวเขาเสียงเบา “ไม่แน่ต่อไปเขาอาจจะอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าเราก็ได้ พี่เซี่ยหาโอกาสไปขอโทษเขาเป็นการส่วนตัวดีกว่ากระมัง”
คุณชายเซี่ยเจ็ดเลิกคิ้วท่าทางไม่เข้าใจ หลี่ซวี่ถอนหายใจพลางเอ่ย “เขาคือเจี่ยงจื้อเฉิงจากหลิงโจว เป็นคนเก่งที่มีชื่อเสียง ได้ยินมาว่าใต้เท้าจ้าวเฟิ่งเจิ้งต้าฟู[1]อยากจะให้คุณหนูคนเล็กแต่งกับเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้ขึ้นตำแหน่งสูงอย่างรวดเร็วก็ได้”
“อ้อ? ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นญาติกับเจิ้งอ๋องแล้วล่ะสิ” คุณชายเซี่ยเจ็ดเอ่ยด้วยความสงสัย
หลี่ซวี่ยิ้ม “สมแล้วที่พี่เซี่ยอยู่จินหลิงมานาน ข้อมูลแน่นจริงๆ คุณชายเจี่ยงมีพรสวรรค์โดดเด่น เขาคงจะมีชื่อติดบนป้ายประกาศในการสอบครั้งนี้อย่างแน่นอน ก็คงไม่ถือว่าเป็นการอาศัยเกาะบารมีขุนนางขั้นสองอันใดหรอก”
คุณชายเซี่ยเจ็ดพยักหน้ารำพึง “ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“ถ้าอย่างนั้นท่าน”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าน้อยรู้ว่ากำลังทำอันใดอยู่” คุณชายเซี่ยเจ็ดกล่าวขอบคุณเขาด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
ในไม่ช้าคุณชายเซี่ยเจ็ดก็เข้าใจความเป็นมาของเจี่ยงจื้อเฉิง แม้ว่าเจี่ยงจื้อเฉิงจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหลิงโจว แต่เขาก็ยังห่างไกลจากคุณชายเซี่ยเจ็ดมาก ตอนที่คุณชายเซี่ยเจ็ดมีชื่อในประกาศสีทองเกรงว่าคนคนนี้จะยังคงท่องจำตำราปาวๆ อยู่ในสำนักศึกษาอยู่เลย ช่วงนี้คุณชายเซี่ยเจ็ดมีงานราชการมากมายจึงไม่ได้สนใจอันใดมากนัก เขาแค่รู้ว่ามีคนคนนี้อยู่เท่านั้น แต่คุณชายเซี่ยเจ็ดก็รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง คนผู้นี้เป็นผู้มีพรสวรรค์คนดังของเมืองหลิงโจวก็จริง แต่ดูไปแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่จะไม่หวั่นไหวกับอำนาจ เต็มใจที่จะอยู่อย่างลำบากสักหน่อย ทว่ากลับตกอยู่ในสภาพยากแค้นชัดเจน พวกขุนนางใหญ่และพ่อค้าผู้ร่ำรวยในเมืองหลิงโจวคงจะไม่ถึงกับตาบอดกันหมดหรอกกระมัง
คนมีอำนาจในหลิงโจวไม่ได้ตาบอดหรอก เพียงแต่คุณชายเจี่ยงผู้นี้ไม่ชอบพวกเขาก็เท่านั้น เจี่ยงจื้อเฉิงไม่ใช่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด กลับกันเขาคิดว่าตนเองเก่งและฉลาด การมีรายชื่อติดในป้ายประกาศสีทองย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย สำหรับเขา หากเขาตกลงแต่งงานเพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยก็จะได้ไม่คุ้มเสีย ตอนนี้เมื่อมองดูอีกทีก็พบว่าดีมากจริงๆ เขาเพิ่งจะเข้าเมืองหลวงมาได้ไม่นาน ก็จะได้เกี่ยวดองกับขุนนางขั้นสองแล้วไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดคิดว่ายามเขากำลังฮึกเหิมอยู่นั้นจะมีคนมาทำให้เขาอับอายซึ่งหน้าเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่รู้ชื่อของคุณชายเซี่ยเจ็ดแต่เจี่ยงจื้อเฉิงก็จดจำความแค้นของเขาไว้ในใจแล้ว
คุณชายเซี่ยเจ็ดถามเรื่องราวความเป็นมาของเจี่ยงจื้อเฉิงผู้นี้แล้วก็รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ ประสบการณ์ชีวิตของคนคนนี้ไม่ต่างจากที่เขาจินตนาการไว้นัก คนผู้นี้มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่แสวงหาอำนาจและความมั่งคั่งในอนาคตมากกว่าจะเป็นคนที่ทำเพื่อประโยชน์ของราษฎรได้
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีศีรษะของคนคนหนึ่งยื่นออกมาจากหน้าต่างข้างๆ จนคนที่ยืนติดหน้าต่างอดตกใจไม่ได้
ผู้มาเยือนสวมใส่เครื่องแบบขุนนางขั้นสามสีแดงทั้งตัว หน้าตาของเขาหล่อเหลาเป็นพิเศษ พอเขาเห็นคุณชายเซี่ยเจ็ดเข้าก็อดเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “ข้าได้ยินเสียงท่านจากข้างล่างก็รู้สึกว่าคุ้นหูจริงๆ ที่แท้ก็เป็นท่านนี่เองคุณชายเซี่ยเจ็ด”
คุณชายเซี่ยเจ็ดลูบหน้าผากตนเองอย่างจนใจ “พี่ฉังเฟิง ท่านยังสวมชุดเครื่องแบบอยู่เลย อยากโดนโบยหรืออย่างไร” การทำพฤติกรรมอันใดไม่เหมาะสมสง่างามในชุดเครื่องแบบราชการเช่นนี้ หากถูกฝ่ายตรวจการกล่าวโทษก็อาจจะต้องถูกโบยสักกี่ไม้ก็เป็นได้
ลิ่นฉังเฟิงพลิกตัวเข้ามาข้างในโดยไม่แยแส “จะมีฝ่ายตรวจการโผล่มาอยู่แถวนี้พอดีได้อย่างไร อีกอย่างพวกเราก็ทำงานกันแทบไม่ทันแล้ว แต่เจ้ากลับมาคุยเล่นกับคนอื่นอยู่ที่นี่ได้ด้วยหรือ” คุณชายเซี่ยเจ็ดตอบเขาด้วยรอยยิ้ม “จะเหมือนกันได้อย่างไร พี่ฉังเฟิงเป็นรองหัวหน้ากรมคลัง ส่วนข้าน้อยก็เป็นเพียงคนเกียจคร้านคนหนึ่งเท่านั้น” อีกอย่างข้าไม่ได้กำลังคุยเล่นอยู่
ดวงตาหงส์ของลิ่นฉังเฟิงกวาดไปรอบๆ เมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของคนรอบข้างก็เข้าใจทันที เขามองคุณชายเซี่ยเจ็ดด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “อ่า ถ้าอย่างนั้น…พวกเจ้าก็ทำเป็นไม่เห็นข้าก็แล้วกัน”
“…” ใครจะทำเป็นไม่เห็นขุนนางขั้นสามในชุดสีแดงสง่างามทั้งตัวเพียงนั้นได้
คุณชายเซี่ยเจ็ดถอนหายใจพร้อมกับลุกขึ้นยืนประสานมือขออภัยทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น “ช่างเถิด ออกมานานแล้ว ข้าเองก็ควรจะกลับได้แล้ว ใน…ห้องด้านข้างยังมีอีกคน” ลิ่นฉังเฟิงเคาะผนัง “ในนี้หรือ ไม่มีนี่?”
“…บางทีข้าอาจจะจำผิด ไปกันเถิด” คุณชายเซี่ยเจ็ดเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
จนกระทั่งทั้งสองคนเดินลงไปชั้นล่างแล้ว บนชั้นสองที่เงียบสงบก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เจี่ยงจื้อเฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ยิ่งมีสีหน้ามืดมน “เขาคือใคร”
คุณชายตระกูลเหวินที่นั่งอยู่กับเขาก็ดูอารมณ์เสียเช่นกัน “นั่นมันคุณชายเซี่ยเจ็ด เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรน่ะ!” คุณชายเหวินเองก็เป็นนักเรียนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งแห่งเมืองจินหลิง แม้ว่าเขาจะอายุห่างจากคุณชายเจ็ดประมาณสองถึงสามปี แต่คุณชายเซี่ยเจ็ดก็มีชื่อติดป้ายประกาศสีทองตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีแล้ว ยิ่งไม่ใช่คนที่เดินในทางเดียวกับพวกเขา เขาจึงได้แต่เห็นจากที่ไกลๆ และไม่เคยคุยกันสักครั้ง เมื่อครู่นี้คุณชายเซี่ยเจ็ดก็อยู่ในวงล้อมของคนมากมายจึงไม่ทันดูให้ดี ใครจะไปรู้ว่าคุณชายเซี่ยเจ็ดจะมาปรากฏตัวที่หอจอหงวนนี่ได้
“คนที่มาทีหลังนั่นล่ะใคร” เจี่ยงจื้อเฉิงถามด้วยสีหน้าย่ำแย่
คุณชายเหวินตอบ “ลิ่นฉังเฟิง คุณชายตระกูลลิ่น ท่านอย่าได้เห็นว่าเขาอายุน้อยแค่นั้นนะ ตอนนี้เขาเป็นถึงขุนนางขั้นสามระดับโทของกรมคลัง เป็นผู้มีตำแหน่งและอำนาจสูงส่งตัวจริง แถมยังเป็นสหายสนิทของฉู่อ๋องด้วย ยามอยู่ในกรมคลังและต่อหน้าพระพักตร์ คำพูดของเขายังเป็นที่ยอมรับมากกว่าอาลักษณ์กรมคลังเองเสียอีก”
ร่องรอยของความเกลียดชังและริษยาวาบขึ้นบนใบหน้าของเจี่ยงจื้อเฉิง บัณฑิตที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เขาต่างก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ และอดรู้สึกเห็นใจเจี่ยงจื้อเฉิงขึ้นมาไม่ได้ ผู้มีพรสวรรค์แห่งเมืองหลิงโจวแล้วอย่างไร เขายังไม่ทันจะได้สอบฮุ่ยซื่อก็ล่วงเกินคุณชายเซี่ยเจ็ดเสียแล้ว แม้ว่าตระกูลเซี่ยจะมีคนในราชสำนักไม่เยอะและมีตำแหน่งไม่สูงมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าตระกูลจ้าวและเจี่ยงจื้อเฉิงตัวเล็กๆ จะสั่นคลอนพวกเขาได้ง่ายๆ
เจี่ยงจื้อเฉิงย่อมเห็นสีหน้าของคนพวกนี้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็พูดอันใดออกมาไม่ได้ เพียงแต่มีสีหน้าเศร้าหมองลง แววตาของคุณชายเหวินวาบขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปลอบเสียงเบา “ไม่ต้องกังวลไป มีเจิ้งอ๋องอยู่ จะกลัวอันใดกับตระกูลเซี่ย”
เจี่ยงจื้อเฉิงตะลึงไปทันที ก่อนจะพยักหน้าและฝืนยิ้มออกมา “พี่เหวินเอ่ยถูกแล้ว”
พอลิ่นฉังเฟิงและคุณชายเซี่ยเจ็ดออกจากหอจอหงวนมาแล้วก็เห็นหนานกงมั่วยืนรอพวกเขาอยู่ไม่ไกล พอคุณชายเซี่ยเจ็ดหันกลับไปมองหน้าลิ่นฉังเฟิงที่กำลังส่งยิ้มมาให้เขาพอดี มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจ คุณชายเซี่ยเจ็ดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย “พระชายาให้ข้าไปลองเชิงพวกเขา แต่กลับให้พี่ฉังเฟิงไปรื้อเวทีของข้า นี่มัน…”
หนานกงมั่วเอ่ยยิ้มๆ “ก็ฟังมาพอสมควรแล้ว หรือว่าคุณชายเซี่ยอยากจะมาคุยเล่นกับพวกเขาทุกวัน ถ้าปล่อยให้พวกเขารู้ช้ากว่านี้ก็อาจจะเข้าใจนิสัยท่านผิดไปได้”
คุณชายเซี่ยเจ็ดสงสัย “พระชายาคิดว่าเพียงพอแล้วหรือ”
หนานกงมั่วยกมือขวาขึ้น ในมือนางถือกระดาษปึกหนึ่งที่เขียนคำวิจารณ์นโยบายต่างๆ ไว้เต็มไปหมดด้วยลายมือ นางเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็น่าจะพอแล้ว แต่คุณชายเจี่ยงผู้นั้นก็น่าสนใจอยู่นะ”
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “เจี่ยงจื้อเฉิง ไม่ใช่คนที่ชนะในงานชุมนุมกวีตอนปีใหม่หรือ”
คุณชายเซี่ยเจ็ดหยักหน้า “บทกวีของเจี่ยงจื้อเฉียงดีมากจริงๆ”
“แต่คำวิจารณ์นโยบายต่างๆ ไม่ค่อยเท่าไรเลย” หนานกงมั่วเอ่ย บทความของเขาเต็มไปด้วยโวหารลูกเล่นแพรวพราว เป็นบทความที่สวยงามจริงๆ แต่หากมองเนื้อหาแล้วกลับว่างเปล่าไร้น้ำหนักมาก หรือไม่ก็เป็นเพียงวาทศิลป์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ลิ่นฉังเฟิงเข้าใจ “พวกบัณฑิตก็เป็นแบบนี้ ถ้าเขียนบทกวีไม่ได้สักบทสองบท ต่อให้เก่งแค่ไหนคนอื่นก็จะถือว่าเจ้าเป็นคนธรรมดาที่ไร้การศึกษา”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะและถอนหายใจ “นักกวีก็ไปเขียนบทกวีให้ดีๆ ไปสิ ไม่แน่อาจจะเขียนบทกวีที่มีชื่อเสียงตกทอดไว้เป็นมรดกโลกได้อีก เก็บตำแหน่งนี้ไว้ให้คนที่เต็มใจทำงานไม่ดีกว่าหรือ”
คุณชายเซี่ยเจ็ดเอ่ยยิ้มๆ “ในความเป็นจริงก็ยังมีคนที่เขียนบทกลอนได้และทำงานได้ทั้งสองอย่างด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“หายากแล้ว” หนานกงมั่วเอ่ย
ทั้งสามเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันกลับจวนฉู่อ๋อง แต่กลับถูกคนที่อยู่ข้างทางคนหนึ่งเรียกไว้ก่อน “กระหม่อมถวายพระพรพระชายา”
หนานกงมั่วชะงักไปทันทีเมื่อพบว่าเขาคือองครักษ์ข้างกายฮ่องเต้ไท่ชู อดเอ่ยถามไม่ได้ “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ฝ่าบาทมีเรื่องด่วนอันใดหรือ”
องครักษ์ส่ายหน้า “ฝ่าบาทประทับอยู่ข้างบน มีรับสั่งให้กระหม่อมมาเชิญพระชายาและใต้เท้าทั้งสองขึ้นไปพ่ะย่ะค่ะ”
คุณชายเซี่ยเจ็ดและลิ่นฉังเฟิง พวกเขาสบตากันก่อนจะตามหนานกงมั่วไปยังโรงน้ำชาที่อยู่ข้างๆ พร้อมกับองครักษ์
ภายในห้องที่กว้างขวางและเปิดโล่งที่ชั้นบนสุด ฮ่องเต้ไท่ชูนั่งอยู่ในตำแหน่งเหนือสุดด้วยท่าทางสบายๆ มือข้างหนึ่งอุ้มเยาเยาไว้บนตักในขณะที่พูดคุยกับคนอื่นๆ ในห้องนั้นยังมีคนอื่นอยู่ด้วยหลายคน อานอานและคังเอ๋อร์ก็นั่งเล่นอยู่บนตั่งข้างๆ โดยมีซุนเหยียนเอ๋อร์นั่งดูแลอยู่ไม่ไกล องค์หญิง องค์ชาย เฉินอวี้และคนสนิทคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นี่กันหมด หนานกงมั่วไม่เข้าใจ คนเหล่านี้มาทำอันใดกันที่นี่
“อู๋สยามาแล้วหรือ” ฮ่องเต้ไท่ชูมองหนานกงมั่วที่กำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มพลางเลิกคิ้ว
“เสด็จแม่!” เยาเยาซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของฮ่องเต้ไท่ชูยื่นมือเล็กๆ ของนางออกมาก่อนจะขยับเท้าวิ่งไปหาหนานกงมั่วทันที
หนานกงมั่วโน้มตัวลงไปอุ้มนางขึ้นพลางเอ่ย “เสด็จพ่อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเพคะ”
ฮ่องเต้ไท่ชูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อีกสองวันก็จะถึงวันเกิดข้าแล้ว หลังจากนี้ก็น่าจะยุ่งมาก วันนี้มีเวลาว่างก็เลยออกมาเดินเล่น”
หนานกงมั่วมองรอบๆ อย่างเงียบๆ ด้วยรอยยิ้มจางๆ เฉินอวี้ลูบจมูกตนเองอย่างจนใจเป็นการแสดงว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะมาไม้ไหน
“พี่สะใภ้” เซียวเชียนเหว่ยและคนอื่นๆ ก้าวเข้ามาคารวะนาง หนานกงมั่วเองก็คารวะตอบ
เซียวเชียนจย่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเรากำลังพูดถึงท่านอยู่เลย แล้วก็เห็นผ่านหน้าต่างว่าท่านเดินผ่านไปด้านล่าง ถ้าพี่ใหญ่มาด้วย พวกเราก็ถือว่าอยู่กันครบแล้ว”
หนานกงมั่วถอนหายใจ “เขาออกไปนอกเมืองตั้งแต่เช้าแล้ว หากรู้ว่าพวกเจ้าว่างเพียงนี้ เขาจะต้องโกรธแน่” คนยุ่งก็ยุ่งมาก คนว่างก็ว่างมากเสียจริงๆ
เซียวเชียนจย่งได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มแห้งๆ ทันทีแล้วจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “พี่สะใภ้ ท่านมาทำอันใดที่นี่น่ะ พวกเราไปหาท่าน แต่คนที่จวนท่านกลับบอกว่าท่านออกมาตั้งแต่เช้าแล้ว มาอยู่กับคุณชายเซี่ยเจ็ดกับลิ่นฉังเฟิงได้เช่นไร” หนานกงมั่วกลอกตาโดยไม่เอ่ยอันใด ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยตอบ “องค์ชายสี่ปรักปรำแล้ว กระหม่อมเพียงบังเอิญเจอนางเท่านั้น ไม่ได้ไปกับนางเสียหน่อย”
คุณชายเซี่ยเจ็ดเอ่ยด้วยความเคารพ “กระหม่อมไปนั่งที่หอจงหยวนกับพระชายาอยู่พักหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนจย่งหมดความสนใจทันที เขาไม่ได้สนใจพวกบัณฑิตเลยแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ไท่ชูกลับสนใจขึ้นมาทันที เอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง เจอใครบ้างหรือไม่”
หนานกงมั่วส่งกระดาษที่เขียนด้วยลายมือปึกนั้นให้กับผู้ติดตามของฮ่องเต้ไท่ชู “หม่อมฉันได้พบเจอผู้มีพรสวรรค์มากมายจริงๆ ฝ่าบาทจะต้องได้ผู้มีความสามารถจากการสอบพิเศษปีนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว” ฮ่องเต้ไท่ชูกลับไม่ได้ดูรีบร้อน โบกมือให้ผู้ติดตามนำไปเก็บด้วยรอยยิ้ม
หนานกงมั่วอุ้มเยาเยาแล้วเดินไปนั่งข้างซุนเหยียนเอ๋อร์ อานอานเองก็ขยับเข้าใกล้ๆ ด้วยรอยยิ้มอย่างน่ารัก “เสด็จแม่”
หนานกงมั่วลูบใบหน้าน้อยๆ ของบุตรชายก่อนจะบีบแก้มกลมๆ ของคังเอ๋อร์ “คังเอ๋อร์ ยังจำข้าได้หรือไม่”
ใบหน้ากลมๆ ของคังเอ๋อร์ยิ้มกว้างไม่หยุด “เสด็จป้าใหญ่”
“ช่างเป็นเด็กน้อยที่ฉลาดจริงๆ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฮ่องเต้ไท่ชูมองดูหลานๆ ที่น่ารักทั้งสามคนอย่างมีความสุข หันไปถามเซียวเชียนชื่อที่อยู่ข้างกาย “ไยไม่พาจูเอ๋อร์ออกมาด้วยเล่า” เซียวเชียนชื่อตอบด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายใจ “จูเอ๋อร์มีนิสัยชอบเก็บตัวไม่ชอบออกจากบ้าน ลูกคิดว่าจะรอให้พระชายาที่แต่งเข้ามาสอนนางก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไท่ชูขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่สักพักก็พยักหน้า “ช่างเถิด เสด็จแม่ของเจ้าก็เลือกสะใภ้ดีๆ ให้แล้ว รอให้การสอบเสร็จสิ้นลงก่อนค่อยจัดพิธีแต่ง จวนเจ้าจะได้มีคนดูแล หากจูเอ๋อร์ไม่มีคนคอยสั่งสอนก็พาเข้าวังหลวงไปให้เสด็จแม่เจ้าดูแลสักระยะก็ได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ขี้อายอย่างนี้คงไม่ดี”
เซียวเชียนชื่อตอบรับอย่างรวดเร็ว “พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง”
ฮ่องเต้ไท่ชูหันไปมองภรรยาของเซียวเชียนเหว่ยทางด้านหนึ่งพลางนิ่วหน้าหนักขึ้น แต่เมื่อเขาคิดว่าตนเองมาที่นี่เพื่อผ่อนคลายและไม่ได้มาเอ่ยเรื่องน่าเบื่อจึงแค่มองผ่านจูชูอวี้ไปโดยไม่พูดอันใดอีก หนานกงมั่วอุ้มคังเอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขนพลางหยอกล้อเด็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม “วันนี้เสด็จพ่อพาคนตั้งมากมายออกมาจากวังหลวงด้วยจุดประสงค์ใดหรือเพคะ” คงไม่ถึงกับขนาดว่าว่างจนพาทุกคนออกมาเดินอวดบารมีในเมืองจินหลิงเล่นสักหน่อยหรอกกระมัง
เซียวเชียนจย่งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “พี่สะใภ้ไม่รู้หรือ”
หนานกงมั่วยักไหล่ “ข้าควรรู้อันใดเล่า”
เซียวเชียนจย่งเอ่ยยิ้มๆ “ที่แท้พี่สะใภ้ก็ไม่รู้จริงๆ มันเป็นการชุมนุมร้อยเผ่าน่ะ”
แล้วมันคือเรื่องบ้าอันใดกันเล่า
[1] ตำแหน่งขุนนางแพทย์
Comments