หมอหญิงยอดมือสังหาร 1212 ท่านก็ตรงเกินไป!

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1212 ท่านก็ตรงเกินไป! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1212 ท่านก็ตรงเกินไป!

การชุมนุมร้อยเผ่าย่อมไม่ใช่เรื่องบ้าอันใดอยู่แล้ว

ต้าเซี่ยรายล้อมด้วยหลายสิบประเทศและหลายร้อยชนเผ่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบางประเทศจะมีพรมแดนติดกัน แต่ส่วนใหญ่พวกเขาก็อยู่ห่างกันไกลหลายแสนหลานหมื่นลี้ ตัวอย่างเช่น อานจี้ที่อยู่ทางด้านตะวันออกสุดของต้าเซี่ยและซีเย่ว์ที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุดของต้าเซี่ย นอกจากจะมีต้าเซี่ยกั้นกลางไว้แล้ว ระยะห่างเป็นเส้นตรงระหว่างทั้งสองประเทศนี้ก็ยังคงมากกว่าความกว้างของประเทศพวกเขาเองหลายสิบเท่า ด้วยระยะทางที่ยาวไกลและภูมิประเทศสลับซับซ้อน จึงมีพ่อค้าเพียงไม่กี่รายจากทั้งสองประเทศเท่านั้นที่ติดต่อค้าขายกันโดยตรง ประเทศส่วนใหญ่ต่างก็ใช้ต้าเซี่ยเป็นทางผ่าน และการที่หลายสิบประเทศและหลายร้อยชนเผ่าจะมารวมตัวกันในที่เดียวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญๆ ในต้าเซี่ยเท่านั้น เช่น วันพระบรมราชสมภพของฮ่องเต้ วันอภิเษกสมรสของฮ่องเต้ พิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้ เป็นต้น แม้แต่งานฉลองวันพระบรมราชสมภพของฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ทุกปี ตอนที่เซียวเชียนเยี่ยขึ้นครองราชย์นั้นก็มีเรื่องให้ต้องกังวลมากมายก็เลยยังไม่มีการจัดงานเลยสักครั้ง ในขบวนคณะทูตจากประเทศต่างๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดีในครั้งนี้จึงมีกองคาราวานไม่น้อยติดตามมาด้วยเพื่อทำการค้าขายในต้าเซี่ย

อีกสองวันให้หลังก็จะเป็นวันฉลองพระบรมราชสมภพแล้ว งานชุมนุมร้อยเผ่าสามวันก็จะจัดขึ้นในช่วงสองวันนี้ หลังจากวันฉลองพระบรมราชสมภพแล้ว เมื่อคณะทูตจากนานาประเทศออกเดินทางกลับบ้าน กองคาราวานทั้งหมดก็จะต้องแยกย้ายกันไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศทางด้านตะวันตกที่หนทางยาวไกลและมีโจรชุกชุม การติดตามคณะทูตที่มีกองทหารคอยปกป้องคุ้มครองย่อมปลอดภัยกับพวกเขากว่ามาก

หนานกงมั่วลูบหน้าผากตนเอง “ชวีเหลียนซิงบอกแล้ว ข้าเกลือบลืมไปเลย มันคือวันนี้หรือ”

“ถูกต้องแล้ว พี่สะใภ้โปรดดูทางนั้น” เซียวเชียนเหว่ยชี้ออกไปนอกหน้าต่างตรงจุดหนึ่ง หนานกงมั่วมองตามมือเขาไป “ตรงนั้นคือ…”

“ตลาดน่ะ” เซียวเชียนจย่งตอบด้วยรอยยิ้ม

มุมปากหนานกงมั่วกระตุกเล็กน้อย “เป็นสถานที่ที่ดี”

เฉินอวี้ยิ้ม “ก็ไม่มีทางเลือกอื่น เมืองจินหลิงมีประชากรแน่นหนา จึงยากจะหาที่ดินกว้างขวางใหญ่โตเพียงนี้ได้ หากต้องใช้สถานที่นอกเมืองพวกเขาก็คงไม่ยินดี” ยังมีอีกที่หนึ่งที่ใหญ่โตมาก ตรงหน้าประตูวังนั่นอย่างไรเล่า แต่ใครล่ะจะกล้า

แน่นอนว่าพื้นที่บริเวณตลาดได้รับการเก็บกวาดตระเตรียมพื้นที่ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ตรงบริเวณที่เคยเป็นมุมอับมุมมืดตอนนี้กลับแออัดไปด้วยผู้คน มีกระโจมหลากสี และผู้คนในเครื่องแต่งกายแบบต่างๆ ผู้คนหลากสีผิวและสีผมผิวปากร้องเรียกเชิญชวนผู้ซื้อกันไม่หยุด ชาวบ้านจินหลิงมากมายก็มาร่วมสนุกครึกครื้นกันที่นี่ด้วย

เซียวเชียนจย่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินมาว่าตอนนี้ยังไม่ใช่ตอนที่คึกคักที่สุด ต้องรอยามกลางคืนถึงจะครึกครื้นยิ่งกว่านี้อีก”

หนานกงมั่วหันไปมองฮ่องเต้ไท่ชูก่อนจะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เสด็จพ่อคงไม่ได้วางแผนอันใดอยู่หรอกใช่หรือไม่เพคะ”

ฮ่องเต้ไท่ชูเลิกคิ้ว “ทำไม ไม่ได้หรือ”

หนานกงมั่วยักไหล่ “ไยจะไม่ได้ล่ะเพคะ” ใครจะกล้าปฏิเสธในสิ่งที่ฮ่องเต้คิดจะทำ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลกพิสดารอะไร ในฐานะฮ่องเต้ การที่ฮ่องเต้ไท่ชูจะเห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกบ้างเพื่อเปิดโลกก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด คนอื่นๆ ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้รู้สึกอันใด แต่เฉินอวี้กับเซวียเจินกลับมีสีหน้าอึมครึมลงทันทีและหันไปมองหนานกงมั่วด้วยสายตาขุ่นเคือง พวกเขายังหวังว่าพระชายาจะช่วยเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทสักหน่อย

หนานกงมั่วหลุดหัวเราะออกมา “ในเมื่อเสด็จพ่ออยากจะไปก็รอให้เย็นกว่านี้สักหน่อยดีหรือไม่เพคะ เวลานั้นท่านอ๋องก็น่าจะกลับมาแล้ว”

เฉินอวี้และเซวียเจินได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง หากมีฉู่อ๋องอยู่ด้วย อย่างน้อยๆ ก็พอจะรับรองความปลอดภัยของฝ่าบาทได้กระมัง

หนานกงมั่วครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะขยิบตาส่งสัญญาณให้ลิ่นฉังเฟิงไปตรวจตราการคุ้มครองขององครักษ์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นมา มิฉะนั้นก็อาจจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเอาได้

“พี่สะใภ้ ท่านได้ยินเรื่องที่องค์ชายอานจี้ป่วยเป็นโรคแปลกหรือยัง” เซียวเชียนจย่งเดินเข้ามาหาหนานกงมั่วแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น หนานกงมั่วจนคำพูดไปทันที เขาเป็นถึงองค์ชายคนหนึ่ง แขกผู้มีเกียรติมาที่จินหลิงและติดโรคประหลาด เขาไม่รีบไปหาหมอมาช่วยรักษาแต่กลับมีท่าทางตื่นเต้นถึงเพียงนี้

หนานกงมั่วส่ายศีรษะก่อนจะเอ่ย “ช่วงนี้ข้ายุ่งนิดหน่อย ก็เลยยังไม่ได้ยินเรื่องนี้”

เซียวเชียนจย่งยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก “ข้าได้ยินมาว่า…หมอนั่นไม่ได้ป่วยหรอก แต่ไปล่วงเกินคนอื่นเข้าโดยไม่ดูตาม้าตาเรือก็เลยถูกสั่งสอนน่ะ”

“เจ้าไปได้ยินมาจากไหน” หนานกงมั่วเอ่ยถาม

เซียวเชียนจย่งแค่นเสียงออกมาเบาๆ “เขาพูดกันลับๆ” แน่นอนว่าข่าวลือนี้แพร่กระจายแต่ในหมู่คนชั้นสูงในต้าเซี่ยเท่านั้น ส่วนชาวอานจี้ หากพวกเขาไม่สามารถจับทางได้ก็จะไม่มีวันรู้ความจริงได้เลย หนานกงมั่วมองสำรวจเซียวเชียนจย่งเล็กน้อยและพบว่าเขากำลังมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นจริงๆ นางอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ชอบหน้าองค์ชายอานจี้คนนี้มากหรือ”

เซียวเชียนจย่งกลอกตา “พี่สะใภ้ไม่รู้อันใด ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าพี่น้องหนานเย่ว์ที่หยิ่งทะนงสองคนนั้นน่ารำคาญมากแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าจะยังมีคนที่หนักกว่านั้นอีก อานจี้ก็แค่ประเทศเล็กๆ ที่อาศัยใบบุญของต้าเซี่ยประเทศหนึ่งเท่านั้น แต่องค์ชายนั่นกลับหยิ่งยโสโอหัง ทำตัวสูงส่งจนแทบจะลอยขึ้นฟ้าไปแล้วอยู่ตลอดเวลา เห็นแล้วมันน่าจะถูกเฆี่ยนสักที”

ขอแสดงความยินดีที่ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริง เขาถูกเฆี่ยนไปแล้วจริงๆ

“ข้าได้ยินมาว่าตอนที่เขาเพิ่งมาถึงใหม่ๆ ก็ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายในจินหลิง ทำอย่างกับว่าเขามีเงินอยู่คนเดียว ยังมีหน้าไปแย่งผู้หญิงกับคนอื่นอีก ช่างน่าไม่อายจริงๆ” เซียวเชียนจย่งยังคงร่ายวีรกรรมขององค์ชายอานจี้ต่อไป “เรื่องกลายเป็นว่าพ่อค้าคนนั้นยังรวยกว่าเขาเสียอีก ยังไม่รู้ด้วยนะว่าคนอื่นเขาเล่นตัวเองเข้าแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนต้าเซี่ย แต่เขาก็เป็นถึงองค์ชาย ไม่จำเป็นต้องทำให้คนอื่นมองว่าคนในราชวงศ์ต่างก็โง่เหมือนเขากันหมด”

“อะแฮ่ม น้องสาม” เซียวเชียนชื่อส่งสัญญาณเตือนให้เขาระวังคำพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

เซียวเชียนจย่งจึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนเองตื้นเต้นมากเกินไปแล้ว จึงกระแอมเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง “เอาเป็นว่าผู้ชายคนนี้น่ารังเกียจ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครถึงได้จัดการเสียจนเขาออกจากบ้านไม่ได้เลยทีเดียว หมอหลวงหลายคนไปตรวจเขามาแล้ว พวกเขาต่างก็บอกว่าไม่มีหนทางรักษา ตอนนี้ชาวอานจี้กำลังตามหาหมอไปทั่วเลย”

หนานกงมั่วเอ่ย “ถ้าเกิดองค์ชายอานจี้เป็นอันใดขึ้นมาที่ต้าเซี่ยจริงๆ จะไม่มีปัญหาหรือ”

เซียวเชียนจย่งพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมชาติ “จะมีปัญหาอันใดได้ ต่อให้มีปัญหาพวกเขาก็ได้แต่ต้องอดกลั้นไว้อยู่ดี” ต้าเซี่ยในตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างในช่วงปลายรัชกาลก่อนแล้ว การทำลายเป่ยหยวนในคราวเดียวอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับประเทศเล็กๆ อย่างอานจี้แล้วไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาแต่อย่างใด

ฮ่องเต้ไท่ชูเองก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับองค์ชายอานจี้อย่างเห็นได้ชัด พระองค์เอนกายบนตั่งนุ่มๆ พลางหมุนจอกสุราในมือเล่นขณะที่มองลิ่นฉังเฟิง ลิ่นฉังเฟิงถูกเขามองจนรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมาทันทีจึงได้เอ่ยถามขึ้นอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท?”

ฮ่องเต้ไท่ชูเลิกคิ้วก่อนจะเอ่ยถ่ามด้วยรอยยิ้ม “ฉังเฟิง ข้าได้ยินว่าท่านพ่อของเจ้าล้มป่วยหรือ”

“…” ลิ่นฉังเฟิงเงียบ เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเองไม่เรียกตาเฒ่านั่นว่าท่านพ่อมากี่ปีแล้ว

เมื่อฮ่องเต้ไท่ชูเห็นว่าเขาไม่เอ่ยอันใดก็ไม่ได้ถือสา เพียงแต่พูดอย่างสบายๆ “เจ้ายังเด็กจึงไม่เข้าใจอันใด ต้องรู้ว่าเรื่องน่าเสียดายบางเรื่องก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก หากมีเวลาก็กลับไปดูบ้างเถิด ระหว่างพ่อลูกจะมีความแค้นอันใดใหญ่โตจนไม่สามารถแก้ไขได้เลยหรือ”

ทีแรกลิ่นฉังเฟิงก็ยังคิดว่าฮ่องเต้ไท่ชูเพียงต้องการคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างพ่อลูกของเขาจริงๆ พอได้สติกลับมาและนึกขึ้นได้ว่าใครกำลังเอ่ยกับเขา เขาก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที พระประสงค์ของฝ่าบาท…ไม่ว่าฝ่าบาทจะมีเจตนาอย่างไร ลิ่นฉังเฟิงก็ได้แต่ต้องเอ่ยด้วยความเคารพ “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงสั่งสอน ฉังเฟิงเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ไท่ชูพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นก็ดี จะว่าไปอาหน่วน…ฮองเฮาหมิงอี้กับท่านแม่ก็สนิทสนมกัน โบราณว่าลูกอยากเลี้ยงดู แต่พ่อแม่ไม่คอยท่า[1] พวกเจ้าคนรุ่นใหม่มักชอบทำตามใจตัวเอง บางครั้งบางทีทำสิ่งใดก็ต้องคิดให้ดี จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง”

ฝ่าบาททรงรับสั่งด้วยความห่วงใยเต็มเปี่ยมเช่นนี้กลับทำให้ทุกคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ

ลิ่นฉังเฟิงยิ่งระมัดระวังมากขึ้น “ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าคนตระกูลลิ่นบางคนอาจทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยจริงๆ ส่วนเหตุผลที่ว่าไยฝ่าบาทจึงไม่จัดการสังหารตระกูลลิ่นไปเสียเลย ลิ่นฉังเฟิงกวาดหางตาไปมองเซียวเชียนเหว่ยที่มีสีหน้าแข็งทื่อไปเล็กน้อย ก็คงเป็นเพราะต้องการไว้หน้าบุตรชายตนเองกระมัง

หนานกงมั่วที่นั่งหยอกล้อเด็กๆ และสนทนากับซุนเหยียนเอ๋อร์อยู่ข้างๆ กลับดูเหมือนว่าไม่ได้ยินการสนทนาระหว่างฮ่องเต้ไท่ชูและลิ่นฉังเฟิง ไม่รับรู้เลยว่าบรรยากาศในห้องเงียบลงไป

เมื่อท้องฟ้ามืดลงเล็กน้อย ลานกว้างที่อยู่ห่างไกลออกไปก็มีชีวิตชีวาขึ้นและเต็มไปด้วยผู้คน บรรยากาศนั้นทำให้ฮ่องเต้ไท่ชูรู้สึกสนอกสนใจมาก พระองค์ลุกขึ้นยืนและต้องการจะร่วมสนุกไปกับชาวบ้านด้วย ทุกคนสวมใส่ชุดธรรมดาที่ค่อนข้างเรียบง่าย และแม้ว่าคนทั้งกลุ่มจะมีบุคลิกลักษณะที่โดดเด่น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป ขณะที่พวกเขากำลังจะออกไป องครักษ์ก็เข้ามารายงานว่าฉู่อ๋องมาถึงแล้ว หนานกงมั่วเห็นเฉินอวี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด ฮ่องเต้ไท่ชูเลิกคิ้วพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อมาแล้ว ก็ไปด้วยกันเถิด”

คนกลุ่มหนึ่งจึงออกจากร้านอาหารและเดินไปที่ตลาดเป็นขบวนใหญ่ด้วยท่าทางสบายใจ

เมื่อมีเว่ยจวินมั่วเดินข้างกายฮ่องเต้ไท่ชูแล้ว หนานกงมั่วจึงแยกตัวออกไปเดินข้างหลังอย่างเงียบๆ นางไม่ได้สนใจเดินเล่นไปพร้อมกับฝ่าบาท เพราะมันน่าเบื่อมากจริงๆ เด็กๆ ทั้งสามถูกส่งตัวกลับไปที่จวนตั้งนานแล้ว แม้ว่างานยิ่งใหญ่นี้จะมีชีวิตชีวาก็จริง แต่ผู้คนก็เสียงดังจอแจไปด้วย ในสถานที่แบบนี้มีคนอยู่ทุกประเภท หากจะพาเด็กๆ มาเดินเล่นตอนกลางวันยังพอไหว แต่หากเป็นกลางคืนควรเลี่ยงจะดีกว่า

ซุนเหยียนเอ๋อร์ไม่ชอบเดินใกล้ๆ เช่นกัน จึงบังเอิญเดินไปพร้อมกันหนานกงมั่วพอดี ทั้งสองมองหน้ากันพลางยิ้มก่อนจะเดินจับมือกันไป

คุณชายเซี่ยเจ็ดและลิ่นฉังเฟิงก็เดินอยู่ด้านหลังเช่นกัน ฮ่องเต้ไท่ชูไม่ได้รับสั่งว่าให้พวกเขาไปได้ ต่อให้พวกเขาจะคุยไม่เก่งก็ต้องติดตามไปด้วย หนานกงมั่วหันไปมองลิ่นฉังเฟิงที่ดูเหมือนจะคิดบางอย่างมาตลอดทาง คุณชายฉังเฟิงรู้สึกได้ถึงสายตาของนางจึงเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเลิกคิ้วพร้อมกับส่งยิ้มให้

“พวกเราเรียกองครักษ์เงากองหนึ่งมาแล้ว กองกำลังรักษาความสงบในเมืองหลวงก็เสริมกำลังแล้ว ยังมีองครักษ์ประจำพระองค์จากวังหลวงอีก ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยแล้ว” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยเบาๆ

หนานกงมั่วพยักหน้าท่าทางครุ่นคิด “ข้าเองก็คิดว่าคงไม่มีใครคิดลอบสังหารในเมืองจินหลิงอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือหรอก แต่ก็ต้องระวังไว้ก่อน สิ่งใดๆ ก็มีข้อยกเว้นได้”

ลิ่นฉังเฟิงพยักหน้า ก่อนจะมองไปทางฮ่องเต้ไท่ชูที่ดูเหมือนจะเดินไปข้างหน้าเขาอย่างกระตือรือร้นด้วยสีหน้าสับสน ฝ่าบาทเป็นถึงฮ่องเต้ เช่นนี้ดีแล้วจริงๆ หรือ

หนานกงมั่วรู้สึกอยากจะหัวเราะ ถึงอย่างไรฮ่องเต้ไท่ชูก็เป็นฮ่องเต้ที่พิชิตแผ่นดินบนหลังม้า จะให้เขานั่งอยู่ในวังคอยตรวจฎีกาและฟังขุนนางทะเลาะกันทั้งวัน ชีวิตก็น่าจะขมขื่นยิ่งกว่าการนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่นอกด่านเสียอีก หากไม่ใช่เพราะว่าสงครามในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ต้าเซี่ยอ่อนแอลง เกรงว่าฮ่องเต้ไท่ชูคงจะอยากไปพิชิตเป่ยหยวนด้วยตัวเองทันทีที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ไปแล้ว ที่จริงการออกมาสูดอากาศบ้างในยามนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด

ลิ่นฉังเฟิงเองก็รู้ว่าการวิจารณ์ฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องดี เขารีบสลัดความคิดล่วงเกินนั้นออกไปทันที “นี่นะ…ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายอานจี้อันใดนั่นร้องไห้โหยหวนตลอดสองวันมานี้ เจ้าถามคุณชายเสียนเกอดูหน่อยดีหรือไม่ว่าพอเท่านี้ได้หรือไม่ ต่อให้เขาไม่ตาย คนที่อยู่รอบข้างเขาจะทนไม่ไหวเอานะ” ใครจะทนฟังเสียงโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือดทุกวันได้เล่า ไม่เพียงแต่ในจวนพักรับรองของคณะทูตอานจี้เท่านั้น จวนที่อยู่ข้างเคียงก็เริ่มมีเสียงบ่นมาให้ได้ยินแล้วเหมือนกัน

หนานกงมั่วยักไหล่ “ข้าเองก็ทำอันใดไม่ได้ เจ้าก็รู้นี่ว่า ข้าเป็นคนไม่มีเหตุผล”

ลิ่นฉังเฟิงแค่นเสียงออกมาเบาๆ เป็นเชิงดูถูก “สองวันมานี้พวกเขาก็น่าจะสืบมาถึงตัวพวกเจ้าแล้ว ถ้าตอนนั้นเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็คงจะไม่น่าดูล่ะทีนี้”

หนานกงมั่วถอนใจก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ “เขาล่วงเกินศิษย์พี่ แล้วข้าจะทำอันใดได้ เจ้าคิดว่าเขาจะเชื่อข้าหรือ ข้าไม่อยากจะไปยั่วโมโหคนขี้หงุดหงิดเพราะคนนอกหรอกนะ” สองวันมานี้คุณชายเสียนเกอกำลังหงุดหงิดที่ไม่สามารถทรมานเขาอย่างต่อเนื่องได้อยู่เลย

“เจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ” ลิ่นฉังเฟิงถอนใจ

“ใครว่าไม่ใช่เล่า” หนานกงมั่วเห็นด้วย

คุณชายเซี่ยเจ็ดและซุนเหยียนเอ๋อร์ดูงุนงง “พวกท่านเอ่ยเรื่องอันใดอยู่หรือ” คุณชายเซี่ยเจ็ดเข้าใจได้ทันที “อาการเจ็บป่วยขององค์ชายอานจี้เป็นฝีมือของคุณชายเสียนเกอ…” ตระกูลฉินปิดข่าวได้ดีมาก คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับองค์ชายอานจี้ในจวนตระกูลฉินวันนั้นกันแน่ คนส่วนใหญ่ในเมืองจินหลิงเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าองค์ชายอานจี้เป็นโรคลมบ้าหมู ส่วนทำไมคนที่เป็นโรคลมบ้าหมูจึงได้ร้องได้น่าสังเวชเพียงนั้น จะมีใครสนใจกัน

คุณชายฉังเฟิงโบกพัดด้วยท่วงท่าสง่างาม “อย่าได้เอ่ยไป”

“…” ท่านก็เอ่ยออกมาแล้วนี่

พวกเขามาถึงตลาดในที่สุด ลานกว้างเนืองแน่นไปด้วยฝูงชน บรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวายิ่งกว่าตอนงานเทศกาลโคมไฟเมื่อสองสามวันก่อนเสียอีก แค่เสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบรวมถึงคนจากต่างแดนที่มีสีผิว สีผม และสีตาที่หลากหลายก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเวียนหัวตาลายได้แล้ว หนานกงมั่วรู้สึกนิ่งเฉยมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คนอื่นที่ไม่ค่อยได้เห็นภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่เช่นนี้ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นในทันที

ฮ่องเต้ไท่ชูโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนแยกย้ายไปเดินเล่นกันเอง ไม่ต้องติดตามเขาไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ให้เป็นที่สะดุดตา พวกที่ยังหนุ่มสาวหน่อยก็แยกย้ายกันไปทันทีตามรับสั่ง มีเพียงเฉินอวี้ เซวียเจิน และเว่ยจวินมั่วเท่านั้นที่ยังคงอยู่คอยคุ้มครองความปลอดภัยของฮ่องเต้ไท่ชู เซียวเชียนจย่งวิ่งเข้าไปลากแขนซุนเหยียนเอ๋อร์ทันที ซุนเหยียนเอ๋อร์ก็หันไปมองหนานกงมั่วด้วยสีหน้าลำบากใจ หนานกงมั่วดันนางยิ้มๆ “ไปเถิด ไม่ต้องสนใจพวกเรา” ซุนเหยียนเอ๋อร์และเซียวเชียนจย่งจึงเบียดฝูงชนจากไปด้วยแก้มแดงๆ พอลิ่นฉังเฟิงและคุณชายเซี่ยเจ็ดได้โอกาสก็หายตัวไปทันทีเช่นกัน หนานกงมั่วมองไปรอบๆ ก็พบว่าเหลือนางอยู่คนเดียวแล้ว

เซวียเจินมองหนานกงมั่วด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าว่าฮูหยินจะต้องไปกับพวกเราเสียแล้ว”

หนานกงมั่วเลิกคิ้วก่อนจะยิ้มให้เว่ยจวินมั่ว “ข้าไปเดินเล่นคนเดียวดีกว่า ไม่รบกวนพวกท่านแล้ว” อาภรณ์สีน้ำเงินหายไปฝูงชนในชั่วแวบเดียว เซวียเจินอึ้งงันไปทันที เฉินอวี้เอ่ยยิ้มๆ “ดูท่าว่าฮูหยินก็คิดว่าการเดินเล่นกับพวกเราไม่สนุก คุณชายคงต้องผิดหวังเสียแล้ว”

เว่ยจวินมั่วเหลือบมองเขาเบาๆ ไม่เอ่ยอันใด

เฉินอวี้ยักไหล่อย่างจนใจ ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขายืนกรานจะแยกฉู่อ๋องกับพระชายาสองสามีภรรยาไม่ให้ไปเดินเล่นด้วยกันสักหน่อย แต่ใครจะกล้าปล่อยให้ฉู่อ๋องไปในสถานการณ์แบบนี้ หากเกิดเรื่องใดขึ้นจริงๆ ต่อให้พวกเขาตายก็ชดใช้โทษไม่หมด

ฮ่องเต้ไท่ชูมองบุตรชายตนเอง แม้จะไม่เห็นความไม่พอใจบนสีหน้าของเว่ยจวินมั่ว แต่ก็ยังอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “ไม่ได้อยู่กับภรรยาสักครู่หนึ่งคงไม่เป็นไรกระมัง อู๋สยามีวรยุทธ์พอตัว เจ้ายังห่วงความปลอดภัยของนางอีกหรือ”

เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างสงบ “เสด็จพ่อคิดมากไปแล้ว ฝีมือของอู๋สยานั้นสร้างความมั่นใจให้กระหม่อมได้มากกว่าเสด็จพ่อและแม่ทัพทั้งสองเสียอีก”

“…” ฉู่อ๋อง ท่านก็ตรงเกินไป

[1]พ่อแม่ไม่คอยท่า สำนวนที่หมายถึง ยามที่ลูกอยากจะดูแลตอบแทนพ่อแม่ แต่พ่อแม่ก็อาจจะจากไปก่อนโดยไม่รอเสียแล้ว

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *