หมอหญิงยอดมือสังหาร 1233 วุ่นวาย

Now you are reading หมอหญิงยอดมือสังหาร Chapter 1233 วุ่นวาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1233 วุ่นวาย

เมื่อได้เห็นพระชายาทั้งหลายดื่มยาด้วยตาตนเองแล้ว ฮองเฮาจึงโล่งใจ เมื่อผ่อนคลาย ร่างกายจึงเอนไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว ถูกหนานกงมั่วประคองเอาไว้ได้ หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเบา “เสด็จแม่คงเหนื่อยแล้ว ตอนเย็นยังมีเรื่องอีกมากมาย ไปพักก่อนดีหรือไม่เพคะ”

ฮองเฮาพยักหน้า เอ่ยกับซุนเหยียนเอ๋อร์ “เหยียนเอ๋อร์ เจ้าดูแลพระชายาทั้งหลายอยู่ที่นี่…” เอ่ยถึงตรงนี้พลันชะงักไป ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “ภรรยาของเชียนเหว่ยไปไหนแล้วหรือ” ซุนเหยียนเอ๋อร์ส่ายศีรษะ เอ่ย “พี่สะใภ้สาม…คงมีธุระกระมังเพคะ” ฮองเฮาขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงไม่ได้สนใจ เอ่ย “ให้คนไปตามนางมาช่วยเจ้าเถิด อู๋สยา เจ้าพาข้าไปพักผ่อนสักหน่อย”

“เพคะ” หนานกงมั่วและซุนเหยียนเอ๋อร์เอ่ยขึ้นพร้อมเพรียง

หนานกงมั่วประคองฮองเฮาไปตำหนักหลัง ฮองเฮานั่งลงบนเบาะนุ่ม ใบหน้ามีความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด หนานกงมั่วมองพลางเอ่ยด้วยความห่วงใย “เสด็จแม่รักษาสุขภาพด้วยนะเพคะ” สุขภาพของฮองเอษเดิมก็น่าเป็นห่วง ไม่ได้มีอาการป่วยอันใด ทว่าดูออกได้ว่านับตั้งแต่มาถึงจินหลิง ฮองเฮาก็ดูแตกต่างไปจากเมื่อก่อน หลายปีก่อนฮ่องเต้ไท่ชูออกรบอยู่ข้างนอก ฮองเฮาดูแลกุมอำนาจคนเดียวในเมืองโยวโจว ยามนั้นลำบากนัก ทว่าไม่เคยเห็นฮองเฮาซูบผอมและเหนื่อยล้าอย่างตอนนี้

ฮองเฮาเงยหน้ามามองนาง เพียงยิ้มไม่เอ่ยวาจา เนิ่นนานจึงยกมือนวดหว่างคิ้ว เอ่ย “ฝ่าบาทบอกกับข้าว่าวันนี้ต้องระวังสักหน่อย เกรงว่าจะเกิดเรื่อง ไม่คิดว่าข้าระวังมากแล้วยังเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้”

หนานกงมั่วส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ไม่โทษเสด็จแม่เพคะ มีเพียงเป็นโจรพันปี ไม่มีการป้องกันได้พันปีเพคะ”

ฮองเฮาเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ต้องมีคำอธิบายแก่เหล่าอ๋องและพระชายาทั้งหลาย ไม่อาจให้พวกเขามีความไม่พอใจต่อฝ่าบาท” นางกำนัลคนหนึ่งเข้ามา คุกเข่าถวายพระพรฮองเฮา “พระชายา”

ฮองเฮายืดตัวนั่งนิ่ง เอ่ยถามเสียงเข้ม “เป็นอย่างไรบ้าง”

นางกำนัลส่ายศีรษะ “ทูลฮองเฮา ไต่สวนคนที่เข้าใกล้ของว่างทั้งหมดแล้วเพคะ ยังไม่มีเบาะแสเลยเพคะ”

ฮองเฮายิ้มเย็น “หรือว่าพิษนั้นหล่นมาจากบนฟ้าหรืออย่างไร”

นางกำนัลเอ่ย “คนของกรมอาญาใช้ทุกวิถีทางแล้ว ยังไม่มีใครยอมรับเพคะ อีกทั้ง…วันนี้วังหลังมีการคุ้มกันแน่นหนาเกรงว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทุกคนต่างไม่ได้เคลื่อนไหวเพียงคนเดียว ทุกคนต่างมองตรวจตราซึ่งกันและกัน ต่อให้คนไม่ต้องการชีวิตแล้ว คนที่ติดตามไปด้วยใช่ว่าจะไม่ต้องการชีวิตด้วยนะเพคะ”

ฮองเฮายกมือขึ้นมานวดขมับ หลักการนี้แน่นอนว่านางเข้าใจ เพราะต้องการป้องกันไม่ให้เกิดเรื่อง นางจึงตั้งใจเพิ่มกำลังคนในวัง คนเหล่านี้ยังไม่มีความสัมพันธ์จนมีความคิดที่จะปิดบังแทนอีกฝ่ายได้ มีสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิตตนเองด้วยหรือ เช่นนั้น…ใครเป็นคนวางยาพิษกันแน่

หนานกงมั่วครุ่นคิด เอ่ยถาม “มั่นใจว่าไม่มีใครหลุดรอดออกไปได้ใช่หรือไม่”

นางกำนัลพยักหน้า เอ่ย “ทุกคนที่อยู่ที่นี่ถูกควบคุมตัวหมดแล้วเพคะ ไม่มีใครหนีไปได้อย่างแน่นอน”

หนานกงมั่วเอ่ย “เช่นนั้นก็เริ่มสืบจากคนเหล่านี้ก่อนเถิด”

ฮองเฮามองไปยังหนานกงมั่ว “อู๋สยา หมายความเยี่ยงไรหรือ”

หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสด็จแม่ หากเป็นยอดฝีมือใช้พิษไม่จำเป็นต้องมีคนช่วยเหลือ ต่อให้ลงมือต่อหน้าทุกคน ใช่ว่าจะมีคนดูออก หม่อมฉันจำได้ว่า…สิ่งของทุกอย่างล้วนได้รับการตรวจพิษใช่หรือไม่เพคะ” นางกำนัลพยักหน้าตอบ “เพคะ นางกำนัลที่ทดสอบพิษต่างไม่มีผู้ใดได้รับพิษ ดังนั้นจึงให้เจ้านายกินได้อย่างวางใจ”

หนานกงมั่วเอ่ย “เช่นนั้นก็ตรวจสอบย้อนหลังมาตั้งแต่นางกำนัลตรวจพิษเถิด อย่าลืมตรวจสอบรายละเอียดของทุกคน”

นางกำนัลหันไปมองฮองเฮา ฮองเฮาพยักหน้า “ทำตามที่อู๋สยาบอกเถิด”

นางกำนัลผู้นั้นตอบรับ ก้าวถอยออกไปอย่างนอบน้อม

ฮองเฮาขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าว่าคนพวกนี้คิดจะทำอันใดกันแน่”

หนานกงมั่วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “ก็คงจะ…สร้างเรื่องวุ่นวายเบี่ยงเบนความสนใจกระมังเพคะ ซานเซ่อหลิงไม่ใช่พิษเอาชีวิต อย่างน้อยก็ออกฤทธิ์ทันที ต่อให้วันนี้ไม่มีหม่อมฉัน หมอหลวงก็สามารถรับมือกับพิษซานเซ่อหลิงได้ ดังนั้น เห็นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะสังหารเหล่าพระชายาเพคะ”

ฮองเฮารู้สึกโชคดีขึ้นมา “โชคดี…” หากเป็นพิษที่ตายทันทีเพียงเข้าปาก หรือพิษที่ได้เลือดเหล่านั้น วันนี้คงได้วุ่นวายแล้ว

หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ “แม้จะเอ่ยเช่นนี้…ก็ยังทำให้คนรู้สึกเกลียดนะเพคะ”

ในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ไท่ชูโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่ยืนอยู่ในห้องโถงออกไป ใบหน้าที่มีความดุร้ายโกรธขึ้นมา “ชั่วนัก”

เว่ยจวินมั่วนั่งอยู่ด้านข้าง มองเขาแสดงความโกรธอย่างสงบ ไม่เอ่ยห้ามและไม่เติมเชื้อเพลิง ฮ่องเต้ไท่ชูเดินกลับไปมาด้วยความโกรธ มองใบหน้าเรียบนิ่งของเว่ยจวินมั่วยิ่งโกรธขึ้นไปอีก “เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้เจ้าแสดงสีหน้าให้ข้าเห็นบ้างได้หรือไม่”

เว่ยจวินมั่วตวัดดวงตาขึ้นมา มองพระองค์พลางเอ่ยเสียงเรียบ “นี่เป็นสิ่งที่เสด็จพ่อเฝ้ารอมิใช่หรือ” ดังนั้น ตอนนี้พระองค์จะโกรธสิ่งใด

ฮ่องเต้ไท่ชูโกรธจนพูดไม่ออก เนิ่นนานจึงถอนหายใจออกมาเงียบๆ นั่งลงอีกครั้ง เอ่ย “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่ามีคนลงมือกี่คน แต่ว่า…ไยเขาจึงโง่เพียงนี้เล่า”

เว่ยจวินมั่วเอ่ยถาม “ตอนนี้เสด็จพ่อกำลังโกรธเพราะเขาไม่ลงมือหรือ”

“ข้าหวังว่าเขาจะลงมือจริงๆ อย่างน้อยแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้โง่เพียงนั้น” ฮ่องเต้ไท่ชูเอ่ยไม่พอใจ มองไปยังชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่ อดกุมขมับเอ่ยถามไม่ได้ “หรือเพราะตอนนั้นข้าเอาสมองให้เจ้าเพียงคนเดียวหรือ” แน่นอนว่าอาหน่วนเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียวเป็นที่สุด แต่ฮองเฮาเองก็ไม่ได้โง่นี่นา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยบุตรชายทั้งหลายถึงได้แตกต่างกันเพียงนี้

คุณชายเว่ยเงียบไม่เอ่ยวาจา แสดงออกให้เห็นว่าไม่ต้องการเอ่ยเรื่องน่าเบื่อเช่นนี้ ส่วนความทุกข์ของฮ่องเต้ไท่ชู เขาไม่รู้สึกสงสารแม้เพียงนิด เซียวเชียนเหว่ยมีความผิดเป็นเรื่องที่แน่นอน แต่ฮ่องเต้ไท่ชูไม่มีความผิดเลยเป็นไปได้หรือ แม้เยาเยาและอานอานยังเด็กอยู่ในตอนนี้ เว่ยจวินมั่วเองก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรจึงจะเป็นพ่อที่ดีคนหนึ่งแต่เขามั่นใจว่าตนเองจะไม่ปฏิบัติต่ออานอานอย่างที่ฮ่องเต้ไท่ชูปฏิบัติกับเซียวเชียนเหว่ย เซียวเชียนชื่อ แม้เขาจะไม่เป็นไปตามคาดหวังยามเติบโตแล้วก็ตาม

แน่นอนฮ่องเต้ไท่ชูไม่คาดว่าจะได้ยินคำพูดดีๆ ใดๆ เพียงถอนหายใจและโบกมือพลางเอ่ย “ช่างเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จัดการให้เสร็จแล้วค่อยว่ากันเถิด ให้คนตามเซียวเชียนชื่อพวกนั้นมา ข้ามีเรื่องจะสั่ง”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ในที่ลับแห่งหนึ่งในห้อง เสียงองครักษ์เอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม

เซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนจย่งต่างพากันรับรองแขกคณะทูตจากต่างแคว้น ขุนนางผู้มีอำนาจ ผู้ปกครองเมืองต่างๆ แม้ว่าการที่ท่านอ๋องหลายคนเร่งรีบออกไปทำให้แขกต่างประหลาดใจและสงสัย ทว่ายังมีองค์ชายอยู่ที่นี่ถึงสองคนพวกเขาจึงวางใจ ไม่ได้เอ่ยถามอันใด อย่างไรหลายเรื่องก็เป็นเรื่องของฝ่ายในอย่างเชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างพวกเขาเข้าไปยุ่งได้

เซียวเชียนจย่งรับรองแขกอย่างเบื่อหน่าย พลางเหม่อลอยอยู่เงียบๆ เซียวเชียนชื่อนั่งอยู่ด้านข้าง เห็นท่าทางของน้องชายแล้วก็คร้านจะเตือน อย่างไรทุกคนก็กำลังมีความสุข ไม่ได้มีใครสนใจท่าทางเหม่อลอยของเซียวเชียนจย่งนัก เพียงมองพื้นที่ว่างด้านข้างพลันขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้เซียวเชียนเหว่ยบอกว่ามีธุระจากนั้นก็ออกไปและไม่กลับเข้ามาอีก

เซียวเชียนจย่งได้สติกลับมา มองไปรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย พลันกลับมาเอ่ยถามเสียงเบา “พี่ใหญ่บอกว่าวันนี้อาจมีการลอบสังหาร คงจะไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ไยเขาจึงยังไม่มา พี่สามก็ไม่รู้ไปที่ใดแล้ว” เซียวเชียนชื่อส่ายศีรษะ เอ่ยเสียงเบา “บริเวณรอบตำหนักมีการคุ้มกันแน่นหนา ยังมียอดฝีมือมากมายคิดว่าคงไม่มีปัญหา อีกทั้ง…มือสังหารคงไม่มาที่นี่กระมัง” ความจริงเซียวเชียนชื่อคิดว่าขอเพียงฮ่องเต้ไท่ชูไม่ปรากฏ มือสังหารไม่มีทางมาโผล่ที่นี่อย่างแน่นอน หวาดกลัวไปก็เท่านั้น หากขุนนางเหล่านี้ถูกโจมตี พวกเขาคงรีบหนีเข้าไปด้านใน เพื่อสังหารคนที่ไม่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่คน ทำให้งานเลี้ยงคืนนี้ยุ่งเหยิงเพียงเท่านั้นหรือ

เรื่องขายหน้าเช่นนี้ เอ่ยว่าสำคัญ แต่หากว่าได้ขายหน้าไปแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ได้มีเนื้อส่วนใดหายไปนี่นา

เซียวเชียนจย่งพยักหน้า “มือสังหารพวกนั้นป่วยจริงๆ มีพี่ใหญ่อยู่ ใครจะสังหารเสด็จพ่อได้”

เซียวเชียนชื่อเอ่ยเตือน “ต้องระวังไว้ก่อน โจ่งแจ้งหลบหลีกง่าย หลบๆ ซ่อนๆ นั้นยากจะป้องกัน”

“รายงานท่านอ๋องทั้งสอง ฝ่าบาทเชิญพ่ะย่ะค่ะ” ชายท่าทางเหมือนองครักษ์คนหนึ่งรีบเข้ามาหา เดินมาหยุดตรงหน้าเซียวเชียนชื่อเอ่ยเสียงเบา

“เสด็จพ่อหรือ” เซียวเชียนชื่อเลิกคิ้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ กวาดตามองไปยังแขกรอบๆ งานด้วยความลังเล เซียวเชียนจย่งกลับอดไม่ได้ ลุกขึ้นมา เอ่ย “พี่ใหญ่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ไปดูหน่อยเถิด ได้เดินสักหน่อย นั่งมาตั้งแต่บ่ายแล้ว น่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”

เซียวเชียนชื่อครุ่นคิด สุดท้ายจึงไปขอให้ผู้ปกครองเมืองทั้งสองช่วยและออกคำสั่งกับเจ้าหน้าที่หลายคนเอาไว้ ก่อนจะลุกตามออกไป

ท่ามกลางกลุ่มคน โจวเซียงผมขาวใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยเหี่ยวย่นนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มขุนนางเก่า แม้จะดูแก่ลงไปมาก ทว่ายังดูมีชีวิตชีวา มองเห็นเซียวเชียนชื่อและเซียวเชียนจย่งจากไป มุมปากของโจวเซียงจึงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

“ท่านโจว เป็นอันใดหรือ” ขุนนางด้านข้างเห็นเขาเหม่อลอยจึงเอ่ยถามขึ้นมา

โจวเซียงได้สติกลับมา ยิ้มพลางเอ่ย “ไม่มีอันใด อายุมากแล้วเหม่อลอยง่าย ข้าเหนื่อยแล้ว คงต้องไปพักผ่อนสักหน่อย”

ขุนนางใหญ่พยักหน้า โจวเซียงอายุมากแล้วจริงๆ ครึ่งปีมานี้ยิ่งดูแก่ไปกว่าสิบปี ยามนี้ในมือยิ่งไม่มีอำนาจแล้ว หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงอันโดดเด่นของเขา คงไม่มีใครคุยกับเขามากนัก

มองโจวเซียงเดินออกไป กลุ่มแม่ทัพเซวียเจินและเฉินอวี้กำลังกระซิบกัน เซวียเจินมองไปยังโจวเซียงตัวสั่นงันงกเดินออกไปพลางเอ่ยถาม “เป็นอย่างไร เจ้าไปหรือข้าไป” เฉินอวี้ยกจอกเหล้าขึ้นมา รอยยิ้มอบอุ่นไม่เหมือนแม่ทัพที่อยู่ในสนามรบ ยิ้มบางเอ่ยเสียงเบา “เจ้าไปเถิด ที่นี่ให้เป็นหน้าที่ของข้า”

เซวียเจินเองก็ไม่โต้เถียงกับเขา พยักหน้าลุกขึ้น เขาออกไปชั่วครู่คงได้ลงมือ แม้ที่นี่ยังเงียบสงบ แต่หากเกิดเรื่องขึ้นมา เขาคนเดียวอาจคุมคนมากมายเหล่านี้ไม่ได้ ดังนั้นเรื่องที่ต้องใช้สมองยกให้เป็นหน้าที่เฉินอวี้เถิด เขาชอบใช้กำลังมากกว่า

หลายคนทยอยเดินออกไปอย่างไร้ร่องรอย ห้องโถงใหญ่ที่กำลังมีการบรรเลงดนตรีสนุกสนานไม่ได้มีคนสนใจนัก ต่อให้มีคนหนึ่งสังเกตเห็น ก็เพียงเลิกคิ้วครุ่นคิดบางอย่าง จากนั้นก็หันกลับไปดื่มเฉลิมฉลองพูดคุยสนุกสนานกันต่อ เรื่องไม่เกี่ยวกับตน ไยต้องกังวล

ในตำหนักห่างไกลแห่งหนึ่งในวังหลวง บรรยากาศตึงเครียดและหนาวเหน็บ

เซียวเชียนเหว่ยนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองไปข้างหน้าดวงตาแทบเต็มไปด้วยเลือด คนที่นั่งอยู่ห่างจากเขาออกไปไม่ไกลคือเกาอี้ปั๋วที่มีใบหน้าซีดขาว พูดอันใดไม่ออก ตอนนี้เพิ่งจะเดือนสอง อากาศเมืองจินหลิงยังหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาราวกับสวมชุดนวมหนาในฤดูใบไม้ร่วง เหงื่อซึมไปทั่วขมับ เพิ่งเช็ดออกไปไม่นานก็มีเหงื่อซึมออกมาอีก

จูชูอวี้นั่งอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยวาจา และไม่มองบุรุษทั้งสองตรงหน้า ไม่รู้กำลังเหม่อลอยคิดอันใดอยู่

เกาอี้ปั๋วมองไปยังบุตรสาวอย่างกล้าๆ กลัวๆ ในที่สุดก็รวบรวมความกล้ามองไปยังเซียวเชียนเหว่ย เอ่ยเสียงสั่น “ท่านอ๋อง ตอนนี้…ตอนนี้ควรทำเช่นไร”

เซียวเชียนเหว่ยจ้องเขาเขม็ง กัดฟันเอ่ย “ข้าเองก็อยากถามท่าน”

ไหนเลยเขาจะรู้ว่าควรทำเช่นไร เกาอี้ปั๋วตัวสั่นสะท้าน มองไปยังบุตรสาวอย่างอ้อนวอน

เซียวเชียนเหว่ยมองเกาอี้ปั๋วที่ตกใจจนสติแตก ในใจแทบอยากแทงเขาให้ตาย ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วถึงเหตุผลที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ไม่ยอมให้เขาแต่งกับจูชูอวี้ มีพ่อตาเช่นนี้ เขาไม่ตายแล้วจะเป็นอันใดได้อีก หลายปีมานี้จูชูอวี้ช่วยเหลือเขามากมาย ช่วยเขาวางแผนมากมาย ช่วยแก้ไขปัญหาไม่น้อย กระทั่งนำสินเจ้าสาวของตนมาให้เขาเพื่อชนะใจผู้คนด้วยเงินมากมาย แม้แรกเริ่มเซียวเชียนชื่อจะไม่เต็มใจแต่งกับจูชูอวี้ แต่ความรู้สึกนั้นก็ค่อยๆ หายไป อย่างไรคนที่จากจินหลิงไปแต่งงานที่โยวโจวไม่ใช่จูชูอวี้เพียงคนเดียวยังมีซุนเหยียนเอ๋อร์ด้วยมิใช่หรือ แต่เสด็จพ่อและเสด็จแม่กลับไม่เคยเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อจูชูอวี้ เรื่องนี้เซียวเชียนเหว่ยเองก็เคยคิดอยู่ในใจว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่ไม่ยุติธรรม รอเสด็จพ่อรับเว่ยจวินมั่วกลับมาแล้ว เขายิ่งรู้สึกว่าเสด็จพ่อกำลังพุ่งเป้ามาที่เขา ดังนั้นจึงยิ่งเย็นชาต่อจูชูอวี้ แต่ว่าตอนนี้…เซียวเชียนเหว่ยเริ่มรู้สึกว่าที่แท้ก็เป็นความผิดของเขา หากแรกเริ่มออกห่างจากจูชูอวี้และตระกูลจูฟังคำของเสด็จพ่อเสด็จแม่ตั้งแต่แรก คงไม่มีเรื่องราวในวันนี้ใช่หรือไม่

เมื่อสบมองเข้ากับดวงตาดุร้ายของเซียวเชียนเหว่ย เกาอี้ปั๋วก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว สั่นสะท้านอยู่ในใจ รีบเอ่ยเสียงสูง “ท่านอ๋อง พวกเราทำเพื่อพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวเชียนเหว่ยยิ้มเย็น “เพื่อข้าหรือ ข้าว่าพวกเจ้าแทบอยากให้ข้าตายเร็วๆ ด้วยซ้ำ”

จูชูอวี้ที่เหม่อลอยมาตลอดในที่สุดก็ได้สติกลับมาเพราะเสียงของทั้งสอง ขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “ท่านอ๋อง ตอนนี้เอ่ยเรื่องนี้ไปจะมีประโยชน์อันใด”

เซียวเชียนเหว่ยชะงัก กัดฟันเอ่ย “ตอนนี้ไม่เอ่ยเรื่องนี้ จะเอ่ยเรื่องใดได้เล่า” นึกถึงสถานการณ์ในยามนี้ เซียวเชียนเหว่ยอดยิ้มสมเพชออกมาไม่ได้ “ข้ายังทำอันใดได้ ปลงพระชนม์บิดา หึ…ต่อให้ข้าบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า เสด็จพ่อจะเชื่อหรือไม่ วันก่อนเกิดเรื่องลอบสังหารเสด็จพ่อคงสงสัยแล้ว แต่ไม่ว่าจะสืบจากมือสังหารหรือดึงตระกูลลิ่นลงนรก เสด็จพ่อก็ไม่เอ่ยเรื่องนี้ให้ข้ารับรู้แม้เพียงนิด เสด็จพ่อ…สงสัยข้าตั้งนานแล้วหรือไม่”

“…” จูชูอวี้นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกะทันหัน นางเองก็นึกไม่ออกว่าฮ่องเต้ไท่ชูสืบไปถึงขั้นใดแล้ว แต่มีเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วอยู่ นางจำต้องวางแผนถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด

เซียวเชียนเหว่ยกวาดของบนโต๊ะออก มือข้างหนึ่งกุมขมับเท้ากับโต๊ะอย่างไร้เรี่ยวแรง เอ่ย “ใช่แล้ว สถานการณ์เช่นนี้…เสด็จพ่อจะยังเชื่อข้าได้เยี่ยงไร เขาไม่แม้แต่จะบอกเสด็จแม่ด้วยซ้ำ…”

“ท่านอ๋อง สิ่งที่ต้องคิดในยามนี้ก็คือ ควรทำเช่นไร” ห้องทั้งห้องเงียบลง เสียงของจูชูอวี้เอ่ยขึ้น

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *