บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 151 ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายกันไปให้หมด

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 151 ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายกันไปให้หมด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 151 ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายกันไปให้หมด

ก่อนหน้านี้เสิ่นเทียนเคยวิจัยว่าเขาแบ่งโชคลิขิตกับคนอื่นหรือชี้แนะโชคลิขิตให้คนอื่น จะเพิ่มดวงชะตาของเขาได้

ยิ่งแบ่งโชคลิขิตให้คนอื่นมากเท่าไร ดวงชะตาทั้งสองคนก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น และห้าส่วนคือเส้นแบ่งเขต

แต่เสิ่นเทียนไม่เคยคิดเลยว่าสวมชุดผู้หญิงจะเพิ่มดวงชะตาได้ นี่มันไม่สมเหตุผลเลย!

เพราะเหตุใดกัน หรือว่าสวรรค์จะเป็นพวกชอบแต่งหญิง ชอบดูข้าแต่งหญิงกัน?

เสิ่นเทียนหลอมรวมอัสนีเทพธาตุดินลำดับห้าที่กระเด็นมาข้างกายเข้าไปในต้นกำเนิดอัสนีเทพไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจเหตุผล

การเพิ่มดวงชะตาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะการสวมชุดผู้หญิง

ถ้าเขาเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเพราะจ้าวเฮ่าฟื้นพลังบำเพ็ญแล้ว จ้าวเฮ่ามีคุณสมบัติกายบุตรแห่งโชคที่มีวงรัศมีดำครึ่งทองครึ่ง วงรัศมีพิเศษมาก

และโชคลิขิตที่ใหญ่ที่สุดในช่วงนี้ของเขาก็คือต้นกำเนิดอัคคีอรุณใต้ที่มาพร้อมกับเสี้ยวดวงวิญญาณของเจ้ากระบี่สุริยะฟ้า มันจะฟื้นพลังบำเพ็ญและปลุกคุณสมบัติกายให้เขา

เมื่อครู่เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าโดนมารดาเถาลวี่จีโจมตีร่างแหลกลาญ เสี้ยววิญญาณดวงหนึ่งถูกต้นกำเนิดอัคคีอรุณใต้พาหนีออกไป

ตามการคำนวณแล้ว ตอนนี้จ้าวเฮ่าน่าจะเจอกับอาจารย์นำโชคของตนแล้ว ดังนั้นเสิ่นเทียนให้จ้าวเฮ่าไปรอในหุบเขาก่อน ก็ถือว่าว่าผูกชะตากุศลกรรมสำเร็จแล้ว

ดังนั้นด้วยความที่โชคลิขิตตอบแทนกลับมา ดวงชะตาของเสิ่นเทียนกับจ้าวเฮ่าจึงเพิ่มขึ้นทั้งคู่

ได้เกาะโชคลิขิตใหญ่เช่นนี้ ดวงชะตาเพิ่มเป็นสีเขียวแก่ก็เป็นเรื่องปกติ

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนอดถอนหายใจให้ตัวเองมิได้ โชคดีที่การเพิ่มดวงชะตาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะชุดผู้หญิง ถ้าไม่อย่างนั้นจากนี้เขาจะไม่ต้องสวมชุดผู้หญิงบ่อยๆ หรือ

เสิ่นเทียนตัดสินใจเงียบๆ ในใจ หลังจากเป็นอิสระแล้วจะเปลี่ยนชุดผู้หญิงนี่ทันที

นี่คือประวัติศาสตร์อันมืดมนที่ไม่มีใครรู้ เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตที่เขาจะสวมชุดผู้หญิง

มันน่าขายหน้าเกินไปแล้ว!

ไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง!

ขอข้ามเรื่องที่เสิ่นเทียนกำลังว้าวุ่นใจอย่างยิ่งที่นี่ไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้มารดาเถาลวี่จียังคงฝ่าด่านเคราะห์ต่อไป

หลังจากอัสนีเทพกิเลนเสียหัวไป อานุภาพของมันพลันลดลงอย่างมาก ไม่นานก็ถูกทำลายสิ้น

ระหว่างที่สายฟ้าแตกกระจายไปทั่วฟ้าดิน ยังทำให้ทุกแห่งหนในหุบเขาหมอกลับแลเต็มไปด้วยพลังงานสายฟ้า ดูคึกคักอย่างยิ่ง

ร่างมารดาเถาลวี่จีรวมขึ้นอีกครั้ง เกราะเถาปริแตกเผยประกายแสงใบไม้ผลิลับๆ ใบหน้าขาวซีด ทั้งตัวนางเต็มไปด้วยบาดแผล ตรงบาดแผลยังมีประกายสายฟ้าขยับแสง แฝงไว้ด้วยพลังแห่งกฎเกณฑ์ นี่ทำให้มารดาเถาลวี่จีฟื้นฟูบาดแผลได้ยากลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หลังจากฝ่าอัสนีเทพแก่กล้าธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟและดินห้าธาตุแล้ว นางเสียพลังไปมากเกินไป ผนวกกับประมือกับเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าก่อนหน้านี้ แม้นางจะชนะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่บาดเจ็บเลย

ในปราณกระบี่ของเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าแฝงไว้ด้วยพลังแห่งอัคคี และยังมีอานุภาพแห่งอัคคีแท้ของดวงตะวันที่มีความแข็งกร้าวและเป็นหยางสูงสุด

ปราณกระบี่นั้นทะลวงเถาหลักของเถากลืนกินเซียน เวลานี้ปราณกระบี่อัคคีอรุณใต้กลุ่มหนึ่งกำลังทำลายล้างในร่างมารดาเถาลวี่จีอย่างคลุ้มคลั่ง

นางไม่ได้อยู่ในช่วงที่เฟื่องสุดขีด กระทั่งถือว่าอยู่ในช่วงม้าตีนปลายแล้ว ทว่าเคราะห์สวรรค์ก็ยังไม่สิ้นสุด เคราะห์สวรรค์ลำดับหกที่แกร่งที่สุดเริ่มรวมตัวแล้ว

พลังงานสายฟ้าทั้งหมดกลางมวลอากาศเหมือนถูกขับเคลื่อน เมฆเคราะห์ภัยบนฟ้าเริ่มหมุนม้วนไม่หยุด พลังวิญญาณในรัศมีพันลี้ถูกสูบเข้ามา ก่อนจะรวมขึ้นเป็นร่างมายาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าน่าสะพรึงห้าตัวกลางเมฆเคราะห์ภัย ลงมาเยือนใต้หล้า

มังกรเขียว พยัคฆ์ขาว วิหคชาด เต่าดำ และกิเลน สัตว์เทพปัญจธาตุกำลังส่งเสียงคำราม พุ่งทะยาน กระทั่งหลอมรวมกัน

ผนึกใหญ่มหึมาร้อยจั้งปรากฏขึ้นกลางฟ้า แผ่กระจายอำนาจสวรรค์กว้างใหญ่ ผนึกนี้มีห้าหน้า ประทับเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์สัตว์เทพ เรียกขานกันว่าอำนาจสวรรค์ปัญจธาตุ

พลังงานห้าชนิดวนเวียนกันกลางผนึกใหญ่ไม่หยุด คละรวมกันเป็นร่างเดียว

ขาว เขียว ดำ แดงและเหลือง อัสนีห้าสีกำลังหลอมรวมกัน สุดท้ายรวมออกมาเป็นสีทองสว่างจ้า

สีนั้นคล้ายกับสีอัสนีเทพกำเนิดฟ้าตรงระหว่างคิ้วของเสิ่นเทียนเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะสูงส่งกว่า ยิ่งใหญ่กว่า

เสิ่นเทียนเห็น ‘ผนึกห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรม’ บนฟ้าแล้วเกิดความตระหนักเสี้ยวหนึ่งในใจ บทสุดท้ายของคัมภีร์จักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์ลอยขึ้นมาในความคิด

นั่นคือบทต้องห้ามเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์ ให้ความสำคัญกับการตระหนักความหมายของแก่นแท้วิชาอัสนีในเคราะห์สวรรค์

เคล็ดวิชานี้ก็เป็นหัวใจสำคัญสูงสุดของคัมภีร์จักรพรรดิอัสนี ทำให้ผู้ฝึกบำเพ็ญที่ฝึกเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมรวมอัสนีเทพกำเนิดฟ้าได้

‘ดังนั้น คัมภีร์จักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์ที่เป็นมรดกสูงสุดของฝ่ายข้า จริงๆ แล้วเป็นวิชาที่ตระหนักมาจากเคราะห์สวรรค์รึ’

เสิ่นเทียนสัมผัสอำนาจสวรรค์พลางแอบตกตะลึงอยู่ในใจ ทั้งยังเกิดความเลื่อมใสต่อจักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์จากใจจริง

กล้าใช้เคราะห์สวรรค์เป็นอาจารย์ หมายจะกุมกฎแห่งสวรรค์ ทั้งยังทำสำเร็จด้วย

พรสวรรค์ของจักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์เรียกได้ว่าเป็นที่สุดแห่งยุคจริงๆ มิน่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ถึงอยู่สุดยอดของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

มรดกวิชานี้แข็งแกร่งจนน่ากลัวจริงๆ!

เมื่อโคจรวิชาลับมองผนึกอัสนีกลางฟ้าแล้ว เสิ่นเทียนก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสอันดีงามยิ่งที่หาได้ยาก

ควรรู้ไว้ว่าไม่ใช่ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับฝ่าด่านเคราะห์ทุกคนที่จะพบ ‘เคราะห์อัสนีปัญจธาตุกำเนิดฟ้า’ มันหาได้ยากมาก

ตอนนี้เสิ่นเทียนอยู่ระดับสร้างฐาน เขาต้องหล่อหลอมฐานรากมรรคของตนให้อยู่ในสภาพจิตใจที่เสถียรภาพและเป็นจริงที่สุด

บังเอิญเสิ่นเทียนฝึกอัสนีเทพปัญจธาตุสำเร็จพอดี ฐานรากมรรคของเขาในห้าด้านก็สอดคล้องกับห้าสัตว์เทพเช่นกัน คล้ายกับผนึกห้าอัสนีบนฟ้าอย่างยิ่ง

ตรงนี้ เสิ่นเทียนแสดงออกเลยว่า ‘ไม่ลอกไม่ได้แล้ว!’

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็เริ่มเคลื่อนพลังฤทธิ์ในกายมาหล่อหลอมฐานรากมรรค แกะสลักลวดลายเทพที่คล้ายๆ กับผนึกห้าอัสนีบนฟ้าลงบนฐานรากมรรคของเขา

ลวดลายเทพเหล่านี้ลึกลับและเข้าใจยากยิ่ง แม้ว่าเสิ่นเทียนจะฝึกเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมก็ยังไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งอย่างถ่องแท้

แต่นี่เหมือนกับการสอบ ข้าไม่เข้าใจโจทย์ ไม่เข้าใจว่าคำตอบมาอย่างไร แต่แค่ลอกขั้นตอนไปก็ได้คะแนนแล้วไม่ใช่หรือ

แน่นอน ช่วงที่ประทับตราลวดลายเทพเหล่านั้น เสิ่นเทียนมีความตั้งใจมีสมาธิจดจ่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงอย่างไรการประทับลวดลายเทพบนฐานรากมรรคก็ไม่ใช่แบบปั้นรูปปั้นหรือปั้นอะไรโง่ๆ

ถ้าเกิดทำไม่ดีขึ้นมา เสิ่นเทียนก็ไม่อยากประสบเหตุการณ์ธาตุไฟเข้าแทรกอีกแล้ว

แต่บางทีอาจเป็นเพราะวิชาลับเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์ลึกลับและมหัศจรรย์ยิ่งก็ได้ หลังจากที่เสิ่นเทียนประทับตราลวดลายเทพลงบนฐานรากมรรคเรื่อยๆ แล้วกลับไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดใดๆ

ในทางตรงกันข้าม ฐานรากมรรคของเขาเริ่มเผยเสน่ห์ลึกลับออกมาช้าๆ ประกบคู่กับผนึกอัสนีลับๆ

สายฟ้าบนผิวกายหายไป เส้นผมที่โดนฟ้าผ่าจนควันขึ้น ใบหน้าดำเกรียมก็ค่อยๆ กลับมาสภาพเดิม กระทั่งเสิ่นเทียนยังรู้สึกได้รางๆ ว่าร่างตนกับสายฟ้าเคราะห์สวรรค์มีความใกล้ชิดกันขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ราวกับว่ามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน

……..

เสิ่นเทียนซ่อนอยู่ข้างๆ แอบโคจรวิชาลับเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์ ประทับตราลวดลายเทพของเคราะห์สวรรค์ หล่อหลอมฐานรากมรรค

ฟาร์มเงียบๆ ไป~

ทว่ามารดาเดาลวี่จีมองผนึกห้าอัสนีที่กำลังรวมอานุภาพพลังไม่หยุดด้วยใบหน้าสิ้นหวังยิ่ง

ในผนึกห้าอัสนีนี้ กำลังรบของสัตว์เทพทุกด้านเทียบเท่ากับกิเลนธาตุดินลำดับห้านั้น ตอนนี้ผนึกห้าอัสนีลงมา แม้แต่นางในช่วงเฟื่องสุดขีดก็อาจจะต้านไม่ไหว

จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารดาเถาลวี่จีในตอนนี้ที่บาดเจ็บสาหัสจากเคราะห์อัสนีห้าครั้ง

อัตราที่นางจะผ่านเคราะห์อัสนีที่หกนี้ได้แทบจะเป็นศูนย์

มารดาเถาลวี่จีเงยหน้ามองเคราะห์อัสนีบนฟ้าพลางกัดฟันพูด “สวรรค์ไม่ยุติธรรม! ช่างเถอะ ครั้งนี้ข้าแพ้แล้ว แต่ถ้าจะทำลายข้า มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น!”

บึ้ม~!

ยามนี้ทั้งหุบเขาหมอกลับแลเริ่มพังทลายลง เถากลืนกินเซียนมหึมาที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกพื้นดินเผยออกมาทั้งหมด

เครารากดั่งมรกต เถาวัลย์ดั่งมรกต ทุกส่วนทั่วร่างขยับแสงวาววับสวยงาม

ทว่าตอนนี้เครารากและเถาวัลย์ทั้งหมดกลับขดเป็นก้อนและเริ่มเน่าสลาย พวกมันสิ้นสีสันทั้งหมดไปก่อนจะรวมออกมาเป็นของเหลวสีสันแวววาว สมจริงดั่งมีชีวิตอยู่กลางอากาศ

ทันทีที่เห็นของเหลวหลายหยดนั้น เสิ่นเทียนตื้นตันจนน้ำตาไหล

ใช่ นี่ก็คือโชคลิขิตที่เขาเห็นเหนือศีรษะของฟางฉางก่อนหน้านี้

ฟางฉางแค่มาเดินเล่นในที่ราบหมอกลับแลก็หาเจอ

เหตุใดมาถึงข้าถึงเกือบเอาชีวิตไม่รอดล่ะ

ตอนนี้เสิ่นเทียนมีความคิดหนึ่งเดียวในใจ

ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายๆ กันไปให้หมด!

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 151 ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายกันไปให้หมด

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 151 ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายกันไปให้หมด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 151 ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายกันไปให้หมด

ก่อนหน้านี้เสิ่นเทียนเคยวิจัยว่าเขาแบ่งโชคลิขิตกับคนอื่นหรือชี้แนะโชคลิขิตให้คนอื่น จะเพิ่มดวงชะตาของเขาได้

ยิ่งแบ่งโชคลิขิตให้คนอื่นมากเท่าไร ดวงชะตาทั้งสองคนก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น และห้าส่วนคือเส้นแบ่งเขต

แต่เสิ่นเทียนไม่เคยคิดเลยว่าสวมชุดผู้หญิงจะเพิ่มดวงชะตาได้ นี่มันไม่สมเหตุผลเลย!

เพราะเหตุใดกัน หรือว่าสวรรค์จะเป็นพวกชอบแต่งหญิง ชอบดูข้าแต่งหญิงกัน?

เสิ่นเทียนหลอมรวมอัสนีเทพธาตุดินลำดับห้าที่กระเด็นมาข้างกายเข้าไปในต้นกำเนิดอัสนีเทพไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจเหตุผล

การเพิ่มดวงชะตาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะการสวมชุดผู้หญิง

ถ้าเขาเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเพราะจ้าวเฮ่าฟื้นพลังบำเพ็ญแล้ว จ้าวเฮ่ามีคุณสมบัติกายบุตรแห่งโชคที่มีวงรัศมีดำครึ่งทองครึ่ง วงรัศมีพิเศษมาก

และโชคลิขิตที่ใหญ่ที่สุดในช่วงนี้ของเขาก็คือต้นกำเนิดอัคคีอรุณใต้ที่มาพร้อมกับเสี้ยวดวงวิญญาณของเจ้ากระบี่สุริยะฟ้า มันจะฟื้นพลังบำเพ็ญและปลุกคุณสมบัติกายให้เขา

เมื่อครู่เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าโดนมารดาเถาลวี่จีโจมตีร่างแหลกลาญ เสี้ยววิญญาณดวงหนึ่งถูกต้นกำเนิดอัคคีอรุณใต้พาหนีออกไป

ตามการคำนวณแล้ว ตอนนี้จ้าวเฮ่าน่าจะเจอกับอาจารย์นำโชคของตนแล้ว ดังนั้นเสิ่นเทียนให้จ้าวเฮ่าไปรอในหุบเขาก่อน ก็ถือว่าว่าผูกชะตากุศลกรรมสำเร็จแล้ว

ดังนั้นด้วยความที่โชคลิขิตตอบแทนกลับมา ดวงชะตาของเสิ่นเทียนกับจ้าวเฮ่าจึงเพิ่มขึ้นทั้งคู่

ได้เกาะโชคลิขิตใหญ่เช่นนี้ ดวงชะตาเพิ่มเป็นสีเขียวแก่ก็เป็นเรื่องปกติ

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนอดถอนหายใจให้ตัวเองมิได้ โชคดีที่การเพิ่มดวงชะตาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะชุดผู้หญิง ถ้าไม่อย่างนั้นจากนี้เขาจะไม่ต้องสวมชุดผู้หญิงบ่อยๆ หรือ

เสิ่นเทียนตัดสินใจเงียบๆ ในใจ หลังจากเป็นอิสระแล้วจะเปลี่ยนชุดผู้หญิงนี่ทันที

นี่คือประวัติศาสตร์อันมืดมนที่ไม่มีใครรู้ เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตที่เขาจะสวมชุดผู้หญิง

มันน่าขายหน้าเกินไปแล้ว!

ไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง!

ขอข้ามเรื่องที่เสิ่นเทียนกำลังว้าวุ่นใจอย่างยิ่งที่นี่ไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้มารดาเถาลวี่จียังคงฝ่าด่านเคราะห์ต่อไป

หลังจากอัสนีเทพกิเลนเสียหัวไป อานุภาพของมันพลันลดลงอย่างมาก ไม่นานก็ถูกทำลายสิ้น

ระหว่างที่สายฟ้าแตกกระจายไปทั่วฟ้าดิน ยังทำให้ทุกแห่งหนในหุบเขาหมอกลับแลเต็มไปด้วยพลังงานสายฟ้า ดูคึกคักอย่างยิ่ง

ร่างมารดาเถาลวี่จีรวมขึ้นอีกครั้ง เกราะเถาปริแตกเผยประกายแสงใบไม้ผลิลับๆ ใบหน้าขาวซีด ทั้งตัวนางเต็มไปด้วยบาดแผล ตรงบาดแผลยังมีประกายสายฟ้าขยับแสง แฝงไว้ด้วยพลังแห่งกฎเกณฑ์ นี่ทำให้มารดาเถาลวี่จีฟื้นฟูบาดแผลได้ยากลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หลังจากฝ่าอัสนีเทพแก่กล้าธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟและดินห้าธาตุแล้ว นางเสียพลังไปมากเกินไป ผนวกกับประมือกับเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าก่อนหน้านี้ แม้นางจะชนะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่บาดเจ็บเลย

ในปราณกระบี่ของเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าแฝงไว้ด้วยพลังแห่งอัคคี และยังมีอานุภาพแห่งอัคคีแท้ของดวงตะวันที่มีความแข็งกร้าวและเป็นหยางสูงสุด

ปราณกระบี่นั้นทะลวงเถาหลักของเถากลืนกินเซียน เวลานี้ปราณกระบี่อัคคีอรุณใต้กลุ่มหนึ่งกำลังทำลายล้างในร่างมารดาเถาลวี่จีอย่างคลุ้มคลั่ง

นางไม่ได้อยู่ในช่วงที่เฟื่องสุดขีด กระทั่งถือว่าอยู่ในช่วงม้าตีนปลายแล้ว ทว่าเคราะห์สวรรค์ก็ยังไม่สิ้นสุด เคราะห์สวรรค์ลำดับหกที่แกร่งที่สุดเริ่มรวมตัวแล้ว

พลังงานสายฟ้าทั้งหมดกลางมวลอากาศเหมือนถูกขับเคลื่อน เมฆเคราะห์ภัยบนฟ้าเริ่มหมุนม้วนไม่หยุด พลังวิญญาณในรัศมีพันลี้ถูกสูบเข้ามา ก่อนจะรวมขึ้นเป็นร่างมายาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าน่าสะพรึงห้าตัวกลางเมฆเคราะห์ภัย ลงมาเยือนใต้หล้า

มังกรเขียว พยัคฆ์ขาว วิหคชาด เต่าดำ และกิเลน สัตว์เทพปัญจธาตุกำลังส่งเสียงคำราม พุ่งทะยาน กระทั่งหลอมรวมกัน

ผนึกใหญ่มหึมาร้อยจั้งปรากฏขึ้นกลางฟ้า แผ่กระจายอำนาจสวรรค์กว้างใหญ่ ผนึกนี้มีห้าหน้า ประทับเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์สัตว์เทพ เรียกขานกันว่าอำนาจสวรรค์ปัญจธาตุ

พลังงานห้าชนิดวนเวียนกันกลางผนึกใหญ่ไม่หยุด คละรวมกันเป็นร่างเดียว

ขาว เขียว ดำ แดงและเหลือง อัสนีห้าสีกำลังหลอมรวมกัน สุดท้ายรวมออกมาเป็นสีทองสว่างจ้า

สีนั้นคล้ายกับสีอัสนีเทพกำเนิดฟ้าตรงระหว่างคิ้วของเสิ่นเทียนเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะสูงส่งกว่า ยิ่งใหญ่กว่า

เสิ่นเทียนเห็น ‘ผนึกห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรม’ บนฟ้าแล้วเกิดความตระหนักเสี้ยวหนึ่งในใจ บทสุดท้ายของคัมภีร์จักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์ลอยขึ้นมาในความคิด

นั่นคือบทต้องห้ามเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์ ให้ความสำคัญกับการตระหนักความหมายของแก่นแท้วิชาอัสนีในเคราะห์สวรรค์

เคล็ดวิชานี้ก็เป็นหัวใจสำคัญสูงสุดของคัมภีร์จักรพรรดิอัสนี ทำให้ผู้ฝึกบำเพ็ญที่ฝึกเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมรวมอัสนีเทพกำเนิดฟ้าได้

‘ดังนั้น คัมภีร์จักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์ที่เป็นมรดกสูงสุดของฝ่ายข้า จริงๆ แล้วเป็นวิชาที่ตระหนักมาจากเคราะห์สวรรค์รึ’

เสิ่นเทียนสัมผัสอำนาจสวรรค์พลางแอบตกตะลึงอยู่ในใจ ทั้งยังเกิดความเลื่อมใสต่อจักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์จากใจจริง

กล้าใช้เคราะห์สวรรค์เป็นอาจารย์ หมายจะกุมกฎแห่งสวรรค์ ทั้งยังทำสำเร็จด้วย

พรสวรรค์ของจักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์เรียกได้ว่าเป็นที่สุดแห่งยุคจริงๆ มิน่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ถึงอยู่สุดยอดของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

มรดกวิชานี้แข็งแกร่งจนน่ากลัวจริงๆ!

เมื่อโคจรวิชาลับมองผนึกอัสนีกลางฟ้าแล้ว เสิ่นเทียนก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสอันดีงามยิ่งที่หาได้ยาก

ควรรู้ไว้ว่าไม่ใช่ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับฝ่าด่านเคราะห์ทุกคนที่จะพบ ‘เคราะห์อัสนีปัญจธาตุกำเนิดฟ้า’ มันหาได้ยากมาก

ตอนนี้เสิ่นเทียนอยู่ระดับสร้างฐาน เขาต้องหล่อหลอมฐานรากมรรคของตนให้อยู่ในสภาพจิตใจที่เสถียรภาพและเป็นจริงที่สุด

บังเอิญเสิ่นเทียนฝึกอัสนีเทพปัญจธาตุสำเร็จพอดี ฐานรากมรรคของเขาในห้าด้านก็สอดคล้องกับห้าสัตว์เทพเช่นกัน คล้ายกับผนึกห้าอัสนีบนฟ้าอย่างยิ่ง

ตรงนี้ เสิ่นเทียนแสดงออกเลยว่า ‘ไม่ลอกไม่ได้แล้ว!’

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็เริ่มเคลื่อนพลังฤทธิ์ในกายมาหล่อหลอมฐานรากมรรค แกะสลักลวดลายเทพที่คล้ายๆ กับผนึกห้าอัสนีบนฟ้าลงบนฐานรากมรรคของเขา

ลวดลายเทพเหล่านี้ลึกลับและเข้าใจยากยิ่ง แม้ว่าเสิ่นเทียนจะฝึกเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมก็ยังไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งอย่างถ่องแท้

แต่นี่เหมือนกับการสอบ ข้าไม่เข้าใจโจทย์ ไม่เข้าใจว่าคำตอบมาอย่างไร แต่แค่ลอกขั้นตอนไปก็ได้คะแนนแล้วไม่ใช่หรือ

แน่นอน ช่วงที่ประทับตราลวดลายเทพเหล่านั้น เสิ่นเทียนมีความตั้งใจมีสมาธิจดจ่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงอย่างไรการประทับลวดลายเทพบนฐานรากมรรคก็ไม่ใช่แบบปั้นรูปปั้นหรือปั้นอะไรโง่ๆ

ถ้าเกิดทำไม่ดีขึ้นมา เสิ่นเทียนก็ไม่อยากประสบเหตุการณ์ธาตุไฟเข้าแทรกอีกแล้ว

แต่บางทีอาจเป็นเพราะวิชาลับเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์ลึกลับและมหัศจรรย์ยิ่งก็ได้ หลังจากที่เสิ่นเทียนประทับตราลวดลายเทพลงบนฐานรากมรรคเรื่อยๆ แล้วกลับไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดใดๆ

ในทางตรงกันข้าม ฐานรากมรรคของเขาเริ่มเผยเสน่ห์ลึกลับออกมาช้าๆ ประกบคู่กับผนึกอัสนีลับๆ

สายฟ้าบนผิวกายหายไป เส้นผมที่โดนฟ้าผ่าจนควันขึ้น ใบหน้าดำเกรียมก็ค่อยๆ กลับมาสภาพเดิม กระทั่งเสิ่นเทียนยังรู้สึกได้รางๆ ว่าร่างตนกับสายฟ้าเคราะห์สวรรค์มีความใกล้ชิดกันขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ราวกับว่ามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน

……..

เสิ่นเทียนซ่อนอยู่ข้างๆ แอบโคจรวิชาลับเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์ ประทับตราลวดลายเทพของเคราะห์สวรรค์ หล่อหลอมฐานรากมรรค

ฟาร์มเงียบๆ ไป~

ทว่ามารดาเดาลวี่จีมองผนึกห้าอัสนีที่กำลังรวมอานุภาพพลังไม่หยุดด้วยใบหน้าสิ้นหวังยิ่ง

ในผนึกห้าอัสนีนี้ กำลังรบของสัตว์เทพทุกด้านเทียบเท่ากับกิเลนธาตุดินลำดับห้านั้น ตอนนี้ผนึกห้าอัสนีลงมา แม้แต่นางในช่วงเฟื่องสุดขีดก็อาจจะต้านไม่ไหว

จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารดาเถาลวี่จีในตอนนี้ที่บาดเจ็บสาหัสจากเคราะห์อัสนีห้าครั้ง

อัตราที่นางจะผ่านเคราะห์อัสนีที่หกนี้ได้แทบจะเป็นศูนย์

มารดาเถาลวี่จีเงยหน้ามองเคราะห์อัสนีบนฟ้าพลางกัดฟันพูด “สวรรค์ไม่ยุติธรรม! ช่างเถอะ ครั้งนี้ข้าแพ้แล้ว แต่ถ้าจะทำลายข้า มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น!”

บึ้ม~!

ยามนี้ทั้งหุบเขาหมอกลับแลเริ่มพังทลายลง เถากลืนกินเซียนมหึมาที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกพื้นดินเผยออกมาทั้งหมด

เครารากดั่งมรกต เถาวัลย์ดั่งมรกต ทุกส่วนทั่วร่างขยับแสงวาววับสวยงาม

ทว่าตอนนี้เครารากและเถาวัลย์ทั้งหมดกลับขดเป็นก้อนและเริ่มเน่าสลาย พวกมันสิ้นสีสันทั้งหมดไปก่อนจะรวมออกมาเป็นของเหลวสีสันแวววาว สมจริงดั่งมีชีวิตอยู่กลางอากาศ

ทันทีที่เห็นของเหลวหลายหยดนั้น เสิ่นเทียนตื้นตันจนน้ำตาไหล

ใช่ นี่ก็คือโชคลิขิตที่เขาเห็นเหนือศีรษะของฟางฉางก่อนหน้านี้

ฟางฉางแค่มาเดินเล่นในที่ราบหมอกลับแลก็หาเจอ

เหตุใดมาถึงข้าถึงเกือบเอาชีวิตไม่รอดล่ะ

ตอนนี้เสิ่นเทียนมีความคิดหนึ่งเดียวในใจ

ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายๆ กันไปให้หมด!

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 151 ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายกันไปให้หมด

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 151 ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายกันไปให้หมด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 151 ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายกันไปให้หมด

ก่อนหน้านี้เสิ่นเทียนเคยวิจัยว่าเขาแบ่งโชคลิขิตกับคนอื่นหรือชี้แนะโชคลิขิตให้คนอื่น จะเพิ่มดวงชะตาของเขาได้

ยิ่งแบ่งโชคลิขิตให้คนอื่นมากเท่าไร ดวงชะตาทั้งสองคนก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น และห้าส่วนคือเส้นแบ่งเขต

แต่เสิ่นเทียนไม่เคยคิดเลยว่าสวมชุดผู้หญิงจะเพิ่มดวงชะตาได้ นี่มันไม่สมเหตุผลเลย!

เพราะเหตุใดกัน หรือว่าสวรรค์จะเป็นพวกชอบแต่งหญิง ชอบดูข้าแต่งหญิงกัน?

เสิ่นเทียนหลอมรวมอัสนีเทพธาตุดินลำดับห้าที่กระเด็นมาข้างกายเข้าไปในต้นกำเนิดอัสนีเทพไปพลาง ครุ่นคิดไปพลาง

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจเหตุผล

การเพิ่มดวงชะตาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะการสวมชุดผู้หญิง

ถ้าเขาเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเพราะจ้าวเฮ่าฟื้นพลังบำเพ็ญแล้ว จ้าวเฮ่ามีคุณสมบัติกายบุตรแห่งโชคที่มีวงรัศมีดำครึ่งทองครึ่ง วงรัศมีพิเศษมาก

และโชคลิขิตที่ใหญ่ที่สุดในช่วงนี้ของเขาก็คือต้นกำเนิดอัคคีอรุณใต้ที่มาพร้อมกับเสี้ยวดวงวิญญาณของเจ้ากระบี่สุริยะฟ้า มันจะฟื้นพลังบำเพ็ญและปลุกคุณสมบัติกายให้เขา

เมื่อครู่เจ้ากระบี่สุริยะฟ้าโดนมารดาเถาลวี่จีโจมตีร่างแหลกลาญ เสี้ยววิญญาณดวงหนึ่งถูกต้นกำเนิดอัคคีอรุณใต้พาหนีออกไป

ตามการคำนวณแล้ว ตอนนี้จ้าวเฮ่าน่าจะเจอกับอาจารย์นำโชคของตนแล้ว ดังนั้นเสิ่นเทียนให้จ้าวเฮ่าไปรอในหุบเขาก่อน ก็ถือว่าว่าผูกชะตากุศลกรรมสำเร็จแล้ว

ดังนั้นด้วยความที่โชคลิขิตตอบแทนกลับมา ดวงชะตาของเสิ่นเทียนกับจ้าวเฮ่าจึงเพิ่มขึ้นทั้งคู่

ได้เกาะโชคลิขิตใหญ่เช่นนี้ ดวงชะตาเพิ่มเป็นสีเขียวแก่ก็เป็นเรื่องปกติ

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนอดถอนหายใจให้ตัวเองมิได้ โชคดีที่การเพิ่มดวงชะตาครั้งนี้ไม่ใช่เพราะชุดผู้หญิง ถ้าไม่อย่างนั้นจากนี้เขาจะไม่ต้องสวมชุดผู้หญิงบ่อยๆ หรือ

เสิ่นเทียนตัดสินใจเงียบๆ ในใจ หลังจากเป็นอิสระแล้วจะเปลี่ยนชุดผู้หญิงนี่ทันที

นี่คือประวัติศาสตร์อันมืดมนที่ไม่มีใครรู้ เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตที่เขาจะสวมชุดผู้หญิง

มันน่าขายหน้าเกินไปแล้ว!

ไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง!

ขอข้ามเรื่องที่เสิ่นเทียนกำลังว้าวุ่นใจอย่างยิ่งที่นี่ไปก่อนแล้วกัน ตอนนี้มารดาเถาลวี่จียังคงฝ่าด่านเคราะห์ต่อไป

หลังจากอัสนีเทพกิเลนเสียหัวไป อานุภาพของมันพลันลดลงอย่างมาก ไม่นานก็ถูกทำลายสิ้น

ระหว่างที่สายฟ้าแตกกระจายไปทั่วฟ้าดิน ยังทำให้ทุกแห่งหนในหุบเขาหมอกลับแลเต็มไปด้วยพลังงานสายฟ้า ดูคึกคักอย่างยิ่ง

ร่างมารดาเถาลวี่จีรวมขึ้นอีกครั้ง เกราะเถาปริแตกเผยประกายแสงใบไม้ผลิลับๆ ใบหน้าขาวซีด ทั้งตัวนางเต็มไปด้วยบาดแผล ตรงบาดแผลยังมีประกายสายฟ้าขยับแสง แฝงไว้ด้วยพลังแห่งกฎเกณฑ์ นี่ทำให้มารดาเถาลวี่จีฟื้นฟูบาดแผลได้ยากลำบากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หลังจากฝ่าอัสนีเทพแก่กล้าธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟและดินห้าธาตุแล้ว นางเสียพลังไปมากเกินไป ผนวกกับประมือกับเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าก่อนหน้านี้ แม้นางจะชนะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่บาดเจ็บเลย

ในปราณกระบี่ของเจ้ากระบี่สุริยะฟ้าแฝงไว้ด้วยพลังแห่งอัคคี และยังมีอานุภาพแห่งอัคคีแท้ของดวงตะวันที่มีความแข็งกร้าวและเป็นหยางสูงสุด

ปราณกระบี่นั้นทะลวงเถาหลักของเถากลืนกินเซียน เวลานี้ปราณกระบี่อัคคีอรุณใต้กลุ่มหนึ่งกำลังทำลายล้างในร่างมารดาเถาลวี่จีอย่างคลุ้มคลั่ง

นางไม่ได้อยู่ในช่วงที่เฟื่องสุดขีด กระทั่งถือว่าอยู่ในช่วงม้าตีนปลายแล้ว ทว่าเคราะห์สวรรค์ก็ยังไม่สิ้นสุด เคราะห์สวรรค์ลำดับหกที่แกร่งที่สุดเริ่มรวมตัวแล้ว

พลังงานสายฟ้าทั้งหมดกลางมวลอากาศเหมือนถูกขับเคลื่อน เมฆเคราะห์ภัยบนฟ้าเริ่มหมุนม้วนไม่หยุด พลังวิญญาณในรัศมีพันลี้ถูกสูบเข้ามา ก่อนจะรวมขึ้นเป็นร่างมายาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าน่าสะพรึงห้าตัวกลางเมฆเคราะห์ภัย ลงมาเยือนใต้หล้า

มังกรเขียว พยัคฆ์ขาว วิหคชาด เต่าดำ และกิเลน สัตว์เทพปัญจธาตุกำลังส่งเสียงคำราม พุ่งทะยาน กระทั่งหลอมรวมกัน

ผนึกใหญ่มหึมาร้อยจั้งปรากฏขึ้นกลางฟ้า แผ่กระจายอำนาจสวรรค์กว้างใหญ่ ผนึกนี้มีห้าหน้า ประทับเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์สัตว์เทพ เรียกขานกันว่าอำนาจสวรรค์ปัญจธาตุ

พลังงานห้าชนิดวนเวียนกันกลางผนึกใหญ่ไม่หยุด คละรวมกันเป็นร่างเดียว

ขาว เขียว ดำ แดงและเหลือง อัสนีห้าสีกำลังหลอมรวมกัน สุดท้ายรวมออกมาเป็นสีทองสว่างจ้า

สีนั้นคล้ายกับสีอัสนีเทพกำเนิดฟ้าตรงระหว่างคิ้วของเสิ่นเทียนเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะสูงส่งกว่า ยิ่งใหญ่กว่า

เสิ่นเทียนเห็น ‘ผนึกห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรม’ บนฟ้าแล้วเกิดความตระหนักเสี้ยวหนึ่งในใจ บทสุดท้ายของคัมภีร์จักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์ลอยขึ้นมาในความคิด

นั่นคือบทต้องห้ามเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์ ให้ความสำคัญกับการตระหนักความหมายของแก่นแท้วิชาอัสนีในเคราะห์สวรรค์

เคล็ดวิชานี้ก็เป็นหัวใจสำคัญสูงสุดของคัมภีร์จักรพรรดิอัสนี ทำให้ผู้ฝึกบำเพ็ญที่ฝึกเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมรวมอัสนีเทพกำเนิดฟ้าได้

‘ดังนั้น คัมภีร์จักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์ที่เป็นมรดกสูงสุดของฝ่ายข้า จริงๆ แล้วเป็นวิชาที่ตระหนักมาจากเคราะห์สวรรค์รึ’

เสิ่นเทียนสัมผัสอำนาจสวรรค์พลางแอบตกตะลึงอยู่ในใจ ทั้งยังเกิดความเลื่อมใสต่อจักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์จากใจจริง

กล้าใช้เคราะห์สวรรค์เป็นอาจารย์ หมายจะกุมกฎแห่งสวรรค์ ทั้งยังทำสำเร็จด้วย

พรสวรรค์ของจักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์เรียกได้ว่าเป็นที่สุดแห่งยุคจริงๆ มิน่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ถึงอยู่สุดยอดของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

มรดกวิชานี้แข็งแกร่งจนน่ากลัวจริงๆ!

เมื่อโคจรวิชาลับมองผนึกอัสนีกลางฟ้าแล้ว เสิ่นเทียนก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสอันดีงามยิ่งที่หาได้ยาก

ควรรู้ไว้ว่าไม่ใช่ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับฝ่าด่านเคราะห์ทุกคนที่จะพบ ‘เคราะห์อัสนีปัญจธาตุกำเนิดฟ้า’ มันหาได้ยากมาก

ตอนนี้เสิ่นเทียนอยู่ระดับสร้างฐาน เขาต้องหล่อหลอมฐานรากมรรคของตนให้อยู่ในสภาพจิตใจที่เสถียรภาพและเป็นจริงที่สุด

บังเอิญเสิ่นเทียนฝึกอัสนีเทพปัญจธาตุสำเร็จพอดี ฐานรากมรรคของเขาในห้าด้านก็สอดคล้องกับห้าสัตว์เทพเช่นกัน คล้ายกับผนึกห้าอัสนีบนฟ้าอย่างยิ่ง

ตรงนี้ เสิ่นเทียนแสดงออกเลยว่า ‘ไม่ลอกไม่ได้แล้ว!’

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็เริ่มเคลื่อนพลังฤทธิ์ในกายมาหล่อหลอมฐานรากมรรค แกะสลักลวดลายเทพที่คล้ายๆ กับผนึกห้าอัสนีบนฟ้าลงบนฐานรากมรรคของเขา

ลวดลายเทพเหล่านี้ลึกลับและเข้าใจยากยิ่ง แม้ว่าเสิ่นเทียนจะฝึกเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมก็ยังไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งอย่างถ่องแท้

แต่นี่เหมือนกับการสอบ ข้าไม่เข้าใจโจทย์ ไม่เข้าใจว่าคำตอบมาอย่างไร แต่แค่ลอกขั้นตอนไปก็ได้คะแนนแล้วไม่ใช่หรือ

แน่นอน ช่วงที่ประทับตราลวดลายเทพเหล่านั้น เสิ่นเทียนมีความตั้งใจมีสมาธิจดจ่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงอย่างไรการประทับลวดลายเทพบนฐานรากมรรคก็ไม่ใช่แบบปั้นรูปปั้นหรือปั้นอะไรโง่ๆ

ถ้าเกิดทำไม่ดีขึ้นมา เสิ่นเทียนก็ไม่อยากประสบเหตุการณ์ธาตุไฟเข้าแทรกอีกแล้ว

แต่บางทีอาจเป็นเพราะวิชาลับเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์ลึกลับและมหัศจรรย์ยิ่งก็ได้ หลังจากที่เสิ่นเทียนประทับตราลวดลายเทพลงบนฐานรากมรรคเรื่อยๆ แล้วกลับไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดใดๆ

ในทางตรงกันข้าม ฐานรากมรรคของเขาเริ่มเผยเสน่ห์ลึกลับออกมาช้าๆ ประกบคู่กับผนึกอัสนีลับๆ

สายฟ้าบนผิวกายหายไป เส้นผมที่โดนฟ้าผ่าจนควันขึ้น ใบหน้าดำเกรียมก็ค่อยๆ กลับมาสภาพเดิม กระทั่งเสิ่นเทียนยังรู้สึกได้รางๆ ว่าร่างตนกับสายฟ้าเคราะห์สวรรค์มีความใกล้ชิดกันขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ราวกับว่ามาจากต้นกำเนิดเดียวกัน

……..

เสิ่นเทียนซ่อนอยู่ข้างๆ แอบโคจรวิชาลับเปลี่ยนร่างแปลงทัณฑ์สวรรค์ ประทับตราลวดลายเทพของเคราะห์สวรรค์ หล่อหลอมฐานรากมรรค

ฟาร์มเงียบๆ ไป~

ทว่ามารดาเดาลวี่จีมองผนึกห้าอัสนีที่กำลังรวมอานุภาพพลังไม่หยุดด้วยใบหน้าสิ้นหวังยิ่ง

ในผนึกห้าอัสนีนี้ กำลังรบของสัตว์เทพทุกด้านเทียบเท่ากับกิเลนธาตุดินลำดับห้านั้น ตอนนี้ผนึกห้าอัสนีลงมา แม้แต่นางในช่วงเฟื่องสุดขีดก็อาจจะต้านไม่ไหว

จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารดาเถาลวี่จีในตอนนี้ที่บาดเจ็บสาหัสจากเคราะห์อัสนีห้าครั้ง

อัตราที่นางจะผ่านเคราะห์อัสนีที่หกนี้ได้แทบจะเป็นศูนย์

มารดาเถาลวี่จีเงยหน้ามองเคราะห์อัสนีบนฟ้าพลางกัดฟันพูด “สวรรค์ไม่ยุติธรรม! ช่างเถอะ ครั้งนี้ข้าแพ้แล้ว แต่ถ้าจะทำลายข้า มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น!”

บึ้ม~!

ยามนี้ทั้งหุบเขาหมอกลับแลเริ่มพังทลายลง เถากลืนกินเซียนมหึมาที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกพื้นดินเผยออกมาทั้งหมด

เครารากดั่งมรกต เถาวัลย์ดั่งมรกต ทุกส่วนทั่วร่างขยับแสงวาววับสวยงาม

ทว่าตอนนี้เครารากและเถาวัลย์ทั้งหมดกลับขดเป็นก้อนและเริ่มเน่าสลาย พวกมันสิ้นสีสันทั้งหมดไปก่อนจะรวมออกมาเป็นของเหลวสีสันแวววาว สมจริงดั่งมีชีวิตอยู่กลางอากาศ

ทันทีที่เห็นของเหลวหลายหยดนั้น เสิ่นเทียนตื้นตันจนน้ำตาไหล

ใช่ นี่ก็คือโชคลิขิตที่เขาเห็นเหนือศีรษะของฟางฉางก่อนหน้านี้

ฟางฉางแค่มาเดินเล่นในที่ราบหมอกลับแลก็หาเจอ

เหตุใดมาถึงข้าถึงเกือบเอาชีวิตไม่รอดล่ะ

ตอนนี้เสิ่นเทียนมีความคิดหนึ่งเดียวในใจ

ไอ้พวกมีมหาโชคควรจะตายๆ กันไปให้หมด!

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+