บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 256 ใครคือลัทธิชั่วร้ายกันแน่

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 256 ใครคือลัทธิชั่วร้ายกันแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 256 ใครคือลัทธิชั่วร้ายกันแน่

“เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวรึ”

ประมุขชุดคลุมโลหิตพยายามสงบใจลงและทำเสียงขึ้นจมูก

ทว่าเขาเพิ่งพูดอย่างหัวดื้อ ก็มีสีหน้าตกใจลนลานขึ้นมา

เพราะเขาเห็นว่ามีประตูมิติปรากฏตรงหน้าตน อีกด้านของประตูมุ่งไปสู่ป่าเขา

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลางป่าเขานั้นยังเห็นวานรสีแดงหลายตัว

วานรพวกนี้สูงจั้งกว่า แผ่กลิ่นอายร้อนระอุทั้งตัว แขนขาทั้งห้าหนามาก

ผู้อริยะเสวี่ยซารู้จักสัตว์อสูรพวกนี้ พวกมันเป็นเพียงสัตว์อสูรขั้นหนึ่งธรรมดา เทียบเท่ากับผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหลอมปราณ

หากยังมีระดับพลัง ผู้อริยะเสวี่ยซาจะไม่สนใจวานรอสูรดั่งมดปลวกนี่เลย แค่ชี้นิ้วก็สังหารพวกมันได้ทั้งหมด

แต่ตอนนี้ผู้อริยะเสวี่ยซาถูกผนึกระดับพลังผู้อริยะอย่างสมบูรณ์ กระทั่งยังโดนสายฟ้าพันธนาการร่าง ขยับตัวได้ยาก จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของวานรพวกนี้

หากเพียงเท่านั้นผู้อริยะเสวี่ยซาคงไม่ตื่นตระหนก เพราะเขาก็มีกายเนื้อระดับผู้อริยะ แม้จะถูกผนึกระดับพลังทั้งหมด วานรพวกนี้ก็สังหารเขาได้ยาก

แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสัตว์ร้ายพวกนี้ไม่ชอบฆ่าคน ในทางตรงข้าม พวกมัน…ชอบคนมาก

วานรอสูรชนิดนี้เรียกว่า ‘วานรคู่อัคคีชาด’ มีความราคะมาแต่กำเนิด จะชอบรุกรานเผ่ามนุษย์ที่อยู่นอกป่า และที่ไร้เหตุผลไปกว่านั้นคือวานรคู่อัคคีชาดจะรุกรานเผ่ามนุษย์โดยไม่แบ่งชายหรือหญิง

แก่นอสูรในตัววานรชนิดนี้เป็นวัตถุดิบระดับสูงสุดในการหลอมโอสถประเภทของอารมณ์ นักหลอมโอสถส่วนมากจะล่าสัตว์อสูรชนิดนี้เป็นบางครั้ง กระทั่งบางสำนักยังเลี้ยงเอาไว้บ้าง

“จะ…จางหลงหยวน นี่เจ้าคิดจะทำอะไร”

เสียงของประมุขเสวี่ยซาสั่นไหวเบาๆ

ทั้งสองคนเป็นจิ้งจอกพันปี ไม่มีใครไร้เดียงสาไม่รู้อะไรทั้งนั้น

เมื่อเห็นวานรคู่อัคคีชาดปรากฏตรงหน้า ประมุขเสวี่ยซาก็ตื่นตระหนกแล้ว

หนึ่งตัว สองตัว สามตัว สี่ตัว ห้าตัว…

มองไปแวบแรก มีวานรตัวผู้อย่างน้อยสิบกว่าตัว อีกทั้งยังมีขนสีแดงทั้งตัว เห็นได้ชัดว่ากำลังอยู่ในช่วงแสดงกำหนัด

จางหลงหยวนเจ้าคนใจดำให้ข้ามาดูวานรคู่อัคคีชาดพวกนี้ คงไม่ได้เตรียมจะเลี้ยงสมองลิงข้าหรอก!

นะ…นะ…นี่คือสิ่งที่ฝ่ายทางการมีชื่อเสียงอย่างพวกเจ้าทำกันจริงๆ หรือ

ไม่อยากเชื่อว่าจะคิดวิธีชั่วร้ายเช่นนี้ได้ นี่ใครเป็นลัทธิชั่วร้ายกันแน่!

สายฟ้าประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมเบาๆ เสียงยังคงเฉยชา

เขาเอ่ยเนิบนาบว่า “สหายเสวี่ยซาไม่ต้องตกใจไป วานรคู่อัคคีชาดพวกนี้เป็นเพียงสัตว์อสูรขั้นหนึ่ง ทำร้ายเจ้าไม่ได้ ในเมื่อสหายยึดมั่นไม่ยอมเผยอะไรเลย ข้าก็จะไม่บังคับ แต่จะให้เจ้าอยู่กับวานรคู่ที่ศิษย์พี่บัวมรกตเลี้ยงเอาไว้

วานรคู่อัคคีชาดพวกนี้เป็นมิตรอย่างกับไฟ สหายเสวี่ยซาก็น่าจะชอบมากน่าดู”

เมื่อเอ่ยจบ ประตูมิตินั้นก็ส่งเสียงดังฟิ้ว ก่อนผู้อริยะเสวี่ยซาจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

โครม~

ประมุขเสวี่ยซาที่ถูกมัดสองแขนสองขาถูกผนึกระดับพลังทั้งหมดตกลงมากลางฝูงวานร

อู้

อู้ๆๆ!

อ้าๆๆๆๆ!

ทุกสายตามองมาทางประมุขเสวี่ยซา ไม่นานก็กลายเป็นเร่าร้อนอย่างยิ่ง

วานรคู่อัคคีชาดสูงใหญ่หลายตัวทุบอกที่มีแต่ขนของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

มนุษย์ มนุษย์ตัวนุ่มนิ่ม ชอบมาก!

ประมุขเสวี่ยซาสิ้นหวังแล้ว เขาเห็นว่าบนฟ้ายังมีผลึกก้อนหนึ่งลอยอยู่ นั่นคือผลึกบันทึกภาพ เป็นสิ่งที่เอามาซ้ำเติมกันได้

แผ่นดินสั่นสะเทือน ประมุขเสวี่ยซาตัวสั่น

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รุ่นนี้ไม่ใช่คน แต่เป็นมารร้าย มารร้าย!

ไม่อยากเชื่อว่าจะคิดวิธีการลงโทษที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้ ทำให้คนหนาวสั่น!

ตัวใหญ่ขนาดนี้ใครจะรับไหว ก็ได้ เขาอาจจะรับไหว

ถึงอย่างไรประมุขเสวี่ยซาก็มีกายเนื้อของผู้อริยะ แต่…แต่รับไหวนี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ!

มารร้าย มารร้าย มารร้าย!

หากแค่ลงทัณฑ์เลยๆ ก็ไม่เท่าไร แต่เจ้านี่ยังใช้ผลึกบันทึกภาพมาเก็บภาพไว้อีก

นี่หากแพร่งพรายออกไป เกิดคนในวิหารรองแห่งลัทธิชั่วร้ายเห็นเข้า

ซี้ด ข้าคงตายตาไม่หลับแล้ว!

เขาเห็นราชาวานรคู่อัคคีชาดที่ตัวใหญ่ที่สุดเดินมาหน้าตน มันแบกประมุขเสวี่ยซาขึ้นเบาๆ แววตาอ่อนโยนราวกับสายน้ำ แต่ก็เร่าร้อนดั่งไฟ

มันลูบหน้าประมุขเสวี่ยซา ขนที่ทั้งร้อนและหยาบทำให้ประมุขเสวี่ยซาหนาวสั่น

“ให้ข้ากลับไป! ให้ข้ากลับไป ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว!”

ประมุขเสวี่ยซาน้ำตาคลอเบ้าพลางตะโกนขึ้นฟ้าอย่างบ้าคลั่ง

ฉึก~

ชุดคลุมยาวสีโลหิตถูกฉีกขาด

ตอนนี้เองมีสายฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมาจากตัวประมุขเสวี่ยซา กระแทกราชาวานรปลิวออกไป

ประตูมิติปรากฏขึ้นตรงหน้าประมุขเสวี่ยซาอีกครั้งก่อนดูดเขาออกมา

ข้างหลังเขายังมีวานรคู่ฝูงหนึ่งกำลังคำรามอย่างไม่ยอมแพ้

…..

“มารร้าย เจ้ามันมารร้าย! เจ้าคิดวิธีชั่วร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร”

ประมุขเสวี่ยซามองเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ด้วยอาการหวาดผวา ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ

ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมเบาๆ “สหายเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เป็นคนคิดวิธีนี้ แต่ตอนนั้นศิษย์พี่บัวมรกตไปทำลายส่วนหนึ่งของวิหารครองคู่ของลัทธิวิญญาณร้ายโดยบังเอิญ แล้วก็ได้เรียนวิธีการสอบสวนมาจากพวกเขา

ได้ยินมาว่าวิหารครองคู่ก็เคยใช้วิธีนี้กับศิษย์ฝ่ายเซียนไม่น้อย ได้ผลดีมากเลย ข้าก็เลยเอามาต้อนรับสหาย ถือว่าเป็นการต้อนรับอย่างดีจากเรา”

ประมุขเสวี่ยซามีสีหน้าย่ำแย่ “นางโสเภณีพวกนั้น”

ถึงลัทธิวิญญาณร้ายจะถูกมองว่าเป็นลัทธิ แต่จะให้พูดถึงความจริงๆ ก็ไม่ใช่แบบนั้นเลย

เมื่อหมื่นปีก่อน วิญญาณร้ายต่างแดนมาเยือน

พวกเขาบางคนเป็นวิญญาณร้ายกระหายเลือด บ้างเป็นวิญญาณร้ายมีราคะ บ้างก็เป็นวิญญาณร้ายชอบเล่นกับใจคน…

วิญญาณร้ายพวกนี้รับเผ่ามนุษย์ที่มาพึ่งพิงไว้ไม่น้อย และถ่ายทอดวิชาการฝึกฝนของเผ่าวิญญาณร้ายให้

นับจากนั้นก็เกิดขุมอำนาจที่ฝึกฝนวิชาวิญญาณร้ายขึ้นเรื่อยๆ

ตอนแรกขุมอำนาจพวกนี้ต่างไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน แต่ต่อมาเผ่าวิญญาณร้ายแตกพ่าย ขุมอำนาจฝ่ายวิญญาณร้ายถูกทำลาย ผู้ฝึกบำเพ็ญวิชาชั่วร้ายที่เหลือจึงหมดหนทาง

พวกเขาได้แต่รวมกลุ่มกันก่อตั้งลัทธิวิญญาณร้าย ร่วมมือกันในลัทธิศักดิ์สิทธิ์หลายต่อหลายครั้ง และด้วยเหตุนี้เองถึงได้อยู่มาหมื่นปีเต็มๆ

ลัทธิวิญญาณร้ายมีความสัมพันธ์ระหว่างวิหารจำนวนมาก ถ้าบอกว่าเป็นสหายร่วมสำนัก สู้บอกว่าเป็นพันธมิตรดีกว่า

อีกทั้งต่อให้มีความสัมพันธ์แบบพันธมิตร หมื่นปีมานี้ก็ยังเกิดเรื่องลอบกัดกันระหว่างวิหารย่อยไม่น้อย ภายในลึกลับมาก

วิหารโลหิตสังหารถือว่าค่อนข้างอ่อนแอในวิหารย่อยลัทธิวิญญาณร้าย มีเสวี่ยซาที่เป็นผู้อริยะหนึ่งด่านเคราะห์คนเดียว

ทว่าวิหารครองคู่กลับอยู่อันดับต้นๆ ในวิหารย่อยทั้งหมดของลัทธิวิญญาณร้าย

ถึงอย่างไรสาวกของวิหารครองคู่ต่างก็ไปมั่วสุมกัน ในลัทธิวิญญาณร้ายมีแต่สหาย

…….

ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้จะโดนนางแพศยาจากวิหารครองคู่ทำร้าย

ประมุขเสวี่ยซาพูดด้วยความจำใจ “ครั้งนี้ข้ายอมแพ้แล้ว แต่เจ้าอยากรู้อะไร ในความทรงจำข้ามีผนึก ไม่มีทางเผยเรื่องเกี่ยวกับลัทธิใหญ่ได้”

ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สั่นไหวเบาๆ “ข้าอยากรู้อะไรไม่สำคัญ แต่ว่าสหาย ไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงถูกพบ บุตรชายเจ้าจะไปปล่อยวิญญาณร้ายในสนามรบบรรพกาล แต่ถูกเทียนเอ๋อร์จับตัว ทั้งยังไปชิงตัวมาได้ก่อน

พวกเจ้าซ่อนอยู่ในหุบเขาลับแท้ๆ วางค่ายกลอำพราง แต่ก็ถูกข้ากับศิษย์พี่บัวมรกตพบ เจ้าไม่คิดว่าทุกอย่างมันบังเอิญเกินไปหรือ”

ประมุขเสวี่ยซาเบิกตาโตทันที “เจ้าหมายความว่าในลูกน้องข้ามีหนอนอย่างนั้นรึ”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้าโง่ ไม่เช่นนั้นจะมีจุดจบเช่นนี้รึ เสวี่ยซา เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ หากเจ้าตาย วิหารย่อยของเจ้าจะเป็นฝูงมังกรไร้ราชา ถึงตอนนั้นขุมอำนาจลัทธิวิญญาณร้ายที่ซ่อนในเงามืดพวกนั้น วิหารใดจะมารับช่วงต่อ ใครจะได้ผลประโยชน์มากที่สุด

แต่หากแผนการเจ้าสำเร็จ ช่วยวิญญาณร้ายตนนั้นออกมาได้ วิหารพวกเจ้าจะแกร่งขึ้น เช่นนั้นวิหารที่จะถูกพวกเจ้ากำราบก่อนและเสียเปรียบจะเป็นวิหารใด”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ประมุขเสวี่ยซาก็หน้าเขียวปัด

มิน่า มิน่าข้าถึงล้มเหลว

ระยำเอ๊ย ข้าเข้าใจแล้ว!

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 256 ใครคือลัทธิชั่วร้ายกันแน่

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 256 ใครคือลัทธิชั่วร้ายกันแน่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 256 ใครคือลัทธิชั่วร้ายกันแน่

“เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวรึ”

ประมุขชุดคลุมโลหิตพยายามสงบใจลงและทำเสียงขึ้นจมูก

ทว่าเขาเพิ่งพูดอย่างหัวดื้อ ก็มีสีหน้าตกใจลนลานขึ้นมา

เพราะเขาเห็นว่ามีประตูมิติปรากฏตรงหน้าตน อีกด้านของประตูมุ่งไปสู่ป่าเขา

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลางป่าเขานั้นยังเห็นวานรสีแดงหลายตัว

วานรพวกนี้สูงจั้งกว่า แผ่กลิ่นอายร้อนระอุทั้งตัว แขนขาทั้งห้าหนามาก

ผู้อริยะเสวี่ยซารู้จักสัตว์อสูรพวกนี้ พวกมันเป็นเพียงสัตว์อสูรขั้นหนึ่งธรรมดา เทียบเท่ากับผู้ฝึกบำเพ็ญระดับหลอมปราณ

หากยังมีระดับพลัง ผู้อริยะเสวี่ยซาจะไม่สนใจวานรอสูรดั่งมดปลวกนี่เลย แค่ชี้นิ้วก็สังหารพวกมันได้ทั้งหมด

แต่ตอนนี้ผู้อริยะเสวี่ยซาถูกผนึกระดับพลังผู้อริยะอย่างสมบูรณ์ กระทั่งยังโดนสายฟ้าพันธนาการร่าง ขยับตัวได้ยาก จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของวานรพวกนี้

หากเพียงเท่านั้นผู้อริยะเสวี่ยซาคงไม่ตื่นตระหนก เพราะเขาก็มีกายเนื้อระดับผู้อริยะ แม้จะถูกผนึกระดับพลังทั้งหมด วานรพวกนี้ก็สังหารเขาได้ยาก

แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสัตว์ร้ายพวกนี้ไม่ชอบฆ่าคน ในทางตรงข้าม พวกมัน…ชอบคนมาก

วานรอสูรชนิดนี้เรียกว่า ‘วานรคู่อัคคีชาด’ มีความราคะมาแต่กำเนิด จะชอบรุกรานเผ่ามนุษย์ที่อยู่นอกป่า และที่ไร้เหตุผลไปกว่านั้นคือวานรคู่อัคคีชาดจะรุกรานเผ่ามนุษย์โดยไม่แบ่งชายหรือหญิง

แก่นอสูรในตัววานรชนิดนี้เป็นวัตถุดิบระดับสูงสุดในการหลอมโอสถประเภทของอารมณ์ นักหลอมโอสถส่วนมากจะล่าสัตว์อสูรชนิดนี้เป็นบางครั้ง กระทั่งบางสำนักยังเลี้ยงเอาไว้บ้าง

“จะ…จางหลงหยวน นี่เจ้าคิดจะทำอะไร”

เสียงของประมุขเสวี่ยซาสั่นไหวเบาๆ

ทั้งสองคนเป็นจิ้งจอกพันปี ไม่มีใครไร้เดียงสาไม่รู้อะไรทั้งนั้น

เมื่อเห็นวานรคู่อัคคีชาดปรากฏตรงหน้า ประมุขเสวี่ยซาก็ตื่นตระหนกแล้ว

หนึ่งตัว สองตัว สามตัว สี่ตัว ห้าตัว…

มองไปแวบแรก มีวานรตัวผู้อย่างน้อยสิบกว่าตัว อีกทั้งยังมีขนสีแดงทั้งตัว เห็นได้ชัดว่ากำลังอยู่ในช่วงแสดงกำหนัด

จางหลงหยวนเจ้าคนใจดำให้ข้ามาดูวานรคู่อัคคีชาดพวกนี้ คงไม่ได้เตรียมจะเลี้ยงสมองลิงข้าหรอก!

นะ…นะ…นี่คือสิ่งที่ฝ่ายทางการมีชื่อเสียงอย่างพวกเจ้าทำกันจริงๆ หรือ

ไม่อยากเชื่อว่าจะคิดวิธีชั่วร้ายเช่นนี้ได้ นี่ใครเป็นลัทธิชั่วร้ายกันแน่!

สายฟ้าประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมเบาๆ เสียงยังคงเฉยชา

เขาเอ่ยเนิบนาบว่า “สหายเสวี่ยซาไม่ต้องตกใจไป วานรคู่อัคคีชาดพวกนี้เป็นเพียงสัตว์อสูรขั้นหนึ่ง ทำร้ายเจ้าไม่ได้ ในเมื่อสหายยึดมั่นไม่ยอมเผยอะไรเลย ข้าก็จะไม่บังคับ แต่จะให้เจ้าอยู่กับวานรคู่ที่ศิษย์พี่บัวมรกตเลี้ยงเอาไว้

วานรคู่อัคคีชาดพวกนี้เป็นมิตรอย่างกับไฟ สหายเสวี่ยซาก็น่าจะชอบมากน่าดู”

เมื่อเอ่ยจบ ประตูมิตินั้นก็ส่งเสียงดังฟิ้ว ก่อนผู้อริยะเสวี่ยซาจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

โครม~

ประมุขเสวี่ยซาที่ถูกมัดสองแขนสองขาถูกผนึกระดับพลังทั้งหมดตกลงมากลางฝูงวานร

อู้

อู้ๆๆ!

อ้าๆๆๆๆ!

ทุกสายตามองมาทางประมุขเสวี่ยซา ไม่นานก็กลายเป็นเร่าร้อนอย่างยิ่ง

วานรคู่อัคคีชาดสูงใหญ่หลายตัวทุบอกที่มีแต่ขนของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

มนุษย์ มนุษย์ตัวนุ่มนิ่ม ชอบมาก!

ประมุขเสวี่ยซาสิ้นหวังแล้ว เขาเห็นว่าบนฟ้ายังมีผลึกก้อนหนึ่งลอยอยู่ นั่นคือผลึกบันทึกภาพ เป็นสิ่งที่เอามาซ้ำเติมกันได้

แผ่นดินสั่นสะเทือน ประมุขเสวี่ยซาตัวสั่น

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รุ่นนี้ไม่ใช่คน แต่เป็นมารร้าย มารร้าย!

ไม่อยากเชื่อว่าจะคิดวิธีการลงโทษที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้ ทำให้คนหนาวสั่น!

ตัวใหญ่ขนาดนี้ใครจะรับไหว ก็ได้ เขาอาจจะรับไหว

ถึงอย่างไรประมุขเสวี่ยซาก็มีกายเนื้อของผู้อริยะ แต่…แต่รับไหวนี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ!

มารร้าย มารร้าย มารร้าย!

หากแค่ลงทัณฑ์เลยๆ ก็ไม่เท่าไร แต่เจ้านี่ยังใช้ผลึกบันทึกภาพมาเก็บภาพไว้อีก

นี่หากแพร่งพรายออกไป เกิดคนในวิหารรองแห่งลัทธิชั่วร้ายเห็นเข้า

ซี้ด ข้าคงตายตาไม่หลับแล้ว!

เขาเห็นราชาวานรคู่อัคคีชาดที่ตัวใหญ่ที่สุดเดินมาหน้าตน มันแบกประมุขเสวี่ยซาขึ้นเบาๆ แววตาอ่อนโยนราวกับสายน้ำ แต่ก็เร่าร้อนดั่งไฟ

มันลูบหน้าประมุขเสวี่ยซา ขนที่ทั้งร้อนและหยาบทำให้ประมุขเสวี่ยซาหนาวสั่น

“ให้ข้ากลับไป! ให้ข้ากลับไป ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว!”

ประมุขเสวี่ยซาน้ำตาคลอเบ้าพลางตะโกนขึ้นฟ้าอย่างบ้าคลั่ง

ฉึก~

ชุดคลุมยาวสีโลหิตถูกฉีกขาด

ตอนนี้เองมีสายฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมาจากตัวประมุขเสวี่ยซา กระแทกราชาวานรปลิวออกไป

ประตูมิติปรากฏขึ้นตรงหน้าประมุขเสวี่ยซาอีกครั้งก่อนดูดเขาออกมา

ข้างหลังเขายังมีวานรคู่ฝูงหนึ่งกำลังคำรามอย่างไม่ยอมแพ้

…..

“มารร้าย เจ้ามันมารร้าย! เจ้าคิดวิธีชั่วร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร”

ประมุขเสวี่ยซามองเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ด้วยอาการหวาดผวา ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ

ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมเบาๆ “สหายเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้เป็นคนคิดวิธีนี้ แต่ตอนนั้นศิษย์พี่บัวมรกตไปทำลายส่วนหนึ่งของวิหารครองคู่ของลัทธิวิญญาณร้ายโดยบังเอิญ แล้วก็ได้เรียนวิธีการสอบสวนมาจากพวกเขา

ได้ยินมาว่าวิหารครองคู่ก็เคยใช้วิธีนี้กับศิษย์ฝ่ายเซียนไม่น้อย ได้ผลดีมากเลย ข้าก็เลยเอามาต้อนรับสหาย ถือว่าเป็นการต้อนรับอย่างดีจากเรา”

ประมุขเสวี่ยซามีสีหน้าย่ำแย่ “นางโสเภณีพวกนั้น”

ถึงลัทธิวิญญาณร้ายจะถูกมองว่าเป็นลัทธิ แต่จะให้พูดถึงความจริงๆ ก็ไม่ใช่แบบนั้นเลย

เมื่อหมื่นปีก่อน วิญญาณร้ายต่างแดนมาเยือน

พวกเขาบางคนเป็นวิญญาณร้ายกระหายเลือด บ้างเป็นวิญญาณร้ายมีราคะ บ้างก็เป็นวิญญาณร้ายชอบเล่นกับใจคน…

วิญญาณร้ายพวกนี้รับเผ่ามนุษย์ที่มาพึ่งพิงไว้ไม่น้อย และถ่ายทอดวิชาการฝึกฝนของเผ่าวิญญาณร้ายให้

นับจากนั้นก็เกิดขุมอำนาจที่ฝึกฝนวิชาวิญญาณร้ายขึ้นเรื่อยๆ

ตอนแรกขุมอำนาจพวกนี้ต่างไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน แต่ต่อมาเผ่าวิญญาณร้ายแตกพ่าย ขุมอำนาจฝ่ายวิญญาณร้ายถูกทำลาย ผู้ฝึกบำเพ็ญวิชาชั่วร้ายที่เหลือจึงหมดหนทาง

พวกเขาได้แต่รวมกลุ่มกันก่อตั้งลัทธิวิญญาณร้าย ร่วมมือกันในลัทธิศักดิ์สิทธิ์หลายต่อหลายครั้ง และด้วยเหตุนี้เองถึงได้อยู่มาหมื่นปีเต็มๆ

ลัทธิวิญญาณร้ายมีความสัมพันธ์ระหว่างวิหารจำนวนมาก ถ้าบอกว่าเป็นสหายร่วมสำนัก สู้บอกว่าเป็นพันธมิตรดีกว่า

อีกทั้งต่อให้มีความสัมพันธ์แบบพันธมิตร หมื่นปีมานี้ก็ยังเกิดเรื่องลอบกัดกันระหว่างวิหารย่อยไม่น้อย ภายในลึกลับมาก

วิหารโลหิตสังหารถือว่าค่อนข้างอ่อนแอในวิหารย่อยลัทธิวิญญาณร้าย มีเสวี่ยซาที่เป็นผู้อริยะหนึ่งด่านเคราะห์คนเดียว

ทว่าวิหารครองคู่กลับอยู่อันดับต้นๆ ในวิหารย่อยทั้งหมดของลัทธิวิญญาณร้าย

ถึงอย่างไรสาวกของวิหารครองคู่ต่างก็ไปมั่วสุมกัน ในลัทธิวิญญาณร้ายมีแต่สหาย

…….

ไม่นึกเลยว่าครั้งนี้จะโดนนางแพศยาจากวิหารครองคู่ทำร้าย

ประมุขเสวี่ยซาพูดด้วยความจำใจ “ครั้งนี้ข้ายอมแพ้แล้ว แต่เจ้าอยากรู้อะไร ในความทรงจำข้ามีผนึก ไม่มีทางเผยเรื่องเกี่ยวกับลัทธิใหญ่ได้”

ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สั่นไหวเบาๆ “ข้าอยากรู้อะไรไม่สำคัญ แต่ว่าสหาย ไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดพวกเจ้าถึงถูกพบ บุตรชายเจ้าจะไปปล่อยวิญญาณร้ายในสนามรบบรรพกาล แต่ถูกเทียนเอ๋อร์จับตัว ทั้งยังไปชิงตัวมาได้ก่อน

พวกเจ้าซ่อนอยู่ในหุบเขาลับแท้ๆ วางค่ายกลอำพราง แต่ก็ถูกข้ากับศิษย์พี่บัวมรกตพบ เจ้าไม่คิดว่าทุกอย่างมันบังเอิญเกินไปหรือ”

ประมุขเสวี่ยซาเบิกตาโตทันที “เจ้าหมายความว่าในลูกน้องข้ามีหนอนอย่างนั้นรึ”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้าโง่ ไม่เช่นนั้นจะมีจุดจบเช่นนี้รึ เสวี่ยซา เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ หากเจ้าตาย วิหารย่อยของเจ้าจะเป็นฝูงมังกรไร้ราชา ถึงตอนนั้นขุมอำนาจลัทธิวิญญาณร้ายที่ซ่อนในเงามืดพวกนั้น วิหารใดจะมารับช่วงต่อ ใครจะได้ผลประโยชน์มากที่สุด

แต่หากแผนการเจ้าสำเร็จ ช่วยวิญญาณร้ายตนนั้นออกมาได้ วิหารพวกเจ้าจะแกร่งขึ้น เช่นนั้นวิหารที่จะถูกพวกเจ้ากำราบก่อนและเสียเปรียบจะเป็นวิหารใด”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ประมุขเสวี่ยซาก็หน้าเขียวปัด

มิน่า มิน่าข้าถึงล้มเหลว

ระยำเอ๊ย ข้าเข้าใจแล้ว!

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+