บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 472 เมื่อพบเสิ่นเทียนทุกชีวิตเป็นต้องเข้าใจผิด!

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 472 เมื่อพบเสิ่นเทียนทุกชีวิตเป็นต้องเข้าใจผิด! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 472 เมื่อพบเสิ่นเทียนทุกชีวิตเป็นต้องเข้าใจผิด!

สือเทียนจื่อระเบิดพลังอีกครั้ง ผิวกายปรากฏแสงเทพลอยขึ้นมา ร่างเป็นอักขระมหัศจรรย์ ไหลเวียนไปรอบกาย

แสงเทพสว่างจ้าปะทุออกมาและแผ่หมอกขมุกขมัว พลังเทพไม่มีสิ้นสุดพุ่งทะลัก หลอมรวมกับฟ้าดิน

เขาเดินหน้าหนึ่งก้าว ห้วงอากาศแตกกระจาย ทำให้กฎเกณฑ์ฟ้าดินพังทลายลงทั้งหมด

“สหายเสิ่น แซ่สือจะออกมือเต็มกำลังแล้ว!”

สือเทียนจื่อสูดลมหายใจเข้าลึก เคลื่อนไหวดั่งสายฟ้า คล่องแคล่วดั่งมังกร

เหมือนกับดาวตกลูกใหญ่ พลังดุดันจนน่าตกใจ!

ข้างหลังเขาเป็นปรากฏการณ์สร้างโลกมหึมา

พลังแห่งหยินหยางหมุนวนไหลมารวมกัน สุดท้ายสร้างเป็นรูปทรงโลกกว้างใหญ่ยิ่ง!

ในนั้น พลังแห่งดินน้ำลมไฟตัดสลับกัน กฎเกณฑ์มหามรรคไหลหลาก เหมือนฟ้าดินกำเนิดฟ้ากดอัดขึ้นไป!

สือเทียนจื่อควงหมัด ลำแสงกำปั้นเหมือนมังกรแท้รกร้าง ปราณโลหิตพุ่งขึ้นฟ้า

การโจมตีราวกับเหนี่ยวนำพลังแห่งฟ้าดิน มาพร้อมกับอำนาจเทพไม่มีสิ้นสุด ทำลายล้างภูผานที!

เสิ่นเทียนเพ่งสายตามองเล็กน้อย รอบกายเปล่งแสงดารา ก่อนจะเหนี่ยวนำพลังแห่งดาราตกลงมา!

ข้างหลังเขามีปรากฏการณ์น่ากลัวลอยขึ้นมาเช่นกัน

เสียงคำรามมังกรดังสนั่นฟ้า เสียงร้องหงส์ดังกึกก้อง แสงเทพมากมายพุ่งขึ้นฟ้า

มังกรเทพยักษ์คำราม ข้างหลังเป็นปีกหงส์บดบังฟ้าดินลอยขึ้นมา

ปีกหงส์กางออก ก่อพายุหมุนเทียมฟ้าขึ้น!

หงส์เทพร้อนระอุจุดเพลิงอมตะลุกโชตช่วง วนเวียนรอบกายมังกรหงส์ ประกายไฟส่องฟ้า ส่องสะท้อนฟ้าดิน

เสิ่นเทียนงุ้งห้านิ้วมือ หมอกวนเวียนหนาทึบ ก่อนพุ่งโจมตีไปด้วยพลังบดบังโลก น่ากลัวอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นสองคนปะทะกัน พริบตาเดียวออกหมัดเทพฟ้าขุ่นไปพันสามร้อยห้าสิบสองครั้ง พลังอำนาจน่ากลัวเหมือนจะทำให้ฟ้าดินพังทลายลง!

ห้วงอากาศถล่ม พังทลาย สุดท้ายแตกกลายเป็นซากปรักหักพัง

อากาศดับสลาย กฎเกณฑ์ปั่นป่วน

กระแสมิติปั่นป่วนน่ากลัวม้วนออกมากลืนกินสองคนไว้

แต่พวกเขาไม่สนใจ ยังคงสู้ต่อไปในกระแสมิติปั่นป่วนอันกว้างใหญ่

แสงสีดำขยับวูบวาบรอบกาย พลังอำนาจสะท้านฟ้า

กระแสมิติปั่นป่วนสีดำน่ากลัวอย่างยิ่ง แผ่พลังกระชากจิตวิญญาณคนออกมา

สองร่างเงาตัดสลับกันไม่หยุด ปะทะออกมาเป็นแสงเทพสว่างจ้า ส่องฟ้าดิน แสงมงคลสว่างเรืองรอง

สือเทียนจื่อเปล่งแสงทั้งตัว ดวงตาซ้อนทับปรากฏขึ้นอีกครั้ง กระดูกจักรพรรดิโผล่ออกมา ระเบิดพลังน่าสะพรึง หมายจะทำลายนภาแห่งนี้

พลังของเขาบ้าอำนาจยิ่ง เหมือนเทพเจ้าสูงสุดโจมตีหมื่นโลก ทำให้ฟ้าดินต้องยอมศิโรราบ!

ระหว่างโบกมือห้วงอากาศก็สูญสิ้นไป ดวงดาราตกลงมา ทำให้กฎเกณฑ์ฟ้าดินสั่นสะเทือน เหมือนจะตัดขาด ดับสลายไปในที่นี้

ด้านตรงข้าม เสิ่นเทียนองอาจห้าวหาญ ชุดคลุมขาวเหนือธรรมดา แกว่งไกวตามสายลม ไม่ปนเปื้อนสิ่งธุลีใดๆ

เขายืนในกระแสมิติปั่นป่วน มั่นคงดั่งภูเขาไท่ซาน ไม่ว่าเจ้าจะโจมตีอย่างไร เขาใช้แค่หมัดเดียวทำลายได้!

สองคนสู้กันไม่หยุด ทุกหมัดจะทะลวงมิติ ทำลายท้องนภา กลิ่นอายพลังน่ากลัวถึงที่สุด ทำลายล้างมหาโลก!

กระแสมิติปั่นป่วนยังรับพลังนี้ไม่ไหว เกิดรอยแตกร้าวขึ้นมากมาย น่าสะพรึงถึงจิตวิญญาณคน

กระแสมิติปั่นป่วนสีดำน่ากลัวหมุนม้วนไปไกลหมื่นลี้ น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง แฝงไว้ด้วยพลังอำนาจมหาศาล

ผ่านไปที่ใดจะทำลายล้างทุกอย่าง

สถานการณ์รบที่นี่น่ากลัวมาก เต็มไปด้วยพลังทำลายฟ้าดิน เหมือนจะทำลายจักรวาลแห่งนี้

แค่ลำแสงกำปั้นที่กระจายออกมาสายเดียวก็ทำให้อริยะแท้ปกติบาดเจ็บสาหัสได้ สังหารผู้อริยะได้ในพริบตา

หากเข้าใกล้อีกหน่อย พลังน่าสะพรึงจะทำให้เจ้าอริยะขลาดกลัว มหาอริยะยังต้องจิตใจหนาวสั่น!

สองคนสู้กันไม่หยุด สู้กันจนฟ้ามืด ท้องนภาพังทลาย อานุภาพเหี้ยมโหดเหมือนจะทะลวงฟ้าดิน

มิติรอบตัวพวกเขาแตกกระจาย ฟ้าดินสั่นสะเทือนตาม ถูกทำลายเป็นซากปรักหักพัง

สองคนเหมือนเทพเจ้าที่สุดแห่งยุค พุ่งขึ้นยอดเมฆฟ้าเก้าชั้น ไปเหนือทะเลเมฆ!

……

ผ่านไปนาน ในที่สุดก็มีร่างเงาหนึ่งตกลงมา ถอยไปหลายหมื่นจั้ง

ทุกก้าวจะเหยียบอากาศแตกกระจาย สลายเป็นผุยผง ทำให้ฟ้าดินกู่ร้องพร้อมกัน

คนนี้ก็คือสือเทียนจื่อ

หลังสู้กับเสิ่นเทียนเกือบหมื่นกระบวนท่า ในที่สุดเขาก็ต้านไม่ไหว พ่ายแพ้ถอยไป

สือเทียนจื่อหายใจหนักหน่วง กลิ่นอายพลังปั่นป่วน ตรงกำปั้นมีโลหิตไหล

สองมือเขากำลังสั่นไหว ปรากฏการณ์ข้างหลังอ่อนแสงลง พลังเลือดลมปั่นป่วน

สือเทียนจื่อไม่สนใจ แต่ร้องอย่างมีความสุข

ตอนนี้เองเสิ่นเทียนสยายชุดคลุมขาว ลอยลงมา เนื้อตัวไม่มีบาดแผลใดๆ เลย แม้แต่กลิ่นอายพลังยังสงบนิ่งมาก

“สหายเทียนจื่อแข็งแกร่งจริงๆ!”

เสิ่นเทียนถอนหายใจ ด้วยกำลังรบของสือเทียนจื่อ ต่อให้เป็นมหาอริยะอาวุโส ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา

สือเทียนจื่อที่มีดวงตาซ้อนทับและกระดูกจักรพรรดิ ทั้งยังมียอดพลังวิเศษสร้างโลกเช่นนี้ ถูกลิขิตให้อยู่สูงสุด ท่องไปในจักรวาล

เมื่อได้ฟังคำพูดเสิ่นเทียน สือเทียนจื่อก็ยิ้มแห้งๆ “เทียบกับสหายเสิ่นแล้วยังห่างชั้นอีกไกล! ศึกนี้ แซ่สือแพ้แล้ว!”

สือเทียนจื่อตกตะลึงในใจอย่างยิ่ง ต่อให้เขาใช้กำลังทั้งหมดก็ยังไม่อาจสั่นคลอนเสิ่นเทียนได้แม้แต่น้อย

ระหว่างที่สองหมัดปะทะกัน เขารู้สึกว่าตนกำลังโจมตีทองคำเซียนนอกฟ้า แข็งแกร่งไม่อาจทลายได้ ทั้งยังสะเทือนสองมือตนจนชาไปหมด

ต้องรู้ว่าเขาเป็นจุดสูงสุดอริยะแท้หกด่านเคราะห์ แต่เสิ่นเทียนเพียงแค่ครึ่งก้าวฝ่าด่านเคราะห์

หากรอเสิ่นเทียนพลังบำเพ็ญเท่าเขา เกรงว่าแค่พลิกมือเขาก็แหลกสลายไปได้

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สือเทียนจื่ออดถอนหายใจมิได้

สหายเสิ่นสมกับมีพรสวรรค์สูงสุด กำลังรบเช่นนี้จะต้องท่องมหาโลก กำราบศัตรูได้ทุกคนแน่นอน!

แซ่สือเทียบกับเขาแล้วต่างกันมากเกินไปจริงๆ

แต่ว่าแซ่สือเหมือนจะเห็นโอกาสเสี้ยวหนึ่งในตัวสหายเสิ่น

โอกาสที่จะช่วยโลกนี้ได้

ด้วยพรสวรรค์และกำลังรบของสหายเสิ่น เมื่อเขาเติบใหญ่จะต้องนำพาความหวังมาให้ห้าดินแดนแน่นอน!

ห้าดินแดนรอดแล้ว!

……..

สือเทียนจื่อจ้องเสิ่นเทียน ดวงตาเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อยๆ ลึกล้ำอย่างยิ่ง

ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ส่ายหน้าพลางยิ้มแห้งๆ “สหายเสิ่น หากเจ้ามีเวลาก็ไปดูยัยเด็กหลิงหลงนั่นหน่อยเถอะ! ยัยนั่นเริ่มอาละวาดในช่วงที่เจ้าหายไป เป็นทุกข์มานานหลายปี

กระทั่งไปหาท่านจักรพรรดิ ร้องไห้โวยวายจะให้ท่านจักรพรรดิออกมือพาเจ้าออกมา! ดีที่ต่อมารู้ว่าเจ้าไม่เป็นอันตราย ยัยนั่นถึงได้สงบลง ไม่อย่างนั้นนางได้ก่อความวุ่นวายไปทั้งราชวงศ์เซียนแน่!”

สือเทียนจื่อเองก็ทำหน้าจนปัญญา เขามองออกนานแล้วว่าองค์หญิงหลิงหลงจมปรักอยู่กับเสิ่นเทียน ถอนตัวไม่ขึ้น

แต่นี่จะโทษนางไม่ได้ ใครให้สหายเสิ่นหน้าตาหล่อเหลาเป็นหนึ่ง มีเสน่ห์สูงสุดกันล่ะ!

เห็นทีว่าสตรีทุกคนคงต้องหลงใหลในความสง่างามที่สุดของสหายเสิ่นกระมัง!

แต่นี่ก็เป็นน้องสาวที่เขารักที่สุด ช่วยนางได้ก็จะต้องพยายามช่วยอย่างเต็มที่!

เสิ่นเทียนพูดไม่ออก

เขามีสีหน้าเก้อเขินเล็กน้อย ไม่รู้จะพูดอะไรดี

เรื่องแต่งงานมาอีกแล้ว!

พูดความจริง ข้าไม่เคยทำอะไรพวกนางเลยจริงๆ!

การถูกคนมากมายพูดเรื่องแต่งงานเช่นนี้ แซ่เสิ่นเหนื่อยมากเหมือนกัน!

เมื่อเห็นเสิ่นเทียนเงียบ สือเทียนจื่อก็ถอนหายใจ ส่ายหน้า “พบกันครั้งแรกที่สุสานจักรพรรดิทะเลอุดร เมื่อพบเสิ่นเทียนทุกชีวิตเป็นต้องเข้าใจผิด สหายเสิ่น รักษาตัวเองด้วย”

สือเทียนจื่อหมุนตัวจากไป ทิ้งเสิ่นเทียนให้งงเป็นไก่ตาแตก

ผ่านไปพักใหญ่ เสิ่นเทียนถึงถอนหายใจ “นี่เป็นเรื่องยุ่งยาก ต้องหาเวลาไปจัดการ!”

พอคิดได้ดังนั้นเขาก็พุ่งทะยานบินไปนอกโลก

……

แท่นวิหคทองแดง

ตอนนี้เงาคนในแท่นวิหคทองแดงบางตา เงียบสงบมาก

เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงรับศิษย์ใหม่ของตำหนักศึกษาจี้เซี่ย โอรสสวรรค์ส่วนใหญ่เลยเดินทางมาสมัครเข้าเรียน

ดังนั้นแท่นวิหคทองแดงจึงเงียบสงบขึ้นเล็กน้อย

เมื่อเห็นดังนั้น เสิ่นเทียนพลันโล่งอก

เขายังคิดไม่ถี่ถ้วนเลยว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร อย่างน้อยต้องตรึกตรองสักช่วงหนึ่ง!

ส่วนพวกจางอวิ๋นซี ยังคงรออยู่ที่หอหงส์ทอง

พอเห็นเสิ่นเทียนกลับมา ทุกคนต่างมีสีหน้าดีใจ

จางอวิ๋นถิงเดินเข้ามาสอบถาม “ศิษย์น้อง เมื่อครู่เจ้าไปทำอะไรมา”

ทุกคนสงสัยเล็กน้อย พวกเขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเสิ่นเทียนถึงไปไม่พูดไม่จาเลย

เสิ่นเทียนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับ “เอ่อ เมื่อครู่ท่านจักรพรรดิเรียกหาข้า เลยต้องไปจัดการก่อน”

เขาคงบอกว่าเป็นเพราะเจ้าหนูพวกนั้นไม่ได้กระมัง!

ทุกคนพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้สงสัย

จางอวิ๋นถิงพูดต่อ “ศิษย์น้อง เมื่อครู่อาจารย์ส่งข่าวมาบอกให้ศิษย์น้องกลับแดนศักดิ์สิทธิ์ให้เร็วที่สุดเพื่อร่วมพิธีส่งมอบเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์”

เมื่อแปดสิบปีก่อน เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้ประกาศต่อทุกคนแล้วว่าเสิ่นเทียนคือเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์รุ่นนี้

ตอนนี้เสิ่นเทียนกลับมา แม้จะไม่ได้จัดพิธีใหญ่แต่งตั้งเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่บางพิธีก็ต้องผ่านขั้นตอนอยู่

ถึงอย่างไรพิธีส่งมอบเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดคำสองคำก็ทำได้

เสิ่นเทียนพยักหน้า “เช่นนั้นเรารีบกลับกันเถอะ!”

ไม่ได้กลับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มานานหลายปี เสิ่นเทียนเองก็คิดถึงเหมือนกัน

เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นสำนักของเขา ทั้งยังช่วยเขาอย่างมากมาตลอด ดังนั้นเสิ่นเทียนจึงมีความรู้สึกลึกซึ้งกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

“ดี พวกเราออกเดินทางกันเลย!”

ทุกคนขานรับ ก่อนจะออกจากแท่นวิหคทองแดนพร้อมกัน มุ่งหน้าไปแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

…..

หลายวันต่อมา!

แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

เนื่องจากวิญญาณร้ายต่างแดนบุกห้าดินแดน เริ่มจู่โจมจากทุกด้าน จึงพัวพันไปถึงวงกว้างยิ่ง

ขุมอำนาจใหญ่ในห้าดินแดนเริ่มสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ เชื่อมต่อกัน

จนเมื่อพวกเผ่าวิญญาณร้ายบุกมา ทุกขุมอำนาจจะเข้าช่วยเหลือได้เร็วที่สุด

นี่จึงรวมขุมอำนาจใหญ่ทั้งห้าดินแดนเป็นเชือกเส้นหนึ่ง

ด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายของทุกที่ ทุกคนจึงไม่ต้องเสียเวลามากก็เดินทางจากดินแดนกลางมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

ตอนนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ใหญ่กว่าเมื่อร้อยปีก่อนมาก

เขตรอบนอกแดนศักดิ์สิทธิ์มีกำแพงเมืองล้อมรอบสี่ด่านแปดทิศเข้าด้วยกัน คุ้มกันแดนศักดิ์สิทธิ์ตรงใจกลางร่วมกัน

กำแพงเมืองสูงเสียดเมฆ สูงตระหง่านยิ่งใหญ่ ด้านบนมีแสงสว่างวนเวียน แสงเรืองรองกระจายไปรอบๆ แผ่แรงกดดันวิญญาณแก่กล้า

กำแพงเมืองพวกนี้สร้างขึ้นจากทองคำวิญญาณอันล้ำค่ายิ่ง แข็งแกร่งมาก

บนผนังกำแพงเมืองยังแกะสลักลายเทพหลากสี เชื่อมต่อกัน แผ่กลิ่นอายพลังยิ่งใหญ่ยากจะคาดเดา

นี่คือค่ายกลคุมขัง ค่ายกลสังหาร เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารน่าสะพรึง ปกคลุมแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไว้ทั้งหมด แข็งแกร่งเหมือนป้อมปราการ

ต่อให้เป็นผู้อริยะก็ไม่อาจบุกเข้ามาได้ง่ายๆ

หากกล้าบุกเข้ามาจะต้องถูกค่ายกลมากมายปิดล้อม นองเลือดที่นี่

และข้างหลังกำแพงเมืองยังมีหุ่นเกราะมหึมายิ่งประจำการ คอยปกปักที่นี่ พร้อมป้องกันการรุกรานจากกองทัพวิญญาณร้ายตลอดเวลา

หุ่นเกราะพวกนั้นขยับแสงโลหะวาววับทั้งตัว แสงสว่างวูบไหว แต่ละตัวเหมือนคนยักษ์ค้ำฟ้าดิน ปกปักหนึ่งทิศ

พวกมันมีกลิ่นอายพลังแกร่งมาก ปกติหุ่นเกราะทุกตัวจะเทียบเท่าผู้แข็งแกร่งผู้สูงศักดิ์สวรรค์

หุ่นเกราะพวกนี้คือหุ่นเกราะวิถีเซียนที่ฉินอวิ๋นตี๋สร้างขึ้น

หุ่นเกราะวิถีเซียนพวกนี้ ขอแค่ปลุกด้วยผู้บำเพ็ญกายทองหรือแก่นพลังทองก็จะระเบิดกำลังรบเทียบเท่าผู้สูงศักดิ์สวรรค์ได้

หุ่นเกราะพวกนี้ยังร่วมมือกันสร้างเป็นรูปแบบค่ายกลสงครามขึ้น ระเบิดพลังได้สิบเท่าร้อยเท่า

อย่างเช่นเขตนี้ ทุกตัวเป็นหุ่นเกราะพยัคฆ์ขาวธาตุทอง มีทั้งหมดหลายร้อยตัว

หากพวกมันร่วมมือกันจะระเบิดอานุภาพถึงขั้นสังหารผู้อริยะได้ง่ายดาย

และยังมีอีกหลายเขตที่มีหุ่นเกราะประจำการ หุ่นเกราะมังกรเขียว หุ่นเกราะวิหคชาด หุ่นเกราะเต่าดำ…เป็นต้น

หุ่นเกราะธาตุต่างกันพวกนี้แบ่งกันให้ศิษย์สายอัสนีที่ฝึกธาตุต่างกันใช้ อีกทั้งปัญหาของหุ่นเกราะเมื่อก่อนยังได้รับการแก้ไขแล้ว ทั้งยังมีอานุภาพเพิ่มขึ้น ใช้รูปแบบกองทัพมาสู้กับศัตรู

หากถึงช่วงเป็นตายจริงๆ ยังรวมหุ่นเกราะหลายพันตัวเข้าด้วยกัน สร้างเป็นยอดค่ายกลสัตว์อัสนีสิบทิศได้

ถึงตอนนั้นต่อให้เจอผู้แข็งแกร่งเจ้าอริยะก็ยังมีกำลังสู้ได้

ต้องรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก

ผู้บำเพ็ญเจ้าอริยะกับแก่นพลังทองดวงจิตดรุณต่างกันเพียงใด แค่ดีดนิ้วก็ตาย แค่พลิกมือก็สังหารได้เป็นกอง

อย่าว่าแต่หลายพันคนเลย ต่อให้หลายหมื่นคน หลายแสนคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เจ้าอริยะ!

พลังของสองฝ่ายอยู่คนละระดับกันเลย ต่อให้มีคนมากกว่านี้ก็ไม่อาจต่อต้านได้

ทว่าการใช้หุ่นเกราะพวกนี้กลับทำให้ผู้บำเพ็ญพวกนี้สู้กับเจ้าอริยะได้

จะเห็นได้ว่าอานุภาพของหุ่นเกราะพวกนี้น่ากลัวเพียงใด

……

เมื่อเห็นภาพนี้ เสิ่นเทียนก็อดถอนหายใจมิได้ “ไม่นึกเลยว่าไม่ได้กลับมาหลายปี แดนศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้!”

พูดได้ว่าด้วยพลังป้องกันเช่นนี้ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ถือว่าเป็นการคงอยู่สุดยอดในดินแดนบูรพา มากพอชำเลืองตามองแปดทิศ

ต่อให้กองทัพวิญญาณร้ายบุกเข้ามา การจะทำลายค่ายกลป้องกันนี้ได้ก็ไม่ได้ง่ายเลย

จางอวิ๋นถิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ห้าดินแดนในตอนนี้ นอกจากราชวงศ์เซียนต้าฮวงแล้ว เกรงว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ของเราคงปลอดภัยที่สุดแล้ว”

ขณะเดียวกันจางอวิ๋นถิงยังเกิดการปลงในใจ

ดีที่มีศิษย์น้องชี้แนะเจ้าหนูฉินอวิ๋นตี๋ ถึงได้สร้างกำลังแฝงเร้นที่แกร่งขนาดนี้ออกมาได้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้

ศิษย์น้อง สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ให้กับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จริงๆ!

…….

ทุกคนเดินหน้าต่อไป ไม่นานก็ใกล้หอคอยเทพสงคราม

ที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก

เมืองเล็กในตอนแรกขยายเป็นเมืองยักษ์ โอ่อ่ายิ่งใหญ่

ที่นี่มีผู้คนขวักไขว่ แน่นขนัด บรรยากาศคึกคักมาก

ที่นี่ไม่ได้มีแค่ศิษย์เทพสวรรค์ แต่ยังมีศิษย์จากขุมอำนาจและแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นในดินแดนบูรพามากมาย

คนพวกนี้มาเพราะหอคอยเทพสงคราม อยากจะเข้าไปฝึกฝนในนั้นเพื่อเพิ่มศักยภาพ

ดังนั้นจึงพูดได้ว่าที่นี่มีผู้แข็งแกร่งเยอะมาก

แก่นพลังทองดวงจิตดรุณเดินกันเกลื่อน ผู้สูงศักดิ์สวรรค์หลอมรวมเทพยังมีไม่น้อย

จางอวิ๋นถิงอธิบายต่อ “ตอนนี้ หอคอยเทพสงครามเป็นหนึ่งในบ่อเกิดเศรษฐกิจหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์ จะมีผู้บำเพ็ญมากมายเข้ามาฝึกฝนที่นี่ทุกวัน ล้วนเป็นศิษย์หัวกะทิจากขุมอำนาจใหญ่ มีเงินทองมั่งคั่ง อีกทั้งในนี้ยังวางค่ายกลเคลื่อนย้าย เพื่อให้ผู้บำเพ็ญพวกนี้สะดวกเดินทางไปมา”

เนื่องจากหอคอยเทพสงครามตั้งอยู่ที่นี่ คนมากมายถึงแห่กันมา จะเข้าไปฝึกฝน

ดังนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จึงพัฒนาเป็นห่วงโซ่อหังสาริมทรัพย์แบบครบวงจร

อย่างเช่นหลังจากเจ้าเข้าไปฝึกในหอคอยเทพสงคราม ลำบากสู้มาทั้งวัน ก็ต้องออกมาทานอาหาร ดื่มสุรา พักผ่อนสักหน่อยหรือไม่

นั่นก็ต้องใช้จ่าย

และแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้เตรียมการบริการทุกอย่างไว้ให้ที่นี่นานแล้ว

ในช่วงว่างก็ยังได้ผ่อนคลายที่นี่

พวกนี้คือหนึ่งในบ่อเกิดเศรษฐกิจ ประกอบกับค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ต้องเก็บศิลาวิญญาณที่แน่นอน ถึงจะผ่านไปได้

นี่ก็เป็นเงินทองจำนวนมหาศาลเช่นกัน เพราะจำนวนคนที่นี่มากจนยากจะจินตนาการได้

และยังมีจุดชมทิวทัศน์แบบครบวงจร ถ่ายรูป และยังขายพวกอาหารท้องถิ่นอีก…ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำทุกนาที

ด้วยการพัฒนาของห่วงโซ่อหังสาริมทรัพย์นี้ แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ถึงได้พัฒนารวดเร็วขนาดนี้ มีเงินสร้างหุ่นเกราะและกำแพงเมืองได้มาก!

เสิ่นเทียนพยักหน้า เขาเองก็คาดการณ์ผลลัพธ์นี้ไว้เหมือนกัน

ตอนนั้นที่หอคอยเทพสงครามตกลงมาที่นี่ ที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ขอส่วนแบ่ง เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะการพัฒนาของห่วงโซ่อหังสาริมทรัพย์นี้

ความเร็วจากกำไรศิลาวิญญาณไม่ด้อยไปกว่าหอคอยเทพสงครามเลย!

พอนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนก็อดปลงอนิจจังในใจมิได้

อาจารย์ช่างสมกับเป็นอาจารย์

อ่านหนังสือเยอะๆ มีประโยชน์จริงๆ!

……

ตอนนี้เอง บนท้องนภาแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พลันระเบิดพลังมหาศาลอย่างยิ่ง

แสงเทพสว่างจ้าหมุนม้วนเข้ามาเหมือนปกคลุมฟ้าดิน ส่องสว่างท้องนภา

ฝนลำแสงมากมายกระจายปกคลุมฟ้าดินแห่งนี้ แสดงความอัศจรรย์ออกมาทั้งหมด

ทุกคนเพ่งสายตามอง เห็นสิบกว่าร่างเงากำลังเดินเข้ามา

พวกเขาขี่สายรุ้งเทพ รูปร่างลอยล่อง พลังมหาศาลไร้ขีดจำกัด เป็นผู้แข็งแกร่งสุดยอด

เมื่อเห็นคนมากมายขนาดนี้ปรากฏตัว ผู้บำเพ็ญโดยรอบต่างมีสีหน้าตกใจ

พวกเขารีบโค้งตัวพูดด้วยความเคารพ “ขอคารวะผู้อาวุโสสูงสุดทุกท่าน!”

คนพวกนี้คือผู้อาวุโสสูงสุดของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ผู้อาวุโสสูงสุดเหล่านั้นที่อายุมากที่สุด แต่เป็นพวกผู้อาวุโสเช่นผู้อาวุโสบัวขาว ผู้อาวุโสบัวทองและผู้อาวุโสบัวแดงเป็นต้น

เนื่องด้วยร้อยปีมานี้ได้มีการผลัดเปลี่ยนตำแหน่งเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

ผู้อาวุโสรุ่นพวกเขาจึงเลื่อนไปเป็นผู้อาวุโสสูงสุด ฐานะสูงขึ้นมาก

อีกทั้งด้วยศักยภาพของพวกเขา ย่อมรับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดนี้ได้จริงๆ

พลังบำเพ็ญของพวกผู้อาวุโสบัวขาว ผู้อาวุโสบัวทองและผู้อาวุโสบัวแดงล้วนบรรลุอริยะแท้แล้ว

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด

ตรงหน้าผู้อาวุโสสูงสุดพวกนี้ยังมีร่างเงาที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งสองคน ยืนขวางห้วงอากาศ พลังอำนาจยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน!

หนึ่งในนั้นมีสายฟ้าประกายเซียนปกคลุมทั้งตัว กลิ่นอายพลังมหาศาลดั่งมหาสมุทร ลึกลับไม่อาจคาดเดา

แค่ประกายสายฟ้าเสี้ยวหนึ่งที่กระจายออกมา ก็มากพอจะทำลายห้วงอากาศ

คนนี้ยืนบนอากาศ เหมือนราชันสายฟ้าสูงสุด แค่โบกมือก็ปลุกสายฟ้าทำลายล้างมหาโลกได้!

ข้างกายคนนี้ยังมีนักพรตชราสวมชุดคลุมเซียนม่วง มีท่วงท่าเหมือนเซียน

หน้าตาเขาดูแก่ชราเล็กน้อย แต่ในกายกลับแฝงไว้ด้วยพลังไม่มีสิ้นสุด น่ากลัวสุดขีด

หากปะทุออกมาจะเหมือนคลื่นยักษ์ จะถล่มฟ้าดิน

…..

พอเห็นสองคนนี้ ทุกคนต่างมีสีหน้าเคารพและเลื่อมใส

สองคนนี้ก็คือเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รุ่นก่อนจางหลงหยวนกับผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตฉู่หรงเหอ!

แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พัฒนาเช่นนี้ได้เป็นเพราะมีพวกเขาสองคนอยู่

ปรับแก้ใหม่มาเรื่อยๆ ถึงได้ออกมาเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีกำลังแฝงหนาแน่นเช่นนี้

ดังนั้นจางหลงหยวนกับฉู่หรงเหอจึงมีบารมีถึงขั้นเหนือกว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ทุกรุ่นที่ผ่านมา

และตอนนี้เอง จางหลงหยวนกับฉู่หรงเหอเคลื่อนตัวเล็กน้อยก็มาปรากฏตรงหน้าเสิ่นเทียน

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จ้องเสิ่นเทียน ประกายเซียนบนผิวกายกระเพื่อมเบาๆ “เทียนเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!”

จางหลงหยวนรู้สึกได้ว่าเอกลักษณ์เสิ่นเทียนเปลี่ยนไปอย่างมาก มีความรู้สึกผลัดเปลี่ยนกระดูก

ในตัวเขาเหมือนจะมีสมบัติสุดยอดสูงสุดบางอย่าง พลังยิ่งใหญ่ไม่อาจคาดเดา สัมผัสตามใจไม่ได้

……

เมื่อนึกถึงตรงนี้ จางหลงหยวนถึงกับปลงอนิจจัง

เทียนเอ๋อร์ ช่างสมกับเป็นบุตรแห่งโชคจากสวรรค์จริงๆ

หายไปหลายปีขนาดนี้ ได้พบมหาโชคลิขิตจริงๆ

ให้เขาเป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ต้องได้เย้ยหยันต่อห้าดินแดนแน่นอน!

ฮิๆๆๆๆๆๆ~

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด