บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 488 ความลับของราชันมนุษย์รุ่นหนึ่ง!

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 488 ความลับของราชันมนุษย์รุ่นหนึ่ง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 488 ความลับของราชันมนุษย์รุ่นหนึ่ง!

ภายใต้สายตาชื่นชมของทุกคน เสิ่นเทียนกับจูเก่อซือหม่าถูกพลังแก่กล้ากระชากออกไป

สองคนรู้สึกถึงแสงสว่างตรงหน้า มีความรู้สึกเวียนศีรษะพุ่งเข้ามาในความคิด

จนเมื่อสายตากลับมาชัดเจนก็มาอยู่ในตำหนักโบราณยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง

ตำหนักโบราณโอ่อ่ายิ่งใหญ่ มีความสูงหลายหมื่นจั้ง

ตั้งอยู่กลางฟ้าดิน ยิ่งใหญ่ไร้พรมแดนเหมือนขุนเขาเทพบรรพกาล

ประตูใหญ่สีเหลืองทึบตั้งอยู่หน้าตำหนักโบราณ เปล่งแสงสว่างพร่างพราว หนักถึงหมื่นชั่ง

บนประตูใหญ่ยังห้อยป้ายทองแดงอันหนึ่ง ด้านบนแกะสลักสี่อักษะใหญ่ ‘ตำหนักสวรรค์เกราะมังกร’

ตัวอักษรทรงพลัง ฉวัดเฉวียน แฝงไว้ด้วยพลังยิ่งใหญ่!

เมื่อเห็นภาพนี้ จูเก่อซือหม่าจิตใจสั่นไหวเล็กน้อย

ตำหนักโบราณนี่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่กับเขาเกินไป เหมือนโลกหนึ่งมากกว่า ยิ่งใหญ่ไม่อาจคาดเดา!

จูเก่อซือหม่าพูดด้วยความตื่นเต้น “นี่คือสถานบำเพ็ญของผู้แข็งแกร่งสุดยอดคนนั้นรึ”

จากมรดกส่วนหนึ่งของตราเทพเกราะมังกร จูเก่อซือหม่าจึงรู้ถึงความแกร่งของเจ้าของที่นี่

บรรพบุรุษรุ่นแรกของเขาตระหนักได้เพียงผิวเผินยังสร้างตระกูลขุนนางค่ายกลที่สุดยอดที่สุดในห้าดินแดนได้

ผู้ที่สร้างวิชาลี้ลับเช่นนี้ได้ จะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่นอน

…..

ตอนนี้เองห้วงอากาศไหลหลาก

ถ้ำแสงลอยขึ้นมาในฟ้าดิน กฎเกณฑ์เวียนวน ร่างเงาหนึ่งก้าวออกมา

คนนี้ก็คือชายชราชุดคลุมเทาคนนั้นก่อนหน้านี้

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ยินดีกับสหายน้อยทั้งสองที่ผ่านการทดสอบแรก ที่นี่ คือแดนมรดกของราชาเซียนเกราะมังกร!”

จูเก่อซือหม่าตัวสั่นไหวเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววตื่นตกใจ

ที่แท้ผู้แข็งแกร่งที่นี่ก็คงอยู่ระดับราชาเซียน มิน่าถึงน่ากลัวขนาดนี้

ขณะเดียวกันจูเก่อซือหม่ายังอดตื่นเต้นขึ้นมามิได้

มรดกของราชาเซียนเกราะมังกรประเมินค่าไม่ได้อย่างแน่นอน

จูเก่อซือหม่าพูดด้วยความเคารพ “ผู้อาวุโสคือราชาเซียนเกราะมังกรรึ”

ชายชราชุดคลุมเทามีกลิ่นอายพลังลึกล้ำคาดเดาไม่ได้ เป็นการคงอยู่สุดยอด

เขาส่ายหน้าช้าๆ “ข้าเป็นเพียงคนเฝ้าสุสานเท่านั้น”

จูเก่อซือหม่าตัวสั่นไหวเบาๆ “คนเฝ้าสุสานรึ ผู้อาวุโส หรือว่า…”

คนเฝ้าสุสานพยักหน้า “ไม่ผิด นี่คือสุสานของราชาเซียนเกราะมังกร! ราชาเซียนเกราะมังกรสิ้นชีพในยุคบรรพกาลเมื่อหลายแสนปีก่อน ไม่เหลือเสี้ยววิญญาณแล้ว หน้าที่ของข้าคือตามหาผู้สืบทอดของราชาเซียนเกราะมังกร รวมถึงปกป้องสุสานนี้!”

จูเก่อซือหม่าเกิดความเศร้าขึ้นในใจนิดๆ รู้สึกเสียใจอย่างน่าประหลาด

เขาเคยฝึกตราเทพเกราะมังกรมาส่วนหนึ่ง จึงเต็มไปด้วยความเคารพต่อผู้แข็งแกร่งที่สร้างวิชานี้

จูเก่อซือหม่าคิดทุกวิถีทาง อยากจะเห็นท่วงท่าสง่างามที่สุดแห่งยุคของผู้สูงส่งค่ายกลเช่นนี้ แต่ใครจะไปคิดว่าราชาเซียนหนึ่งยุคจะสิ้นชีพลงที่นี่ เหลือเพียงคนเฝ้าสุสาน

นี่น่าวังเวงเพียงใดกัน

……

“เหตุใดราชาเซียนเกราะมังกรถึงสิ้นชีพกัน”

จูเก่อซือหม่าไม่เข้าใจ ผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียนมีพลังเชื่อมฟ้า

ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่เหนือกว่ามหาจักรพรรดิ คงอยู่ได้เป็นหมื่นปี จะไปสิ้นชีพลงง่ายๆ ได้อย่างไร!

คนเฝ้าสุสานดวงตาตกลงเล็กน้อย “สิ้นชีพใจมหาสงครามต่างแดนเมื่อหลายแสนปีก่อน ราชาเซียนเกราะมังกรวางยอดค่ายกลสวรรค์ในสนามรบเขตรกร้าง ต้านราชาเซียนวิญญาณร้ายสามตน

สุดท้ายผู้แข็งแกร่งสูงสุดเผ่าวิญญาณร้ายออกมือ ทำลายยอดค่ายกลลง ตอนนั้นฟ้าดินร่ำไห้ ทะเลโลหิตพลิกกลับ ราชาเซียนปลุกธงสามพันผืน ฝืนลากราชาเซียนวิญญาณร้ายตนหนึ่งสิ้นชีพไปด้วยกัน”

มีเพียงวิญญาณร้ายต่างแดนเท่านั้นที่คุกคามถึงผู้แข็งแกร่งระดับราชาเซียน

ทำให้ราชาเซียนสูงสุดต้องสิ้นชีพลง

จูเก่อซือหม่ากับเสิ่นเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง

“วิญญาณร้ายต่างแดนอีกแล้ว!”

จูเก่อซือหม่าพูดด้วยความแค้นเคือง กัดฟันด้วยความโกรธ

เมื่อได้ฟังคำพูดของคนเฝ้าสุสาน พวกเขาเหมือนนึกถึงสงครามบรรพกาลนั้น

ฟ้าดินถูกสังหารจนแดงโลหิต มืดครึ้มไร้ดวงตะวัน

ราชาเซียนที่สุดแห่งยุคใช้เศษธงห่อร่าง สาบานว่าตายก็ต้องลากวิญญาณร้ายไปด้วย

ปรากฏว่าผู้แข็งแกร่งราชาเซียนหนึ่งยุคสิ้นชีพลงที่สนามรบเขตรกร้าง!

นี่น่าวังเวงเพียงใดกัน น่าเศร้าเพียงใดกัน ทำให้คนเศร้าสลดเสียใจ

จิตใจของสองคนพลันหนักอึ้งขึ้นมา

ผ่านไปหลายแสนปี วิญญาณร้ายต่างแดนบุกเข้ามาอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าสงครามนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไร

จะต้องมีอีกกี่คนที่สิ้นชีพในมหาเคราะห์ภัยครั้งนี้

……

คนเฝ้าสุสานไม่ได้พูดต่อ แต่เปลี่ยนเรื่อง

“ตอนราชาเซียนเกราะมังกรยังมีชีวิต ได้ฝากมรดกไว้ก่อนแล้ว แม้พวกเจ้าจะผ่านการทดสอบแรก แต่ถ้าคิดจะเป็นผู้สืบทอดมรดกของราชาเซียนเกราะมังกร ยังต้องผ่านประตูใหญ่นี้ก่อน!”

คนเฝ้าสุสานโบกมือกว้าง ประตูตำหนักสวรรค์เกราะมังกรเปิดออก

ทันใดนั้นคลื่นพลังกฎเกณฑ์วนเวียน ปล่อยอานุภาพเทพมหาศาลออกมา

เมื่อสัมผัสดูดีๆ ตรงหน้าวางยอดค่ายกลสูงสุดไว้ มีพลังทรงอานุภาพอย่างยิ่ง

คนเฝ้าสุสานเอ่ยขึ้น “ตอนแรกมีเจ้าหนูที่มีพรสวรรค์ใช้ได้สองคนเคยเข้ามาในโลกนี้ แต่น่าเสียดาย พวกเขาไม่ผ่านการทดสอบสุดท้าย”

จูเก่อซือหม่าเพ่งสายตาเล็กน้อย เขารู้ว่าคนที่คนเฝ้าสุสานพูดถึงคือบรรพบุรุษรุ่นแรกทั้งสองของเขา

บรรพบุรุษรุ่นแรกทั้งสองเคยตระหนักความหมายลี้ลับสองยอดค่ายกลยันต์แปดทิศกับปัญจธาตุ ย่อมเข้ามาที่นี่ได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกขวางไว้นอกประตู

นี่เป็นปณิธานก่อนตายของพวกเขา เสียดายในหมื่นปี

…..

พอนึกถึงตรงนี้ จูเก่อซือหม่าก็พูดงึมงำ “ความเสียดายของบรรพบุรุษ ให้ข้าทำมันให้สำเร็จเถอะ!

พี่ใหญ่เสิ่น ข้าจะเข้าไปลองก่อน!”

จูเก่อซือหม่าขันอาสาก่อนเดินไปทางประตูใหญ่

แสงเทพไม่มีสิ้นสุดวนเวียนออกมา ปกคลุมเขาไว้ทั้งหมด

จูเก่อซือหม่าพลันชะงักอยู่ที่เดิม

เขาหลับตาปิดสนิท ตัวสั่นไหวอย่างรุนแรง ใบหน้ามีความเหี้ยมเกรียมขึ้นมา

เหมือนเจอเรื่องน่ากลัวบางอย่าง ทำให้จิตวิญญาณเขาสั่นกลัว

เสิ่นเทียนเพ่งสายตามองเล็กน้อย ด้วยความชำนาญด้านค่ายกลของจูเก่อซือหม่า ตอนนี้ยังดูแย่ขนาดนี้ ดูท่าที่นี่คงมีแต่ความไม่ธรรมดา

แต่ที่นี่ไม่มีพลังเทพน่ากลัว นั่นหมายความว่าค่ายกลนี้ไม่มีกำลังจู่โจม

นี่เหมือนค่ายกลที่ไว้ทดสอบจิตใจมากกว่า

เสิ่นเทียนเดินหน้าไปในค่ายกล ทว่าหลังเขาเข้าไปกลับไม่มีการโต้ตอบใดๆ เลย

เสิ่นเทียนเข้าไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค เดินออกจากค่ายกล

ตอนนี้เสิ่นเทียนมีแววตางุนงง ไม่เข้าใจ

เกิดอะไรขึ้น

เหตุใดค่ายกลนี่ถึงไม่มีผลกับข้า

หรือว่าค่ายกลเสียหายตรงไหน มีปัญหารึ

คนเฝ้าสุสานตัวสั่น ก่อนพูดพึมพำ “ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นคุณสมบัติกายนั้น…คำพยากรณ์ในตอนนั้นเป็นความจริงรึ”

คนเฝ้าสุสานไม่ได้พูดมาก แต่จ้องเสิ่นเทียน ดวงตาลึกล้ำอย่างยิ่ง

……

ครู่ต่อมา ในที่สุดจูเก่อซือหม่าก็ตื่นขึ้น

เขาเหงื่อชุ่มไปทั้งตัวเหมือนรีดน้ำออก กลิ่นอายพลังอ่อนแรงอย่างมาก

แต่เขาฝืนลากขาหนักอึ้งเดินออกจากค่ายกลนี้

“ในที่สุด…ข้าก็ทำได้แล้ว!”

จูเก่อซือหม่าพูดอย่างอ่อนแรง แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“พี่ใหญ่เสิ่น ท่านก็สำเร็จเหมือนกัน!”

จูเก่อซือหม่าไม่ได้ตกใจ แต่ดีใจ

ในมุมมองเขา ด้วยพรสวรรค์ของเสิ่นเทียนต้องผ่านค่ายกลนี้ได้อย่างง่ายดาย

คนเฝ้าสุสานเดินเข้ามา ก้าวข้ามค่ายกลนี้มาเลย

ดวงตาเปล่งประกายแสงขึ้นเรื่อยๆ มองจูเก่อซือหม่า “ไม่เลว ไม่เลวเลย ค่ายกลนี้คือค่ายกลมายาใจสวรรค์เบิกฟ้า ใช้ปราณเบิกฟ้าสร้างเป็นแดนมายาขึ้น

ซึ่งจะได้พบความน่าสะพรึงในใจที่นี่ หากเอาชนะความกลัวไม่ได้ก็จะหลงทางในนั้น กระทั่งธาตุไฟเข้าแทรก ด้วยอายุอย่างเจ้าเดินมาถึงก้าวนี้ได้ เยี่ยมมากแล้ว!”

คนเฝ้าสุสานมองจูเก่อซือหม่า ค่อนข้างพอใจ

จากนั้นเขามองเสิ่นเทียน “เจ้าฝึกเคล็ดคบเพลิงเบิกฟ้า มองข้ามปราณเบิกฟ้าได้ ค่ายกลนี้ย่อมไม่มีประโยชน์กับเจ้า!”

เสิ่นเทียนพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง มิน่าเขาเพิ่งเข้ามาก็รู้สึกถึงกลิ่นอายที่ใกล้ชิดมาก

ที่แท้พลังนั้นก็มาจากปราณเบิกฟ้า

แต่ขณะเดียวกันเสิ่นเทียนยังแอบตกใจ

คนนี้ เหตุใดถึงรู้ว่าเขาฝึกเคล็ดคบเพลิงเบิกฟ้าล่ะ

อาศัยแค่จุดที่มีภูมิต้านปราณเบิกฟ้าก็คาดเดาวิชาเขาออกแล้วรึ

นี่มันจะน่ากลัวไปหน่อยกระมัง!

……..

คนเฝ้าสุสานมองจูเก่อซือหม่า “ในเมื่อเจ้าผ่านค่ายกลมายาใจสวรรค์เบิกฟ้าก็แสดงว่ามีสติปัญญาเหนือคนอื่น ข้าจะรับเจ้าเป็นผู้สืบทอดแทนราชาเซียนเกราะมังกร”

จูเก่อซือหม่ามีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา นับว่าเป็นอัจฉริยะยอดเยี่ยมแห่งยุค

มองไปในอดีตจนถึงตอนนี้ มีคนที่มีพรสวรรค์ด้านค่ายกลเหนือกว่าเขานับนิ้วได้เลย

จูเก่อซือหม่าได้ยินดังนั้นก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง

เขามีสีหน้าดีใจจนคลุ้มคลั่ง “ขอบคุณผู้อาวุโสมาก ศิษย์จะทำให้มรดกราชาเซียนให้ยิ่งใหญ่ขึ้น”

คนเฝ้าสุสานพยักหน้าเล็กน้อย โอรสสวรรค์เช่นนี้ไม่ถือว่าทำเสียเกียรติของราชาเซียน

จากนั้นคนเฝ้าสุสานเอ่ยต่อ “ต่อไป ข้าจะถ่ายทอดมรดกราชาเซียนให้กับเจ้า!”

จูเก่อซือหม่าพูดด้วยความสงสัย “ผู้อาวุโส แล้วพี่ใหญ่เสิ่นล่ะ!”

เสิ่นเทียนมีพรสวรรค์เหนือกว่าเขา ไม่ใช่แค่ผ่านค่ายกลนี้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังเรียนมรดกในผนังหินได้ทั้งหมด

พรสวรรค์เช่นนี้เหนือกว่าจูเก่อซือหม่าไปไกลโข

อัจฉริยะสุดยอดขนาดนี้ คนเฝ้าสุสานกลับไม่รับเขาเป็นศิษย์แทนราชาเซียนเกราะมังกรรึ

คนเฝ้าสุสานยิ้ม “ข้าย่อมอยากรับเขาเป็นศิษย์ ด้วยพรสวรรค์ของเขา หากไปอยู่โลกเซียน จะทำให้ยอดผู้สูงส่งมากมายต้องตื่นตกใจ เพียงแต่ว่าข้ารับเขาไม่ได้!”

จูเก่อซือหม่าทำหน้าฉงน “เพราะเหตุใด”

คนเฝ้าสุสานถอนหายใจ “เขาไม่ใช่ผู้สืบทอดของราชาเซียน ราชาเซียนเองยังรับกรรมใหญ่ขนาดนี้ไม่ไหว”

สายเลือดพวกเขาฝึกค่ายกล ส่องมหามรรคฟ้าดินได้ พบความลับได้เล็กน้อย

เสิ่นเทียนซ่อนความน่าสะพรึงกลัวไว้ เหนือเกินกว่าที่ราชาเซียนเกราะมังกรจะแตะต้องได้

คนเฝ้าสุสานพูดขึ้น “แม้ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์แทนราชาเซียนเกราะมังกรไม่ได้ แต่ก็ถ่ายทอดตราเทพเกราะมังกรให้เจ้าได้ทั้งหมด นี่คือคำสั่งเสียที่ราชาเซียนกล่าวไว้นานมาแล้ว”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็กดมือใหญ่ พลันมีแสงสว่างจ้าสองสายพุ่งออกมา

แสงเทพสว่างพร่างพราวยิ่ง แฝงไว้ด้วยความลี้ลับ แยกกันเข้าไปในความคิดเสิ่นเทียนกับจูเก่อซือหม่า

เสิ่นเทียนพลันรู้สึกว่ามีหลักการแท้จริงซับซ้อนมากมายเพิ่มมาในความคิด

พลังนี้ลี้ลับกว่าเนื้อหาบนผนังหินมาก

ตราเทพเกราะมังกรเป็นมรดกสูงสุดของราชาเซียนเกราะมังกร ลึกลับยิ่ง

ในนี้ไม่ใช่แค่แฝงไว้ด้วยความเข้าใจในยอดค่ายกลฟ้าดิน แต่ยังบันทึกบ่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลทั้งหมด

…..

เสิ่นเทียนพลันตระหนักรู้ได้ จิตใจเข้าสู่ความเงียบ

เขากำลังตระหนักวิชาสูงสุดในความคิด ลองทำความเข้าใจมันอย่างถ่องแท้

ไม่นานนัก เสิ่นเทียนพลันระเบิดกลิ่นอายพลัง เปลี่ยนเป็นพลังยิ่งใหญ่

เขาพบว่าวิชานี้แปลงเป็นภาพค่ายกลสุดยอดในความคิด ภาพค่ายกลนี้ลี้ลับ ยิ่งใหญ่ดั่งโลก

เพียงแต่ว่าภาพค่ายกลนี้ถูกหมอกมากมายปกคลุมไว้ ทำให้ไม่อาจส่องได้

แต่ด้วยกายมรรคสวรรค์ประทานของเสิ่นเทียน หมอกพวกนั้นถอยไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ภาพค่ายกลในความคิดเสิ่นเทียนชัดเจนขึ้นมาก

เมื่อนึกถึงภาพค่ายกลในความคิด เขาพลันรู้สึกคุ้นเคยขึ้น

เหมือนเคยเห็นภาพนี้ที่ใดมาก่อน

แต่ว่านี่เหมือนเงาย่อส่วนของดินแดนแห่งหนึ่งมากกว่า

เสิ่นเทียนลืมตาขึ้น นัยน์ตาเผยประกายตกใจระคนสงสัยเสี้ยวหนึ่ง

คนเฝ้าสุสานเหมือนเห็นความสงสัยของเสิ่นเทียนจึงพูดราบเรียบ “ไม่ผิด ความลี้ลับสุดท้ายของตราเทพเกราะมังกรคือภาพจำแลงเขตทะเลเบิกฟ้า เขตทะเลเบิกฟ้าแห่งนี้ ความจริงเป็นค่ายกลที่ราชาเซียนเกราะมังกรวางไว้

หรืออาจพูดได้ว่าที่นี่คือสุสานของคนคนหนึ่ง และเขตทะเลเบิกฟ้าคือค่ายกลที่ราชาเซียนเกราะมังกรสร้างขึ้นเพื่อปกป้องสุสาน!”

เสิ่นเทียนตัวสั่นอย่างรุนแรง “อะไรนะ”

เขาตื่นตกใจมาก เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจ

เขตทะเลใหญ่ขนาดนี้ เป็นเพียงสุสานของคนคนหนึ่งรึ

…..

เสิ่นเทียนรู้ว่าในเขตทะเลเบิกฟ้าซ่อนความลับไว้มากมาย

ทุกที่มากพอจะสั่นสะเทือนห้าดินแดน ทำให้โลกเซียนตื่นตกใจ

อย่างเช่นเขตแดนเทพมรณะหยินหยางก่อนหน้านี้ ในนั้นสังหารเทพเจ้าไว้มากมาย และยังมีพลังน่ากลัวอย่างปราณหยินหยางกำเนิด!

มียอดค่ายกลเบิกฟ้าของเขตรอบนอก ในนั้นเต็มไปด้วยไอเบิกฟ้า

พลังงานพวกนี้ไม่ใช่พลังของโลกนี้ น่าสะพรึงถึงที่สุด

แต่ทุกอย่างคงอยู่ในเขตทะเลเบิกฟ้า เพียงเพื่อปกป้องสุสาน

เช่นนั้นเจ้าของสุสานแห่งนี้เป็นใครกันแน่

คนเฝ้าสุสานกลับไม่ตอบ แต่มองเสิ่นเทียน “เจ้ารู้ที่มาของคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าที่เจ้าฝึกหรือไม่”

เสิ่นเทียนส่ายหน้า เขาไม่เข้าใจวิชาสะท้านโลกนี้จริงๆ

คัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าเป็นจักรพรรดินีสูงสุดถ่ายทอดให้เขา แต่เขาไม่รู้เบื้องหลังของมันเลย

คนเฝ้าสุสานอธิบายเนิบนาบ “ในยุคดึกดำบรรพ์เมื่อล้านปีก่อน มีเผ่าพันธุ์มากมายกำเนิดขึ้น เผ่ามนุษย์มีกายและวิญญาณสวรรค์ประทานไม่แข็งแกร่งเลยในเผ่าสัตว์ร้ายมากมาย แทบจะเป็นอาหารในห่วงโซ่ของสัตว์ร้ายแข็งแกร่ง

และในยุคนี้เอง ราชันมนุษย์รุ่นหนึ่ง ‘ซุ่ย’ ได้ถือกำเนิดขึ้น”

ราชันมนุษย์รุ่นหนึ่ง ซุ่ยรึ

เสิ่นเทียนมองคนเฝ้าสุสาน เขารู้สึกว่าตนไปแตะโดนความลับที่สุดยอดบางอย่างเข้า

“ราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งมีคุณสมบัติกายที่แกร่งที่สุดในหมื่นโลก สามารถหลอมรวมพลังทุกอย่างมาเสริมความแกร่งให้ตนเองได้ เขาคือยอดผู้สูงส่งสูงสุดอย่างไม่ต้องละอายใจ โอหังที่สุด สังหารจนหมื่นเผ่าพันธุ์หนาวสั่น

และเพราะการนำของราชันมนุษย์รุ่นหนึ่ง เผ่ามนุษย์ถึงได้ผงาดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่แกร่งที่สุดในหมื่นโลก

ทว่าความสุขมักอยู่ไม่นาน ปลายยุคดึกดำบรรพ์ก็เกิดเงามืดขึ้น ปราการโลกนี้ถูกคนทำลายเข้ามา วิญญาณร้ายต่างแดนมากมายพุ่งผ่านรอยแยกโลกเข้ามา เริ่มเข่นฆ่า จะยึดครองที่นี่ ราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งนำหมื่นเผ่าพันธุ์ร่วมกันต่อต้าน สู้รบกับวิญญาณร้ายต่างแดน”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ คนเฝ้าสุสานตัวแข็งไป กลิ่นอายพลังไหลหลาก

“ศึกนี้ สู้รบกันจนมืดฟ้ามัวดิน แม้แต่โลกเซียนยังถูกย้อมเป็นสีเลือด น่าตื่นตกใจยิ่ง ทุกที่มีแต่เศษซากศพ โลหิตไหลเป็นสายน้ำ กระดูกกองเป็นภูเขา

สิ่งมีชีวิตมากมายสิ้นชีพลงในสงครามนี้ ต่อให้เป็นเผ่ามนุษย์ที่อยู่สูงสุดก็ยังเสียหายอย่างหนัก แทบจะสูญพันธุ์ สุดท้ายราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งทุ่มกำลังจู่โจม ใช้กำลังตัวคนเดียวลากจักรพรรดิเซียนวิญญาณร้ายสามตนตายไปพร้อมกัน

อีกทั้งปราการโลกยังถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ในสงครามครั้งนี้ นี่ถึงได้หยุดการรุกรานของวิญญาณร้ายต่างแดนได้ชั่วคราว ทำให้โลกนี้ฟื้นพลังปราณเดิมกลับมา”

คนเฝ้าสุสานถอนหายใจยาว ปลงอนิจจังอย่างยิ่ง

สงครามในตอนนั้นน่าเวทนามากจริงๆ ยักษ์ใหญ่มากมายสิ้นชีพ ยอดผู้สูงส่งตายตก

ฟ้าดินร่ำไห้ จะมีฝนโลหิตตกลงมาตลอดเวลา สงสารชาวโลก

โลกแห่งนี้แทบจะถูกทำลายลงทั้งหมด

ต่อให้เป็นเผ่ามนุษย์ที่เหลือก็ยังพลังปราณเดิมเสียหายหนัก ขุมอำนาจและศักยภาพแฝงสู้ตอนแรกไม่ได้

ดังนั้น ปลายยุคดึกดำบรรพ์จึงถูกเรียกว่ายุคมืด

จนกระทั่งผ่านไปหลายแสนปี ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ถึงค่อยๆ ฟื้นพลังปราณเดิม ผงาดขึ้นอีกครั้ง

…..

พอได้ฟังเรื่องในอดีตพวกนี้ เสิ่นเทียนตื่นตกใจอย่างยิ่ง

เขาไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน

ต่อให้เป็นคัมภีร์โบราณที่ทุกขุมอำนาจห้าดินแดนเก็บรักษาไว้ ก็ยังบันทึกไว้น้อยมาก

มีเพียงผู้แข็งแกร่งเมื่อหลายแสนปีก่อนอย่างคนเฝ้าสุสานที่รู้ความลับในนั้น

คนเฝ้าสุสานพูดต่อ “ก่อนราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งสิ้นชีพได้ฝากคัมภีร์บรรพชนคบเพลิงไว้ นี่คือวิชาดั้งเดิมของราชันมนุษย์รุ่นหนึ่ง มีอานุภาพสูงสุด

แต่คัมภีร์บรรพชนคบเพลิงไม่ใช่ว่าใครจะฝึกกันได้ มีเพียงโอรสสวรรค์สุดยอดที่มีคุณสมบัติกายเหมือนกับราชนิกุลราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งเท่านั้นถึงจะฝึกคัมภีร์บรรพชนคบเพลิงถึงขั้นสุดยอดได้

คนอื่นๆ ได้แต่ปรับแก้คัมภีร์บรรพชนคบเพลิงไปในทิศทางต่างๆ บอกว่าปรับแก้ แต่ความจริงแค่รวบรัดและทำให้ง่ายขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกับที่เงื่อนไขการฝึกลดลง อานุภาพก็จะลดลงมากเช่นกัน

ด้วยคัมภีร์บรรพชนคบเพลิงนี้จึงเกิดเป็นศาสตร์การฝึกหลอมกายเทพมารขึ้น เผ่ามนุษย์จึงค่อยๆ ฟื้นฟูพลังปราณเดิม น่าเสียดายก็แต่แม้วิญญาณร้ายต่างแดนจะถอยไปชั่วคราว แต่โลกนี้ก็ยังมีกลิ่นอายชั่วร้ายเหลืออยู่ ยึดร่างเผ่ามนุษย์มากมาย

ดังนั้นโลกนี้จึงเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง เกิดการแย่งชิงขึ้น เผ่าพันธุ์มากมายคิดจะชิงตำแหน่งสูงสุดในฟ้าดิน ตอนนั้นเผ่ามนุษย์เคยยิ่งใหญ่ ทำให้หลายเผ่าพันธุ์ริษยา

ภายใต้การปลุกระดมลับๆ ของเผ่าวิญญาณร้าย เผ่ามนุษย์จึงถูกหมื่นเผ่าพันธุ์ปิดล้อม หลังศึกครั้งนี้ เผ่ามนุษย์ตกต่ำ เกือบสูญพันธุ์

ดีที่ใต้บัญชาราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งยังมีผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคสามสิบหกท่านรอดมาได้ แต่ด้วยพลังของพวกเขา การจะต่อต้านหมื่นเผ่าพันธุ์เป็นไปไม่ได้เลย

สุดท้าย ราชาเซียนสามสิบหกท่านนี้สำแดงวิชาลับสะท้านโลก ‘ตัดฟ้าเชื่อมปฐพี’ แบ่งโลกเล็กออกมา เป็นแดนแห่งความหวังอยู่ในห้วงมิติไร้พรมแดน

ราชาเซียนครึ่งหนึ่งแปลงกายเป็นสวรรค์ ผนึกการเชื่อมต่อโลกเซียนกับห้าดินแดน เหลือที่ให้เผ่ามนุษย์ไว้ได้หายใจ ราชาเซียนอีกครึ่งอยู่แดนเซียน นำเผ่ามนุษย์ที่เหลือหนีไปเขตแดนรกร้าง”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ คนเฝ้าสุสานถึงกับกัดฟันด้วยความโกรธแค้นอย่างยิ่ง

ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะราชันมนุษย์รุ่นหนึ่งออกมือช่วยแดนเซียนไว้

หมื่นเผ่าพันธุ์คงสูญสิ้นไปนานแล้ว ไม่มีทางอยู่รอดได้

ปรากฏว่าผู้แข็งแกร่งหมื่นเผ่าพันธุ์กลับตอบแทนคุณด้วยการบูชาโทษ ริษยามรดกเผ่ามนุษย์ จะครอบครองไว้เอง

นี่ทำให้เผ่ามนุษย์เจอกับหายนะที่เกินกว่ายุคเงามืด แทบจะสูญพันธุ์

เรื่องราวผ่านไปนานแล้ว คนพวกนั้นในอดีตสิ้นชีพไปในแม่น้ำกาลเวลานานแล้ว

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เผ่ามนุษย์ที่รู้ความลับก็ยังอดโกรธแค้นมิได้

……

คนเฝ้าสุสานพูดต่อ “ตอนนั้นมีราชาเซียนที่สุดแห่งยุคสิบกว่าท่านถวายชีวิตเพื่อห้าดินแดน ถึงได้ปกป้องโลกนี้ไว้ได้ ในนั้นราชาเซียนสุริยะแปลงกายเป็นดวงตะวัน ราชาเซียนจันทราแปลงกายเป็นดวงจันทร์ ราชาเซียนสมุทรแปลงกายเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่

ราชาเซียนวัฏจักรแปลงกายเป็นวัฏจักรห้าดินแดน ราชาเซียนเทพสวรรค์แปลงกายเป็นเคราะห์สวรรค์ห้าดินแดน สร้างเป็นเขตแดนวิถีสวรรค์สมบูรณ์

ราชาเซียนกำเนิดฟ้าถวายแก่นพลังสำคัญชีวิตทั้งหมด เพิ่มเวลาให้ดินแดน ทำให้การไหลเวียนเวลาของที่นี่เหนือกว่าโลกเซียน

หนึ่งวันบนฟ้า หนึ่งปีบนดินที่ว่าก็เป็นฝีมือของราชาเซียนกำเนิดฟ้า เพื่อให้ห้าดินแดนกำเนิดโอรสสวรรค์ให้เร็วที่สุด ฟื้นฟูพลังปราณเดิมของเผ่ามนุษย์ใหม่”

…..

เมื่อได้ฟังคำพูดของคนเฝ้าสุสาน เสิ่นเทียนรู้สึกทุกข์และเคียดแค้นอยู่ในใจ

ไม่อยากเชื่อว่าเผ่ามนุษย์จะถวายชีวิตของตน แปลงกายเป็นมรรครวมห้าดินแดนขึ้นมา

ที่เขาเหยียบอยู่ใต้เท้านี่ก็คือร่างของบรรพชนทั้งหลาย!

………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด