บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 289.3 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 289.3 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 289 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)

ใต้ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ฉีเซ่าเสวียนกำหมัดช้าๆ จนแน่น

เขาเลือกมรดกวิชาห้าดาวกับหกดาวในหอคอยเทพสงครามเสร็จแล้ว แต่ภายในใจก็ยังไม่ยอม เขามักจะรู้สึกว่าด่านในหอคอยเทพสงครามมีอะไรผิดปกติ

เห็นๆ อยู่ว่าครั้งแรกกับครั้งที่สองที่ตนสู้กับเสิ่นเทียน มีพลังสูสียากจะตัดสินสูงต่ำได้แท้ๆ แต่เหตุใดครั้งที่สามเขาถึงถูกสังหารในพริบตา!

ต่อให้เสิ่นเทียนเรียนมรดกวิชาเจ็ดดาวอะไรมาจริง แต่ฉีเซ่าเสวียนก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่เขาพ่ายแพ้

เขารู้สึกว่าร่างเงาเสิ่นเทียนในการประลองครั้งที่สาม มีศักยภาพพื้นฐานเหนือกว่าครั้งที่หนึ่งกับสอง

ใช่ ฉีเซ่าเสวียนสงสัยว่าหอคอยเทพสงครามจงใจปรับเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มกำลังรบให้ร่างเงาเสิ่นเทียนเพื่อหลอกเอาแปดหมื่นแต้มเทพสงครามของเขา!

ไม่เช่นนั้นแซ่ฉีจะแพ้ได้อย่างไร!

“วันนี้ไม่ว่าอย่างไร แซ่ฉีจะต้องต่อสู้จริงอย่างยุติธรรมกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สักครั้งให้ได้!”

ฉีเซ่าเสวียนสูดลมหายใจเข้าลึก สวมหน้ากากอำพรางพลังเงียบๆ

เขาจะบุกยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ยามวิกาลและสู้กับเสิ่นเทียนสักครั้ง

ส่วนเหตุใดถึงไม่บุกไปท้าประลองอย่างโจ่งแจ้ง เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะเขาไม่อยากเรียกท่านปู่น้อย

แอบเข้าไปสู้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เอาชนะได้ก็จะเปิดโปงหอคอยเทพสงครามได้

หากไม่ชนะ…จะคิดมากขนาดนั้นเพื่ออะไร อย่างมากก็แค่ถูกทุบตีสักยก!

ดีเลวอย่างไรแซ่ฉีก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง สู้แพ้คงไม่ถูกสังหารหรอกกระมัง

เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉีเซ่าเสวียนก็แอบย่องไปยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์

ปกติยอดค่ายกลพิทักษ์ของยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เปิดไว้ ถึงอย่างไรเสิ่นเทียนก็เป็นผู้ข้ามมิติมา มีคุณธรรมอันดีงามในเรื่อง ‘ประหยัดและอดออม’

ประกอบกับฉีเซ่าเสวียนเป็นผู้มีแก่นพลังทองสิบรอบ กำลังรบแท้จริงเหนือกว่าผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณธรรมดาไปไกลมาก อีกทั้งเหล่าชนชั้นสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่แท้จริงยังขี้เกียจดูแล ไม่นานเขาจึงขึ้นมาถึงยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้

ไม่ช้าเขาก็เห็นเสิ่นเทียนอยู่หน้ายอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์

ตอนนี้เสิ่นเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินตระหนักรู้ ฝ่ามือฝ่าเท้าและใบหน้าแหงนขึ้นฟ้าพลางดูดซับพลังวิญญาณ

พลังวิญญาณทั้งยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์หมุนม้วนอย่างบ้าคลั่งตามการหายใจของเสิ่นเทียน ก่อเป็นกระแสพลังวิญญาณรุนแรงขึ้นรางๆ

‘นี่มันสัตว์ประหลาดหรือ ดูดซับครั้งเดียวไฉนถึงดูดพลังวิญญาณมหาศาลเช่นนี้’

ฉีเซ่าเสวียนเบิกตาโต สารภาพตามตรง เขาสงสัยในชีวิตตนนิดๆ แล้ว

ถึงอย่างไรก็เป็นระดับแก่นพลังทองเหมือนกันแท้ๆ เสิ่นเทียนจะโกงเกินไปแล้ว

……

‘ไม่เป็นไร แค่ดูดซับพลังวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงศักยภาพทั้งหมด’

ฉีเซ่าเสวียนปลอบใจตัวเองตามสิ่งที่ตัวเองคิด ก่อนจะเข้าไปใกล้เสิ่นเทียนอย่างเงียบเชียบต่อ

ห่างไปพันก้าว

ห่างไปห้าร้อยก้าว

ห่างไปร้อยก้าว

ฉีเซ่าเสวียนเก็บง้าวมังกรสวรรค์ไปแล้ว เปลี่ยนเป็นหอกยาวแทน

เขาเตรียมพร้อมจู่โจม ให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ทันระวังตัว และต้องสำแดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาตามจิตใต้สำนึก!

ทว่าตอนนี้เอง ฉีเซ่าเสวียนพบเรื่องน่าตกใจคือร่างเสิ่นเทียนหายไปตรงหน้าเขา

ไม่ใช่ ไม่ได้หายไปตรงหน้าเขา น่าจะบอกว่าหายไปจากโลกนี้มากกว่า

ปกติผู้ฝึกบำเพ็ญจะใช้พลังจิตกำหนดเป้าอีกฝ่ายไว้ จากนั้นจึงค่อยโจมตี

แต่ตอนนี้ฉีเซ่าเสวียนพบว่าพลังจิตของตนไม่อาจจับตัวเสิ่นเทียนได้เลย อีกฝ่ายเหมือนหนีเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง

ยังอยู่บนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ แต่กลับเหมือนเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หมื่นวิชาไม่อาจทำอะไรได้

‘เกิดอะไรขึ้น หรือว่าข้าจะถูกพบตัวแล้ว’

ฉีเซ่าเสวียนมีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย พลังฤทธิ์ทั่วร่างหลั่งทะลักออกมาในทันใด ทว่าช่วงที่ฉีเซ่าเสวียนเตรียมจะตัดไฟแต่ต้นลมนั้น เสิ่นเทียนที่นั่งขัดสมาธิบนหินตระหนักรู้ขยับเขยื้อนแล้ว

เขาหลับตาเล็กน้อย เหมือนยังอยู่ในการตระหนักรู้อันลึกลับยิ่ง ทุกอย่างในโลกไม่เกี่ยวข้องกับเขา

ในมือเขาปรากฏกระบี่ยาวสีโลหิตเล่มหนึ่ง ขณะที่แสงสว่างไหลเวียน ยังเหมือนมีไอสังหารไม่มีที่สิ้นสุดวนเวียนอยู่ แต่กลับไม่ได้ระบายออกมาข้างนอกแม้แต่น้อย

เสิ่นเทียนกำลังร่ายรำกระบี่ ท่วงท่างดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ประหนึ่งเซียนกระบี่บนฟ้าลงมาเยือนโลกมนุษย์

ท่วงท่ากระบี่ของเขาไม่ยึดกรอบตายตัว ดูเหมือนไม่มีลำดับขั้นตอน แต่ก็เหมือนดีงามถึงขีดสุด

พลังกระบี่ของเขาเงียบสงบ ไม่มีอำนาจปราณกระบี่ใดๆ กระทั่งตอนกวัดแกว่งกระบี่ยังไม่มีเสียงทะลวงสายลม

วิชากระบี่นี้เหมือนกับการร่ายรำลอยล่องเหนือธรรมดา ไม่มีพลังสังหารใดๆ แต่กลับซ่อนการเปลี่ยนแปลงหลากหลายไว้ มีการเปลี่ยนแปลงครอบจักรวาล

ฉีเซ่าเสวียนดูแล้วไม่เข้าใจ

ไม่ใช่แค่ไม่เข้าใจ ถึงขนาดจำกระบวนท่านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกับที่เสิ่นเทียนร่ายรำกระบี่ ก็เหมือนจะตัดความทรงจำเกี่ยวกับวิชากระบี่นี้ของฉีเซ่าเสวียนไปด้วย

เขาเห็นเสิ่นเทียนร่ายรำหลายร้อยกระบี่ แต่ในหัวกลับไม่มีท่วงท่าหลงเหลืออยู่เลย รู้แค่ว่าวิชากระบี่พวกนั้นเหมือนจะยอดเยี่ยมมาก

……..

เสิ่นเทียนรำกระบี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นทุกที

เมื่อกระบวนท่ากระบี่รวดเร็วขึ้น พลังกระบี่หลายร้อยครั้งนั้นเหมือนจะค่อยๆ ลดลง

หลายร้อยท่า

หนึ่งร้อยท่า

หลายสิบท่า

สิบกว่าท่า

แต่เมื่อกระบวนท่าลดน้อยลง วิชากระบี่นี้ยิ่งเร็วขึ้น เบาขึ้น เหมือนเซียนจากบนฟ้าร่ายรำกระบี่ กระทั่งกระบี่ยาวสีโลหิตนั้น ตอนนี้ยังแฝงประกายเซียนอ่อนๆ ไม่มีไอสังหารใดอีก

ทว่าในใจฉีเซ่าเสวียนตอนนี้กลับยิ่งหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ

เขามักรู้สึกว่าวิชากระบี่ที่ดูเหมือนอ่อนช้อยยิ่งนั้นแฝงไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นเอง เสิ่นเทียนที่เดิมทีร่ายรำกระบี่อย่างเฉยชาก็หมุนตัวกลับมา

เขามองฉีเซ่าเสวียน ขณะเดียวกันกระบวนท่ากระบี่ทั้งหมดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ฟุบ!

ตอนนี้เสิ่นเทียนหายไปจากสายตาฉีเซ่าเสวียน แทนที่ด้วยแสงกระบี่ที่มีไอเซียนปกคลุมหนาทึบเล่มหนึ่ง

แสงสว่างของมันส่องสว่างจากโบราณกาล เหมือนไหลผ่านลงมาจากธารน้ำแห่งกาลเวลา ข้ามผ่านจากโบราณมาถึงปัจจุบัน

ราวกับการควบคุมวงจรหนึ่งในกาลเวลา ตัดขาดเหตุผลและโชคชะตา

ทันใดนั้น ฉีเซ่าเสวียนเงยหน้าขึ้นช้าๆ

เขารู้สึกว่าดวงจันทร์เหนือสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหมือนจะแตกออก

รอยกระบี่สายหนึ่งลากผ่าน ไม่ใช่แค่ดวงจันทร์ แม้แต่ผืนฟ้ายังถูกแบ่งครึ่งไปด้วย

ฉีเซ่าเสวียนเหมือนเห็นเงาของเซียนร่างหนึ่งรางๆ มาพร้อมกับความรุ่งโรจน์สูงสุดในฟ้าดิน

เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่นี้ กระทั่งฉีเซ่าเสวียนยังไม่เกิดความคิดต่อต้าน เพราะเขารู้สึกว่านี่คือการดูหมิ่นต่อเซียนแท้จริง!

ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ!

พริบตาเดียว ตรงหน้าฉีเซ่าเสวียนเหลือเพียงประกายเซียน นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก

ในความคิดของเขาเหลือเพียงความคิดเดียวว่า ‘ข้า…จะตายหรือ’

…..

ชั่ววินาทีนั้นเหมือนยาวนานหลายสิบปี

จนเมื่อประกายเซียนหายไปทั้งหมด ฉีเซ่าเสวียนพบว่าตนไม่บาดเจ็บใดๆ ทว่าตรงหน้าเขากลับมีบุรุษชุดคลุมม่วงคนหนึ่งยืนอยู่ ตอนนี้แขนขวาลามไปถึงหัวไหล่ขาด โลหิตสาดกระจายไปเจ็ดก้าว

“อะ อาจารย์อาจื่อเสวียน!”

ฉีเซ่าเสวียนม่านตาหดลง ตอนนี้คนที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขาคือผู้สูงศักดิ์สวรรค์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง หรือก็คือหนึ่งในองครักษ์ของฉีเซ่าเสวียน

ในฐานะเจ้าของหนึ่งยอดเขาในแดนสิทธิ์เคหาสน์ม่วง ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนมีพลังระดับหลอมรวมเทพ มองไปทั้งดินแดนบูรพาถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด

ทว่าตอนนี้ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนกลับถูกฟันแขนขาดข้างหนึ่ง จะสร้างความตื่นตกใจให้ฉีเซ่าเสวียนเพียงใด แค่คิดก็รู้แล้ว

“เสิ่นเทียนเขา ฟันแขนขวาอาจารย์อาขาด!”

ฉีเซ่าเสวียนเหม่อมองเสิ่นเทียน ภายในใจรู้สึกห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง จิตต่อสู้ของเขาหายไปทั้งหมด เพราะอยู่คนละระดับกันแล้ว

ถ้าฉีเซ่าเสวียนทุ่มสุดกำลัง ก็มีโอกาสห้าส่วนที่จะหนีจากเงื้อมมือของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ระดับหลอมรวมเทพได้ นี่ทำให้เขาภาคภูมิใจแล้ว ทว่ากระบี่เมื่อครู่ของเสิ่นเทียน กลับฟันแขนขวาของผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนขาด

ความต่างระหว่างสองคนราวกับเมฆและดินเลน

ฉีเซ่าเสวียนคุกเข่าลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอดหน้ากากออก พูดงึมงำกับตัวเองว่า “แซ่ฉี…แพ้แล้ว”

‘ครั้งนี้เซ่าเสวียน แพ้แล้วจริงๆ’

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนตกตะลึงในใจไม่น้อยไปกว่าฉีเซ่าเสวียน เพราะไม่มีใครเข้าใจความน่าสะพรึงกลัวของกระบี่เมื่อครู่ดีไปกว่าเขา

กระบี่นั้นไม่ใช่แค่อาวุธอริยะเลย อย่างน้อยก็ระดับอาวุธเตรียมเซียน มีไอสังหารที่น่ากลัวที่สุดในฟ้าดิน

ทว่าเทียบกับวิชากระบี่ส่องแสงเรืองรองที่สุดแห่งยุคนั้นแล้ว ต่อให้เป็นกระบี่สังหารก็ยังไม่เพียงพอ

เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเสิ่นเทียนเหมือนสังเกตเห็นบางอย่างและหันเหคมกระบี่ทันละก็ บางทีเขาอาจไม่ได้แขนขาด แต่เป็นศีรษะขาดแทน

กระทั่งตอนนี้กระบวนท่ากระบี่สลายไปแล้ว เจตจำนงกระบี่ในแขนที่ขาดก็ยังคงวนเวียนประหนึ่งตัวอ่อนแมลงวันชอนไช ทำให้จื่อเสวียนรักษาบาดแผลได้ยากยิ่ง

การจะต่อแขนขวากลับมายากเสียยิ่งกว่ายาก

เขาถอนหายใจ “บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คือสุดยอดอัจฉริยะจริงๆ กระบี่นี้ ทำให้นักกระบี่ใต้หล้าหน้าถอดสีทั้งหมด”

……

ในที่สุดเสิ่นเทียนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ

จิตสำนึกของเขาราวตื่นจากการตระหนักรู้ และเหมือนตื่นครั้งแรกหลังจากความฝันครั้งใหญ่

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 289.3 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 289.3 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 289 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)

ใต้ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ฉีเซ่าเสวียนกำหมัดช้าๆ จนแน่น

เขาเลือกมรดกวิชาห้าดาวกับหกดาวในหอคอยเทพสงครามเสร็จแล้ว แต่ภายในใจก็ยังไม่ยอม เขามักจะรู้สึกว่าด่านในหอคอยเทพสงครามมีอะไรผิดปกติ

เห็นๆ อยู่ว่าครั้งแรกกับครั้งที่สองที่ตนสู้กับเสิ่นเทียน มีพลังสูสียากจะตัดสินสูงต่ำได้แท้ๆ แต่เหตุใดครั้งที่สามเขาถึงถูกสังหารในพริบตา!

ต่อให้เสิ่นเทียนเรียนมรดกวิชาเจ็ดดาวอะไรมาจริง แต่ฉีเซ่าเสวียนก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่เขาพ่ายแพ้

เขารู้สึกว่าร่างเงาเสิ่นเทียนในการประลองครั้งที่สาม มีศักยภาพพื้นฐานเหนือกว่าครั้งที่หนึ่งกับสอง

ใช่ ฉีเซ่าเสวียนสงสัยว่าหอคอยเทพสงครามจงใจปรับเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มกำลังรบให้ร่างเงาเสิ่นเทียนเพื่อหลอกเอาแปดหมื่นแต้มเทพสงครามของเขา!

ไม่เช่นนั้นแซ่ฉีจะแพ้ได้อย่างไร!

“วันนี้ไม่ว่าอย่างไร แซ่ฉีจะต้องต่อสู้จริงอย่างยุติธรรมกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สักครั้งให้ได้!”

ฉีเซ่าเสวียนสูดลมหายใจเข้าลึก สวมหน้ากากอำพรางพลังเงียบๆ

เขาจะบุกยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ยามวิกาลและสู้กับเสิ่นเทียนสักครั้ง

ส่วนเหตุใดถึงไม่บุกไปท้าประลองอย่างโจ่งแจ้ง เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะเขาไม่อยากเรียกท่านปู่น้อย

แอบเข้าไปสู้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เอาชนะได้ก็จะเปิดโปงหอคอยเทพสงครามได้

หากไม่ชนะ…จะคิดมากขนาดนั้นเพื่ออะไร อย่างมากก็แค่ถูกทุบตีสักยก!

ดีเลวอย่างไรแซ่ฉีก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง สู้แพ้คงไม่ถูกสังหารหรอกกระมัง

เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉีเซ่าเสวียนก็แอบย่องไปยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์

ปกติยอดค่ายกลพิทักษ์ของยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เปิดไว้ ถึงอย่างไรเสิ่นเทียนก็เป็นผู้ข้ามมิติมา มีคุณธรรมอันดีงามในเรื่อง ‘ประหยัดและอดออม’

ประกอบกับฉีเซ่าเสวียนเป็นผู้มีแก่นพลังทองสิบรอบ กำลังรบแท้จริงเหนือกว่าผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณธรรมดาไปไกลมาก อีกทั้งเหล่าชนชั้นสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่แท้จริงยังขี้เกียจดูแล ไม่นานเขาจึงขึ้นมาถึงยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้

ไม่ช้าเขาก็เห็นเสิ่นเทียนอยู่หน้ายอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์

ตอนนี้เสิ่นเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินตระหนักรู้ ฝ่ามือฝ่าเท้าและใบหน้าแหงนขึ้นฟ้าพลางดูดซับพลังวิญญาณ

พลังวิญญาณทั้งยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์หมุนม้วนอย่างบ้าคลั่งตามการหายใจของเสิ่นเทียน ก่อเป็นกระแสพลังวิญญาณรุนแรงขึ้นรางๆ

‘นี่มันสัตว์ประหลาดหรือ ดูดซับครั้งเดียวไฉนถึงดูดพลังวิญญาณมหาศาลเช่นนี้’

ฉีเซ่าเสวียนเบิกตาโต สารภาพตามตรง เขาสงสัยในชีวิตตนนิดๆ แล้ว

ถึงอย่างไรก็เป็นระดับแก่นพลังทองเหมือนกันแท้ๆ เสิ่นเทียนจะโกงเกินไปแล้ว

……

‘ไม่เป็นไร แค่ดูดซับพลังวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงศักยภาพทั้งหมด’

ฉีเซ่าเสวียนปลอบใจตัวเองตามสิ่งที่ตัวเองคิด ก่อนจะเข้าไปใกล้เสิ่นเทียนอย่างเงียบเชียบต่อ

ห่างไปพันก้าว

ห่างไปห้าร้อยก้าว

ห่างไปร้อยก้าว

ฉีเซ่าเสวียนเก็บง้าวมังกรสวรรค์ไปแล้ว เปลี่ยนเป็นหอกยาวแทน

เขาเตรียมพร้อมจู่โจม ให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ทันระวังตัว และต้องสำแดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาตามจิตใต้สำนึก!

ทว่าตอนนี้เอง ฉีเซ่าเสวียนพบเรื่องน่าตกใจคือร่างเสิ่นเทียนหายไปตรงหน้าเขา

ไม่ใช่ ไม่ได้หายไปตรงหน้าเขา น่าจะบอกว่าหายไปจากโลกนี้มากกว่า

ปกติผู้ฝึกบำเพ็ญจะใช้พลังจิตกำหนดเป้าอีกฝ่ายไว้ จากนั้นจึงค่อยโจมตี

แต่ตอนนี้ฉีเซ่าเสวียนพบว่าพลังจิตของตนไม่อาจจับตัวเสิ่นเทียนได้เลย อีกฝ่ายเหมือนหนีเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง

ยังอยู่บนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ แต่กลับเหมือนเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หมื่นวิชาไม่อาจทำอะไรได้

‘เกิดอะไรขึ้น หรือว่าข้าจะถูกพบตัวแล้ว’

ฉีเซ่าเสวียนมีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย พลังฤทธิ์ทั่วร่างหลั่งทะลักออกมาในทันใด ทว่าช่วงที่ฉีเซ่าเสวียนเตรียมจะตัดไฟแต่ต้นลมนั้น เสิ่นเทียนที่นั่งขัดสมาธิบนหินตระหนักรู้ขยับเขยื้อนแล้ว

เขาหลับตาเล็กน้อย เหมือนยังอยู่ในการตระหนักรู้อันลึกลับยิ่ง ทุกอย่างในโลกไม่เกี่ยวข้องกับเขา

ในมือเขาปรากฏกระบี่ยาวสีโลหิตเล่มหนึ่ง ขณะที่แสงสว่างไหลเวียน ยังเหมือนมีไอสังหารไม่มีที่สิ้นสุดวนเวียนอยู่ แต่กลับไม่ได้ระบายออกมาข้างนอกแม้แต่น้อย

เสิ่นเทียนกำลังร่ายรำกระบี่ ท่วงท่างดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ประหนึ่งเซียนกระบี่บนฟ้าลงมาเยือนโลกมนุษย์

ท่วงท่ากระบี่ของเขาไม่ยึดกรอบตายตัว ดูเหมือนไม่มีลำดับขั้นตอน แต่ก็เหมือนดีงามถึงขีดสุด

พลังกระบี่ของเขาเงียบสงบ ไม่มีอำนาจปราณกระบี่ใดๆ กระทั่งตอนกวัดแกว่งกระบี่ยังไม่มีเสียงทะลวงสายลม

วิชากระบี่นี้เหมือนกับการร่ายรำลอยล่องเหนือธรรมดา ไม่มีพลังสังหารใดๆ แต่กลับซ่อนการเปลี่ยนแปลงหลากหลายไว้ มีการเปลี่ยนแปลงครอบจักรวาล

ฉีเซ่าเสวียนดูแล้วไม่เข้าใจ

ไม่ใช่แค่ไม่เข้าใจ ถึงขนาดจำกระบวนท่านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกับที่เสิ่นเทียนร่ายรำกระบี่ ก็เหมือนจะตัดความทรงจำเกี่ยวกับวิชากระบี่นี้ของฉีเซ่าเสวียนไปด้วย

เขาเห็นเสิ่นเทียนร่ายรำหลายร้อยกระบี่ แต่ในหัวกลับไม่มีท่วงท่าหลงเหลืออยู่เลย รู้แค่ว่าวิชากระบี่พวกนั้นเหมือนจะยอดเยี่ยมมาก

……..

เสิ่นเทียนรำกระบี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นทุกที

เมื่อกระบวนท่ากระบี่รวดเร็วขึ้น พลังกระบี่หลายร้อยครั้งนั้นเหมือนจะค่อยๆ ลดลง

หลายร้อยท่า

หนึ่งร้อยท่า

หลายสิบท่า

สิบกว่าท่า

แต่เมื่อกระบวนท่าลดน้อยลง วิชากระบี่นี้ยิ่งเร็วขึ้น เบาขึ้น เหมือนเซียนจากบนฟ้าร่ายรำกระบี่ กระทั่งกระบี่ยาวสีโลหิตนั้น ตอนนี้ยังแฝงประกายเซียนอ่อนๆ ไม่มีไอสังหารใดอีก

ทว่าในใจฉีเซ่าเสวียนตอนนี้กลับยิ่งหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ

เขามักรู้สึกว่าวิชากระบี่ที่ดูเหมือนอ่อนช้อยยิ่งนั้นแฝงไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นเอง เสิ่นเทียนที่เดิมทีร่ายรำกระบี่อย่างเฉยชาก็หมุนตัวกลับมา

เขามองฉีเซ่าเสวียน ขณะเดียวกันกระบวนท่ากระบี่ทั้งหมดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ฟุบ!

ตอนนี้เสิ่นเทียนหายไปจากสายตาฉีเซ่าเสวียน แทนที่ด้วยแสงกระบี่ที่มีไอเซียนปกคลุมหนาทึบเล่มหนึ่ง

แสงสว่างของมันส่องสว่างจากโบราณกาล เหมือนไหลผ่านลงมาจากธารน้ำแห่งกาลเวลา ข้ามผ่านจากโบราณมาถึงปัจจุบัน

ราวกับการควบคุมวงจรหนึ่งในกาลเวลา ตัดขาดเหตุผลและโชคชะตา

ทันใดนั้น ฉีเซ่าเสวียนเงยหน้าขึ้นช้าๆ

เขารู้สึกว่าดวงจันทร์เหนือสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหมือนจะแตกออก

รอยกระบี่สายหนึ่งลากผ่าน ไม่ใช่แค่ดวงจันทร์ แม้แต่ผืนฟ้ายังถูกแบ่งครึ่งไปด้วย

ฉีเซ่าเสวียนเหมือนเห็นเงาของเซียนร่างหนึ่งรางๆ มาพร้อมกับความรุ่งโรจน์สูงสุดในฟ้าดิน

เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่นี้ กระทั่งฉีเซ่าเสวียนยังไม่เกิดความคิดต่อต้าน เพราะเขารู้สึกว่านี่คือการดูหมิ่นต่อเซียนแท้จริง!

ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ!

พริบตาเดียว ตรงหน้าฉีเซ่าเสวียนเหลือเพียงประกายเซียน นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก

ในความคิดของเขาเหลือเพียงความคิดเดียวว่า ‘ข้า…จะตายหรือ’

…..

ชั่ววินาทีนั้นเหมือนยาวนานหลายสิบปี

จนเมื่อประกายเซียนหายไปทั้งหมด ฉีเซ่าเสวียนพบว่าตนไม่บาดเจ็บใดๆ ทว่าตรงหน้าเขากลับมีบุรุษชุดคลุมม่วงคนหนึ่งยืนอยู่ ตอนนี้แขนขวาลามไปถึงหัวไหล่ขาด โลหิตสาดกระจายไปเจ็ดก้าว

“อะ อาจารย์อาจื่อเสวียน!”

ฉีเซ่าเสวียนม่านตาหดลง ตอนนี้คนที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขาคือผู้สูงศักดิ์สวรรค์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง หรือก็คือหนึ่งในองครักษ์ของฉีเซ่าเสวียน

ในฐานะเจ้าของหนึ่งยอดเขาในแดนสิทธิ์เคหาสน์ม่วง ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนมีพลังระดับหลอมรวมเทพ มองไปทั้งดินแดนบูรพาถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด

ทว่าตอนนี้ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนกลับถูกฟันแขนขาดข้างหนึ่ง จะสร้างความตื่นตกใจให้ฉีเซ่าเสวียนเพียงใด แค่คิดก็รู้แล้ว

“เสิ่นเทียนเขา ฟันแขนขวาอาจารย์อาขาด!”

ฉีเซ่าเสวียนเหม่อมองเสิ่นเทียน ภายในใจรู้สึกห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง จิตต่อสู้ของเขาหายไปทั้งหมด เพราะอยู่คนละระดับกันแล้ว

ถ้าฉีเซ่าเสวียนทุ่มสุดกำลัง ก็มีโอกาสห้าส่วนที่จะหนีจากเงื้อมมือของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ระดับหลอมรวมเทพได้ นี่ทำให้เขาภาคภูมิใจแล้ว ทว่ากระบี่เมื่อครู่ของเสิ่นเทียน กลับฟันแขนขวาของผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนขาด

ความต่างระหว่างสองคนราวกับเมฆและดินเลน

ฉีเซ่าเสวียนคุกเข่าลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอดหน้ากากออก พูดงึมงำกับตัวเองว่า “แซ่ฉี…แพ้แล้ว”

‘ครั้งนี้เซ่าเสวียน แพ้แล้วจริงๆ’

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนตกตะลึงในใจไม่น้อยไปกว่าฉีเซ่าเสวียน เพราะไม่มีใครเข้าใจความน่าสะพรึงกลัวของกระบี่เมื่อครู่ดีไปกว่าเขา

กระบี่นั้นไม่ใช่แค่อาวุธอริยะเลย อย่างน้อยก็ระดับอาวุธเตรียมเซียน มีไอสังหารที่น่ากลัวที่สุดในฟ้าดิน

ทว่าเทียบกับวิชากระบี่ส่องแสงเรืองรองที่สุดแห่งยุคนั้นแล้ว ต่อให้เป็นกระบี่สังหารก็ยังไม่เพียงพอ

เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเสิ่นเทียนเหมือนสังเกตเห็นบางอย่างและหันเหคมกระบี่ทันละก็ บางทีเขาอาจไม่ได้แขนขาด แต่เป็นศีรษะขาดแทน

กระทั่งตอนนี้กระบวนท่ากระบี่สลายไปแล้ว เจตจำนงกระบี่ในแขนที่ขาดก็ยังคงวนเวียนประหนึ่งตัวอ่อนแมลงวันชอนไช ทำให้จื่อเสวียนรักษาบาดแผลได้ยากยิ่ง

การจะต่อแขนขวากลับมายากเสียยิ่งกว่ายาก

เขาถอนหายใจ “บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คือสุดยอดอัจฉริยะจริงๆ กระบี่นี้ ทำให้นักกระบี่ใต้หล้าหน้าถอดสีทั้งหมด”

……

ในที่สุดเสิ่นเทียนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ

จิตสำนึกของเขาราวตื่นจากการตระหนักรู้ และเหมือนตื่นครั้งแรกหลังจากความฝันครั้งใหญ่

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 289-3 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 289-3 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 289 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)

ใต้ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ฉีเซ่าเสวียนกำหมัดช้าๆ จนแน่น

เขาเลือกมรดกวิชาห้าดาวกับหกดาวในหอคอยเทพสงครามเสร็จแล้ว แต่ภายในใจก็ยังไม่ยอม เขามักจะรู้สึกว่าด่านในหอคอยเทพสงครามมีอะไรผิดปกติ

เห็นๆ อยู่ว่าครั้งแรกกับครั้งที่สองที่ตนสู้กับเสิ่นเทียน มีพลังสูสียากจะตัดสินสูงต่ำได้แท้ๆ แต่เหตุใดครั้งที่สามเขาถึงถูกสังหารในพริบตา!

ต่อให้เสิ่นเทียนเรียนมรดกวิชาเจ็ดดาวอะไรมาจริง แต่ฉีเซ่าเสวียนก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่เขาพ่ายแพ้

เขารู้สึกว่าร่างเงาเสิ่นเทียนในการประลองครั้งที่สาม มีศักยภาพพื้นฐานเหนือกว่าครั้งที่หนึ่งกับสอง

ใช่ ฉีเซ่าเสวียนสงสัยว่าหอคอยเทพสงครามจงใจปรับเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มกำลังรบให้ร่างเงาเสิ่นเทียนเพื่อหลอกเอาแปดหมื่นแต้มเทพสงครามของเขา!

ไม่เช่นนั้นแซ่ฉีจะแพ้ได้อย่างไร!

“วันนี้ไม่ว่าอย่างไร แซ่ฉีจะต้องต่อสู้จริงอย่างยุติธรรมกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สักครั้งให้ได้!”

ฉีเซ่าเสวียนสูดลมหายใจเข้าลึก สวมหน้ากากอำพรางพลังเงียบๆ

เขาจะบุกยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ยามวิกาลและสู้กับเสิ่นเทียนสักครั้ง

ส่วนเหตุใดถึงไม่บุกไปท้าประลองอย่างโจ่งแจ้ง เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะเขาไม่อยากเรียกท่านปู่น้อย

แอบเข้าไปสู้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เอาชนะได้ก็จะเปิดโปงหอคอยเทพสงครามได้

หากไม่ชนะ…จะคิดมากขนาดนั้นเพื่ออะไร อย่างมากก็แค่ถูกทุบตีสักยก!

ดีเลวอย่างไรแซ่ฉีก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง สู้แพ้คงไม่ถูกสังหารหรอกกระมัง

เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉีเซ่าเสวียนก็แอบย่องไปยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์

ปกติยอดค่ายกลพิทักษ์ของยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เปิดไว้ ถึงอย่างไรเสิ่นเทียนก็เป็นผู้ข้ามมิติมา มีคุณธรรมอันดีงามในเรื่อง ‘ประหยัดและอดออม’

ประกอบกับฉีเซ่าเสวียนเป็นผู้มีแก่นพลังทองสิบรอบ กำลังรบแท้จริงเหนือกว่าผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณธรรมดาไปไกลมาก อีกทั้งเหล่าชนชั้นสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่แท้จริงยังขี้เกียจดูแล ไม่นานเขาจึงขึ้นมาถึงยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้

ไม่ช้าเขาก็เห็นเสิ่นเทียนอยู่หน้ายอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์

ตอนนี้เสิ่นเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินตระหนักรู้ ฝ่ามือฝ่าเท้าและใบหน้าแหงนขึ้นฟ้าพลางดูดซับพลังวิญญาณ

พลังวิญญาณทั้งยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์หมุนม้วนอย่างบ้าคลั่งตามการหายใจของเสิ่นเทียน ก่อเป็นกระแสพลังวิญญาณรุนแรงขึ้นรางๆ

‘นี่มันสัตว์ประหลาดหรือ ดูดซับครั้งเดียวไฉนถึงดูดพลังวิญญาณมหาศาลเช่นนี้’

ฉีเซ่าเสวียนเบิกตาโต สารภาพตามตรง เขาสงสัยในชีวิตตนนิดๆ แล้ว

ถึงอย่างไรก็เป็นระดับแก่นพลังทองเหมือนกันแท้ๆ เสิ่นเทียนจะโกงเกินไปแล้ว

……

‘ไม่เป็นไร แค่ดูดซับพลังวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงศักยภาพทั้งหมด’

ฉีเซ่าเสวียนปลอบใจตัวเองตามสิ่งที่ตัวเองคิด ก่อนจะเข้าไปใกล้เสิ่นเทียนอย่างเงียบเชียบต่อ

ห่างไปพันก้าว

ห่างไปห้าร้อยก้าว

ห่างไปร้อยก้าว

ฉีเซ่าเสวียนเก็บง้าวมังกรสวรรค์ไปแล้ว เปลี่ยนเป็นหอกยาวแทน

เขาเตรียมพร้อมจู่โจม ให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ทันระวังตัว และต้องสำแดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาตามจิตใต้สำนึก!

ทว่าตอนนี้เอง ฉีเซ่าเสวียนพบเรื่องน่าตกใจคือร่างเสิ่นเทียนหายไปตรงหน้าเขา

ไม่ใช่ ไม่ได้หายไปตรงหน้าเขา น่าจะบอกว่าหายไปจากโลกนี้มากกว่า

ปกติผู้ฝึกบำเพ็ญจะใช้พลังจิตกำหนดเป้าอีกฝ่ายไว้ จากนั้นจึงค่อยโจมตี

แต่ตอนนี้ฉีเซ่าเสวียนพบว่าพลังจิตของตนไม่อาจจับตัวเสิ่นเทียนได้เลย อีกฝ่ายเหมือนหนีเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง

ยังอยู่บนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ แต่กลับเหมือนเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หมื่นวิชาไม่อาจทำอะไรได้

‘เกิดอะไรขึ้น หรือว่าข้าจะถูกพบตัวแล้ว’

ฉีเซ่าเสวียนมีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย พลังฤทธิ์ทั่วร่างหลั่งทะลักออกมาในทันใด ทว่าช่วงที่ฉีเซ่าเสวียนเตรียมจะตัดไฟแต่ต้นลมนั้น เสิ่นเทียนที่นั่งขัดสมาธิบนหินตระหนักรู้ขยับเขยื้อนแล้ว

เขาหลับตาเล็กน้อย เหมือนยังอยู่ในการตระหนักรู้อันลึกลับยิ่ง ทุกอย่างในโลกไม่เกี่ยวข้องกับเขา

ในมือเขาปรากฏกระบี่ยาวสีโลหิตเล่มหนึ่ง ขณะที่แสงสว่างไหลเวียน ยังเหมือนมีไอสังหารไม่มีที่สิ้นสุดวนเวียนอยู่ แต่กลับไม่ได้ระบายออกมาข้างนอกแม้แต่น้อย

เสิ่นเทียนกำลังร่ายรำกระบี่ ท่วงท่างดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ประหนึ่งเซียนกระบี่บนฟ้าลงมาเยือนโลกมนุษย์

ท่วงท่ากระบี่ของเขาไม่ยึดกรอบตายตัว ดูเหมือนไม่มีลำดับขั้นตอน แต่ก็เหมือนดีงามถึงขีดสุด

พลังกระบี่ของเขาเงียบสงบ ไม่มีอำนาจปราณกระบี่ใดๆ กระทั่งตอนกวัดแกว่งกระบี่ยังไม่มีเสียงทะลวงสายลม

วิชากระบี่นี้เหมือนกับการร่ายรำลอยล่องเหนือธรรมดา ไม่มีพลังสังหารใดๆ แต่กลับซ่อนการเปลี่ยนแปลงหลากหลายไว้ มีการเปลี่ยนแปลงครอบจักรวาล

ฉีเซ่าเสวียนดูแล้วไม่เข้าใจ

ไม่ใช่แค่ไม่เข้าใจ ถึงขนาดจำกระบวนท่านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกับที่เสิ่นเทียนร่ายรำกระบี่ ก็เหมือนจะตัดความทรงจำเกี่ยวกับวิชากระบี่นี้ของฉีเซ่าเสวียนไปด้วย

เขาเห็นเสิ่นเทียนร่ายรำหลายร้อยกระบี่ แต่ในหัวกลับไม่มีท่วงท่าหลงเหลืออยู่เลย รู้แค่ว่าวิชากระบี่พวกนั้นเหมือนจะยอดเยี่ยมมาก

……..

เสิ่นเทียนรำกระบี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นทุกที

เมื่อกระบวนท่ากระบี่รวดเร็วขึ้น พลังกระบี่หลายร้อยครั้งนั้นเหมือนจะค่อยๆ ลดลง

หลายร้อยท่า

หนึ่งร้อยท่า

หลายสิบท่า

สิบกว่าท่า

แต่เมื่อกระบวนท่าลดน้อยลง วิชากระบี่นี้ยิ่งเร็วขึ้น เบาขึ้น เหมือนเซียนจากบนฟ้าร่ายรำกระบี่ กระทั่งกระบี่ยาวสีโลหิตนั้น ตอนนี้ยังแฝงประกายเซียนอ่อนๆ ไม่มีไอสังหารใดอีก

ทว่าในใจฉีเซ่าเสวียนตอนนี้กลับยิ่งหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ

เขามักรู้สึกว่าวิชากระบี่ที่ดูเหมือนอ่อนช้อยยิ่งนั้นแฝงไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นเอง เสิ่นเทียนที่เดิมทีร่ายรำกระบี่อย่างเฉยชาก็หมุนตัวกลับมา

เขามองฉีเซ่าเสวียน ขณะเดียวกันกระบวนท่ากระบี่ทั้งหมดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ฟุบ!

ตอนนี้เสิ่นเทียนหายไปจากสายตาฉีเซ่าเสวียน แทนที่ด้วยแสงกระบี่ที่มีไอเซียนปกคลุมหนาทึบเล่มหนึ่ง

แสงสว่างของมันส่องสว่างจากโบราณกาล เหมือนไหลผ่านลงมาจากธารน้ำแห่งกาลเวลา ข้ามผ่านจากโบราณมาถึงปัจจุบัน

ราวกับการควบคุมวงจรหนึ่งในกาลเวลา ตัดขาดเหตุผลและโชคชะตา

ทันใดนั้น ฉีเซ่าเสวียนเงยหน้าขึ้นช้าๆ

เขารู้สึกว่าดวงจันทร์เหนือสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหมือนจะแตกออก

รอยกระบี่สายหนึ่งลากผ่าน ไม่ใช่แค่ดวงจันทร์ แม้แต่ผืนฟ้ายังถูกแบ่งครึ่งไปด้วย

ฉีเซ่าเสวียนเหมือนเห็นเงาของเซียนร่างหนึ่งรางๆ มาพร้อมกับความรุ่งโรจน์สูงสุดในฟ้าดิน

เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่นี้ กระทั่งฉีเซ่าเสวียนยังไม่เกิดความคิดต่อต้าน เพราะเขารู้สึกว่านี่คือการดูหมิ่นต่อเซียนแท้จริง!

ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ!

พริบตาเดียว ตรงหน้าฉีเซ่าเสวียนเหลือเพียงประกายเซียน นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก

ในความคิดของเขาเหลือเพียงความคิดเดียวว่า ‘ข้า…จะตายหรือ’

…..

ชั่ววินาทีนั้นเหมือนยาวนานหลายสิบปี

จนเมื่อประกายเซียนหายไปทั้งหมด ฉีเซ่าเสวียนพบว่าตนไม่บาดเจ็บใดๆ ทว่าตรงหน้าเขากลับมีบุรุษชุดคลุมม่วงคนหนึ่งยืนอยู่ ตอนนี้แขนขวาลามไปถึงหัวไหล่ขาด โลหิตสาดกระจายไปเจ็ดก้าว

“อะ อาจารย์อาจื่อเสวียน!”

ฉีเซ่าเสวียนม่านตาหดลง ตอนนี้คนที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขาคือผู้สูงศักดิ์สวรรค์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง หรือก็คือหนึ่งในองครักษ์ของฉีเซ่าเสวียน

ในฐานะเจ้าของหนึ่งยอดเขาในแดนสิทธิ์เคหาสน์ม่วง ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนมีพลังระดับหลอมรวมเทพ มองไปทั้งดินแดนบูรพาถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด

ทว่าตอนนี้ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนกลับถูกฟันแขนขาดข้างหนึ่ง จะสร้างความตื่นตกใจให้ฉีเซ่าเสวียนเพียงใด แค่คิดก็รู้แล้ว

“เสิ่นเทียนเขา ฟันแขนขวาอาจารย์อาขาด!”

ฉีเซ่าเสวียนเหม่อมองเสิ่นเทียน ภายในใจรู้สึกห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง จิตต่อสู้ของเขาหายไปทั้งหมด เพราะอยู่คนละระดับกันแล้ว

ถ้าฉีเซ่าเสวียนทุ่มสุดกำลัง ก็มีโอกาสห้าส่วนที่จะหนีจากเงื้อมมือของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ระดับหลอมรวมเทพได้ นี่ทำให้เขาภาคภูมิใจแล้ว ทว่ากระบี่เมื่อครู่ของเสิ่นเทียน กลับฟันแขนขวาของผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนขาด

ความต่างระหว่างสองคนราวกับเมฆและดินเลน

ฉีเซ่าเสวียนคุกเข่าลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอดหน้ากากออก พูดงึมงำกับตัวเองว่า “แซ่ฉี…แพ้แล้ว”

‘ครั้งนี้เซ่าเสวียน แพ้แล้วจริงๆ’

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนตกตะลึงในใจไม่น้อยไปกว่าฉีเซ่าเสวียน เพราะไม่มีใครเข้าใจความน่าสะพรึงกลัวของกระบี่เมื่อครู่ดีไปกว่าเขา

กระบี่นั้นไม่ใช่แค่อาวุธอริยะเลย อย่างน้อยก็ระดับอาวุธเตรียมเซียน มีไอสังหารที่น่ากลัวที่สุดในฟ้าดิน

ทว่าเทียบกับวิชากระบี่ส่องแสงเรืองรองที่สุดแห่งยุคนั้นแล้ว ต่อให้เป็นกระบี่สังหารก็ยังไม่เพียงพอ

เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเสิ่นเทียนเหมือนสังเกตเห็นบางอย่างและหันเหคมกระบี่ทันละก็ บางทีเขาอาจไม่ได้แขนขาด แต่เป็นศีรษะขาดแทน

กระทั่งตอนนี้กระบวนท่ากระบี่สลายไปแล้ว เจตจำนงกระบี่ในแขนที่ขาดก็ยังคงวนเวียนประหนึ่งตัวอ่อนแมลงวันชอนไช ทำให้จื่อเสวียนรักษาบาดแผลได้ยากยิ่ง

การจะต่อแขนขวากลับมายากเสียยิ่งกว่ายาก

เขาถอนหายใจ “บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คือสุดยอดอัจฉริยะจริงๆ กระบี่นี้ ทำให้นักกระบี่ใต้หล้าหน้าถอดสีทั้งหมด”

……

ในที่สุดเสิ่นเทียนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ

จิตสำนึกของเขาราวตื่นจากการตระหนักรู้ และเหมือนตื่นครั้งแรกหลังจากความฝันครั้งใหญ่

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 289-3 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 289-3 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 289 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (3)

ใต้ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ฉีเซ่าเสวียนกำหมัดช้าๆ จนแน่น

เขาเลือกมรดกวิชาห้าดาวกับหกดาวในหอคอยเทพสงครามเสร็จแล้ว แต่ภายในใจก็ยังไม่ยอม เขามักจะรู้สึกว่าด่านในหอคอยเทพสงครามมีอะไรผิดปกติ

เห็นๆ อยู่ว่าครั้งแรกกับครั้งที่สองที่ตนสู้กับเสิ่นเทียน มีพลังสูสียากจะตัดสินสูงต่ำได้แท้ๆ แต่เหตุใดครั้งที่สามเขาถึงถูกสังหารในพริบตา!

ต่อให้เสิ่นเทียนเรียนมรดกวิชาเจ็ดดาวอะไรมาจริง แต่ฉีเซ่าเสวียนก็รู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่เขาพ่ายแพ้

เขารู้สึกว่าร่างเงาเสิ่นเทียนในการประลองครั้งที่สาม มีศักยภาพพื้นฐานเหนือกว่าครั้งที่หนึ่งกับสอง

ใช่ ฉีเซ่าเสวียนสงสัยว่าหอคอยเทพสงครามจงใจปรับเปลี่ยนข้อมูลเพิ่มกำลังรบให้ร่างเงาเสิ่นเทียนเพื่อหลอกเอาแปดหมื่นแต้มเทพสงครามของเขา!

ไม่เช่นนั้นแซ่ฉีจะแพ้ได้อย่างไร!

“วันนี้ไม่ว่าอย่างไร แซ่ฉีจะต้องต่อสู้จริงอย่างยุติธรรมกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สักครั้งให้ได้!”

ฉีเซ่าเสวียนสูดลมหายใจเข้าลึก สวมหน้ากากอำพรางพลังเงียบๆ

เขาจะบุกยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ยามวิกาลและสู้กับเสิ่นเทียนสักครั้ง

ส่วนเหตุใดถึงไม่บุกไปท้าประลองอย่างโจ่งแจ้ง เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะเขาไม่อยากเรียกท่านปู่น้อย

แอบเข้าไปสู้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เอาชนะได้ก็จะเปิดโปงหอคอยเทพสงครามได้

หากไม่ชนะ…จะคิดมากขนาดนั้นเพื่ออะไร อย่างมากก็แค่ถูกทุบตีสักยก!

ดีเลวอย่างไรแซ่ฉีก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง สู้แพ้คงไม่ถูกสังหารหรอกกระมัง

เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉีเซ่าเสวียนก็แอบย่องไปยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์

ปกติยอดค่ายกลพิทักษ์ของยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์จะไม่ได้เปิดไว้ ถึงอย่างไรเสิ่นเทียนก็เป็นผู้ข้ามมิติมา มีคุณธรรมอันดีงามในเรื่อง ‘ประหยัดและอดออม’

ประกอบกับฉีเซ่าเสวียนเป็นผู้มีแก่นพลังทองสิบรอบ กำลังรบแท้จริงเหนือกว่าผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณธรรมดาไปไกลมาก อีกทั้งเหล่าชนชั้นสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่แท้จริงยังขี้เกียจดูแล ไม่นานเขาจึงขึ้นมาถึงยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้

ไม่ช้าเขาก็เห็นเสิ่นเทียนอยู่หน้ายอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์

ตอนนี้เสิ่นเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินตระหนักรู้ ฝ่ามือฝ่าเท้าและใบหน้าแหงนขึ้นฟ้าพลางดูดซับพลังวิญญาณ

พลังวิญญาณทั้งยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์หมุนม้วนอย่างบ้าคลั่งตามการหายใจของเสิ่นเทียน ก่อเป็นกระแสพลังวิญญาณรุนแรงขึ้นรางๆ

‘นี่มันสัตว์ประหลาดหรือ ดูดซับครั้งเดียวไฉนถึงดูดพลังวิญญาณมหาศาลเช่นนี้’

ฉีเซ่าเสวียนเบิกตาโต สารภาพตามตรง เขาสงสัยในชีวิตตนนิดๆ แล้ว

ถึงอย่างไรก็เป็นระดับแก่นพลังทองเหมือนกันแท้ๆ เสิ่นเทียนจะโกงเกินไปแล้ว

……

‘ไม่เป็นไร แค่ดูดซับพลังวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงศักยภาพทั้งหมด’

ฉีเซ่าเสวียนปลอบใจตัวเองตามสิ่งที่ตัวเองคิด ก่อนจะเข้าไปใกล้เสิ่นเทียนอย่างเงียบเชียบต่อ

ห่างไปพันก้าว

ห่างไปห้าร้อยก้าว

ห่างไปร้อยก้าว

ฉีเซ่าเสวียนเก็บง้าวมังกรสวรรค์ไปแล้ว เปลี่ยนเป็นหอกยาวแทน

เขาเตรียมพร้อมจู่โจม ให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ทันระวังตัว และต้องสำแดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาตามจิตใต้สำนึก!

ทว่าตอนนี้เอง ฉีเซ่าเสวียนพบเรื่องน่าตกใจคือร่างเสิ่นเทียนหายไปตรงหน้าเขา

ไม่ใช่ ไม่ได้หายไปตรงหน้าเขา น่าจะบอกว่าหายไปจากโลกนี้มากกว่า

ปกติผู้ฝึกบำเพ็ญจะใช้พลังจิตกำหนดเป้าอีกฝ่ายไว้ จากนั้นจึงค่อยโจมตี

แต่ตอนนี้ฉีเซ่าเสวียนพบว่าพลังจิตของตนไม่อาจจับตัวเสิ่นเทียนได้เลย อีกฝ่ายเหมือนหนีเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง

ยังอยู่บนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์แท้ๆ แต่กลับเหมือนเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หมื่นวิชาไม่อาจทำอะไรได้

‘เกิดอะไรขึ้น หรือว่าข้าจะถูกพบตัวแล้ว’

ฉีเซ่าเสวียนมีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย พลังฤทธิ์ทั่วร่างหลั่งทะลักออกมาในทันใด ทว่าช่วงที่ฉีเซ่าเสวียนเตรียมจะตัดไฟแต่ต้นลมนั้น เสิ่นเทียนที่นั่งขัดสมาธิบนหินตระหนักรู้ขยับเขยื้อนแล้ว

เขาหลับตาเล็กน้อย เหมือนยังอยู่ในการตระหนักรู้อันลึกลับยิ่ง ทุกอย่างในโลกไม่เกี่ยวข้องกับเขา

ในมือเขาปรากฏกระบี่ยาวสีโลหิตเล่มหนึ่ง ขณะที่แสงสว่างไหลเวียน ยังเหมือนมีไอสังหารไม่มีที่สิ้นสุดวนเวียนอยู่ แต่กลับไม่ได้ระบายออกมาข้างนอกแม้แต่น้อย

เสิ่นเทียนกำลังร่ายรำกระบี่ ท่วงท่างดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ ประหนึ่งเซียนกระบี่บนฟ้าลงมาเยือนโลกมนุษย์

ท่วงท่ากระบี่ของเขาไม่ยึดกรอบตายตัว ดูเหมือนไม่มีลำดับขั้นตอน แต่ก็เหมือนดีงามถึงขีดสุด

พลังกระบี่ของเขาเงียบสงบ ไม่มีอำนาจปราณกระบี่ใดๆ กระทั่งตอนกวัดแกว่งกระบี่ยังไม่มีเสียงทะลวงสายลม

วิชากระบี่นี้เหมือนกับการร่ายรำลอยล่องเหนือธรรมดา ไม่มีพลังสังหารใดๆ แต่กลับซ่อนการเปลี่ยนแปลงหลากหลายไว้ มีการเปลี่ยนแปลงครอบจักรวาล

ฉีเซ่าเสวียนดูแล้วไม่เข้าใจ

ไม่ใช่แค่ไม่เข้าใจ ถึงขนาดจำกระบวนท่านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกับที่เสิ่นเทียนร่ายรำกระบี่ ก็เหมือนจะตัดความทรงจำเกี่ยวกับวิชากระบี่นี้ของฉีเซ่าเสวียนไปด้วย

เขาเห็นเสิ่นเทียนร่ายรำหลายร้อยกระบี่ แต่ในหัวกลับไม่มีท่วงท่าหลงเหลืออยู่เลย รู้แค่ว่าวิชากระบี่พวกนั้นเหมือนจะยอดเยี่ยมมาก

……..

เสิ่นเทียนรำกระบี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เร็วขึ้นทุกที

เมื่อกระบวนท่ากระบี่รวดเร็วขึ้น พลังกระบี่หลายร้อยครั้งนั้นเหมือนจะค่อยๆ ลดลง

หลายร้อยท่า

หนึ่งร้อยท่า

หลายสิบท่า

สิบกว่าท่า

แต่เมื่อกระบวนท่าลดน้อยลง วิชากระบี่นี้ยิ่งเร็วขึ้น เบาขึ้น เหมือนเซียนจากบนฟ้าร่ายรำกระบี่ กระทั่งกระบี่ยาวสีโลหิตนั้น ตอนนี้ยังแฝงประกายเซียนอ่อนๆ ไม่มีไอสังหารใดอีก

ทว่าในใจฉีเซ่าเสวียนตอนนี้กลับยิ่งหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ

เขามักรู้สึกว่าวิชากระบี่ที่ดูเหมือนอ่อนช้อยยิ่งนั้นแฝงไว้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ทันใดนั้นเอง เสิ่นเทียนที่เดิมทีร่ายรำกระบี่อย่างเฉยชาก็หมุนตัวกลับมา

เขามองฉีเซ่าเสวียน ขณะเดียวกันกระบวนท่ากระบี่ทั้งหมดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ฟุบ!

ตอนนี้เสิ่นเทียนหายไปจากสายตาฉีเซ่าเสวียน แทนที่ด้วยแสงกระบี่ที่มีไอเซียนปกคลุมหนาทึบเล่มหนึ่ง

แสงสว่างของมันส่องสว่างจากโบราณกาล เหมือนไหลผ่านลงมาจากธารน้ำแห่งกาลเวลา ข้ามผ่านจากโบราณมาถึงปัจจุบัน

ราวกับการควบคุมวงจรหนึ่งในกาลเวลา ตัดขาดเหตุผลและโชคชะตา

ทันใดนั้น ฉีเซ่าเสวียนเงยหน้าขึ้นช้าๆ

เขารู้สึกว่าดวงจันทร์เหนือสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเหมือนจะแตกออก

รอยกระบี่สายหนึ่งลากผ่าน ไม่ใช่แค่ดวงจันทร์ แม้แต่ผืนฟ้ายังถูกแบ่งครึ่งไปด้วย

ฉีเซ่าเสวียนเหมือนเห็นเงาของเซียนร่างหนึ่งรางๆ มาพร้อมกับความรุ่งโรจน์สูงสุดในฟ้าดิน

เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่นี้ กระทั่งฉีเซ่าเสวียนยังไม่เกิดความคิดต่อต้าน เพราะเขารู้สึกว่านี่คือการดูหมิ่นต่อเซียนแท้จริง!

ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ!

พริบตาเดียว ตรงหน้าฉีเซ่าเสวียนเหลือเพียงประกายเซียน นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก

ในความคิดของเขาเหลือเพียงความคิดเดียวว่า ‘ข้า…จะตายหรือ’

…..

ชั่ววินาทีนั้นเหมือนยาวนานหลายสิบปี

จนเมื่อประกายเซียนหายไปทั้งหมด ฉีเซ่าเสวียนพบว่าตนไม่บาดเจ็บใดๆ ทว่าตรงหน้าเขากลับมีบุรุษชุดคลุมม่วงคนหนึ่งยืนอยู่ ตอนนี้แขนขวาลามไปถึงหัวไหล่ขาด โลหิตสาดกระจายไปเจ็ดก้าว

“อะ อาจารย์อาจื่อเสวียน!”

ฉีเซ่าเสวียนม่านตาหดลง ตอนนี้คนที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขาคือผู้สูงศักดิ์สวรรค์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง หรือก็คือหนึ่งในองครักษ์ของฉีเซ่าเสวียน

ในฐานะเจ้าของหนึ่งยอดเขาในแดนสิทธิ์เคหาสน์ม่วง ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนมีพลังระดับหลอมรวมเทพ มองไปทั้งดินแดนบูรพาถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอด

ทว่าตอนนี้ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนกลับถูกฟันแขนขาดข้างหนึ่ง จะสร้างความตื่นตกใจให้ฉีเซ่าเสวียนเพียงใด แค่คิดก็รู้แล้ว

“เสิ่นเทียนเขา ฟันแขนขวาอาจารย์อาขาด!”

ฉีเซ่าเสวียนเหม่อมองเสิ่นเทียน ภายในใจรู้สึกห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง จิตต่อสู้ของเขาหายไปทั้งหมด เพราะอยู่คนละระดับกันแล้ว

ถ้าฉีเซ่าเสวียนทุ่มสุดกำลัง ก็มีโอกาสห้าส่วนที่จะหนีจากเงื้อมมือของผู้สูงศักดิ์สวรรค์ระดับหลอมรวมเทพได้ นี่ทำให้เขาภาคภูมิใจแล้ว ทว่ากระบี่เมื่อครู่ของเสิ่นเทียน กลับฟันแขนขวาของผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนขาด

ความต่างระหว่างสองคนราวกับเมฆและดินเลน

ฉีเซ่าเสวียนคุกเข่าลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอดหน้ากากออก พูดงึมงำกับตัวเองว่า “แซ่ฉี…แพ้แล้ว”

‘ครั้งนี้เซ่าเสวียน แพ้แล้วจริงๆ’

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์จื่อเสวียนตกตะลึงในใจไม่น้อยไปกว่าฉีเซ่าเสวียน เพราะไม่มีใครเข้าใจความน่าสะพรึงกลัวของกระบี่เมื่อครู่ดีไปกว่าเขา

กระบี่นั้นไม่ใช่แค่อาวุธอริยะเลย อย่างน้อยก็ระดับอาวุธเตรียมเซียน มีไอสังหารที่น่ากลัวที่สุดในฟ้าดิน

ทว่าเทียบกับวิชากระบี่ส่องแสงเรืองรองที่สุดแห่งยุคนั้นแล้ว ต่อให้เป็นกระบี่สังหารก็ยังไม่เพียงพอ

เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเสิ่นเทียนเหมือนสังเกตเห็นบางอย่างและหันเหคมกระบี่ทันละก็ บางทีเขาอาจไม่ได้แขนขาด แต่เป็นศีรษะขาดแทน

กระทั่งตอนนี้กระบวนท่ากระบี่สลายไปแล้ว เจตจำนงกระบี่ในแขนที่ขาดก็ยังคงวนเวียนประหนึ่งตัวอ่อนแมลงวันชอนไช ทำให้จื่อเสวียนรักษาบาดแผลได้ยากยิ่ง

การจะต่อแขนขวากลับมายากเสียยิ่งกว่ายาก

เขาถอนหายใจ “บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คือสุดยอดอัจฉริยะจริงๆ กระบี่นี้ ทำให้นักกระบี่ใต้หล้าหน้าถอดสีทั้งหมด”

……

ในที่สุดเสิ่นเทียนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ

จิตสำนึกของเขาราวตื่นจากการตระหนักรู้ และเหมือนตื่นครั้งแรกหลังจากความฝันครั้งใหญ่

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+