บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 386 เจ้าผู้คุมกฎอู๋เซิงมาเยือนมหานที

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 386 เจ้าผู้คุมกฎอู๋เซิงมาเยือนมหานที at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 386 เจ้าผู้คุมกฎอู๋เซิงมาเยือนมหานที

ในเส้นทางที่ร้อนระอุยิ่ง ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตหิ้วกระบองเทพทองคำ รอบตัวแผ่กลิ่นอายพลังแก่กล้าอย่างยิ่ง

ตอนนี้ สามร่างล้วนเป็นกายแท้ กลิ่นอายพลังจากสามร่างถึงระดับอริยะแล้ว

“ทุกคนคิดว่าตอนนั้นท่านตันเถียนแตก ระดับพลังหลอมปราณแก่นพลังทองสิ้นไปแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าว่าจะฝึกวิชาสูงสุดจากโลกเซียนนั้นสำเร็จจริงๆ”

สายฟ้าประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อม ในน้ำเสียงมีความปลงอนิจจังหลายส่วนเป็นครั้งแรก “หนึ่งปราณแปลงสามพิสุทธิ์!”

หนึ่งปราณแปลงสามพิสุทธิ์ที่ว่าไม่ใช่มรดกของห้าดินแดน ในบางระดับกล่าวได้ว่าไม่ใช่มรดกโลกมนุษย์ แต่มาจากโลกเซียน

ตอนนั้นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตไปผจญภัยในสนามรบบรรพกาลพร้อมกัน และได้รับการยอมรับจากเยี่ยฉิงชางด้วยกัน

ทุกคนรู้ว่ากฎหัวใจสำคัญของหอคอยเทพสงครามคือ ‘ความยุติธรรมคือที่สุด’

แม้เยี่ยฉิงชางจะชื่นชมมากเพียงใด ก็ไม่ทำผิดกฎให้สิทธิพิเศษกับผู้เข้ารับการทดสอบใดๆ

ดังนั้นต่อให้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะมีผลงานที่ดีมาก เยี่ยฉิงชางก็แค่มอบวิชาที่ไม่สมบูรณ์ให้เขาตามกฎ…คัมภีร์เสริมวิถีฟ้า

แต่นิสัยของผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกต กลับทำให้เยี่ยฉิงชางชื่นชอบมากกว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์…

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รู้ว่าผู้อาวุโสเยี่ยถ่ายทอดมรดกที่ไม่ด้อยไปกว่าคัมภีร์เสริมวิถีฟ้ากับศิษย์พี่ใหญ่

และมรดกนี้ คือวิชาลับสูงสุดของสำนักเต๋าโลกเซียน…หนึ่งปราณแปลงสามพิสุทธิ์

เล่าลือว่าหนึ่งปราณแปลงสามพิสุทธิ์นั้น ต่อให้เป็นสำนักเต๋าของโลกเซียนก็ยังเป็นหนึ่งในมรดกสูงสุด

หนึ่งปราณแปลงสามพิสุทธิ์ฉบับสมบูรณ์ ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่พวกนั้นที่แกร่งที่สุดในโลกเซียน นี่ก็เป็นมรดกสูงสุดที่ล้ำค่าที่สุด

หนึ่งปราณแปลงสามพิสุทธิ์กับคัมภีร์เสริมวิถีฟ้าในหอคอยเทพสงครามเป็นเพียงฉบับไม่สมบูรณ์เหมือนกัน บทที่สำคัญที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุดขาดหายไปนานแล้ว

ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น มูลค่าของมันก็ยังไม่อาจประเมินค่าได้

กล่าวได้ว่าที่ตำหนักเทพสงครามถูกทำลาย คัมภีร์มรดกล้ำค่าพวกนี้ก็เป็นสาเหตุส่วนใหญ่

เล่าลือว่าเมื่อฝึกฝนหนึ่งปราณแปลงสามพิสุทธิ์ถึงระดับสูงสุดแล้ว จะสร้างเป็นร่างแยกสามร่างจากร่างจริงได้ ทุกร่างแยกมีการโจมตีทั้งหมดของตัวเอง กลอุบายต่อสู้และศักยภาพไม่ต่างอะไรกับร่างจริง

และที่มหัศจรรย์กว่านั้นคือขอแค่ร่างจริงไม่ดับสูญ สามร่างแยกก็แทบจะเป็นอมตะ ต่อสู้ได้ตลอดกาล

หากชำนาญวิชาลับจู่โจมประสาน ร่างจริงกับสามร่างแยกก็จะเชื่อมจิตถึงกัน สำแดงพลังโจมตีน่าสะพรึงเกินกว่าสี่เท่าตัวได้

หนึ่งปราณแปลงสามพิสุทธิ์ของผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์ คนปกติฝึกวิชาในนั้น เกรงว่าคงยากจะฝึกสำเร็จ กระทั่งหากโชคไม่ดีก็อาจจะธาตุไฟเข้าแทรกได้

แต่นักพรตชราคนนี้มีพรสวรรค์ที่ใช้ได้เลย ฝึกวิชานี้จนสำเร็จได้เล็กน้อย

เกรงว่าแม้แต่เยี่ยฉิงชางก็คงคาดไม่ถึงว่านักพรตชราจะใช้วิชานี้สร้างร่างแยกออกมาสองร่างได้

ตอนนี้สองร่างแยกประกบซ้ายขวา กำลังรบของนักพรตชราก็เพิ่มขึ้นไปอีกขั้นแล้ว

แม้แต่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างพบเห็นได้ยาก

……

“ดังนั้น ศึกนั้นท่านจึงดูเหมือนระเบิดกายเทพ เกือบจะตายไปพร้อมกับผู้อริยะพวกนั้น แต่ความจริงเป็นเพียงร่างแยกรึ”

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เอ่ยนิ่งๆ “หรืออาจพูดได้ว่าท่านในตอนนั้นก็ฝึกหนึ่งปราณแปลงสามพิสุทธิ์สำเร็จแล้ว มีความมั่นใจสิบส่วนว่าจะสังหารเจ็ดผู้อริยะได้ เพียงแค่จงใจแสร้งระเบิดกายเทพตัวเองเพื่อปิดบังพลังรึ”

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตแบะปาก “ศิษย์น้องนี่เจ้าเป็นเทพสงครามกลับชาติมาเกิดรึ ตอนนั้นถ้าตาแก่พวกนั้นร่วมแรงร่วมใจกัน ต่อให้ข้าระเบิดกายเทพจริงๆ ก็สังหารหมดได้ยาก ดังนั้นข้าจึงแสร้งให้ถูกจับ แต่ตาแก่ตายยากพวกนั้นกลับคิดไม่ซื่อกัน จับข้าได้แล้วก็สู้กันเอง สุดท้ายโดนข้าเก็บหัวคน”

นักพรตชรายิ้มเย้ยเยาะ “ตันเถียนพิการจริงๆ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนกลางพวกนั้นเป็นปีศาจลิงระดับสุดยอด จะไม่แอบมาตรวจสอบได้อย่างไร น่าเสียดายด้วยสายตาของพวกเขา จะมองออกได้รึว่านั่นเป็นเพียงร่างแยกของข้า ขอแค่ร่างจริงไม่เสียหาย จ่ายไปบ้างก็สร้างร่างแยกใหม่ได้ตลอดเวลา”

คำสนทนาระหว่างเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตทำให้เสิ่นเทียนต้องแอบปลงอนิจจัง จิ๊ๆ สองคนนี้เป็นจิ้งจอกเฒ่าชัดๆ

เดิมทีคิดว่าอาจารย์ซ่อนได้ลึก มองไม่ออกแล้ว

ตอนนี้ อาจารย์ลุงซื่อบื้อที่ดูไม่มีสมองคนนี้กลับมีแผนสูงไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์เลย

ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านี่หัวดื้อ ต้องฝึกคัมภีร์เทพสงครามคบเพลิง ทำให้ดวงชะตาลดลงในทุกวันแล้วละก็ ตอนนี้เกรงว่าคงประเมินระดับพลังไม่ได้แล้ว

หนึ่งปราณแปลงสามพิสุทธิ์นี้ แม้ว่าร่างแยกที่ออกมาจะมีจำนวนสู้คัมภีร์เทพโลหิตไม่ได้ แต่กำลังรบของทุกร่างแยกแทบจะเสมอกับร่างจริง เรียกได้ว่ากำลังรบเพิ่มเป็นเท่าตัว

แค่กๆ เดี๋ยวต้องไปถามผู้เฒ่าเยี่ย ว่าข้าจะฝึกวิชานี้ได้หรือไม่

ถ้าฝึกได้ จากนี้จะได้มั่นคงยิ่งกว่าเดิมอีก!

……

ข้ามเรื่องเสิ่นเทียนที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปก่อน หลังจากผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตปล่อยสองร่างแยกออกมาแล้ว ก็เหมือนจะไม่คิดจะปิดบังพลังอีก

ถึงอย่างไรบุรุษอดกลั้นนานๆ ก็ต้องปล่อยออกมา

นักพรตสามคนเดินหน้าพร้อมกัน พลังหนาแน่นรวมเป็นร่างเดียว ก่อตัวเป็นพลังแห่งสามอัจฉริยะ พุ่งเข้าใส่อีกาทองสามตัวเหมือนกับหัวเจาะ

นักพรตหนุ่มถือกระบี่ยาวสีคราม ประกายคมสะท้านฟ้า ทุกกระบี่ฟันมวลอากาศขาดราวกับกระดาษ มอดดับเปลวเพลิงทั้งหมด

นักพรตวัยกลางคนชูหยกตามใจนึกสูง อัสนีเทพกำเนิดฟ้ารอบตัวส่งเสียงดังสนั่น อัสนีสีทองกลายเป็นสัตว์ประหลาดสิบชนิดเช่นเป็นมังกรเขียว พยัคฆ์ขาวและอีกาชาดพุ่งกระโจนเข้าไป เหมือนกับเทพเจ้าสูงสุดผู้ควบคุมสายฟ้า

ร่างจริงนักพรตชราถูกไฟศักดิ์สิทธิ์สีมรกตวนเวียนรอบตัว กระบองยาวในมือสำแดงกระบองตามใจนึกกำราบสมุทร กระแทกใส่อีกาทองพวกนั้นจนร้องเสียงหลง

เวลานี้ เขาคนเดียวสู้กับอีกาทองสามตัวได้อย่างสูสี!

ต้องรู้ว่าในสุสานจักรพรรดิแห่งนี้ ผู้ฝึกบำเพ็ญระดับฝ่าด่านเคราะห์ทั้งหมดหรือผู้สูงศักดิ์สวรรค์มรรคสูงสุด จะถูกจำกัดระดับพลังอย่างยิ่ง

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตก็ยังใช้กำลังตัวคนเดียว ต้านการปิดล้อมโจมตีของยอดค่ายกลวิญญาณอาฆาตอีกาทองที่เทียบเท่ากับผู้อริยะเจ็ดคนได้

จากตรงนี้จะเห็นได้ว่า ต่อให้ผลงานของผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตที่หนึ่งสู้เจ็ดเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนจะมีส่วนน้ำผสมไปบ้าง แต่จนถึงตอนนี้ก็เรียกได้ว่าสมราคา กระทั่งแกร่งยิ่งกว่า!

ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นี้ยังปิดบังพลังอยู่หรือไม่!

“เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน ทุกคนต่างบอกว่าข้ามีกำลังรบด้อยกว่าท่านระดับหนึ่ง ความจริงข้าเองก็ไม่เคยยอมรับเช่นกัน”

สายฟ้าบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ค่อยๆ เก็บเข้าไป เผยชุดเกราะสีทองทีละนิด ร่างเรียวยาวสูงโปร่ง รวมถึงใบหน้าที่ปกคลุมอยู่ในหมอกมองเห็นไม่ชัด

เขาถือกระบี่ด้วยมือเดียว เดินไปทางอีกาทองสามตัวนั้นช้าๆ มองไปดูสูงศักดิ์ ปรีชาญาณ ทำให้คนต้องเคารพ

มองเขา เหมือนมองหลักการแห่งสวรรค์ มองมหามรรคหนึ่งทิศ

ฟิ้ว~

แสงกระบี่ลากผ่านมวลอากาศ พลันปรากฏอยู่ข้างวิญญาณอาฆาตอีกาทองตัวหนึ่งในนั้น

เปลวไฟลูกหนึ่งถูกตัดขาดการเชื่อมต่อกับร่างหลัก กลายเป็นประกายไฟหายไป

กรรซ์~

อีกาทองส่งเสียงร้อง พวกมันรู้สึกได้รางๆ ว่ามนุษย์สามคนนี้ล่วงเกินไม่ได้ อย่างน้อยแค่พวกมันสามตัวก็จัดการไม่ได้

……

บึ้ม~

เปลวเพลิงน่าสะพรึงหมุนม้วนเข้ามา อีกาทองสามตัวนั้นคิดจะหนี

น่าเสียดายที่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตเตรียมการไว้แล้ว นักพรตสามคนประสานมุทราพร้อมกัน ลายเทพไร้ที่สิ้นสุดพลันกลายเป็นโซ่เทพตามลำดับ ปักลงกลางลูกกลมเพลิงสามลูกนั้นลึกๆ

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เองก็เรียกธงออกมาทีละผืนอย่างเฉยชา นั่นคือธงจักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์ เป็นสมบัติสุดยอดประจำแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

แม้จะเทียบกับธงจักรพรรดิอัสนีครบชุดในตอนที่รุ่งเรืองที่สุดแล้ว ตอนนี้ธงจักรพรรดิอัสนีที่เหลือไม่ถึงครึ่ง ทั้งยังเสียธงหลักไปจะมีอานุภาพลดลงอย่างมาก แต่ก็กำราบวิญญาณอาฆาตอีกาทองสามตัวนี้ได้สบายๆ

ก่อนจะเห็นธงจักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์สี่ผืนแบ่งกันกำราบสี่มุม สายฟ้าสีทองไร้ที่สิ้นสุดพลันปกคลุมราวกับตาข่าย กดใส่วิญญาณอาฆาตอีกาทองสามตัว

กรรซ์~

พลังชั่วร้ายสีดำพวยพุ่งขึ้น กำลังดิ้นรน กำลังมอดดับ ขณะเดียวกันก็กำลังเกิดใหม่

เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เอ่ยนิ่งๆ “ใช้แค่สายฟ้ายังไม่อาจรักษาพลังวิญญาณอาฆาตพวกนี้ได้ เทียนเอ๋อร์ ต้องใช้ถาดวัฏจักรหกมรรคของเจ้าแล้ว”

เสิ่นเทียนพยักหน้าช้าๆ ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าว มีถาดหยกใสแวววาวลอยขึ้นมาจากในกายช้าๆ

บนถาดหยกนี้มีหน้าของทุกสรรพสัตว์หกมรรคลอยขึ้นลง ลี้ลับไม่อาจคาดเดา

“ผู้เฒ่าเยี่ย ต้องรบกวนท่านอีกแล้ว”

เสิ่นเทียนพึมพำกับตนเอง ก่อนจะเริ่มเตรียมการกระตุ้นพลังของคัมภีร์คบเพลิงในกายอย่างเต็มที่

ทันใดนั้น ทองคำเซียนปีกปักษา ทองคำดำมังกรคำราม บุปผาฟากฝั่ง เถากลืนกินเซียน สามประกายวารีเทพ น้ำมวลหนักปฐมกาล อัคคีอรุณใต้ ไฟแท้สุริยะ อัสนีเทพกำเนิดฟ้า พลังงานของสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินทั้งเก้าชนิดหลั่งไหลเข้าไปในถาดวัฏจักรหกมรรคอย่างบ้าคลั่ง

พลังงานเก้าชนิดวนเวียนในถาดวัฏจักรหกมรรค ทำให้ถาดกระเบื้องเล็กสีเงินขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วระดับสายตามองทัน

ไม่นานนัก ถาดหยกก็ขยายใหญ่ถึงความสูงหลายสิบจั้ง น่าเกรงขามจนคนไม่กล้ามองตรงๆ

เสิ่นเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าถาดวัฏจักรหกมรรค หลับตาลงเล็กน้อย แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสะท้อนทำให้ดูองอาจยิ่ง ราวกับเทพเจ้ามาเยือน

ริมฝีปากเขาเปิดขึ้นเล็กน้อย มีเสียงสวดอาฆาตแค้นลอยล่องดังขึ้นในห้วงอากาศ

“วิถีมนุษย์เล็กจ้อย วิถีเซียนกว้างใหญ่”

“วิถีภูตผีสุขสันต์ เป็นประตูชีวิตคน”

“วิถีเซียนใฝ่หาชีวิต วิถีภูตผีใฝ่หาจุดจบ”

“วิถีเซียนเป็นสิริมงคลต่อตนบ่อยครั้ง วิถีภูตผีเป็นอัปมงคลต่อตนบ่อยครั้ง”

…..

เมื่อเสียงสวดดังขึ้น อักขระได้ปรากฏขึ้นจากในความว่างเปล่าทีละตัว หลอมรวมเข้าไปในถาดวัฏจักรหกมรรค

ไม่นาน ถาดวัฏจักรหกมรรคก็เปล่งแสงสว่างจ้ายิ่งกว่าเดิม อีกทั้งวัฏจักรที่เดิมทีหยุดนิ่งก็เริ่มหมุนวนช้าๆ

แรงดูดมหาศาลยิ่งแผ่มาจากถาดวัฏจักรหกมรรค บังเกิดผลกับอีกาทองสามตัวนั้น

วิญญาณอาฆาตอีกาทองที่ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งสามตัวถูกแสงแห่งถาดวัฏจักรหกมรรคส่องสะท้อนแล้วก็ค่อยๆ สงบลง

อากาศธาตุสีดำที่มองเห็นด้วยตาเนื้อถูกแสงสว่างสีเงินส่องแสงสลายไป กลายเป็นความว่างเปล่า

เพลิงเทพอีกาทองสีแดงเข้มนั้นถูกชะล้างภายใต้แสงแห่งวัฏจักร ก็ค่อยๆ กลับเป็นสีแดงอมทอง เปล่งแสงที่สูงศักดิ์ ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์และอบอุ่น

ขนนกสีแดงเข้มทั่วตัวอีกาทองสามตัวค่อยๆ กลับมาเป็นสีทอง งดงามเหมือนปั้นขึ้นจากทองคำ

แววตาพวกมันใสสะอาดขึ้นทีละนิด มองพวกเสิ่นเทียนเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ

เห็นได้ชัดมากว่าสติปัญญาเริ่มกลับมาแล้ว

อีกาทองที่เป็นผู้นำในนั้นเอ่ยขึ้นเนิบนาบ “ขอบคุณพวกเจ้ามาก ผู้มีพระคุณหนุ่ม เป็นเพราะความกล้าหาญและจิตใจดีของพวกเจ้า ที่ช่วยพวกข้าไว้”

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตเก็บกระบองยาว ก่อนพูดพึมพำ “ถ้าจะขอบคุณก็ขออะไรที่มันจับต้องได้หน่อยเถอะ อย่างเช่นอาวุธเซียน อาวุธจักรพรรดิ สักสองชิ้นก็ได้”

อีกาทองสามตัวพูดไม่ออก

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ หัวหน้าอีกาทองตัวนั้นก็มองเสิ่นเทียนพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้มีพระคุณชะล้างพวกเรา บุญคุณเทียบเท่าให้ชีวิตใหม่ พวกข้าควรต้องตอบแทนจริงๆ

แม้ในสุสานจักรพรรดิจะมีอาวุธเซียนและอาวุธจักรพรรดิไม่มาก แต่ก็มีอยู่หลายชิ้น เพียงแต่ว่าถึงจะช่วยพวกข้าแล้ว แต่ก็ยังมีพี่น้องอีกหกท่านที่ยังจมอยู่ในทะเลทุกข์ ไม่อาจไปเกิดใหม่ได้”

มันมองเสิ่นเทียนก่อนพูดอย่างจริงใจ “พวกข้ายินดีนำทางผู้มีพระคุณ และจะช่วยทุกท่านโปรดสัตว์พี่น้องทั้งหกท่าน ขอแค่ผู้มีพระคุณรับปากว่าจะโปรดสัตว์ให้พี่น้องหกท่านของข้า ส่งพวกเราไปเกิดใหม่ ข้ายินดีจะมอบโชคลิขิตทั้งหมดในสุสานจักรพรรดินี้ให้แก่ผู้มีพระคุณ หากภพหน้ามีโอกาส พวกข้าจะไม่ลืมทดแทนบุญคุณอย่างแน่นอน!”

อีกาทองสามตัวยินดีช่วยโปรดสัตว์อีกาทองที่เหลืออีกหกตัวรึ

เสิ่นเทียนอึ้งไปเล็กน้อย ความรู้สึกนี้มันดีจริงๆ!

พอดีเลยจะได้ประหยัดพลังจิตเขา ไม่ต้องไปหาตำแหน่งของเจ้าพวกนั้น

เกิดอีกาทองหกตัวร่วมมือกันวางค่ายกล มีลูกมือเพิ่มมาอีกสามคนก็มีกำลังเพิ่มมาอีกส่วนหนึ่ง ถึงอย่างไรค่ายกลอีกาทองนี่ก็บ้าไปนิดจริงๆ

อืม เอาตามนี้แล้วกัน!

……

พวกเสิ่นเทียนสามคนเริ่มเดินทางไปโปรดสัตว์อีกาทองอีกครั้ง

ตอนนี้เองส่วนนอกของสุสานจักรพรรดิอีกาทองบนเกาะมหานที ห้วงอากาศพลันบิดเบี้ยวขึ้นมา

บุรุษสวมเกราะเทพมารสีดำปรากฏขึ้นกลางฟ้าดิน จุดที่เขาอยู่ แม้แต่ประกายแสงยังบิดเบี้ยว

เขาแบกดาบยาวน่าสยดสยองเล่มหนึ่ง ทั่วร่างปกคลุมด้วยเพลิงมารล้นทะลัก ห้วงอากาศยังถูกเผาเป็นความว่างเปล่าบนผิวกายเขา มองเห็นใบหน้าจริงไม่ชัดเลย

และที่แปลกกว่านั้นคือเขายืนอยู่กลางฟ้าดินอย่างโอหังเช่นนี้

แต่ผู้บำเพ็ญรอบนอกเกาะมหานทีกลับเหมือนมองไม่เห็นเขาเลย ไม่สังเกตเห็นถึงการมาของเขาเลย

บุรุษยกมุมปากเล็กน้อย “เสิ่นเทียน เตรียมรับเพลิงโทสะของข้าแล้วรึยัง”

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด