บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 482 แขกไม่ได้รับเชิญจากทะเลดาราเบิกฟ้า!

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 482 แขกไม่ได้รับเชิญจากทะเลดาราเบิกฟ้า! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 482 แขกไม่ได้รับเชิญจากทะเลดาราเบิกฟ้า!

โลกจิตวิมานม่วงของเสิ่นเทียนกำลังเปลี่ยนแปลง

เมื่อสองไอหยินหยางกำเนิด ที่นี่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าดินขึ้น

ฟ้าดินสะท้อนออกมาเป็นปรากฏการณ์ประหลาด แสงเทพมากมายเหมือนฝนวิญญาณกระจายไปในฟ้าดิน

พลังแห่งหยางสุดขั้วลุกโชนขึ้น เหมือนแสงตะวันส่องฟ้าดิน ส่องสะท้อนท้องนภา

โลกเบิกฟ้าขมุกขมัวในตอนแรกชัดเจนยิ่งภายใต้แสงหยางสุดขั้วส่องสว่าง ท้องนภาเปิดกว้าง

ขณะเดียวกัน พลังชีวิตเอ่อล้นเวียนวนกำเนิด ตกลงบนเส้นขอบฟ้า

แสงเทพเป็นจุดๆ รอบกาย แสงสว่างจ้าแสบตา

พลังแห่งหยางสุดขั้วกระจายลงมา พืชวิญญาณแตกหน่อเติบโต พลังชีวิตเอ่อล้น

อีกด้านหนึ่ง ฟ้าดินเย็นสบายและเงียบสงัด

โลกถูกปกคลุมด้วยแสงจันทร์สีเงิน เย็นเยือกเหนือธรรมดา ตัดขาดจากโลกภายนอก

พลังแห่งหยินสุดขั้วผ่านไปที่ใด ทุกสรรพสิ่งแห้งเหี่ยว ชีวิตหยุดนิ่ง

พลังงานสองอย่างต่างมีจุดเด่น แยกฟ้าดินออกเป็นสองส่วน

…..

เมื่อเห็นภาพนี้ เสิ่นเทียนดวงตาลุกวาว

จากการเฝ้ามองการเปลี่ยนของสองปราณหยินหยาง จิตใจเสิ่นเทียนว่างเปล่า ตกอยู่ในขอบเขตลี้ลับ

ในความคิดเขาปรากฏภาพหยินหยางขึ้น ในนั้นมีแสงเทพเวียนวน ลายมรรคเต็มไปหมด

สองปราณหยินหยางตัดสลับกัน วนเวียนกันเป็นวัฏจักร แสดงเป็นภาพทุกสรรพสิ่งเกิดดับ

จากทารกหัดพูดไปถึงชายหนุ่มผู้องอาจ จนไปถึงชายชราผมขาว สุดท้ายทุกอย่างกลายเป็นดินเหลือง กลับคืนสู่ฟ้าดิน

สิ่งพวกนี้คือกฎเกณฑ์สวรรค์ ไม่มีใครเลี่ยงได้

เมื่อเห็นภาพนี้ เสิ่นเทียนเหมือนตระหนักถึงชะตาขึ้นชะตาดับของทุกสรรพสิ่งในโลก กลิ่นอายพลังเขาพลันเปลี่ยนไป พลังชีวิตแก่กล้าพุ่งพรวด เอ่อล้นอย่างยิ่ง

เสิ่นเทียนเปล่งแสงทั้งตัว แสงเทพกระจายออก พลังชีวิตเปี่ยมล้น

พืชรอบกายเติบโตขึ้นด้วยความเร็วระดับสายตามองทัน สูงพันจั้งขึ้นชั้นเมฆ

แต่จากนั้นพลังชีวิตในกายเสิ่นเทียนพลันลดลงถึงจุดเยือกแข็ง เหมือนเข้าสู่ช่วงโรยรา

พืชรอบกายแห้งเหี่ยว ใบไม้แห้งพากันปลิวว่อน กลายเป็นดินเหลืองสลายหายไป

วัฏจักรเกิดดับหมุนเปลี่ยนสลับกัน สุดท้ายกลับสู่ความเงียบสงบ

ในสภาพลี้ลับเช่นนี้ เสิ่นเทียนตกอยู่ในห้วงนั้น เริ่มผลัดเปลี่ยนอย่างน่าประหลาด

…..

สามเดือนต่อมา

เสิ่นเทียนพลันลืมตาขึ้น ยิงแสงเทพสว่างจ้าออกไป

ดวงตาเขาหยั่งลึก เหมือนทะเลดาราไร้พรมแดน และยังเหมือนโลกกลับตาลปัตร

แม้เสิ่นเทียนจะปิดด่านบำเพ็ญสามเดือน แต่ดวงตาผ่านโลกมาเนิ่นนานเหมือนปิดด่านบำเพ็ญมาร้อยปี พันปี

เขาหยัดกายขึ้นช้าๆ ดวงตาจ้องมองโลกจิตวิมารม่วงที่ขยายไปสิบล้านลี้ จากนั้นกำมือเหมือนกระชากชีพจรชีวิตฟ้าดินแห่งนี้ไว้

ทันใดนั้นท้องนภาเปลี่ยนไป กฎเกณฑ์วนเวียน

สองปราณหยินหยางไม่มีสิ้นสุดถูกเหนี่ยวนำเข้ามา เปล่งแสงเทพสว่างพร่างพราว สว่างถึงที่สุด

ฟ้าดินปรากฏภาพหยินหยางยักษ์ลอยขึ้น หมุนวนตัดสลับกัน แสงเรืองรองหนาทึบ

พลังแห่งหยางสุดขั้วกับหยินสุดขั้วพุ่งออกมาพร้อมกัน หมุนม้วนฟ้าดิน

ทันใดนั้นทุกสรรพสิ่งฟ้าดินพลันเติบโตขึ้น กำเนิดสิ่งมีชีวิตมากมาย

มีมังกรเทพบรรพกาลคำรามลั่นฟ้าดิน คำรามจักรวาล

มีหงส์เทพบรรพกาลท่องโลก เสียงหงส์สนั่นฟ้า

และยังมีสิ่งมีชีวิตต่างๆ กำเนิด กลิ่นอายพลังดุร้าย พลังอำนาจสั่นสะเทือนฟ้าดิน

โลกเหมือนมีเทพมารสามพันตนเพิ่มมา อานุภาพน่าเกรงขาม พลังสั่นสะเทือนท้องฟ้าจักรวาล ทำลายล้างโลก

สิ่งมีชีวิตบางตนน่ากลัวสุดขีด ดวงตาแดงก่ำ กลิ่นอายพลังดุร้ายทั้งตัว

พวกมันพุ่งขึ้นใส่เสิ่นเทียน

ผ่านไปที่ใดห้วงอากาศจะแหลกเป็นผุยผง

สิ่งมีชีวิตพวกนั้นยื่นกรงเล็บแหลมคมยิ่ง ประกายเย็นเยือกวูบวาบ เหมือนจะฉีกสวรรค์เก้าชั้นแตก กดลงมาพร้อมกับพลังทลายหินทะลวงเมฆา

ทว่าเสิ่นเทียนหน้าไม่เปลี่ยนสีไปเลย

เขายกมือใหญ่ขึ้นช้าๆ กดอากาศเบาๆ

“ดับสูญ!”

เสิ่นเทียนเอ่ยน้ำเสียงเฉยชาและน่าเกรงขาม เหมือนเสียงลี้ลับสวรรค์ ทำให้ฟ้าดินปริแตก!

ปัง!

ทันใดนั้น สิ่งมีชีวิตมากมายดับสลายกลายเป็นเถ้าถ่านหายไป

หนึ่งความคิดกำเนิดมหาสมุทร หนึ่งความคิดฟ้าดินดับสลาย!

เสิ่นเทียนยกมุมปากเล็กน้อย นี่คือยอดพลังวิเศษที่สร้างขึ้นจากสองปราณหยินหยาง

อานุภาพของมันถึงขั้นไม่ด้อยไปกว่ายอดพลังวิเศษเบิกฟ้าผ่าปฐพีเท่าไร ด้วยพลังที่ปะทุมาจากยอดพลังวิเศษสร้างทุกสรรพสิ่งนี้ สามารถสังหารเตรียมเซียนสิบห้าด่านเคราะห์ลงไปได้ง่ายดาย

เสิ่นเทียนยกมุมปากเล็กน้อย ดีใจอยู่ข้างใน

ข้าที่ฉลาดจริงๆ เลือกที่ดีๆ แบบนี้ได้

การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทำให้โลกจิตวิมานม่วงเปลี่ยนไป แต่ยังตระหนักยอดพลังวิเศษสร้างทุกสรรพสิ่ง

ครั้งนี้กำไรเลือดสาดเลย!

……

จากนั้นจิตเสิ่นเทียนออกมาจากโลกจิตวิมานม่วง กลับสู่ร่างหลัก

หลังปิดด่านบำเพ็ญมาสามเดือน กายเนื้อเขาดูดซับปราณเบิกฟ้าไปจำนวนมากเช่นกัน ถึงสภาวะอิ่มตัวแล้ว

กายเบิกฟ้าเสิ่นเทียนผลัดเปลี่ยนไปเช่นกัน เปล่งแสงเทพทั้งตัว

อักขระประหลาดวนเวียนรอบกาย เต็มไปด้วยพลังมหาศาลยากจะคาดเดา

ด้วยกำลังเขาตอนนี้ แค่กายเนื้อก็สังหารเตรียมเซียนสิบสามด่านเคราะห์ได้

อีกทั้งศาสตร์หลอมกายเทพมารของเสิ่นเทียนตอนนี้ยังทะลวงผ่านเทวะได้ทุกเมื่อ ก้าวสู่เคราะห์เกิดดับ

ทว่าเขาไม่ได้เลือกทะลวง แต่กดเอาไว้ก่อน เพราะเขาฝึกเคล็ดคบเพลิงเบิกฟ้า หากทะลวงพลังจะทำให้ดวงชะตาลดลงอย่างมาก

ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ มั่นคงไว้หน่อยจะดีกว่า ถึงอย่างไรเสิ่นเทียนก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นบุตรแห่งโชคมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว กลัวว่าจะคุมไม่อยู่

มิหนำซ้ำ ดวงชะตาเขาเทียบกับบุตรแห่งโชคที่แท้จริงไม่ได้

ฟาร์มไปเงียบๆ จะดีกว่า

…….

เปรี้ยง!

ตอนนี้เองมีพลังเทพน่ากลัวแผ่เข้ามาไกลๆ

ฟ้าดินกำลังสั่นสะเทือน ไอเบิกฟ้าหมุนม้วนไม่หยุด คลื่นลูกใหญ่ถาโถมเข้ามา

เหมือนมีคนบุกทะเลดาราเบิกฟ้า ทำให้พลังเทพปะทุสั่นสะเทือนฟ้าดิน

เมื่อเห็นภาพนี้ เสิ่นเทียนมีสีหน้าตกใจ

ต้องรู้ว่าที่ที่เขาอยู่คือส่วนลึกของเกาะดาราเบิกฟ้า ที่นี่มีไอเบิกฟ้าเข้มข้นที่สุด เหมือนทะเลกว้างใหญ่ไร้พรมแดน

ผู้แข็งแกร่งมหาอริยะยังไม่กล้าย่างกรายเข้ามาที่นี่

ต่อให้เป็นเตรียมเซียนก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่นาน

หากถูกไอเบิกฟ้ากัดกร่อนเข้าไปในกายก็จะไม่มีกำลังกลับมาได้

เช่นนั้นพลังนี้มาจากที่ใดกัน

ใครกันที่เข้ามาในเกาะดาราเบิกฟ้าตอนนี้

เสิ่นเทียนลุกขึ้นทะยานไปตามพลังนั้น

…..

ห่างไปไม่ไกล มีคนกลุ่มใหญ่กำลังบุกเบิกมายังส่วนลึกของเกาะดาราเบิกฟ้า

พวกเขานั่งเรือเหาะโบราณ บดบังฟ้าบังดวงตะวัน พลังอำนาจยิ่งใหญ่

เรือเหาะขนาดพันจั้ง ลอยอยู่เหนือเขตทะเลเบิกฟ้า กำลังเดินหน้ามาช้าๆ

รอบๆ เป็นไอเบิกฟ้าโหมซัดสาด หมอกขมุกขมัว พลังวนเวียนหนาทึบ

ไอเบิกฟ้าพวกนี้มีพลานุภาพน่ากลัว เหมือนกับคลื่นยักษ์หมุนม้วนฟ้าดิน

เรือเหาะจะถูกไอเบิกฟ้ากระแทกตลอดเวลา แกว่งไกวไม่หยุด ส่งเสียงดังสนั่น

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเรือเหาะก็ยังไม่แตก ยังโคลงเคลงเข้าไปในส่วนลึกเกาะดาราเบิกฟ้า

นี่ถ้าให้คนอื่นเห็นจะต้องตกใจมากแน่นอน ที่นี่มีไอเบิกฟ้าไหลเชี่ยวกราก ต่อให้เป็นกายของมหาอริยะก็ต้านอานุภาพนี้ไม่ไหว จะต้องตัวระเบิดตาย

แม้เรือเหาะพวกนี้จะเป็นอาวุธมหาอริยะสุดยอด แต่ก็ไม่มีทางยืนหยัดได้นานขนาดนี้ กุญแจสำคัญคือยอดอาวุธโบราณสองชิ้นที่ลอยเหนือเรือเหาะ แผ่อำนาจเทพไม่มีสิ้นสุดปกป้องเรือเหาะไว้

นั่นคล้ายกับยอดอาวุธลักษณะกุญแจสองอัน ด้านบนแกะสลักลายมรรคประหลาด กลิ่นอายเก่าแก่และลึกลับ

สองสิ่งเชื่อมต่อกันปรากฏเป็นลักษณะผังจักรวาลฟ้าดิน

ผังจักรวาลฟ้าดินเกิดขึ้นจากสองสิ่งประกบกัน แผ่ม่านแสงสว่างจ้าออกมาคุ้มกันเรือเหาะไว้

ไอเบิกฟ้าหมุนม้วนเข้ามาแต่ก็ถูกม่านแสงพวกนี้ขวางไว้ เข้ามาไม่ได้เลย

…..

บนดาดฟ้าเรือมีคนยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง

พวกเขามีทั้งคนชราและเด็ก ล้วนสวมจีวรเต๋าโบราณ เหมือนผู้สืบทอดของลัทธิเต๋าบางแห่ง

เพียงแต่ว่าคนพวกนี้แบ่งเป็นสองลัทธิเต๋าใหญ่

บนจีวรเต๋าฝ่ายหนึ่งในนั้นปักอักษะคำว่าจูเก่อ ข้างหลังวาดเป็นภาพยันต์แปดทิศ ในมือถือแผ่นค่ายกลยันต์แปดทิศเก่าแก่

ผู้นำเป็นชายชราผมแดง ใบหน้าแดง ดวงตาวาววับมีประกาย

กลิ่นอายพลังเขามากมายมหาศาล บนผิวกายมีอักขระร่างขึ้นลับๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นการคงอยู่ที่แข็งแกร่ง

บนจีวรเต๋าอีกฝ่ายแกะสลักคำว่าซือหม่า ในมือถือแผ่นค่ายกลปัญจธาตุ ผิวกายมีแสงเทพปัญจธาตุวนเวียนเช่นกัน

ชายชราที่นำกลุ่มมามีพลังน่าเกรงขาม ผมขาวแก่ชรา มีท่วงท่าแห่งเซียน

ข้างหน้ากลุ่มคนยังมีบุรุษหนุ่มผู้องอาจห้าวหาญ เอกลักษณ์เหนือธรรมดายืนอยู่คนหนึ่ง ดวงตาเขาลึกล้ำดั่งดารา มือถือแผ่นค่ายกลยันต์แปดทิศ ข้างหลังมีแผ่นค่ายกลปัญจธาตุลอยอยู่

คนนี้ยืนอยู่ตรงหัวเรือ มีท่วงท่าสง่างามแห่งภูลำธาร

คนพวกนี้คือตระกูลขุนนางลับดินแดนกลาง คนจากตระกูลจูเก่อกับซือหม่า

ชายชราสองคนที่นำกลุ่มมาคือบรรพบุรุษของสองตระกูลขุนนางใหญ่ จูเก่อหยวนกับซือหม่าเฉิง

พวกเขาล้วนเป็นคนที่รอดมาจากมหาเคราะห์ภัยเมื่อหมื่นปีก่อน มีศักยภาพแข็งแกร่งยิ่ง

แม้สองคนนี้จะอยู่มหาอริยะตอนต้น แต่ก็อาศัยเขตแดนพิเศษ ระเบิดกำลังรบเตรียมเซียนได้

คนที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือคือโอรสสวรรค์ที่สุดแห่งยุคที่สองตระกูลขุนนางลับให้ความสำคัญ จูเก่อซือหม่า

…..

ตระกูลจูเก่อกับซือหม่าเป็นตระกูลใหญ่ในด้านเขตแดน ตระกูลพวกเขาสืบทอดกันมาหลายหมื่นปี มีศักยภาพแฝงลึกล้ำ

สองตระกูลใหญ่เป็นผู้โดดเด่นในตระกูลขุนนางลับเช่นกัน มีฐานะสูงส่ง มีอำนาจมากมาย

เพราะบรรพบุรุษตระกูลพวกเขาเคยสู้จนมีชื่อเสียงโด่งดังในยุคบรรพกาล ทำให้ผู้แข็งแกร่งสุดยอดหวาดกลัว

พลังแห่งเขตแดนเป็นพลังลึกลับที่สุดในฟ้าดินมาตลอด ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

ปรมาจารย์เขตแดนที่ว่าจะอาศัยพลังฟ้าดิน รวมยอดพลังฟ้าดิน ระเบิดอานุภาพไม่มีสิ้นสุด

ใช้กำลังคนเดียวต่อต้านพลังฟ้าดิน จะไปง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร

บรรพบุรุษรุ่นแรกของสองตระกูลใหญ่เคยร่วมมือกันวางค่ายกลสังหารสูงสุดสะท้านโลกขึ้น นั่นคือค่ายกลฟ้าดินอนันต์

นี่คือการใช้โลหิตมหาศาลอาบออกมาจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ทำให้หมื่นตระกูลหวาดกลัว

เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป มรดกที่แกร่งที่สุดของสองตระกูลหายสาบสูญไป ทำให้ศักยภาพของตระกูลลดลงอย่างมาก

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังดูถูกกำลังรบของสองตระกูลนี้ไม่ได้

ตระกูลจูเก่อชำนาญการใช้วิชายันต์แปดทิศ สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนพลังแปดลักษณ์ฟ้า ดิน น้ำ ไฟ ลม สายฟ้า ภูเขาและหยก

ปรมาจารย์เขตแดนของตระกูลนี้ฝึกถึงจุดสูงสุดแล้วจะใช้เขตแดนวางภาพแปดค่ายกลเทพมาร ข้ามไปสังหารเซียนแท้ได้

ส่วนตระกูลซือหม่าชำนาญวิชาปัญจธาตุ ใช้ค่ายกลควบคุมพลังแห่งปัญจธาตุ ทองไม้ น้ำ ไฟ ดินได้

กระทั่งยังใช้ค่ายกลอัญเชิญพยัคฆ์มารโบราณ กวางมาร หมีมาร วานรมารและวิหคมารมาสู้ได้

เมื่อฝึกสายเลือดนี้ถึงขีดสุดจะวางค่ายกลสูงสุด ค่ายกลปัญจธาตุทำลายล้าง เทพขวางฆ่าเทพ พุทธขวางฆ่าพุทธได้

แต่ความสามารถที่แกร่งที่สุดของพวกเขาไม่ใช่การสังหารศัตรู แต่เป็นการทะลวงค่ายกลและผนึกเป็นต้น

ดังนั้นสองตระกูลขุนนางลับจึงมีฐานะสูงยิ่งในดินแดนกลาง

ต่อให้เป็นศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์ พบสมาชิกแกนหลักของสองตระกูลขุนนางใหญ่ก็ยังต้องเคารพ ดูเตี้ยกว่าครึ่งส่วนลับๆ

เพราะตอนที่บุกแดนลับ ต้องให้พวกเขาช่วย

และมีเพียงคนสองตระกูลนี้ที่กล้าบุกเกาะดาราเบิกฟ้ามาในเวลานี้

พวกเขาอาศัยพลังแห่งเขตแดนกับสมบัติสุดยอดจากบรรพบุรุษรุ่นแรกวางยอดค่ายกลสะท้านโลกต้านไอเบิกฟ้าไว้

เพียงแต่ว่าสองตระกูลไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษรุ่นแรกก็เริ่มประชันกัน อยากจะชิงฉายาตระกูลขุนนางเขตแดนอันดับหนึ่งในห้าดินแดน

แต่ก็จนปัญญาเพราะสองตระกูลมีกำลังสูสีกัน รูปแบบการต่อสู้ก็คล้ายกัน ตัดสินกันไม่ได้เลย

แต่การต่อสู้และความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายไม่เคยหยุด ยืดยาวมาหลายหมื่นปี ก็ยังไม่มีใครยอมใครเลย

พวกเขาต่างคุยโวว่าตนมีมรดกดั้งเดิมของสายเลือดเขตแดน อยากจะฟื้นคืนเกียรติยศของบรรพบุรุษ

จนถึงยุคนี้ สุดยอดโอรสสวรรค์จูเก่อซือหม่าถือกำเนิด

เขาคืออัจฉริยะเขตแดนสุดยอดที่กำเนิดมาจากสองตระกูลเกี่ยวดองกัน มีทั้งมรดกค่ายกลของสองตระกูลขุนนางจูเก่อและซือหม่า

กระทั่งจูเก่อซือหม่าตอนเยาว์วัยยังฝึกมรดกสุดยอดของสองตระกูล ฝึกถึงขั้นสูงได้

กล่าวได้ว่าเขาคือชนรุ่นหลังที่มีพรสวรรค์สูงสุดในหลายหมื่นปีมานี้ของสองตระกูลขุนนางด้านค่ายกล

สองตระกูลขุนนางเห็นความหวังในการเรียกคืนเกียรติยศบรรพบุรุษกลับมาจากในตัวจูเก่อซือหม่า

นี่ทำให้สองตระกูลวิวาทกันน้อยลง บรรยากาศพอจะอ่อนลงบ้าง

ดังนั้นด้วยคำขอจากจูเก่อซือหม่า สองตระกูลขุนนางจึงร่วมมือกันเข้ามาที่เกาะดาราเบิกฟ้า เพียงแต่สองตระกูลร่วมมือกันก็ยังท่องไปมาตามใจในเกาะดาราเบิกฟ้าไม่ได้

ที่นี่แฝงไว้ด้วยความลับและอันตรายมากมาย ไม่กล้าแตะต้องตามอำเภอใจเลย

ไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็อาจจะเจอกับหายนะทำลายล้างได้

ดังนั้นสองตระกูลเขตแดนจึงเดินหน้าไปอย่างช้าๆ และระมัดระวัง

แต่ว่าระหว่างทางนี้ สองตระกูลไม่มีเบื่อกันเลย พวกเขาสู้กันมาหลายหมื่นปี ฝึกฝีปากจนชำนาญกันมานานแล้ว

ศิษย์ตระกูลจูเก่ออายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งก้าวออกมา มองศิษย์ตระกูลซือหม่าที่คุมเรืออยู่พลางพูดเย้ยเยาะ “ตระกูลซือหม่าพวกเจ้านำทางอย่างไรกัน พวกเราอยู่ในเกาะดาราเบิกฟ้ามาเดือนหนึ่งแล้ว พวกเจ้าไหวแน่นะ ถ้าไม่ไหว พวกเจ้าก็รีบกลับบ้านไปนอนเถอะ! ให้ตระกูลจูเก่อข้านำทางดีกว่า!”

คำพูดของศิษย์คนนี้พลันทำให้ศิษย์ตระกูลซือหม่าถลึงตามอง ก่อนพูดด้วยความโกรธ “แล้วตระกูลจูเก่อเจ้าไหวรึ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้า พวกเราจะหลงทางได้อย่างไรกัน ตอนแรกถ้าให้ตระกูลซือหม่าข้าคุมเรือก็คงจะไม่มีปัญหาหรอก! หลบไป อย่ามาทำขายหน้าที่นี่”

พลันมีศิษย์ตระกูลซือหม่าหลายคนก้าวออกมา พูดกับศิษย์ตระกูลจูเก่อด้วยความโกรธแค้นอยู่เต็มอก “พวกเจ้ารู้จักแต่พูดแดกดันกันนะ ก่อนหน้านี้ตอนคลื่นยักษ์เบิกฟ้ามา เหตุใดพวกเจ้าถึงหดหัวเหมือนเต่า ไม่ออกมาพูดล่ะ”

ศิษย์ตระกูลจูเก่อพลันดีดตัวขึ้นมาด้วยความโมโห แย้งกลับ “พวกเจ้าว่าอะไรนะ หากไม่ใช่เพราะยอดค่ายกลป้องกันที่ตระกูลจูเก่อข้าวางไว้ พวกเจ้าคงตายไปนานแล้ว”

ตระกูลซือหม่า “%¥#@…”

ตระกูลจูเก่อ “%¥#…”

……

เสียงด่าทอกันดังขึ้นบนเรือไม่หยุด กระทั่งไม่ใช่แค่ศิษย์ของสองตระกูลที่ทะเลาะกัน แม้แต่บรรพบุรุษของสองตระกูลยังทะเลาะกันจนหน้าแดงหูแดง น้ำลายกระเด็น

ซือหม่าเฉิงทำเสียงขึ้นจมูก “หากไม่ใช่เพราะตระกูลซือหม่าข้ามีทักษะเหนือชั้น จะมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ถ้าพึ่งพาพวกเจ้า พวกเราคงกลายเป็นสารอาหารของไอเบิกฟ้าไปนานแล้ว!”

จูเก่อหยวนตะโกนเสียงดัง “ซือหม่าเฉิง ข้าว่าเจ้ามันหมาวัดอยากเด็ดดอกฟ้าชัดๆ เลย พวกเจ้าจะเสแสร้งอะไรต่อหน้าพวกข้า เจ้ากระดกตะโพกที ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าจะอุจจาระหรือผายลม!”

ซือหม่าเฉิงหน้าแดงก่ำ ชี้จูเก่อหยวนพลางมือสั่น “คนต่ำทราม ข้าไม่อยากร่วมมือกับเจ้าหรอก!”

จูเก่อหยวนยิ้มเยาะ “ไม่อยากก็ไสหัวไป ถ้าเจ้าไม่ไปถือว่าเป็นหลานข้า!”

ซือหม่าเฉิงพูดไม่ออก

…..

พวกเขาไม่มีความน่าเกรงขามของผู้แข็งแกร่งเลย แต่เหมือนเด็กในตลาดกำลังเถียงกันมากกว่า

เมื่อเห็นดังนั้น จูเก่อซือหม่าถึงกับเอามือก่ายหน้าผากจนปัญญา

เรื่องเช่นนี้ เขาเห็นจนชินแล้ว

สองตระกูลอยู่ด้วยกัน สามวันทะเลาะกัน ห้าวันด่าทอกัน!

แม้ว่าสองบรรพบุรุษจะทะเลาะกันหน้าแดงหูแดง แต่ก็มีขอบเขต ไม่ได้ลงมือกัน

หากเป็นปกติ จูเก่อซือหม่าจะไม่สอดมือเลย เพราะสอดมือไปก็ไม่มีประโยชน์

แต่ตอนนี้อยู่เขตทะเลเบิกฟ้า ไม่สอดมือไม่ได้แล้ว!

……

แม้แต่ศิษย์คุมเรือยังเข้าไปด่าด้วย ไม่มีคนคุมเรือ!

ที่นี่คือเกาะดาราเบิกฟ้า มีอันตรายอยู่ทุกที่นะ!

หากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอะไรขึ้น ทุกคนจะตายกันหมด!

…………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด