บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 287 ครั้งนี้แซ่ฉีสภาพไม่ดี

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 287 ครั้งนี้แซ่ฉีสภาพไม่ดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 287 ครั้งนี้แซ่ฉีสภาพไม่ดี

ครั้งนี้ ข้าแซ่ฉีจะไม่ประมาทอีกเด็ดขาด

ดวงตาสามดวงของฉีเซ่าเสวียนเปล่งแสงสีม่วงออกมาพร้อมกัน จ้องเสิ่นเทียนเขม็ง

จากนั้นก็เกือบจะโดนใบหน้าของเสิ่นเทียนส่องแสงใส่จนตาบอด

ใบหน้าของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำให้แซ่ฉีละอายใจในตนเองจริงๆ!

แต่หน้าตาดีก็ไม่มีประโยชน์ บนเวทีประลองศักยภาพต่างหากที่เป็นใหญ่ แซ่ฉีจะไม่แพ้ให้เจ้าอีกเด็ดขาด!

ฉีเซ่าเสวียนเตรียมพร้อมเต็มที่ ส่งพลังฤทธิ์เข้าไปในเกราะนักรบมังกรดำกับง้าวมังกรสวรรค์เกินขีดจำกัด ก่อนเดินไปหาเสิ่นเทียนช้าๆ

ครั้งนี้เขาระมัดระวังไม่ได้บุ่มบ่ามบุกเข้าไปอีก

ก็แค่แก่นพลังทองใหญ่สุดยอด แสงเทพห้าสี และมีเถาวัลย์ยาวสีมรกตประหลาดนั่นเองไม่ใช่หรือ

ขอแค่แซ่ฉีระวังหน่อย ลูกไม้ของไอ้เด็กนี่ไม่มีทางทำอะไรข้าได้แม้แต่น้อย!

ตอนนี้ ฉีเซ่าเสวียนกับเสิ่นเทียนยืนห่างกันหลายสิบจั้ง

ในห้วงอากาศมีประกายสายฟ้าวูบวาบรางๆ ตอนนี้อากาศควบแน่นขึ้นมา หากมีผู้ฝึกบำเพ็ญยืนอยู่ระหว่างสองคน หรือถึงขั้นที่ผู้มีระดับพลังอ่อนแอ อาจจะถูกแรงกดดันนี้บดละเอียดได้

“เจ้า เข้ามาเลย!”

ฉีเซ่าเสวียนถือง้าวยาวชี้ไปทางเสิ่นเทียน แสงเทพจากเนตรสวรรค์เคหาสน์ม่วงสาดส่องไปรอบๆ ตรวจสอบทุกมุมสามร้อยหกสิบองศา ระแวดระวังอย่างยิ่ง

ข้อความเด้งขึ้นมารอบๆ เวทีประลองอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

“เริ่มอีกแล้ว ศึกสุดยอดของบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์!”

“ผิดเป็นครู เมื่อครู่บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงบุ่มบ่ามเกินไปถึงถูกร่างเงาลอบโจมตี”

“ครั้งนี้เนตรสวรรค์ของบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงคงสภาพโคจรตลอด ไม่มีทางผิดพลาดแบบระดับต่ำเช่นนั้นได้อีกเด็ดขาด มีอะไรสนุกๆ ดูแล้ว”

“เดิมพันร้อยศิลาวิญญาณ ครั้งนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงเอาชนะร่างเงาของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้แน่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นโอรสสวรรค์ที่แกร่งที่สุดของดินแดนบูรพาเรา!”

“ไม่แน่หรอก! อย่าลืมสิว่าข่าวลือของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงเลย สองคนสูสีกันต่างหาก!”

“ข้าจื่อสู่เหลียงขอพูดอย่างยุติธรรม ขอแค่ศิษย์พี่ไม่พลาด จะต้องแขวนบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทุบตีได้อย่างแน่นอน”

“แซ่ฟางอยากจะขำ หากบุตรศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายข้าสู้เต็มที่ ใช้มือเดียวก็ทุบฉีเซ่าเสวียนแหลกได้แล้ว!”

“จะว่าไปการต่อสู้ของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงก็พูดยากจริงๆ แต่แค่ร่างเงาของเขา แม้จะศักยภาพเหมือนกัน แต่สติปัญญาในการรบน่าจะเทียบกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงไม่ได้กระมัง!”

“ข้อความข้างบนอย่าลืมสิว่าครั้งก่อนร่างเงาไม่มีสมองนี่ก็ใช้อุบายต่อสู้เอาชนะบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงได้ในทีเดียว”

“ข้อความข้างบนเจ้าก็พูดเกินไปหน่อย จะคิดอะไรกับเรื่องบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงแพ้ร่างเงาไร้สมอง พูดบ่อยสนุกนักรึ”

“ใช่ๆ เอาแต่ยกถึงความผิดพลาดของคนอื่น ไร้คุณธรรมยิ่งนัก! พูดเหมือนกับด่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงว่าไร้สมองเลย”

“ไม่เอายกความผิดพลาดของคนอื่น!”

“ไม่เอายกความผิดพลาดของคนอื่นด้วย!”

“ไม่เอายกความผิดพลาดของคนอื่นด้วยเช่นกัน!”

……..

เมื่อเห็นข้อความรอบตัว ฉีเซ่าเสวียนก็มีเส้นเลือดเขียวปูดขึ้นมาบนหน้าผาก

มาอีกแล้วๆ!

ก็แค่โดนร่างเงาลอบเล่นงานครั้งเดียวไม่ใช่รึ!

ไอ้พวกผู้ชมถ่ายทอดสดพวกนี้ เหตุใดถึงยังไม่ยอมเลิกรา

การถ่ายทอดสอดไม่ใช่ว่าไม่มีกฎเกณฑ์ คิดว่าแฝงนามแล้วแซ่ฉีจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ หรือ

ก็ได้!

ทำไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ!

เพราะอย่างไรหอคอยเทพสงครามก็ไม่ใช่ของแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง การตรวจดูฐานะคนพูด ฉีเซ่าเสวียนยังไม่มีสิทธิ์ตรงนี้จริงๆ

บัดซบ เป็นเพราะไอ้ร่างเงาเฮงซวยนี่!

ฉีเซ่าเสวียนใช้สามดวงตาจ้องเสิ่นเทียนเขม็งด้วยความเคียดแค้น เพลิงโทสะในใจลุกท่วม แต่เขาไม่ได้บุกเข้าไปเหมือนรอบก่อน

เพราะเขารู้ดีว่าหากบุ่มบ่ามเข้าไปและแพ้ให้กับร่างเงานี้อีก ตนคงไม่ต้องมีชื่อเสียงกันแล้ว

ถึงอย่างไรการโดนร่างเงาไร้สมองเล่นงานสองครั้ง พูดออกไปเขาก็มีแต่จะขายหน้า

ศัตรูไม่ขยับ ข้าไม่ขยับ แซ่ฉีต้องหาช่องโหว่ของเจ้าให้พบ!

ฉีเซ่าเสวียนซ้อนการป้องกันของตนไว้เต็มขั้น ก่อนเดินไปหาร่างเงาเสิ่นเทียน พยายามให้ทุกท่วงท่าไม่เผยโอกาสให้ลงมือแม้แต่น้อย

ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของฉีเซ่าเสวียนคือ ครั้งนี้เสิ่นเทียนไม่ได้ใช้วิชาหมอกวิญญาณกับเถากลืนกินเซียน

เขาเพียงแค่มองฉีเซ่าเสวียน ข้างหลังกางปีกสวยงามอย่างยิ่งออกช้าๆ

ปีกนี้เป็นสีทองทุกส่วน สาดแสงเซียนปีกปักษาลงมา ราวกับเทพสงครามบนสวรรค์มาเยือนโลก ให้ความรู้สึกที่ฟุ้งเฟ้อและสูงศักดิ์

แม้ฉีเซ่าเสวียนจะคุยโวว่าเป็นบุรุษที่ดูสูงส่งที่สุดในดินแดนบูรพา ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเตี้ยลงขั้นหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นเทียน

ใช่ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็บินมา ความสูงของเขาจะเทียบกับเสิ่นเทียนได้อย่างไร

“แซ่ฉีเกลียดความรู้สึกที่มองคนอื่นจากข้างบนที่สุด ลงมา!”

ฉีเซ่าเสวียนแค่นเสียงขึ้นจมูก ประกายในดวงตาสีม่วงตรงระหว่างคิ้วสว่างจ้า แสงสว่างสายหนึ่งพุ่งออกมาจากระหว่างคิ้ว

นี่คือวิชาจู่โจมของเนตรสวรรค์เคหาสน์ม่วงที่บันทึกไว้ในคัมภีร์จักรพรรดิเคหาสน์ม่วง แสงวิบัติเนตรม่วง

เล่าลือว่าเมื่อฝึกถึงระดับลึกซึ้งจะทำลายได้ทุกสรรพสิ่ง แยกได้ทุกสิ่งอย่าง

แน่นอนว่าโม้หรือไม่ไม่มีใครรู้

แต่อานุภาพของแสงวิบัติเนตรม่วงก็ไม่ธรรมดาจริงๆ เมื่อแสงสีม่วงนั้นลากผ่านอากาศ แม้แต่มิติยังบิดเบี้ยวแตกกระจาย

อีกทั้งยังมีความเร็วที่น่าตกใจ ทุกคนเพิ่งเห็นแสงสีม่วงยิงมาจากดวงตาตั้งตรงของฉีเซ่าเสวียน แสงวิบัตินั้นก็มาอยู่ตรงหน้าเสิ่นเทียนแล้ว

ความเร็วในการจู่โจมเข้าใกล้กับผู้แข็งแกร่งระดับหลอมรวมเทพ ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณขั้นสูงสุดก็เกรงว่าต้องโดนแสงวิบัตินี้ในพริบตาเช่นกัน

ส่วนพลังทำลายล้างตอนเกิดแสงวิบัตินี้ขึ้น หากโดนมันโจมตี เกรงว่าคงจะสิ้นชีพในทันใด

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ นี่ต่างหากคือกระบวนท่าสังหารที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงซ่อนไว้

แม้แต่ตอนที่เผชิญหน้ากับฟางฉางกับจางอวิ๋นซี เขายังไม่เคยเผยไม้ตายนี้ ตอนนี้เผชิญหน้ากับแรงกดดันจากเสิ่นเทียน ถึงกับสำแดงออกมา

ดูท่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียนคงจะสร้างแรงกดดันให้เขาค่อนข้างมากจริงๆ!

บึ้ม!

แสงวิบัติพลันทะลวงร่างเงาเสิ่นเทียน พุ่งออกจากระหว่างคิ้วเขา กระแทกผนังในมิติเวทีประลองอย่างแรง

พลันเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น ทั้งเวทีประลองสั่นสะท้าน

บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์โดนสังหารในพริบตาหรือ

ทุกคนเหม่อมองร่างเงาของเสิ่นเทียน เวลานี้ยากจะยอมรับได้นิดๆ

ถึงอย่างไรนั่นก็คือบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์!

แต่ไม่นานก็มีคนพบความผิดปกติ เพราะร่างเงาเสิ่นเทียนค่อยๆ หายไป นี่ไม่ใช่กลายเป็นประจุพลังงานสลายไป แต่…เป็นเศษเงา

ใช่ คนที่โดนแสงวิบัติเนตรม่วงนั้นทะลวงไม่ใช่ร่างเงาของเสิ่นเทียน แต่เป็นเศษเสี้ยวหลงเหลือจากร่างเงาเสิ่นเทียน

เขารวดเร็วมากจริงๆ ขยับหลบไปในตอนที่แสงวิบัติเนตรม่วงมาถึงตรงหน้าแล้ว ไม่โดนแสงวิบัติยิงใส่เลย

“เร็วมาก!”

สามดวงตาของฉีเซ่าเสวียนหรี่ลงพร้อมกัน เนตรสวรรค์ของเขายังตามความเร็วของเสิ่นเทียนไม่ทันนิดๆ

บนเวทีประลอง ร่างเสิ่นเทียนหายไปจากสายตาผู้ชมทุกคน เหลือเพียงเศษเงาสีทองตัดสลับกัน

บึ้ม~!

ชั่วประเดี๋ยวเดียว ฉีเซ่าเสวียนชูง้าวมังกรสวรรค์ขึ้นมา

แสงไฟสว่างจ้าขึ้นบนด้ามง้าว ส่องแสงพร่างพราวประหนึ่งดวงตะวันเล็ก

นั่นคือกระบี่เล่มหนึ่งฟันลงบนด้ามง้าวด้วยความเร็วปานสายฟ้า หากไม่ใช่เพราะฉีเซ่าเสวียนกันไว้ทัน กระบี่นี้คงฟันศีรษะเขาแล้ว

“แซ่ฉีต้องยอมรับว่าเจ้าเร็วมาก น่าเสียดาย ถ้าคิดจะใช้ความเร็วเอาชนะข้า มันยังไม่มากพอ!”

ฉีเซ่าเสวียนทำเสียงขึ้นจมูก ง้าวมังกรแปดทิศกวาดเข้าไป

ทว่าช่วงที่แสงง้าวมังกรในมือลากผ่านนั้น ร่างเสิ่นเทียนก็ถอยไปก่อนแล้ว จากนั้นโจมตีจากอีกมุมอย่างรุนแรง

แก๊ง~

บึ้ม~

แก๊ง~

บึ้ม!

บนเวทีประลอง ฉีเซ่าเสวียนมีสีหน้าย่ำแย่

เสิ่นเทียนเร็วมากจริงๆ เขาตามไม่ทันเลย

ตั้งแต่เสิ่นเทียนโจมตีครั้งแรก จากนั้นก็โจมตีกระหน่ำมาราวกับพายุห่าฝน

ทุกกระบวนท่ารวดเร็วถึงขีดสุด ทำให้ฉีเซ่าเสวียนต้องป้องกัน กระทั่งบีบให้ฉีเซ่าเสวียนไม่มีโอกาสสวนกลับเลย

ถึงอย่างไรง้าวมังกรสวรรค์ในมือเขาก็เป็นอาวุธหนัก ชำนาญการโจมตีระยะกลางและไกลที่สุด การต่อสู้ระยะประชิดไม่มีข้อได้เปรียบเลย

อีกทั้งวิชามากมายของเขา แม้แต่มุทราและโอกาสในการสั่งสมพลังก็ยังไม่มี

“โจมตีบ้าคลั่งเช่นนี้ ถึงดูน่าเกรงขาม แต่จะต้องเสียพลังฤทธิ์อย่างมากแน่”

ฉีเซ่าเสวียนป้องกันการโจมตีของเสิ่นเทียนไปพลาง ยิ้มเยาะไปพลาง “แซ่ฉีอยากรู้นักว่าเจ้าจะยืนหยัดโจมตีไปได้อีกนานเท่าไร”

ร่างเงาไม่ตอบฉีเซ่าเสวียน เพียงแต่ออกทีละท่า กวัดแกว่งกระบี่โจมตีอย่างบ้าคลั่ง

ต่อมา เขาเหมือนรู้สึกว่ายังไม่บ้าอำนาจพอ จึงเปลี่ยนไปใช้ค้อนนภาม่วงสะเทือนฟ้าทุบฉีเซ่าเสวียน

ประกายเซียนสีทองและสายฟ้าตัดสลับกันบนเวทีประลอง

เวลานี้ฉีเซ่าเสวียนถูกโจมตีถอยไปไม่หยุด แม้แต่ชุดเกราะไอม่วงบนผิวกายยังอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัด

ทางด้านรอบเวทีประลองก็มีข้อความเด้งขึ้นมาเช่นกัน

“หอคอยเทพสงครามให้โอกาสครั้งที่สองแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงไม่ไหวเลย!”

“ถ้าบอกว่าการต่อสู้ครั้งก่อนโดนร่างเงาไร้สมองลอบเล่นงาน แล้วเหตุใดครั้งนี้ถึงยังถูกกดดันอีกล่ะ!”

“ดูท่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จริงๆ ก็ถูกนะ เพราะถึงอย่างไรกำลังรบของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็แข็งแกร่งมากจริงๆ”

“เจ้าจื่อสู่เหลียงจากแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงอยู่ที่ใดแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์พวกเจ้าจะแพ้แล้ว ไม่ออกมาดูหน่อยหรือ”

“ขอเรียนเชิญด้วยความจริงใจ คนอยู่ในหอคอยเทพสงคราม เพิ่งอ่านข้อความเสร็จ พวกเจ้าฝึกบำเพ็ญไม่ใช้สมองกันเลยรึ ศิษย์พี่เซ่าเสวียนเขา…เขากำลังใจเย็นอยู่เห็นๆ

ตอนนี้ดูเหมือนว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กำลังกดดัน แต่ก็แค่สู้ดิ้นรนในวาระสุดท้ายเท่านั้น ลำพองใจไปได้อีกไม่นานหรอก ขอแค่ศิษย์พี่เซ่าเสวียนจู่โจมสวนกลับ จะปราบเขาลงได้ในพริบตา!”

…….

ฉีเซ่าเสวียนไม่ได้สนใจข้อความ ตอนนี้เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับเสิ่นเทียน

เหอะๆ ฉีเซ่าเสวียนยอมรับว่าเสิ่นเทียนรวดเร็วเกินกว่าที่เขาคาดคิด

ความเร็วในการโจมตีเช่นนี้ ในระดับพลังเดียวกันเรียกได้ว่าไร้พ่าย

แต่การต่อสู้ไม่ได้วัดกันที่ใครเร็วกว่า ใครดุดันกว่า จะต้องคิดถึงปัจจัยรอบด้านด้วย

อย่างเช่นเสิ่นเทียนโจมตีใส่สุดกำลังเช่นนี้ ดูเหมือนกดดันฉีเซ่าเสวียนทุกทางอย่างน่าเกรงขาม แต่ก็ต้องเสียพลังฤทธิ์ไปค่อนข้างมากเช่นกัน

กล่าวได้ว่าตอนนี้การปะทะกันอย่างดุเดือดทุกครั้ง พลังฤทธิ์ที่ฉีเซ่าเสวียนเสียไปยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่เสิ่นเทียนเสียไปเลย

ขอแค่เขารักษาสถานการณ์ตอนนี้ไว้ ทำให้ร่างเงาเสิ่นเทียนเสียพลังต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายชัยชนะจะต้องเป็นของเขาฉีเซ่าเสวียน!

กับแค่ร่างเงาไร้สมอง กล้าเรียกตัวเองว่าฉลาดกว่าข้าแซ่ฉีหรือ

น่าขันสิ้นดี!

ฉีเซ่าเสวียนสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตามองจมูก จมูกมองใจ ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการป้องกันการโจมตีจากเสิ่นเทียน

สิบค้อน~

ยี่สิบค้อน~

สามสิบค้อน~

สี่สิบค้อน~

…….

ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่แบบนี้ สถานการณ์ต่อสู้ไม่ถูกต้องแล้ว!

ฉีเซ่าเสวียนสองมือสั่นอย่างรุนแรง ร่างถอยไปเรื่อยๆ กระทั่งถูกบีบไปถึงขอบเวทีประลอง

เขามีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง เพราะเมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป เขาจะต้องพบกับความประมาทที่ถึงแก่ชีวิตของตน

เมื่อครู่ในการต่อสู้กับจู๋รื่อชนรุ่นหลังของเผ่าเทพคันศรและอิ่งลู่นักฆ่าในเงามืด รวมถึงร่างเงาเสิ่นเทียน เขาเสียพลังฤทธิ์ไปจำนวนมากแล้ว

กระทั่งพิษเหน็บชาของเถากลืนกินเซียนก็ยังหลงเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง

แม้หลังฉีเซ่าเสวียนแพ้ให้กับร่างเงาครั้งแรกแล้วจะไม่ตายจริงเพราะกฎของหอคอยเทพสงคราม

แต่การฟื้นฟูพลังฤทธิ์กับสภาพร่างกาย นั่นคือราคาอีกเรื่องหนึ่ง

ดังนั้นตอนที่เขาสู้กับร่างเงาเสิ่นเทียนครั้งที่สอง จึงเสียพลังฤทธิ์ไปมากกว่าครึ่งแล้ว

ภายใต้การรัวโจมตีดั่งพายุคลั่งของเสิ่นเทียน ฉีเซ่าเสวียนไม่มีเวลาฟื้นฟูสภาพร่างกายตนเองเลย

หรือก็คือขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้ร่างเงาเสิ่นเทียนจะเสียพลังฤทธิ์มากกว่าฉีเซ่าเสวียน แต่สรุปรวมแล้วฉีเซ่าเสวียนจะหมดพลังฤทธิ์ก่อน

และที่สำคัญกว่านั้นคือในระหว่างการต่อสู้อันตึงเครียดและดุเดือดนั้น ฉีเซ่าเสวียนตึงเครียดอย่างยิ่ง

จนเมื่อเขาพบเรื่องนี้ พลังฤทธิ์ก็ใกล้จะหมดแล้ว

แต่เสิ่นเทียนยังคงโจมตีอย่างบ้าคลั่งต่อไป!

…………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 287 ครั้งนี้แซ่ฉีสภาพไม่ดี

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 287 ครั้งนี้แซ่ฉีสภาพไม่ดี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 287 ครั้งนี้แซ่ฉีสภาพไม่ดี

ครั้งนี้ ข้าแซ่ฉีจะไม่ประมาทอีกเด็ดขาด

ดวงตาสามดวงของฉีเซ่าเสวียนเปล่งแสงสีม่วงออกมาพร้อมกัน จ้องเสิ่นเทียนเขม็ง

จากนั้นก็เกือบจะโดนใบหน้าของเสิ่นเทียนส่องแสงใส่จนตาบอด

ใบหน้าของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำให้แซ่ฉีละอายใจในตนเองจริงๆ!

แต่หน้าตาดีก็ไม่มีประโยชน์ บนเวทีประลองศักยภาพต่างหากที่เป็นใหญ่ แซ่ฉีจะไม่แพ้ให้เจ้าอีกเด็ดขาด!

ฉีเซ่าเสวียนเตรียมพร้อมเต็มที่ ส่งพลังฤทธิ์เข้าไปในเกราะนักรบมังกรดำกับง้าวมังกรสวรรค์เกินขีดจำกัด ก่อนเดินไปหาเสิ่นเทียนช้าๆ

ครั้งนี้เขาระมัดระวังไม่ได้บุ่มบ่ามบุกเข้าไปอีก

ก็แค่แก่นพลังทองใหญ่สุดยอด แสงเทพห้าสี และมีเถาวัลย์ยาวสีมรกตประหลาดนั่นเองไม่ใช่หรือ

ขอแค่แซ่ฉีระวังหน่อย ลูกไม้ของไอ้เด็กนี่ไม่มีทางทำอะไรข้าได้แม้แต่น้อย!

ตอนนี้ ฉีเซ่าเสวียนกับเสิ่นเทียนยืนห่างกันหลายสิบจั้ง

ในห้วงอากาศมีประกายสายฟ้าวูบวาบรางๆ ตอนนี้อากาศควบแน่นขึ้นมา หากมีผู้ฝึกบำเพ็ญยืนอยู่ระหว่างสองคน หรือถึงขั้นที่ผู้มีระดับพลังอ่อนแอ อาจจะถูกแรงกดดันนี้บดละเอียดได้

“เจ้า เข้ามาเลย!”

ฉีเซ่าเสวียนถือง้าวยาวชี้ไปทางเสิ่นเทียน แสงเทพจากเนตรสวรรค์เคหาสน์ม่วงสาดส่องไปรอบๆ ตรวจสอบทุกมุมสามร้อยหกสิบองศา ระแวดระวังอย่างยิ่ง

ข้อความเด้งขึ้นมารอบๆ เวทีประลองอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

“เริ่มอีกแล้ว ศึกสุดยอดของบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์!”

“ผิดเป็นครู เมื่อครู่บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงบุ่มบ่ามเกินไปถึงถูกร่างเงาลอบโจมตี”

“ครั้งนี้เนตรสวรรค์ของบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงคงสภาพโคจรตลอด ไม่มีทางผิดพลาดแบบระดับต่ำเช่นนั้นได้อีกเด็ดขาด มีอะไรสนุกๆ ดูแล้ว”

“เดิมพันร้อยศิลาวิญญาณ ครั้งนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงเอาชนะร่างเงาของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้แน่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นโอรสสวรรค์ที่แกร่งที่สุดของดินแดนบูรพาเรา!”

“ไม่แน่หรอก! อย่าลืมสิว่าข่าวลือของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงเลย สองคนสูสีกันต่างหาก!”

“ข้าจื่อสู่เหลียงขอพูดอย่างยุติธรรม ขอแค่ศิษย์พี่ไม่พลาด จะต้องแขวนบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทุบตีได้อย่างแน่นอน”

“แซ่ฟางอยากจะขำ หากบุตรศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายข้าสู้เต็มที่ ใช้มือเดียวก็ทุบฉีเซ่าเสวียนแหลกได้แล้ว!”

“จะว่าไปการต่อสู้ของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงก็พูดยากจริงๆ แต่แค่ร่างเงาของเขา แม้จะศักยภาพเหมือนกัน แต่สติปัญญาในการรบน่าจะเทียบกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงไม่ได้กระมัง!”

“ข้อความข้างบนอย่าลืมสิว่าครั้งก่อนร่างเงาไม่มีสมองนี่ก็ใช้อุบายต่อสู้เอาชนะบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงได้ในทีเดียว”

“ข้อความข้างบนเจ้าก็พูดเกินไปหน่อย จะคิดอะไรกับเรื่องบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงแพ้ร่างเงาไร้สมอง พูดบ่อยสนุกนักรึ”

“ใช่ๆ เอาแต่ยกถึงความผิดพลาดของคนอื่น ไร้คุณธรรมยิ่งนัก! พูดเหมือนกับด่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงว่าไร้สมองเลย”

“ไม่เอายกความผิดพลาดของคนอื่น!”

“ไม่เอายกความผิดพลาดของคนอื่นด้วย!”

“ไม่เอายกความผิดพลาดของคนอื่นด้วยเช่นกัน!”

……..

เมื่อเห็นข้อความรอบตัว ฉีเซ่าเสวียนก็มีเส้นเลือดเขียวปูดขึ้นมาบนหน้าผาก

มาอีกแล้วๆ!

ก็แค่โดนร่างเงาลอบเล่นงานครั้งเดียวไม่ใช่รึ!

ไอ้พวกผู้ชมถ่ายทอดสดพวกนี้ เหตุใดถึงยังไม่ยอมเลิกรา

การถ่ายทอดสอดไม่ใช่ว่าไม่มีกฎเกณฑ์ คิดว่าแฝงนามแล้วแซ่ฉีจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ หรือ

ก็ได้!

ทำไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ!

เพราะอย่างไรหอคอยเทพสงครามก็ไม่ใช่ของแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง การตรวจดูฐานะคนพูด ฉีเซ่าเสวียนยังไม่มีสิทธิ์ตรงนี้จริงๆ

บัดซบ เป็นเพราะไอ้ร่างเงาเฮงซวยนี่!

ฉีเซ่าเสวียนใช้สามดวงตาจ้องเสิ่นเทียนเขม็งด้วยความเคียดแค้น เพลิงโทสะในใจลุกท่วม แต่เขาไม่ได้บุกเข้าไปเหมือนรอบก่อน

เพราะเขารู้ดีว่าหากบุ่มบ่ามเข้าไปและแพ้ให้กับร่างเงานี้อีก ตนคงไม่ต้องมีชื่อเสียงกันแล้ว

ถึงอย่างไรการโดนร่างเงาไร้สมองเล่นงานสองครั้ง พูดออกไปเขาก็มีแต่จะขายหน้า

ศัตรูไม่ขยับ ข้าไม่ขยับ แซ่ฉีต้องหาช่องโหว่ของเจ้าให้พบ!

ฉีเซ่าเสวียนซ้อนการป้องกันของตนไว้เต็มขั้น ก่อนเดินไปหาร่างเงาเสิ่นเทียน พยายามให้ทุกท่วงท่าไม่เผยโอกาสให้ลงมือแม้แต่น้อย

ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของฉีเซ่าเสวียนคือ ครั้งนี้เสิ่นเทียนไม่ได้ใช้วิชาหมอกวิญญาณกับเถากลืนกินเซียน

เขาเพียงแค่มองฉีเซ่าเสวียน ข้างหลังกางปีกสวยงามอย่างยิ่งออกช้าๆ

ปีกนี้เป็นสีทองทุกส่วน สาดแสงเซียนปีกปักษาลงมา ราวกับเทพสงครามบนสวรรค์มาเยือนโลก ให้ความรู้สึกที่ฟุ้งเฟ้อและสูงศักดิ์

แม้ฉีเซ่าเสวียนจะคุยโวว่าเป็นบุรุษที่ดูสูงส่งที่สุดในดินแดนบูรพา ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเตี้ยลงขั้นหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเสิ่นเทียน

ใช่ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็บินมา ความสูงของเขาจะเทียบกับเสิ่นเทียนได้อย่างไร

“แซ่ฉีเกลียดความรู้สึกที่มองคนอื่นจากข้างบนที่สุด ลงมา!”

ฉีเซ่าเสวียนแค่นเสียงขึ้นจมูก ประกายในดวงตาสีม่วงตรงระหว่างคิ้วสว่างจ้า แสงสว่างสายหนึ่งพุ่งออกมาจากระหว่างคิ้ว

นี่คือวิชาจู่โจมของเนตรสวรรค์เคหาสน์ม่วงที่บันทึกไว้ในคัมภีร์จักรพรรดิเคหาสน์ม่วง แสงวิบัติเนตรม่วง

เล่าลือว่าเมื่อฝึกถึงระดับลึกซึ้งจะทำลายได้ทุกสรรพสิ่ง แยกได้ทุกสิ่งอย่าง

แน่นอนว่าโม้หรือไม่ไม่มีใครรู้

แต่อานุภาพของแสงวิบัติเนตรม่วงก็ไม่ธรรมดาจริงๆ เมื่อแสงสีม่วงนั้นลากผ่านอากาศ แม้แต่มิติยังบิดเบี้ยวแตกกระจาย

อีกทั้งยังมีความเร็วที่น่าตกใจ ทุกคนเพิ่งเห็นแสงสีม่วงยิงมาจากดวงตาตั้งตรงของฉีเซ่าเสวียน แสงวิบัตินั้นก็มาอยู่ตรงหน้าเสิ่นเทียนแล้ว

ความเร็วในการจู่โจมเข้าใกล้กับผู้แข็งแกร่งระดับหลอมรวมเทพ ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณขั้นสูงสุดก็เกรงว่าต้องโดนแสงวิบัตินี้ในพริบตาเช่นกัน

ส่วนพลังทำลายล้างตอนเกิดแสงวิบัตินี้ขึ้น หากโดนมันโจมตี เกรงว่าคงจะสิ้นชีพในทันใด

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ นี่ต่างหากคือกระบวนท่าสังหารที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงซ่อนไว้

แม้แต่ตอนที่เผชิญหน้ากับฟางฉางกับจางอวิ๋นซี เขายังไม่เคยเผยไม้ตายนี้ ตอนนี้เผชิญหน้ากับแรงกดดันจากเสิ่นเทียน ถึงกับสำแดงออกมา

ดูท่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียนคงจะสร้างแรงกดดันให้เขาค่อนข้างมากจริงๆ!

บึ้ม!

แสงวิบัติพลันทะลวงร่างเงาเสิ่นเทียน พุ่งออกจากระหว่างคิ้วเขา กระแทกผนังในมิติเวทีประลองอย่างแรง

พลันเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น ทั้งเวทีประลองสั่นสะท้าน

บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์โดนสังหารในพริบตาหรือ

ทุกคนเหม่อมองร่างเงาของเสิ่นเทียน เวลานี้ยากจะยอมรับได้นิดๆ

ถึงอย่างไรนั่นก็คือบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์!

แต่ไม่นานก็มีคนพบความผิดปกติ เพราะร่างเงาเสิ่นเทียนค่อยๆ หายไป นี่ไม่ใช่กลายเป็นประจุพลังงานสลายไป แต่…เป็นเศษเงา

ใช่ คนที่โดนแสงวิบัติเนตรม่วงนั้นทะลวงไม่ใช่ร่างเงาของเสิ่นเทียน แต่เป็นเศษเสี้ยวหลงเหลือจากร่างเงาเสิ่นเทียน

เขารวดเร็วมากจริงๆ ขยับหลบไปในตอนที่แสงวิบัติเนตรม่วงมาถึงตรงหน้าแล้ว ไม่โดนแสงวิบัติยิงใส่เลย

“เร็วมาก!”

สามดวงตาของฉีเซ่าเสวียนหรี่ลงพร้อมกัน เนตรสวรรค์ของเขายังตามความเร็วของเสิ่นเทียนไม่ทันนิดๆ

บนเวทีประลอง ร่างเสิ่นเทียนหายไปจากสายตาผู้ชมทุกคน เหลือเพียงเศษเงาสีทองตัดสลับกัน

บึ้ม~!

ชั่วประเดี๋ยวเดียว ฉีเซ่าเสวียนชูง้าวมังกรสวรรค์ขึ้นมา

แสงไฟสว่างจ้าขึ้นบนด้ามง้าว ส่องแสงพร่างพราวประหนึ่งดวงตะวันเล็ก

นั่นคือกระบี่เล่มหนึ่งฟันลงบนด้ามง้าวด้วยความเร็วปานสายฟ้า หากไม่ใช่เพราะฉีเซ่าเสวียนกันไว้ทัน กระบี่นี้คงฟันศีรษะเขาแล้ว

“แซ่ฉีต้องยอมรับว่าเจ้าเร็วมาก น่าเสียดาย ถ้าคิดจะใช้ความเร็วเอาชนะข้า มันยังไม่มากพอ!”

ฉีเซ่าเสวียนทำเสียงขึ้นจมูก ง้าวมังกรแปดทิศกวาดเข้าไป

ทว่าช่วงที่แสงง้าวมังกรในมือลากผ่านนั้น ร่างเสิ่นเทียนก็ถอยไปก่อนแล้ว จากนั้นโจมตีจากอีกมุมอย่างรุนแรง

แก๊ง~

บึ้ม~

แก๊ง~

บึ้ม!

บนเวทีประลอง ฉีเซ่าเสวียนมีสีหน้าย่ำแย่

เสิ่นเทียนเร็วมากจริงๆ เขาตามไม่ทันเลย

ตั้งแต่เสิ่นเทียนโจมตีครั้งแรก จากนั้นก็โจมตีกระหน่ำมาราวกับพายุห่าฝน

ทุกกระบวนท่ารวดเร็วถึงขีดสุด ทำให้ฉีเซ่าเสวียนต้องป้องกัน กระทั่งบีบให้ฉีเซ่าเสวียนไม่มีโอกาสสวนกลับเลย

ถึงอย่างไรง้าวมังกรสวรรค์ในมือเขาก็เป็นอาวุธหนัก ชำนาญการโจมตีระยะกลางและไกลที่สุด การต่อสู้ระยะประชิดไม่มีข้อได้เปรียบเลย

อีกทั้งวิชามากมายของเขา แม้แต่มุทราและโอกาสในการสั่งสมพลังก็ยังไม่มี

“โจมตีบ้าคลั่งเช่นนี้ ถึงดูน่าเกรงขาม แต่จะต้องเสียพลังฤทธิ์อย่างมากแน่”

ฉีเซ่าเสวียนป้องกันการโจมตีของเสิ่นเทียนไปพลาง ยิ้มเยาะไปพลาง “แซ่ฉีอยากรู้นักว่าเจ้าจะยืนหยัดโจมตีไปได้อีกนานเท่าไร”

ร่างเงาไม่ตอบฉีเซ่าเสวียน เพียงแต่ออกทีละท่า กวัดแกว่งกระบี่โจมตีอย่างบ้าคลั่ง

ต่อมา เขาเหมือนรู้สึกว่ายังไม่บ้าอำนาจพอ จึงเปลี่ยนไปใช้ค้อนนภาม่วงสะเทือนฟ้าทุบฉีเซ่าเสวียน

ประกายเซียนสีทองและสายฟ้าตัดสลับกันบนเวทีประลอง

เวลานี้ฉีเซ่าเสวียนถูกโจมตีถอยไปไม่หยุด แม้แต่ชุดเกราะไอม่วงบนผิวกายยังอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัด

ทางด้านรอบเวทีประลองก็มีข้อความเด้งขึ้นมาเช่นกัน

“หอคอยเทพสงครามให้โอกาสครั้งที่สองแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงไม่ไหวเลย!”

“ถ้าบอกว่าการต่อสู้ครั้งก่อนโดนร่างเงาไร้สมองลอบเล่นงาน แล้วเหตุใดครั้งนี้ถึงยังถูกกดดันอีกล่ะ!”

“ดูท่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จริงๆ ก็ถูกนะ เพราะถึงอย่างไรกำลังรบของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็แข็งแกร่งมากจริงๆ”

“เจ้าจื่อสู่เหลียงจากแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงอยู่ที่ใดแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์พวกเจ้าจะแพ้แล้ว ไม่ออกมาดูหน่อยหรือ”

“ขอเรียนเชิญด้วยความจริงใจ คนอยู่ในหอคอยเทพสงคราม เพิ่งอ่านข้อความเสร็จ พวกเจ้าฝึกบำเพ็ญไม่ใช้สมองกันเลยรึ ศิษย์พี่เซ่าเสวียนเขา…เขากำลังใจเย็นอยู่เห็นๆ

ตอนนี้ดูเหมือนว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กำลังกดดัน แต่ก็แค่สู้ดิ้นรนในวาระสุดท้ายเท่านั้น ลำพองใจไปได้อีกไม่นานหรอก ขอแค่ศิษย์พี่เซ่าเสวียนจู่โจมสวนกลับ จะปราบเขาลงได้ในพริบตา!”

…….

ฉีเซ่าเสวียนไม่ได้สนใจข้อความ ตอนนี้เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับเสิ่นเทียน

เหอะๆ ฉีเซ่าเสวียนยอมรับว่าเสิ่นเทียนรวดเร็วเกินกว่าที่เขาคาดคิด

ความเร็วในการโจมตีเช่นนี้ ในระดับพลังเดียวกันเรียกได้ว่าไร้พ่าย

แต่การต่อสู้ไม่ได้วัดกันที่ใครเร็วกว่า ใครดุดันกว่า จะต้องคิดถึงปัจจัยรอบด้านด้วย

อย่างเช่นเสิ่นเทียนโจมตีใส่สุดกำลังเช่นนี้ ดูเหมือนกดดันฉีเซ่าเสวียนทุกทางอย่างน่าเกรงขาม แต่ก็ต้องเสียพลังฤทธิ์ไปค่อนข้างมากเช่นกัน

กล่าวได้ว่าตอนนี้การปะทะกันอย่างดุเดือดทุกครั้ง พลังฤทธิ์ที่ฉีเซ่าเสวียนเสียไปยังไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่เสิ่นเทียนเสียไปเลย

ขอแค่เขารักษาสถานการณ์ตอนนี้ไว้ ทำให้ร่างเงาเสิ่นเทียนเสียพลังต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายชัยชนะจะต้องเป็นของเขาฉีเซ่าเสวียน!

กับแค่ร่างเงาไร้สมอง กล้าเรียกตัวเองว่าฉลาดกว่าข้าแซ่ฉีหรือ

น่าขันสิ้นดี!

ฉีเซ่าเสวียนสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตามองจมูก จมูกมองใจ ใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการป้องกันการโจมตีจากเสิ่นเทียน

สิบค้อน~

ยี่สิบค้อน~

สามสิบค้อน~

สี่สิบค้อน~

…….

ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่แบบนี้ สถานการณ์ต่อสู้ไม่ถูกต้องแล้ว!

ฉีเซ่าเสวียนสองมือสั่นอย่างรุนแรง ร่างถอยไปเรื่อยๆ กระทั่งถูกบีบไปถึงขอบเวทีประลอง

เขามีสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง เพราะเมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป เขาจะต้องพบกับความประมาทที่ถึงแก่ชีวิตของตน

เมื่อครู่ในการต่อสู้กับจู๋รื่อชนรุ่นหลังของเผ่าเทพคันศรและอิ่งลู่นักฆ่าในเงามืด รวมถึงร่างเงาเสิ่นเทียน เขาเสียพลังฤทธิ์ไปจำนวนมากแล้ว

กระทั่งพิษเหน็บชาของเถากลืนกินเซียนก็ยังหลงเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง

แม้หลังฉีเซ่าเสวียนแพ้ให้กับร่างเงาครั้งแรกแล้วจะไม่ตายจริงเพราะกฎของหอคอยเทพสงคราม

แต่การฟื้นฟูพลังฤทธิ์กับสภาพร่างกาย นั่นคือราคาอีกเรื่องหนึ่ง

ดังนั้นตอนที่เขาสู้กับร่างเงาเสิ่นเทียนครั้งที่สอง จึงเสียพลังฤทธิ์ไปมากกว่าครึ่งแล้ว

ภายใต้การรัวโจมตีดั่งพายุคลั่งของเสิ่นเทียน ฉีเซ่าเสวียนไม่มีเวลาฟื้นฟูสภาพร่างกายตนเองเลย

หรือก็คือขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้ร่างเงาเสิ่นเทียนจะเสียพลังฤทธิ์มากกว่าฉีเซ่าเสวียน แต่สรุปรวมแล้วฉีเซ่าเสวียนจะหมดพลังฤทธิ์ก่อน

และที่สำคัญกว่านั้นคือในระหว่างการต่อสู้อันตึงเครียดและดุเดือดนั้น ฉีเซ่าเสวียนตึงเครียดอย่างยิ่ง

จนเมื่อเขาพบเรื่องนี้ พลังฤทธิ์ก็ใกล้จะหมดแล้ว

แต่เสิ่นเทียนยังคงโจมตีอย่างบ้าคลั่งต่อไป!

…………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด