บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 258 ความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 258 ความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 258 ความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์!

ผ่านไปสองวันหลังจากหอคอยเทพสงครามมาเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

ในระหว่างสองวันนี้ เยี่ยฉิงชางได้ผลักดันรูปแบบ ‘การประลองปกติ’ ขึ้น

เทียบกับแบบเดิมพันที่ไม่ทันไรก็ต้องจ่ายของเดิมพันระดับล้านหรือสิบล้านแล้ว รูปแบบการประลองนี้มีความเสี่ยงน้อยกว่า

สำหรับศิษย์เทพสวรรค์ส่วนใหญ่ การจ่ายศิลาวิญญาณเล็กน้อยก็ได้ประลองกับคู่ต่อสู้ที่พอใจ นี่ก็คุ้มค่าเช่นกัน

ส่วนศิษย์สายตรงพวกนั้น มีหลายคนเลือกแบบเดิมพันต่อสู้กับโอรสสวรรค์โลกเซียนระดับเดียวกัน

เพียงแต่ว่าศิษย์สายตรงเทพสวรรค์ส่วนใหญ่จะหยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่งดาวถึงสองดาว

ถึงอย่างไรโอรสสวรรค์นี้ก็ไม่ได้ใช้มาตรฐานของโลกมนุษย์ แต่แบ่งตามมาตรฐานของหอคอยเทพสงครามในโลกเซียน

พวกศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้ประเมินอยู่หนึ่งถึงสองดาวก็หายากมากแล้ว หากเป็นศิษย์สายตรงแดนเทวาแดนผาสุกส่วนใหญ่ บางทีอาจจะไม่ถือว่าเป็นโอรสสวรรค์หนึ่งดาวที่ต่ำที่สุดด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าพวกอัจฉริยะที่ลองการประลอง ‘แบบเดิมพัน’ ได้อะไรไปกันทุกคน บางคนยังได้ของไปไม่น้อยในหอคอยเทพสงคราม

เวลานี้ศักยภาพและพลังแฝงของศิษย์สายตรงเทพสวรรค์ส่วนใหญ่กำลังพุ่งขึ้นสูง ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีแค่ศิษย์เทพสวรรค์เท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์พวกนี้

……

สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนแล้ว การสร้างเมืองเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ในวันแรกที่หอคอยเทพสงครามมาเยือน แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้เกณฑ์ศิษย์หลายร้อยคนให้เริ่มสร้างเมืองใกล้ๆ กับหอคอยเทพสงครามแล้ว

ด้วยวิชาปัญจธาตุ ศิษย์พวกนี้จึงสร้างเป็นเมืองเล็กเสร็จได้ในเวลาครึ่งวัน

แม้ในด้านขนาดจะเทียบกับเมืองศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ได้เลยก็ตาม แต่หากใช้ต้อนรับศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นที่มาท่องเที่ยว ทดลองหรือเดิมพันในหอคอยเทพสงครามแล้ว ก็ยังเหลือเฟือ

ช่วงหลายวันมานี้ ข่าวที่หอคอยเทพสงครามมาเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ดังไปถึงแดนเทวาแดนผาสุกโดยรอบ แดนเทวาแดนผาสุกที่มีอาณาเขตติดกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ส่งคนมาแสดงความยินดีกันก่อนแล้ว

ของขวัญแต่ละอย่างก็ไม่ใช่น้อยๆ

อย่างเช่นเจ้าแดนเทวาแห่งแดนเทวาต้นท้อก็มอบต้นท้อเซียนให้สองต้นใหญ่

ต้นท้อเซียนนี้เป็นสมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่ายิ่ง สามารถเพิ่มอายุขัยของผู้ฝึกบำเพ็ญได้ร้อยปี สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญที่ทะลวงคอขวดไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้คือสมบัติล้ำค่าช่วยชีวิต ไม่อาจประเมินค่าได้

อย่างเช่นเจ้าแดนเทวาประกายทองก็มอบกระบี่ล้ำค่าเอกระฟ้าให้เล่มหนึ่ง

กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง มูลค่าอย่างน้อยหลายหมื่นผลึกวิญญาณ เรียกได้ว่าล้ำค่ายิ่ง

และอย่างเช่นเจ้าแดนผาสุกซากวิญญาณ ก็ได้มอบไข่มุกล้ำค่ารวมจิตเม็ดหนึ่ง

ไข่มุกชนิดนี้เป็นอาวุธวิญญาณที่เกิดขึ้นเองในฟ้าดิน สามารถดูดพลังวิญญาณฟ้าดินเองได้ เพิ่มความเร็วในการดูดซับของผู้ฝึกบำเพ็ญ

กล่าวคือของขวัญจากฝ่ายเซียนใหญ่ๆ ในครั้งนี้ถือว่าเป็นของชิ้นใหญ่

พวกศิษย์น้องใต้อาณัติรู้จักวางตัวเช่นนี้ พี่ใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ย่อมไม่มองเป็นคนอื่นคนไกล จึงแสดงออกว่าให้ศิษย์และผู้อาวุโสทุกฝ่ายเข้าไปฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามได้แบบไม่มีจำกัดใดๆ

แน่นอนว่าการแพ้ชนะได้กำไรหรือขาดทุนในหอคอยเทพสงครามไม่เกี่ยวอะไรกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้ว ถึงอย่างไรแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นฝ่ายทางการ ไม่เข้าหาก่อน ไม่ปฏิเสธ และไม่รับผิดชอบ

ดังนั้นพวกอัจฉริยะจากแดนเทวาแดนผาสุกจึงเริ่มเดินทางมาฝึกฝนกันทีละระลอก

น่าเสียดายก็แต่ตอนที่พวกเขาเข้าไปดูเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ แต่ตอนที่ออกมากลับดูหน้าม่อยคอตก ดูไม่มีความหมายในการมีชีวิตแล้ว

กระทบกระเทือน ถูกกระทบกระเทือนรุนแรงเกินไป!

โอรสสวรรค์พวกนั้นปกติจะเป็นสุดยอดโอรสสวรรค์ในสำนักของตน

พวกเขาชี้แนะแม่น้ำภูเขา แสดงความคิดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น คิดว่าตนมีพรสวรรค์เป็นหนึ่ง ทว่าหลังจากเข้าหอคอยเทพสงคราม พวกเขาก็พบเรื่องเศร้าก่อนว่าเงินที่ตนเก็บสะสมอันน้อยนิดในกระเป๋าไม่พอจะเดิมพันกับระดับสามสี่ดาว

ต่อมาก็พบเรื่องเศร้าอีกว่าตนไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะไม่มีเงินท้าประลองกับโอรสสวรรค์สามสี่ดาวเลย เพราะว่า…แม้แต่โอรสสวรรค์หนึ่งดาว พวกเขายังเอาชนะไม่ได้~

โลกภายนอกช่างโหดร้ายยิ่งนัก!

…….

ในเวลาสองวันสั้นๆ เด็กหนุ่มฝ่ายเซียนที่เดิมทีมองสูงมากมายเริ่มเติบโตด้วยความพ่ายแพ้แล้ว

คนที่มีจิตใจและปัญญาค่อนข้างเด็ดเดี่ยวจะรู้ว่าตนแกร่งไม่พอ และเริ่มพยายามฝึกฝนต่อสู้มากขึ้น

แต่คนที่มีจิตใจค่อนข้างเปราะบางคนถึงกับสิ้นความมุ่งมั่นในการต่อสู้ไปเลยก็มี เพียงแต่เทียบกันแล้วมีน้อยกว่ามาก

สรุป หอคอยเทพสงครามมีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์ฝ่ายเซียนพวกนี้แล้ว ศิษย์แทบทุกคนพูดคุยกันว่าใครในฝ่ายเซียนใดไปถึงขั้นที่เท่าไรในหอคอย

เพราะเหตุนี้เอง เสิ่นเทียนและจางหลงหยวนจึงแนะนำให้เยี่ยฉิงชางสร้างศิลาดาวรุ่งเทพสงครามขึ้นเป็นพิเศษ ในศิลาโบราณนี้จะบันทึกเพียงผลคะแนนในหอคอยเทพสงครามของโอรสสวรรค์ที่อยู่ในช่วงอายุร้อยปีเท่านั้น

หลังจากเกินร้อยปีไป นามบนศิลาดาวรุ่งจะหายไป ถูกคนข้างหลังเข้ามาแทนที่

พูดให้ถูกคือนี่เป็นการจัดอันดับโอรสสวรรค์ในยุคเดียวกัน หากมีนามบนศิลาดาวรุ่งนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าพรสวรรค์ของเจ้ามากพอจะติดหนึ่งในร้อยในช่วงร้อยปีนี้

สำหรับศิษย์ฝ่ายเซียนส่วนใหญ่แล้ว นี่ถือว่าเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่

ถึงอย่างไรดินแดนบูรพาก็กว้างใหญ่ มีผู้ฝึกบำเพ็ญตั้งมากเท่าไร

การติดหนึ่งในร้อยในโอรสสวรรค์ทั้งหมดในร้อยปีนี้ มันไม่ใช่แค่หนึ่งในร้อยล้าน!

ตอนนี้สองวันผ่านไป ศิษย์ที่เข้าไปฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามไม่พันคนก็ห้าร้อยแล้ว อันดับร้อยคนแรกในศิลาดาวรุ่งเทพสงครามเต็มไปนานแล้ว แต่การแข่งขันก็ยังไม่ได้ดุเดือดมาก

ถึงอย่างไร โอรสสวรรค์ระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์และสตรีศักดิ์สิทธิ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ยังไม่มากัน!

อัจฉริยะจากแดนเทวาแดนผาสุกจำนวนมากจึงอาศัยจังหวะนี้เข้าฝึกฝน หากติดร้อยอันดับแรกจริงๆ ออกไปแล้วก็จะได้คุยโม้อย่างยิ่งใหญ่

รู้จักศิลาดาวรุ่งเทพสงครามหรือไม่ บุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์บางคนอาจจะไม่ติดร้อยอันดับแรกด้วยซ้ำ แต่ข้าเข้าไปได้!

สงสัยว่าจะเป็นเพราะความคิดเช่นนี้ ธุรกิจของหอคอยเทพสงครามในช่วงหลายวันมานี้จึงไม่ต้องเอ่ยเลยว่ารุ่งเรืองเพียงใด!

………

ตอนนี้นนอกหอคอยเทพสงคราม

ซ่งฟู้กุ้ย หลิวไท่อี่ กุ้ยกงกงและพวกฉินเกากำลังรออยู่เงียบๆ

ศิษย์เทพสวรรค์หรือศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นผ่านทางมาจะมองพวกเขาด้วยแววตาอิจฉาริษยา

นั่นพวกเขา นั่นพวกเขา!

พวกคนที่ใกล้ชิดกับศิษย์พี่เสิ่นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มากที่สุด ได้ยินว่าพวกเขาได้ส่วนลดของเดิมพันห้าส่วนในหอคอยเทพ การประลองแบบปกติก็ไม่ต้องเสียเงิน

นี่ทำให้คนอิจฉาเสียจนหน้าบูดเบี้ยวไปหมด!

พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่ไม่สนใจเสียงสนทนาของทุกคนโดยรอบเลย ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนที่ได้ประจบอย่างใกล้ชิด อยู่คนละระดับกับคนธรรมดาพวกนั้นมานานแล้ว

แม้แต่จางซานศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ตอนนี้ยังได้แต่ตามต้อยๆ อยู่ข้างหลังพวกเขา แสดงตัวเป็นเด็กใหม่

จางซานพูดด้วยความแปลกใจ “ศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่หลิว ข้ามีเรื่องหนึ่งสงสัยมาก ไม่รู้ว่าควรจะถามหรือไม่”

ซ่งฟู้กุ้ยยิ้ม “เข้ากลุ่มมาก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น ถามมาเถอะ!”

จางซานพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าไปฝึกในหอคอยเทพสงครามตั้งแต่ตะวันขึ้นเมื่อวาน ตามหลักก็น่าจะปิดด่านบำเพ็ญอยู่ แต่เหตุใดไม่ว่าจะในศิลารวมเทพสงครามหรือศิลาดาวรุ่งเทพสงคราม ถึงไม่มีนามของศิษย์พี่ล่ะ!”

คำถามนี้ไม่ได้มีเพียงจางซานที่สงสัยคนเดียว ความจริงคนส่วนใหญ่ก็อยากรู้กันมาก

ถึงอย่างไรจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ ก็บอกว่าศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นคนนำหอคอยเทพสงครามกลับมา

เมื่อเห็นจางซานที่ใบหน้าเต็มไปด้วยอยากรู้อยากเห็นแล้ว ซ่งฟู้กุ้ยก็ยิ้มแต่ไม่ตอบ

หลิวไท่อี่ด้านข้างพูดเสียงเบาอย่างลึกลับ “เจ้าอยากรู้จริงๆ รึ”

จางซานรีบพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ขอให้ศิษย์พี่ไขความให้กระจ่างด้วย จางซานจะปิดปากดั่งขวดแน่นอน”

หลิวไท่อี่พูดอย่างลึกลับ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดในหมื่นปีมานี้ถึงไม่เคยมีใครได้รับการยอมรับเป็นนายจากหอคอยเทพสงครามเลย”

จางซานส่ายหน้าด้วยความมึนงง

หลิวไท่อี่ยิ้ม “เหตุผลง่ายมาก เพราะหอคอยเทพสงครามเป็นสุดยอดสมบัติสูงสุด แม้แต่ในอาวุธเซียนก็ยังอยู่สูงสุด มีเพียงสุดยอดโอรสสวรรค์เจ็ดดาวที่ยากจะพานพบได้ในหมื่นปีอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้รับการยอมรับเป็นนายจากมัน”

จางซานตัวสั่นเล็กน้อย “ศิษย์พี่หมายความว่าจริงๆ แล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์คือโอรสสวรรค์เจ็ดดาวรึ”

หลิวไท่อี่ส่ายหน้า “พรสวรรค์ของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเพียงใด สารภาพตามตรงแซ่หลิวเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เลย แต่มีอย่างหนึ่งที่มั่นใจได้ ตอนอยู่ในสนามรบบรรพกาล ตอนที่ข้ากับพวกศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่กุ้ยและศิษย์พี่ฉินเข้าไปฝึกฝนนั้น

นามของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ขึ้นไปบนสุดของตารางเทพสงครามแล้ว และการประเมินระดับของเขาก็คือโอรสสวรรค์เจ็ดดาว”

ใบหน้าจางซานเต็มไปด้วยความเลื่อมใสและตื่นเต้น “แต่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่เห็นล่ะ”

หลิวไท่อี่พูดด้วยความเฉยชา “สารภาพตามตรง เรื่องนี้แซ่หลิวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

ในที่สุดซ่งฟู้กุ้ยก็ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เห็นได้ชัดว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้ตัวเองเด่นเกินไป พวกข้ารู้จักกับท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว เข้าใจว่าท่านปรมาจารย์สวรรค์เป็นคนที่รักความสงบ ไม่ชอบปรากฏตัวในแวดวงสังคมที่สุด

เหตุใดในศิลาเทพสงครามถึงไม่มีนามของท่านปรมาจารย์สวรรค์ ความจริงข้าก็พอจะมีการคาดเดาอยู่หลายอย่าง พอจะอธิบายให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนฟังได้บ้าง แต่ทุกคนต้องรับปากกับข้าว่าห้ามบอกคนอื่นตามใจเด็ดขาด เดี๋ยวจะทำให้ท่านปรมาจารย์สวรรค์ไม่พอใจ”

ซ่งฟู้กุ้ยเอ่ยจบ คนอื่นๆ ก็รับปากกันทันที

“วางใจเถอะ! ศิษย์พี่ซ่ง ข้าแซ่หลิวปิดปากดั่งขวด”

“ข้าเจินจื้อเจี่ยเป็นคนอย่างไร ศิษย์พี่ซ่งยังไม่รู้อีกหรือ ปิดปากดั่งขวด!”

“ถึงจางซานจะไม่ใกล้ชิดกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เท่าศิษย์พี่ทุกท่าน แต่ก็ไม่ใช่คนปากมาก จะปิดปากดั่งขวดแน่นอน!”

“ข้าด้วย ข้าก็เช่นกัน!”

เมื่อเห็นทุกคนรับปากแล้ว ซ่งฟู้กุ้ยก็พยักหน้าเล็กน้อย “เอาความจริงแล้วกัน! ในมุมมองข้า ที่นามของท่านปรมาจารย์สวรรค์ไม่อยู่ในศิลามีเหตุผลอยู่สองอย่าง

หนึ่ง ถึงท่านปรมาจารย์สวรรค์จะชอบทำอะไรเงียบๆ แต่เป็นสุดยอดโอรสสวรรค์ จึงไม่อาจลบความโอหังในใจได้ พรสวรรค์ของเขาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งมาตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน สั่นสะเทือนไปทั้งโลก กับอีแค่ศิลาเทพสงครามเล็กจ้อยจะมีสิทธิ์มาจำกัดความเขาหรือ

ถึงอย่างไรขนาดทั้งหอคอยเทพสงครามยังยอมท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์ หากนามของบุตรศักดิ์สิทธิ์ติดอันดับ ก็อาจจะทำให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ได้ง่าย

ด้วยความโอหังของท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงขี้เกียจจะอธิบาย สู้ไม่ติดอันดับ ถอยห่างจากการไล่ตามจากคนธรรมดาดีกว่า”

ซ่งฟู้กุ้ยพูดจาฉะฉาน ทุกคนฟังแล้วตาเป็นประกาย ดูจริงจังกันเป็นพิเศษ

ทว่าหลิวไท่อี่เหมือนนึกอะไรได้จึงควักม้วนหยกออกมาจากอกเสื้อและจดบันทึกอย่างระมัดระวัง

ซ่งฟู้กุ้ยพูดต่อ “ส่วนเหตุผลที่สอง บางทีอาจเป็นเพราะท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากทำร้ายโอรสสวรรค์คนอื่นมากเกินไป”

จางซานอึ้งไปเล็กน้อย “ศิษย์พี่ซ่งหมายความว่าอย่างไร”

ซ่งฟู้กุ้ยตอบ “เสี่ยวจางเจ้าไม่เข้าใจ ตอนนั้นในสนามรบบรรพกาล แซ่ซ่งเห็นกับตาว่านามของท่านปรมาจารย์สวรรค์ขึ้นไปอยู่อันดับสองเลย ตอนนั้นการประเมินของท่านปรมาจารย์สวรรค์อยู่อันดับสอง เป็นรองเพียงโอรสสวรรค์หกดาวฮวงสือ แต่แค่ครู่เดียวก็เลื่อนขึ้นไปอีก

แต่ครั้งนี้อันดับของท่านปรมาจารย์สวรรค์แซงหน้าฮวงสือ เป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาวเพียงคนเดียวตั้งแต่โบราณมา”

หลิวไท่อี่พยักหน้าน้อยๆ “ใช่ ครั้งนั้นข้าก็อยู่ในหอคอยด้วย เป็นพยานได้”

ฉินเกาพยักหน้าเช่นกัน “ตอนนั้นข้าก็ฝึกฝนอยู่ด้วย เห็นชัดเจนเลย”

สยงเหมิ่งพยักหน้าซื่อๆ “ข้าก็เช่นกัน”

ซ่งฟู้กุ้ยพูดด้วยความลึกลับ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร เห็นได้ชัดเลยว่าตอนที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เอาชนะโอรสสวรรค์ห้าดาวได้ก็ได้รับการประเมินจากหอคอยเทพสงครามว่าเป็นโอรสสวรรค์ห้าดาวที่แกร่งที่สุด

และหลังจากเอาชนะโอรสสวรรค์ห้าดาวคนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะหยุดพักเลย แต่ท้าประลองกับโอรสสวรรค์เจ็ดดาวทันที อีกทั้งยังเป็นในช่วงเวลาสั้นๆ หรืออาจจะในร้อยกระบวนท่าก็เอาชนะโอรสสวรรค์เจ็ดดาวคนนั้นได้แล้ว

ดังนั้นเขาถึงได้เลื่อนจากห้าดาวไปเจ็ดดาวในเวลาหลายสิบลมหายใจสั้นๆ นี่ยืนยันได้ว่าโอรสสวรรค์เจ็ดดาวอ่อนแอมากเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านปรมาจารย์สวรรค์

แต่ตอนนี้นามของท่านปรมาจารย์สวรรค์หายไปจากศิลาเทพสงคราม ในมุมมองแซ่ซ่งนะ บางทีศิลาเทพสงครามอาจจะไม่มีความสามารถพอจะพิจารณาบุตรศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ก็พรสวรรค์ของบุตรศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าเจ็ดดาว ไปถึงแปดดาวหรือสูงกว่า น่าตื่นตกใจสะท้านโลกแล้ว

บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงได้แต่ซ่อนนามของตนไว้เพื่อรักษาเกียรติและความมั่นใจในตัวเองของอัจฉริยะธรรมดาไว้ ถ้าไม่อย่างนั้นหากเขาเผยพรสวรรค์ออกมาอย่างแท้จริง จะมีโอรสสวรรค์ต้องสิ้นหวังเท่าไร!

บางทีอาจจะทำให้โอรสสวรรค์มากมายเกิดมารในใจ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดของเขาไปชั่วชีวิต

นี่ ก็คือความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์!”

ซี้ด~

ซี้ดๆ~

ซี้ดๆๆ~

คำพูดของซ่งฟู้กุ้ยเหมือนกับเอาน้ำมนต์ราดศีรษะ

ไม่ทันไรเจินจื่อเจี่ย จางซานและพวกสยงเหมิ่งที่เดิมทียังไม่เข้าใจเหตุผลถึงกับตื่นตกใจ

แม้แต่ม้วนหยกในมือหลิวไท่อี่ยังเกือบหลุดจากมือ ถึงอย่างไรคำพูดของเถ้าแก่ซ่งก็น่าตกใจเกินไปจริงๆ

แต่พอพินิจพิเคราะห์ดูก็มีเหตุผลอย่างยิ่ง

ที่ซ่งฟู้กุ้ยได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของกลุ่มสวรรค์พิทักษ์เพราะมีเหตุผลจริงๆ

มองได้ลึกซึ้งและมองขาดได้ถึงขนาดนี้

ข้าหลิวไท่อี่ยังห่างชั้นนัก~!

ตอนนี้เองในที่สุดกุ้ยกงกงด้านข้างก็พูดขึ้นช้าๆ “เรื่องพวกนี้เป็นเพียงการคาดเดาของศิษย์น้องซ่ง ทุกคนแค่ฟังไว้ก็พอ ห้ามแพร่งพราย”

พรสวรรค์และศักยภาพของกุ้ยกงกงไม่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในทุกคน แต่หากวัดกันที่น้ำหนักในใจบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว แม้แต่ซ่งฟู้กุ้ยก็ยังเทียบกับกุ้ยกงกงไม่ได้

ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นคนที่ท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์มองเป็นญาติพี่น้องอย่างแท้จริง แม้แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์กับศิษย์พี่ใหญ่ยังไว้หน้าเขาสามส่วน

ตอนนี้กุ้ยกงกงพูดขึ้น ทุกคนจึงรีบรับปากว่าจะปิดปากดั่งขวด ไม่บอกบุคคลที่สามอย่างแน่นอน

กุ้ยกงกงถึงได้พยักหน้าอย่างพอใจและเบนสายตาไปมองในหอคอยเทพสงคราม

นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยความมีเมตตา ห่วงใยและปลื้มใจอย่างเด่นชัด

ในเวลาสองเดือนสั้นๆ องค์ชายก็เปลี่ยนจากองค์ชายธรรมดาที่มีอุปสรรคในด้านดวงชะตากลายเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่ทำให้ทั้งดินแดนบูรพามองข้ามไม่ได้

กระทั่งตอนนี้ยังถูกสงสัยว่าเป็นโอรสสวรรค์เหนือกว่าแปดดาวอีก

พึงรู้ไว้ว่าแม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่เทพสวรรค์ฟางฉางผู้มีระดับแก่นพลังทองเก้ารอบ ยังถูกหอคอยเทพสงครามประเมินไว้เพียงโอรสสวรรค์ห้าดาว

สตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จางอวิ๋นซี ตอนนี้ระดับพลังถึงจุดสูงสุดแก่นพลังทองแปดรอบ ควบคุมอัสนีเทพกำเนิดฟ้าได้อย่างชำนาญ ก็ได้แค่โอรสสวรรค์ห้าดาวเช่นกัน

โอรสสวรรค์หกดาวที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนศิลาเทพสงครามก็เป็นบุคคลที่ไร้พ่ายในทั้งห้าดินแดน

แต่องค์ชายกลับเป็นอย่างน้อยสุดโอรสสวรรค์เจ็ดดาว กระทั่งอาจจะเป็นแปดดาว

นี่หมายความว่าอย่างไร กุ้ยกงกงย่อมรู้ดี

นี่หมายความว่าขอแค่องค์ชายฝึกฝนอย่างมั่นคงต่อไป ภายภาคหน้าแทบจะต้องเป็นบุคคลไร้พ่ายในห้าดินแดนอย่างแน่นอน

เกียรติยศนี้เจิดจรัสอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่เดิมทีกุ้ยกงกงไม่กล้าจินตนาการ

เวลานี้ กุ้ยกงกงน้ำตาคลอเบ้าแล้ว

ในที่สุดองค์ชายก็เติบใหญ่ขึ้นเป็นอัจฉริยะแล้ว

หากพระสนมหลานในแดนปรโลกรู้เข้า จะต้องยิ้มร่าไปทั่วแดนนั้นอย่างแน่นอน!

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 258 ความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 258 ความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 258 ความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์!

ผ่านไปสองวันหลังจากหอคอยเทพสงครามมาเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

ในระหว่างสองวันนี้ เยี่ยฉิงชางได้ผลักดันรูปแบบ ‘การประลองปกติ’ ขึ้น

เทียบกับแบบเดิมพันที่ไม่ทันไรก็ต้องจ่ายของเดิมพันระดับล้านหรือสิบล้านแล้ว รูปแบบการประลองนี้มีความเสี่ยงน้อยกว่า

สำหรับศิษย์เทพสวรรค์ส่วนใหญ่ การจ่ายศิลาวิญญาณเล็กน้อยก็ได้ประลองกับคู่ต่อสู้ที่พอใจ นี่ก็คุ้มค่าเช่นกัน

ส่วนศิษย์สายตรงพวกนั้น มีหลายคนเลือกแบบเดิมพันต่อสู้กับโอรสสวรรค์โลกเซียนระดับเดียวกัน

เพียงแต่ว่าศิษย์สายตรงเทพสวรรค์ส่วนใหญ่จะหยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่งดาวถึงสองดาว

ถึงอย่างไรโอรสสวรรค์นี้ก็ไม่ได้ใช้มาตรฐานของโลกมนุษย์ แต่แบ่งตามมาตรฐานของหอคอยเทพสงครามในโลกเซียน

พวกศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้ประเมินอยู่หนึ่งถึงสองดาวก็หายากมากแล้ว หากเป็นศิษย์สายตรงแดนเทวาแดนผาสุกส่วนใหญ่ บางทีอาจจะไม่ถือว่าเป็นโอรสสวรรค์หนึ่งดาวที่ต่ำที่สุดด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าพวกอัจฉริยะที่ลองการประลอง ‘แบบเดิมพัน’ ได้อะไรไปกันทุกคน บางคนยังได้ของไปไม่น้อยในหอคอยเทพสงคราม

เวลานี้ศักยภาพและพลังแฝงของศิษย์สายตรงเทพสวรรค์ส่วนใหญ่กำลังพุ่งขึ้นสูง ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีแค่ศิษย์เทพสวรรค์เท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์พวกนี้

……

สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนแล้ว การสร้างเมืองเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ในวันแรกที่หอคอยเทพสงครามมาเยือน แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้เกณฑ์ศิษย์หลายร้อยคนให้เริ่มสร้างเมืองใกล้ๆ กับหอคอยเทพสงครามแล้ว

ด้วยวิชาปัญจธาตุ ศิษย์พวกนี้จึงสร้างเป็นเมืองเล็กเสร็จได้ในเวลาครึ่งวัน

แม้ในด้านขนาดจะเทียบกับเมืองศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ได้เลยก็ตาม แต่หากใช้ต้อนรับศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นที่มาท่องเที่ยว ทดลองหรือเดิมพันในหอคอยเทพสงครามแล้ว ก็ยังเหลือเฟือ

ช่วงหลายวันมานี้ ข่าวที่หอคอยเทพสงครามมาเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ดังไปถึงแดนเทวาแดนผาสุกโดยรอบ แดนเทวาแดนผาสุกที่มีอาณาเขตติดกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ส่งคนมาแสดงความยินดีกันก่อนแล้ว

ของขวัญแต่ละอย่างก็ไม่ใช่น้อยๆ

อย่างเช่นเจ้าแดนเทวาแห่งแดนเทวาต้นท้อก็มอบต้นท้อเซียนให้สองต้นใหญ่

ต้นท้อเซียนนี้เป็นสมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่ายิ่ง สามารถเพิ่มอายุขัยของผู้ฝึกบำเพ็ญได้ร้อยปี สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญที่ทะลวงคอขวดไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้คือสมบัติล้ำค่าช่วยชีวิต ไม่อาจประเมินค่าได้

อย่างเช่นเจ้าแดนเทวาประกายทองก็มอบกระบี่ล้ำค่าเอกระฟ้าให้เล่มหนึ่ง

กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง มูลค่าอย่างน้อยหลายหมื่นผลึกวิญญาณ เรียกได้ว่าล้ำค่ายิ่ง

และอย่างเช่นเจ้าแดนผาสุกซากวิญญาณ ก็ได้มอบไข่มุกล้ำค่ารวมจิตเม็ดหนึ่ง

ไข่มุกชนิดนี้เป็นอาวุธวิญญาณที่เกิดขึ้นเองในฟ้าดิน สามารถดูดพลังวิญญาณฟ้าดินเองได้ เพิ่มความเร็วในการดูดซับของผู้ฝึกบำเพ็ญ

กล่าวคือของขวัญจากฝ่ายเซียนใหญ่ๆ ในครั้งนี้ถือว่าเป็นของชิ้นใหญ่

พวกศิษย์น้องใต้อาณัติรู้จักวางตัวเช่นนี้ พี่ใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ย่อมไม่มองเป็นคนอื่นคนไกล จึงแสดงออกว่าให้ศิษย์และผู้อาวุโสทุกฝ่ายเข้าไปฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามได้แบบไม่มีจำกัดใดๆ

แน่นอนว่าการแพ้ชนะได้กำไรหรือขาดทุนในหอคอยเทพสงครามไม่เกี่ยวอะไรกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้ว ถึงอย่างไรแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นฝ่ายทางการ ไม่เข้าหาก่อน ไม่ปฏิเสธ และไม่รับผิดชอบ

ดังนั้นพวกอัจฉริยะจากแดนเทวาแดนผาสุกจึงเริ่มเดินทางมาฝึกฝนกันทีละระลอก

น่าเสียดายก็แต่ตอนที่พวกเขาเข้าไปดูเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจ แต่ตอนที่ออกมากลับดูหน้าม่อยคอตก ดูไม่มีความหมายในการมีชีวิตแล้ว

กระทบกระเทือน ถูกกระทบกระเทือนรุนแรงเกินไป!

โอรสสวรรค์พวกนั้นปกติจะเป็นสุดยอดโอรสสวรรค์ในสำนักของตน

พวกเขาชี้แนะแม่น้ำภูเขา แสดงความคิดวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น คิดว่าตนมีพรสวรรค์เป็นหนึ่ง ทว่าหลังจากเข้าหอคอยเทพสงคราม พวกเขาก็พบเรื่องเศร้าก่อนว่าเงินที่ตนเก็บสะสมอันน้อยนิดในกระเป๋าไม่พอจะเดิมพันกับระดับสามสี่ดาว

ต่อมาก็พบเรื่องเศร้าอีกว่าตนไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะไม่มีเงินท้าประลองกับโอรสสวรรค์สามสี่ดาวเลย เพราะว่า…แม้แต่โอรสสวรรค์หนึ่งดาว พวกเขายังเอาชนะไม่ได้~

โลกภายนอกช่างโหดร้ายยิ่งนัก!

…….

ในเวลาสองวันสั้นๆ เด็กหนุ่มฝ่ายเซียนที่เดิมทีมองสูงมากมายเริ่มเติบโตด้วยความพ่ายแพ้แล้ว

คนที่มีจิตใจและปัญญาค่อนข้างเด็ดเดี่ยวจะรู้ว่าตนแกร่งไม่พอ และเริ่มพยายามฝึกฝนต่อสู้มากขึ้น

แต่คนที่มีจิตใจค่อนข้างเปราะบางคนถึงกับสิ้นความมุ่งมั่นในการต่อสู้ไปเลยก็มี เพียงแต่เทียบกันแล้วมีน้อยกว่ามาก

สรุป หอคอยเทพสงครามมีชื่อเสียงในหมู่ศิษย์ฝ่ายเซียนพวกนี้แล้ว ศิษย์แทบทุกคนพูดคุยกันว่าใครในฝ่ายเซียนใดไปถึงขั้นที่เท่าไรในหอคอย

เพราะเหตุนี้เอง เสิ่นเทียนและจางหลงหยวนจึงแนะนำให้เยี่ยฉิงชางสร้างศิลาดาวรุ่งเทพสงครามขึ้นเป็นพิเศษ ในศิลาโบราณนี้จะบันทึกเพียงผลคะแนนในหอคอยเทพสงครามของโอรสสวรรค์ที่อยู่ในช่วงอายุร้อยปีเท่านั้น

หลังจากเกินร้อยปีไป นามบนศิลาดาวรุ่งจะหายไป ถูกคนข้างหลังเข้ามาแทนที่

พูดให้ถูกคือนี่เป็นการจัดอันดับโอรสสวรรค์ในยุคเดียวกัน หากมีนามบนศิลาดาวรุ่งนี้ ก็พิสูจน์ได้ว่าพรสวรรค์ของเจ้ามากพอจะติดหนึ่งในร้อยในช่วงร้อยปีนี้

สำหรับศิษย์ฝ่ายเซียนส่วนใหญ่แล้ว นี่ถือว่าเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่

ถึงอย่างไรดินแดนบูรพาก็กว้างใหญ่ มีผู้ฝึกบำเพ็ญตั้งมากเท่าไร

การติดหนึ่งในร้อยในโอรสสวรรค์ทั้งหมดในร้อยปีนี้ มันไม่ใช่แค่หนึ่งในร้อยล้าน!

ตอนนี้สองวันผ่านไป ศิษย์ที่เข้าไปฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามไม่พันคนก็ห้าร้อยแล้ว อันดับร้อยคนแรกในศิลาดาวรุ่งเทพสงครามเต็มไปนานแล้ว แต่การแข่งขันก็ยังไม่ได้ดุเดือดมาก

ถึงอย่างไร โอรสสวรรค์ระดับบุตรศักดิ์สิทธิ์และสตรีศักดิ์สิทธิ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็ยังไม่มากัน!

อัจฉริยะจากแดนเทวาแดนผาสุกจำนวนมากจึงอาศัยจังหวะนี้เข้าฝึกฝน หากติดร้อยอันดับแรกจริงๆ ออกไปแล้วก็จะได้คุยโม้อย่างยิ่งใหญ่

รู้จักศิลาดาวรุ่งเทพสงครามหรือไม่ บุตรศักดิ์สิทธิ์สตรีศักดิ์สิทธิ์บางคนอาจจะไม่ติดร้อยอันดับแรกด้วยซ้ำ แต่ข้าเข้าไปได้!

สงสัยว่าจะเป็นเพราะความคิดเช่นนี้ ธุรกิจของหอคอยเทพสงครามในช่วงหลายวันมานี้จึงไม่ต้องเอ่ยเลยว่ารุ่งเรืองเพียงใด!

………

ตอนนี้นนอกหอคอยเทพสงคราม

ซ่งฟู้กุ้ย หลิวไท่อี่ กุ้ยกงกงและพวกฉินเกากำลังรออยู่เงียบๆ

ศิษย์เทพสวรรค์หรือศิษย์ฝ่ายเซียนอื่นผ่านทางมาจะมองพวกเขาด้วยแววตาอิจฉาริษยา

นั่นพวกเขา นั่นพวกเขา!

พวกคนที่ใกล้ชิดกับศิษย์พี่เสิ่นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มากที่สุด ได้ยินว่าพวกเขาได้ส่วนลดของเดิมพันห้าส่วนในหอคอยเทพ การประลองแบบปกติก็ไม่ต้องเสียเงิน

นี่ทำให้คนอิจฉาเสียจนหน้าบูดเบี้ยวไปหมด!

พวกซ่งฟู้กุ้ยและหลิวไท่อี่ไม่สนใจเสียงสนทนาของทุกคนโดยรอบเลย ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนที่ได้ประจบอย่างใกล้ชิด อยู่คนละระดับกับคนธรรมดาพวกนั้นมานานแล้ว

แม้แต่จางซานศิษย์สายตรงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ตอนนี้ยังได้แต่ตามต้อยๆ อยู่ข้างหลังพวกเขา แสดงตัวเป็นเด็กใหม่

จางซานพูดด้วยความแปลกใจ “ศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่หลิว ข้ามีเรื่องหนึ่งสงสัยมาก ไม่รู้ว่าควรจะถามหรือไม่”

ซ่งฟู้กุ้ยยิ้ม “เข้ากลุ่มมาก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น ถามมาเถอะ!”

จางซานพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าไปฝึกในหอคอยเทพสงครามตั้งแต่ตะวันขึ้นเมื่อวาน ตามหลักก็น่าจะปิดด่านบำเพ็ญอยู่ แต่เหตุใดไม่ว่าจะในศิลารวมเทพสงครามหรือศิลาดาวรุ่งเทพสงคราม ถึงไม่มีนามของศิษย์พี่ล่ะ!”

คำถามนี้ไม่ได้มีเพียงจางซานที่สงสัยคนเดียว ความจริงคนส่วนใหญ่ก็อยากรู้กันมาก

ถึงอย่างไรจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ ก็บอกว่าศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นคนนำหอคอยเทพสงครามกลับมา

เมื่อเห็นจางซานที่ใบหน้าเต็มไปด้วยอยากรู้อยากเห็นแล้ว ซ่งฟู้กุ้ยก็ยิ้มแต่ไม่ตอบ

หลิวไท่อี่ด้านข้างพูดเสียงเบาอย่างลึกลับ “เจ้าอยากรู้จริงๆ รึ”

จางซานรีบพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ขอให้ศิษย์พี่ไขความให้กระจ่างด้วย จางซานจะปิดปากดั่งขวดแน่นอน”

หลิวไท่อี่พูดอย่างลึกลับ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดในหมื่นปีมานี้ถึงไม่เคยมีใครได้รับการยอมรับเป็นนายจากหอคอยเทพสงครามเลย”

จางซานส่ายหน้าด้วยความมึนงง

หลิวไท่อี่ยิ้ม “เหตุผลง่ายมาก เพราะหอคอยเทพสงครามเป็นสุดยอดสมบัติสูงสุด แม้แต่ในอาวุธเซียนก็ยังอยู่สูงสุด มีเพียงสุดยอดโอรสสวรรค์เจ็ดดาวที่ยากจะพานพบได้ในหมื่นปีอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้รับการยอมรับเป็นนายจากมัน”

จางซานตัวสั่นเล็กน้อย “ศิษย์พี่หมายความว่าจริงๆ แล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์คือโอรสสวรรค์เจ็ดดาวรึ”

หลิวไท่อี่ส่ายหน้า “พรสวรรค์ของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์สูงส่งเพียงใด สารภาพตามตรงแซ่หลิวเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เลย แต่มีอย่างหนึ่งที่มั่นใจได้ ตอนอยู่ในสนามรบบรรพกาล ตอนที่ข้ากับพวกศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่กุ้ยและศิษย์พี่ฉินเข้าไปฝึกฝนนั้น

นามของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ขึ้นไปบนสุดของตารางเทพสงครามแล้ว และการประเมินระดับของเขาก็คือโอรสสวรรค์เจ็ดดาว”

ใบหน้าจางซานเต็มไปด้วยความเลื่อมใสและตื่นเต้น “แต่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่เห็นล่ะ”

หลิวไท่อี่พูดด้วยความเฉยชา “สารภาพตามตรง เรื่องนี้แซ่หลิวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

ในที่สุดซ่งฟู้กุ้ยก็ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เห็นได้ชัดว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้ตัวเองเด่นเกินไป พวกข้ารู้จักกับท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว เข้าใจว่าท่านปรมาจารย์สวรรค์เป็นคนที่รักความสงบ ไม่ชอบปรากฏตัวในแวดวงสังคมที่สุด

เหตุใดในศิลาเทพสงครามถึงไม่มีนามของท่านปรมาจารย์สวรรค์ ความจริงข้าก็พอจะมีการคาดเดาอยู่หลายอย่าง พอจะอธิบายให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนฟังได้บ้าง แต่ทุกคนต้องรับปากกับข้าว่าห้ามบอกคนอื่นตามใจเด็ดขาด เดี๋ยวจะทำให้ท่านปรมาจารย์สวรรค์ไม่พอใจ”

ซ่งฟู้กุ้ยเอ่ยจบ คนอื่นๆ ก็รับปากกันทันที

“วางใจเถอะ! ศิษย์พี่ซ่ง ข้าแซ่หลิวปิดปากดั่งขวด”

“ข้าเจินจื้อเจี่ยเป็นคนอย่างไร ศิษย์พี่ซ่งยังไม่รู้อีกหรือ ปิดปากดั่งขวด!”

“ถึงจางซานจะไม่ใกล้ชิดกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เท่าศิษย์พี่ทุกท่าน แต่ก็ไม่ใช่คนปากมาก จะปิดปากดั่งขวดแน่นอน!”

“ข้าด้วย ข้าก็เช่นกัน!”

เมื่อเห็นทุกคนรับปากแล้ว ซ่งฟู้กุ้ยก็พยักหน้าเล็กน้อย “เอาความจริงแล้วกัน! ในมุมมองข้า ที่นามของท่านปรมาจารย์สวรรค์ไม่อยู่ในศิลามีเหตุผลอยู่สองอย่าง

หนึ่ง ถึงท่านปรมาจารย์สวรรค์จะชอบทำอะไรเงียบๆ แต่เป็นสุดยอดโอรสสวรรค์ จึงไม่อาจลบความโอหังในใจได้ พรสวรรค์ของเขาเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งมาตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน สั่นสะเทือนไปทั้งโลก กับอีแค่ศิลาเทพสงครามเล็กจ้อยจะมีสิทธิ์มาจำกัดความเขาหรือ

ถึงอย่างไรขนาดทั้งหอคอยเทพสงครามยังยอมท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์ หากนามของบุตรศักดิ์สิทธิ์ติดอันดับ ก็อาจจะทำให้คนอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ได้ง่าย

ด้วยความโอหังของท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงขี้เกียจจะอธิบาย สู้ไม่ติดอันดับ ถอยห่างจากการไล่ตามจากคนธรรมดาดีกว่า”

ซ่งฟู้กุ้ยพูดจาฉะฉาน ทุกคนฟังแล้วตาเป็นประกาย ดูจริงจังกันเป็นพิเศษ

ทว่าหลิวไท่อี่เหมือนนึกอะไรได้จึงควักม้วนหยกออกมาจากอกเสื้อและจดบันทึกอย่างระมัดระวัง

ซ่งฟู้กุ้ยพูดต่อ “ส่วนเหตุผลที่สอง บางทีอาจเป็นเพราะท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากทำร้ายโอรสสวรรค์คนอื่นมากเกินไป”

จางซานอึ้งไปเล็กน้อย “ศิษย์พี่ซ่งหมายความว่าอย่างไร”

ซ่งฟู้กุ้ยตอบ “เสี่ยวจางเจ้าไม่เข้าใจ ตอนนั้นในสนามรบบรรพกาล แซ่ซ่งเห็นกับตาว่านามของท่านปรมาจารย์สวรรค์ขึ้นไปอยู่อันดับสองเลย ตอนนั้นการประเมินของท่านปรมาจารย์สวรรค์อยู่อันดับสอง เป็นรองเพียงโอรสสวรรค์หกดาวฮวงสือ แต่แค่ครู่เดียวก็เลื่อนขึ้นไปอีก

แต่ครั้งนี้อันดับของท่านปรมาจารย์สวรรค์แซงหน้าฮวงสือ เป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาวเพียงคนเดียวตั้งแต่โบราณมา”

หลิวไท่อี่พยักหน้าน้อยๆ “ใช่ ครั้งนั้นข้าก็อยู่ในหอคอยด้วย เป็นพยานได้”

ฉินเกาพยักหน้าเช่นกัน “ตอนนั้นข้าก็ฝึกฝนอยู่ด้วย เห็นชัดเจนเลย”

สยงเหมิ่งพยักหน้าซื่อๆ “ข้าก็เช่นกัน”

ซ่งฟู้กุ้ยพูดด้วยความลึกลับ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร เห็นได้ชัดเลยว่าตอนที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เอาชนะโอรสสวรรค์ห้าดาวได้ก็ได้รับการประเมินจากหอคอยเทพสงครามว่าเป็นโอรสสวรรค์ห้าดาวที่แกร่งที่สุด

และหลังจากเอาชนะโอรสสวรรค์ห้าดาวคนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะหยุดพักเลย แต่ท้าประลองกับโอรสสวรรค์เจ็ดดาวทันที อีกทั้งยังเป็นในช่วงเวลาสั้นๆ หรืออาจจะในร้อยกระบวนท่าก็เอาชนะโอรสสวรรค์เจ็ดดาวคนนั้นได้แล้ว

ดังนั้นเขาถึงได้เลื่อนจากห้าดาวไปเจ็ดดาวในเวลาหลายสิบลมหายใจสั้นๆ นี่ยืนยันได้ว่าโอรสสวรรค์เจ็ดดาวอ่อนแอมากเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านปรมาจารย์สวรรค์

แต่ตอนนี้นามของท่านปรมาจารย์สวรรค์หายไปจากศิลาเทพสงคราม ในมุมมองแซ่ซ่งนะ บางทีศิลาเทพสงครามอาจจะไม่มีความสามารถพอจะพิจารณาบุตรศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ก็พรสวรรค์ของบุตรศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าเจ็ดดาว ไปถึงแปดดาวหรือสูงกว่า น่าตื่นตกใจสะท้านโลกแล้ว

บุตรศักดิ์สิทธิ์จึงได้แต่ซ่อนนามของตนไว้เพื่อรักษาเกียรติและความมั่นใจในตัวเองของอัจฉริยะธรรมดาไว้ ถ้าไม่อย่างนั้นหากเขาเผยพรสวรรค์ออกมาอย่างแท้จริง จะมีโอรสสวรรค์ต้องสิ้นหวังเท่าไร!

บางทีอาจจะทำให้โอรสสวรรค์มากมายเกิดมารในใจ ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเงามืดของเขาไปชั่วชีวิต

นี่ ก็คือความเมตตาของท่านปรมาจารย์สวรรค์!”

ซี้ด~

ซี้ดๆ~

ซี้ดๆๆ~

คำพูดของซ่งฟู้กุ้ยเหมือนกับเอาน้ำมนต์ราดศีรษะ

ไม่ทันไรเจินจื่อเจี่ย จางซานและพวกสยงเหมิ่งที่เดิมทียังไม่เข้าใจเหตุผลถึงกับตื่นตกใจ

แม้แต่ม้วนหยกในมือหลิวไท่อี่ยังเกือบหลุดจากมือ ถึงอย่างไรคำพูดของเถ้าแก่ซ่งก็น่าตกใจเกินไปจริงๆ

แต่พอพินิจพิเคราะห์ดูก็มีเหตุผลอย่างยิ่ง

ที่ซ่งฟู้กุ้ยได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของกลุ่มสวรรค์พิทักษ์เพราะมีเหตุผลจริงๆ

มองได้ลึกซึ้งและมองขาดได้ถึงขนาดนี้

ข้าหลิวไท่อี่ยังห่างชั้นนัก~!

ตอนนี้เองในที่สุดกุ้ยกงกงด้านข้างก็พูดขึ้นช้าๆ “เรื่องพวกนี้เป็นเพียงการคาดเดาของศิษย์น้องซ่ง ทุกคนแค่ฟังไว้ก็พอ ห้ามแพร่งพราย”

พรสวรรค์และศักยภาพของกุ้ยกงกงไม่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในทุกคน แต่หากวัดกันที่น้ำหนักในใจบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว แม้แต่ซ่งฟู้กุ้ยก็ยังเทียบกับกุ้ยกงกงไม่ได้

ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นคนที่ท่านปรมาจารย์สวรรค์บุตรศักดิ์สิทธิ์มองเป็นญาติพี่น้องอย่างแท้จริง แม้แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์กับศิษย์พี่ใหญ่ยังไว้หน้าเขาสามส่วน

ตอนนี้กุ้ยกงกงพูดขึ้น ทุกคนจึงรีบรับปากว่าจะปิดปากดั่งขวด ไม่บอกบุคคลที่สามอย่างแน่นอน

กุ้ยกงกงถึงได้พยักหน้าอย่างพอใจและเบนสายตาไปมองในหอคอยเทพสงคราม

นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยความมีเมตตา ห่วงใยและปลื้มใจอย่างเด่นชัด

ในเวลาสองเดือนสั้นๆ องค์ชายก็เปลี่ยนจากองค์ชายธรรมดาที่มีอุปสรรคในด้านดวงชะตากลายเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่ทำให้ทั้งดินแดนบูรพามองข้ามไม่ได้

กระทั่งตอนนี้ยังถูกสงสัยว่าเป็นโอรสสวรรค์เหนือกว่าแปดดาวอีก

พึงรู้ไว้ว่าแม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่เทพสวรรค์ฟางฉางผู้มีระดับแก่นพลังทองเก้ารอบ ยังถูกหอคอยเทพสงครามประเมินไว้เพียงโอรสสวรรค์ห้าดาว

สตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จางอวิ๋นซี ตอนนี้ระดับพลังถึงจุดสูงสุดแก่นพลังทองแปดรอบ ควบคุมอัสนีเทพกำเนิดฟ้าได้อย่างชำนาญ ก็ได้แค่โอรสสวรรค์ห้าดาวเช่นกัน

โอรสสวรรค์หกดาวที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนศิลาเทพสงครามก็เป็นบุคคลที่ไร้พ่ายในทั้งห้าดินแดน

แต่องค์ชายกลับเป็นอย่างน้อยสุดโอรสสวรรค์เจ็ดดาว กระทั่งอาจจะเป็นแปดดาว

นี่หมายความว่าอย่างไร กุ้ยกงกงย่อมรู้ดี

นี่หมายความว่าขอแค่องค์ชายฝึกฝนอย่างมั่นคงต่อไป ภายภาคหน้าแทบจะต้องเป็นบุคคลไร้พ่ายในห้าดินแดนอย่างแน่นอน

เกียรติยศนี้เจิดจรัสอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่เดิมทีกุ้ยกงกงไม่กล้าจินตนาการ

เวลานี้ กุ้ยกงกงน้ำตาคลอเบ้าแล้ว

ในที่สุดองค์ชายก็เติบใหญ่ขึ้นเป็นอัจฉริยะแล้ว

หากพระสนมหลานในแดนปรโลกรู้เข้า จะต้องยิ้มร่าไปทั่วแดนนั้นอย่างแน่นอน!

…………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+