บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอนบทที่ 460 ยอดอาวุธสูงสุด กระดานหมากฟ้าขุ่น!

Now you are reading บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน Chapter บทที่ 460 ยอดอาวุธสูงสุด กระดานหมากฟ้าขุ่น! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 460 ยอดอาวุธสูงสุด กระดานหมากฟ้าขุ่น!

เมื่อเห็นโลกจิตวิมานม่วงเปลี่ยนไป เสิ่นเทียนก็เพ่งสายตามอง

เขาพบว่ามิตินี้ไม่ใช่แค่กำลังขยายใหญ่ขึ้น แต่ยังมีพลังแห่งดาราไม่มีสิ้นสุดตกลงมาจากฟ้า สว่างจ้าสีสันหลากสี

แสงดาราส่องสว่าง ยิ่งใหญ่ยากจะคาดเดา เหมือนฝนดาวตกชะล้างฟ้าดิน

กฎเกณฑ์ที่นี่สมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การชะล้างของพลังแห่งดารา เกิดการผลัดเปลี่ยน

ชั่วครู่เดียว พลังชีวิตที่รุนแรงยิ่งแผ่มาจากกลางนภา กระจายในเส้นขอบฟ้า

พลังชีวิตผ่านที่ใด หมื่นสรรพสิ่งจะเหมือนเกิดใหม่ แตกหน่อเติบโต พลังชีวิตเอ่อล้น

….

ตอนที่เสิ่นเทียนเพิ่งทะลวงหลอมรวมเทพ โลกจิตวิมานม่วงของเขาก็แตกหน่อพลังชีวิตแล้ว

มีพืชคลุมดินเขียวขจี พืชดอกต้นไม้กำเนิดในฟ้าดิน

ภายใต้การเสริมด้วยพลังชีวิตนี้ พืชคลุมดินเขียวขจีพวกนี้เหมือนได้เสพยา เติบโตกันอย่างรวดเร็ว

ต้นไม้พลันสูงขึ้นเสียดเมฆ ขยายใหญ่ยิ่ง

พืชดอกก็ผลัดเปลี่ยนเช่นกัน แสงวิญญาณวนเวียน แสงเรืองรองปกคลุม แผ่พลังของสิ่งมีชีวิต กระทั่งยังมีส่วนหนึ่งกลายเป็นโอสถวิญญาณ กลิ่นหอมสดชื่นเข้มข้น ท่วงทำนองวิญญาณเอ่อล้น

ที่นี่กลายเป็นทะเลพืชดอก พลังชีวิตคึกคัก ต่อให้เทียบกับโลกภายนอกก็ไม่ด้อยกว่าเลย

ยังไม่ใช่แค่นั้น ในอากาศมีกลุ่มพลังงานขมุกขมัวลอยอยู่

นั่นรวมขึ้นจากพลังชีวิตและกฎเกณฑ์ฟ้าดิน และยังปะปนด้วยอากาศธาตุสลัว ตัดสลับกัน

มีแสงสว่างหมื่นจั้งพุ่งออกมาจากในกลุ่มพลังงาน สว่างจ้าแสบตาถึงที่สุด

หากตั้งใจสัมผัสจะพบว่าในนั้นมีพลังชีวิตอ่อนแอสองกลุ่มกำลังมีจังหวะการเคลื่อนไหว เหมือนจะกำเนิดสิ่งมีชีวิตขึ้น

เสิ่นเทียนสีหน้าตกใจยิ่ง ยากจะเชื่อได้

ต้องรู้ว่าในโลกจิตวิมานม่วงของเขานอกจากดรุณยักษ์เบิกฟ้าแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่น

และดรุณยักษ์เบิกฟ้าคือจิตต้นกำเนิดเสิ่นเทียน เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา ไม่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต

จังหวะการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตที่พลันปรากฏขึ้นนี้ หมายความว่าฟ้าดินแห่งนี้กำลังสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นเอง

น่ากลัวเกินไปแล้ว หรือว่าโลกจิตวิมานม่วงจะกลายเป็นโลกขึ้นมาจริงๆ

จังหวะการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตพวกนี้แม้จะเบาบางมาก แต่พวกมันกลับเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการดูดซับพลังชีวิตและปราณเบิกฟ้าได้!

ในกลุ่มพลังงานเหมือนมีทารกสองคนกำลังดูดสารอาหาร เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่านี่ต้องใช้เวลาที่ยาวนานยิ่ง

……

เมื่อเห็นภาพนี้ เสิ่นเทียนถึงกับมุมปากกระตุกขึ้นมา

คนที่ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตในตัวได้มีแต่สตรีไม่ใช่รึ

บ้าจริง ข้าเป็นบุรุษทั้งแท่ง เป็นชายแท้ๆ จะไปมีได้อย่างไร

ดีที่นี่เป็นโลกจิตวิมานม่วงไม่ใช่ในท้อง ไม่เช่นนั้นเขาคงรู้สึกตัวจะระเบิด!

แต่เสิ่นเทียนแปลกใจว่าสิ่งมีชีวิตที่ดูดซับปราณเบิกฟ้าเติบโตจะเป็นอย่างไรกันแน่

…..

จากนั้น เสิ่นเทียนก็ถูกดรุณยักษ์เบิกฟ้าดึงความสนใจไป

ดรุณยักษ์เบิกฟ้ากำลังฝึกบำเพ็ญเช่นกัน

มันเปล่งแสงทั้งตัว หงายมือหงายเท้าเงยหน้าขึ้นฟ้า เหนี่ยวนำพลังแห่งดาราฟ้าดินมารวมในกาย

พลังแห่งดาราที่สว่างจ้าที่สุดตกลงมา สว่างแสบตายิ่ง แฝงไว้ด้วยพลังงานรุนแรง

ภายในกายดรุณยักษ์เบิกฟ้ากระตุ้นพลังกลืนกินมหาศาล ดูดซับพลังแห่งดาราอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนจนเกิดพายุคลั่งไม่มีสิ้นสุดขึ้น

พลังแห่งดาราเหมือนธารวิญญาณตกลงมา ไหลเข้าไปในกายดรุณยักษ์ทั้งหมด กลิ่นอายพลังเขาแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

“อู้แว้!”

เหมือนรู้สึกว่าดูดพลังดาราเช่นนี้ช้าเกินไป ดรุณยักษ์บีบหน้าเป็นก้อน ยื่นมือใหญ่อ้วนตุ้ยนุ้ยออกมา คว้าไปบนฟ้า

ครืน!

ฟ้าดินสั่นสะเทือน กฎเกณฑ์ตกลงมา

ดวงดาราเล็กๆ ถูกดรุณยักษ์ชกแตก กลายเป็นพลังแห่งดารามหาศาลกระจายตรงขอบฟ้า

ส่วนดาราที่ใหญ่หน่อยถูกดรุณยักษ์ลากลงมา วนเวียนรอบกาย

ดาราพวกนั้นเดิมทีเปล่งแสงสว่างจ้า แสงเทพวนเวียน

ภายใต้การดูดซับของดรุณยักษ์ ไม่นานก็มืดลงไร้แสงสว่าง สุดท้ายกลายเป็นดาวตาย ระเบิดกลายเป็นเถ้าธุลี

แต่ดรุณยักษ์ยังไม่หนำใจ ออกมือลากดารามากมายเข้ามาเรื่อยๆ แสงแห่งดาราส่องสว่างจ้า

พริบตาเดียว กฎเกณฑ์รอบตัวเข้มข้นเหมือนมหาสมุทร พลังแห่งดาราเหมือนคลื่นลูกใหญ่ถาโถมออกไป

ผิวกายดรุณยักษ์เปล่งแสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอยู่กลางทะเลดารา เกิดการผลัดเปลี่ยน

รูปร่างเขากำลังเปลี่ยนไป ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากสามพันสามร้อยสามสิบสามจั้งในตอนแรก เพิ่มมาเป็นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าจั้ง

ดรุณยักษ์เบิกฟ้าในตอนนี้เหมือนกับเทพโบราณฟ้าดิน คำรามจักรวาล!

ยังไม่ใช่แค่นี้ ภายในกายดรุณยักษ์เปล่งแสงสว่างพร่างพราวยิ่งออกมา

นั่นคือถ้ำแสงต่างๆ กลายเป็นน้ำวนหมุนวนอย่างรวดเร็ว กลืนกินพลังแห่งดาราไปเรื่อยๆ ไม่นานถ้ำแสงเกิดการเปลี่ยนแปลง สว่างขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีจำนวนมากขึ้น

ถ้ำแสงทยอยกันจุดแสงสว่าง ทั้งยังเชื่อมต่อกันไม่หยุดหย่อน ทำให้พลังหลอมรวมกัน

…..

เมื่อเห็นภาพนี้ เสิ่นเทียนใจสั่นสะท้าน

เพราะถ้ำแสงที่ปรากฏในกายดรุณยักษ์ตรงกับทวารในกายเนื้อเขาพอดี

เมื่อฝึกศาสตร์หลอมกายเทพมารถึงระดับนิพพาน ภายในกายจะเกิดทวารขึ้น เปลี่ยนพลังงานเป็นพลังผ่านเทวะ

ยิ่งทวารแห่งหลอมรวมเทพมีมากเท่าไร พลังผ่านเทวะก็จะยิ่งแกร่งมากเท่านั้น

ตอนแรกเสิ่นเทียนบรรลุจุดสูงสุดระดับนิพพาน ภายในกายจุดทวารใหญ่สามร้อยหกสิบห้าทวาร

และตอนนี้ เมื่อดูดซับพลังแห่งดาราไม่มีสิ้นสุด กายแท้เทพมารของเสิ่นเทียนก็ผลัดเปลี่ยนไปเช่นกัน ทวารของเขาถูกจุดแสงขึ้นด้วยความเร็วสูงสุด

จากหลายร้อยทวารในตอนแรกเพิ่มมาเป็นพันทวาร หลายพันทวาร…

ทวารพวกนี้ยังหลอมรวมเทพไปเรื่อยๆ กำเนิดพลังผ่านเทวะ ทั้งยังเชื่อมต่อกัน ระเบิดพลังที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง

เวลานี้ จิตใจเสิ่นเทียนเงียบสงบอยู่ในนั้น ตั้งใจตระหนักรู้

……

ผ่านไปนานมาก เสิ่นเทียนตื่นจากการฝึกบำเพ็ญ

เขาเพ่งมองไป พบว่าโลกจิตวิมานม่วงขยายใหญ่ไปล้านลี้

โลกกว้างใหญ่ไร้พรมแดน มองแวบเดียวไม่เห็นสุดเขตแดน อีกทั้งพลังแห่งกฎเกณฑ์ของโลกนี้ยังสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ พลังวิญญาณมหาศาลแผ่มาจากฟ้าดิน ชะล้างท้องนภา

มองแวบแรก ก็เห็นโลกปกคลุมอยู่กลางหมอกขมุกขมัว โดยรอบขาวโพลน แผ่ท่วงทำนองวิญญาณแข็งแกร่ง

ระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณที่นี่ไม่ด้อยไปกว่าแดนผาสุกฝึกบำเพ็ญโลกภายนอกเลย

อีกทั้งหลังผ่านการชะล้างด้วยพลังแห่งดาราในช่วงนี้มา ทำให้พลังบำเพ็ญของเสิ่นเทียนพุ่งพรวดไปเช่นกัน

ศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทองของเขาทะลวงจากหลอมรวมเทพตอนต้นไปจุดสูงสุดหลอมรวมเทพ

พลังบำเพ็ญศาสตร์หลอมกายเทพมารก็ทะลวงจุดสูงสุดระดับนิพพาน ก้าวข้ามไปจุดสูงสุดผ่านเทวะ

ภายในกายเสิ่นเทียนยังจุดทวารเล็กสามพันหกร้อยห้าสิบทวาร เปล่งแสงเทพสว่างเรืองรอง

ทวารพวกนี้เหมือนถูกเส้นใยเชื่อมไว้ด้วยกัน ไหลหลากไปไม่มีหลักมั่นคง พลังผ่านเทวะมหาศาลยากจะคาดเดา

นี่คือจุดที่แข็งแกร่งของระดับผ่านเทวะ

ผู้แข็งแกร่งระดับผ่านเทวะจะหลอมรวมพลังแห่งทวารเป็นสายน้ำ รวมเป็นทะเล ไหลมารวมกัน ทลายทุกสิ่งอย่าง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากสำแดงยอดพลังวิเศษเบิกฟ้าผ่าปฐพี อานุภาพจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหลายสิบเท่า!

…..

“แย่แล้ว!”

เสิ่นเทียนเหมือนนึกอะไรได้ ใบหน้าเปลี่ยนสีไป

การทะลวงพลังสำหรับคนอื่นเป็นเรื่องดีมาก แต่สำหรับเสิ่นเทียน มันไม่ได้ดีขนาดนั้น

เพราะเขาฝึกคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าเป็นวิชาหลัก หากทะลวงพลัง ดวงชะตาจะลดลงแน่นอน

ตอนนี้เขาทะลวงจากจุดสูงสุดระดับนิพพานไปจุดสูงสุดหลอมรวมเทพ ดวงชะตาจะลดลงมาเท่าไรกัน

เสิ่นเทียนยังจำได้ดีว่าเมื่อดวงชะตาลด จะต้องเจอกับเรื่องซวย

ตอนแรกแม้แต่มหาจักรพรรดิอีกาทองยังเอาไม่อยู่ ถูกวิญญาณร้ายต่างแดนสถิตร่าง เกือบเกิดหายนะ

และมหาเคราะห์ภัยนี้มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว หากดวงชะตาลด นั่นเป็นปัญหาแล้ว

ผีเท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดเรื่องซวยอะไร

เสิ่นเทียนรีบนำคันฉ่องฟ้าดินออกมาดูวงรัศมีดวงชะตาเหนือศีรษะตน

แต่จากนั้นเขาก็อึ้งไปเล็กน้อย

เพราะเขาพบว่าดวงชะตาเขาไม่ได้ลดลง ยังคงเป็นวงรัศมีสีม่วงทองสว่างจ้า กระทั่งยังเพิ่มขึ้นนิดๆ แสงสีม่วงสว่างเข้มกว่าเดิม

“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดครั้งนี้ดวงชะตาถึงไม่ลดลงแต่เพิ่มขึ้นล่ะ”

เสิ่นเทียนเกาศีรษะ ไม่เข้าใจนิดๆ

พลังบำเพ็ญศาสตร์หลอมกายเทพมารเขาทะลวงจุดสูงสุดผ่านเทวะแล้ว เหตุใดดวงชะตาถึงไม่ลด

แต่จากนั้นเขาก็ตั้งสติได้ ตามหลักแล้ว หากทะลวงพลัง ดวงชะตาจะต้องลดลง

พอดีที่ช่วงนี้เขากับสือเทียนจื่อเข้ามาในกระดานหมากฟ้าขุ่นพร้อมกัน ได้ดวงชะตาแน่นอน

สองสิ่งจะต้องหักล้างกัน ดวงชะตาถึงไม่ลดลง อีกทั้งโชคลิขิตครั้งนี้ยังเป็นมรดกราชาเซียน ดวงชะตาสูงสุด

ดังนั้น ต่อให้ทะลวงพลังดวงชะตาลดลง แต่ก็ยังเพิ่มขึ้นส่วนน้อย

เสิ่นเทียนยกมุมปากเล็กน้อย มีความสุขในใจ

ดีที่ข้ารู้จักตนเองดี เก็บเกี่ยวกุยช่ายตลอด ไม่เช่นนั้นบางทีอาจจะกลับกลายจากคนยุโรปเป็นแอฟริกา กลับไปเป็นถ่านหินอีกครั้ง!

……

ในเมื่อดวงชะตาไม่ลดลง เสิ่นเทียนก็โล่งอก

เขากำหมัดแน่น สัมผัสพลังในกายอย่างละเอียด

เสิ่นเทียนพบว่าในกายเขาเต็มไปด้วยพลังผ่านเทวะไม่มีสิ้นสุด มากมายดั่งมหาสมุทร โหมซัดสาดกระหน่ำ

แม้แต่เสิ่นเทียนเองยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขาแกร่งเพียงใดแล้ว จากการคาดการณ์ ก็น่าจะชกหมัดเดียวสังหารมหาอริยะได้สบาย

ถ้าจริงจังหน่อย บางทีอาจจะสังหารผู้แข็งแกร่งเตรียมเซียนอาวุโสได้

เสิ่นเทียนยิ้ม ครั้งนี้ได้ผลประโยชน์มหาศาลเลย!

ไม่ใช่แค่ยกระดับพลังบำเพ็ญและพละกำลังขึ้นทั้งหมด แต่ยังมีรากฐานมั่นคงยิ่ง พร้อมฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะได้ตลอดเวลา

……

หลังจากเข้าใจศักยภาพในตอนนี้ของตนเองคร่าวๆ แล้ว เสิ่นเทียนลืมตาขึ้นช้าๆ พ่นลมหายใจสีขาวออกมา

เขาหยัดกายขึ้น พบว่าตัวแข็งทื่อนิดๆ จึงบิดเอวขี้เกียจ

ปรากฏว่าเขาได้ยินเสียงกระดูกตนดังกรุบๆ

“นี่ข้าฝึกบำเพ็ญมานานเท่าไรแล้ว”

เสิ่นเทียนสงสัยเล็กน้อย มีเพียงฝึกบำเพ็ญมายาวนานเท่านั้นถึงจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

ก่อนหน้านี้เขาอยู่ในห้วงฝึกบำเพ็ญ เข้าสู่ขอบเขตฟ้ามนุษย์รวมเป็นหนึ่ง ลืมทุกสรรพสิ่งและตนเอง

ไม่รู้สึกถึงกาลเวลาไหลเวียนในโลกภายนอกเลย ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าตนฝึกฝนไปนานเท่าไรแล้ว

เหมือนสังเกตเห็นว่าเสิ่นเทียนตื่นขึ้น ราชาเซียนฟ้าขุ่นกับเยี่ยฉิงชางจึงก้าวออกมาจากในห้วงมิติ

สองคนย่างก้าวลงมา รูปร่างองอาจ กลิ่นอายพลังยิ่งใหญ่

ราชาเซียนฟ้าขุ่นยังคงคลุมด้วยประกายเซียนดาราทั้งตัว กลิ่นอายพลังลึกล้ำไม่อาจคาดเดา

ส่วนเยี่ยฉิงชางใช้หมอกม่วงคลุมอย่างพบเห็นได้ยาก อำพรางตัวเองไว้ ทำให้คนสอดส่องไม่ได้

ราชาเซียนฟ้าขุ่นยิ้ม “ตื่นแล้วรึ”

เขาเพ่งสายตามองเสิ่นเทียนพลางอดตกใจมิได้

ราชาเซียนฟ้าขุ่นพบว่าเสิ่นเทียนปิดด่านบำเพ็ญในช่วงนี้มา เหมือนจะต่างไปจากเดิม

กลิ่นอายพลังเขาขมุกขมัวขึ้น หุบซ่อนตัว แต่กลับรู้สึกถึงพลังเทพไม่มีสิ้นสุดลับๆ

ราชาเซียนฟ้าขุ่นร้องอุทานในใจ เจ้าหนูนี่มีทักษะการตระหนักรู้บ้าจริงๆ ได้ผลประโยชน์มากมายในเวลาอันสั้นขนาดนี้ สมกับเป็นคนที่ท่านผู้นั้นให้ความสำคัญ!

เสิ่นเทียนป้องมือแสดงความเคารพ “ผู้อาวุโสฟ้าขุ่น ข้าฝึกมานานเท่าไรแล้ว”

ราชาเซียนฟ้าขุ่นตอบกลับ “ไม่นานเท่าไร แค่ร้อยแปดสิบปี!”

“อะไรนะ ร้อยแปดสิบปี”

เสิ่นเทียนเบิกตาโต ใบหน้าแข็งค้าง

พึงรู้ไว้ว่าตั้งแต่เขาเริ่มฝึกบำเพ็ญจนทะลวงหลอมรวมเทพ ใช้เวลาไปสองสามปีเท่านั้น

ปิดด่านบำเพ็ญครั้งนี้ ไปร้อยแปดสิบปีเลยรึ

ถ้าอย่างนั้นโลกสะพานเชื่อมฟ้าก็ปิดไปแล้วสิ

นี่เท่ากับว่าข้าเสียพี่น้องกุยช่ายที่น่ารักของข้าและโชคลิขิตมากมายไปอย่างนั้นหรือ

ว๊าก! จะเป็นบ้าแล้ว!

เสิ่นเทียนอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ครั้งนี้ขาดทุนยับ!

“ผู้อาวุโส เหตุใดท่านไม่เตือนข้าหน่อย”

เสิ่นเทียนมีสีหน้าคับแค้นใจ ต่อให้คนตรงหน้าเป็นราชาเซียน เขาก็อดบ่นมิได้

นี่ไม่ใช่แค่ร้อยแปดสิบปี สำหรับเสิ่นเทียน มันคือโชคลิขิตและดวงชะตามากมายนับไม่ถ้วน!

ปรากฏว่าปิดด่านบำเพ็ญครั้งเดียว พลาดไปหมดเลยหรือ!

เยี่ยฉิงชางได้ยินดังนั้นก็ขนหัวลุก

บรรพบุรุษน้อยของข้า เจ้าจะใจกล้าไปหน่อยกระมัง!

นี่คือราชาเซียน เป็นการคงอยู่สุดยอดสูงสุดนะ

ข้ายังสู้เขาไม่ได้ แล้วเจ้ายังกล้าบ่นอีกรึ

……

ราชาเซียนฟ้าขุ่นไม่สนใจ แต่อึ้งไปเล็กน้อย

เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเสิ่นเทียนถึงโต้ตอบรุนแรงขนาดนี้ “ก็แค่ร้อยแปดสิบปี มีอะไรน่าตื่นตูมกัน ข้าแค่สัปหงกก็ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว!”

ราชาเซียนฟ้าขุ่นไม่ใส่ใจเลย เขาเป็นยอดฝีมืออาวุโสที่อยู่มาไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ว

กับอีแค่ร้อยแปดสิบปี อยู่ตรงหน้าเขาไม่มีค่าให้เอ่ยถึงเลย

เสิ่นเทียนร้องโอดครวญ “ร้อยแปดสิบปีเลยนะ! พลาดมหาโชคลิขิตไปตั้งเท่าไร และยังเป็นช่วงที่โลกสะพานเชื่อมฟ้าเปิดอีก ขาดทุนเลือดสาด! ขาดทุนเลือดสาด!”

ราชาเซียนฟ้าขุ่นโบกมือแล้วเอ่ยนิ่งๆ “ก็แค่โชคลิขิตเล็กน้อยไม่ใช่รึ มันจะอะไรกันนักหนา เจ้าได้มรดกของข้า นั่นคือมหาโชคลิขิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสะพานแล้ว!”

กระดานหมากฟ้าขุ่นเป็นแดนโชคลิขิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสะพาน ยังมีโชคลิขิตใดเทียบได้กับมรดกของราชาเซียนอีก

เจ้าหนูนี่อยู่ในโชคแต่ไม่รู้จักโชค ทั้งยังบ่นอีกรึ

เสิ่นเทียนมองค้อน แอบแขวะในใจ

ข้าไม่ได้สนใจโชคลิขิตพวกนั้น แต่สนใจดวงชะตาพวกนั้นต่างหาก!

เสียเวลาไปหลายปี ข้าพลาดโอกาสเกาะโชคลิขิตของพี่น้องกุยช่ายไปตั้งเท่าไร!

พวกเขาจะลืมข้าหรือไม่ จากนี้ไม่ให้ข้าเกาะแล้วจะทำอย่างไร

ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ ยิ่งคิดยิ่งโมโห

…..

เมื่อเห็นเสิ่นเทียนทำหน้าโกรธ ราชาเซียนฟ้าขุ่นก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนิดๆ

เขามีใจอยากผูกมิตรกับเสิ่นเทียน ไม่เช่นนั้นคงไม่จ่ายหนักย้ายหมู่ดาวมา

หากตอนนี้ทำให้เสิ่นเทียนโกรธ รู้สึกดีกับเขาน้อยลง เช่นนั้นที่ทำมาก่อนหน้านี้จะสูญเปล่าหรือไม่

ไม่ได้การ ต้องหาทางทำให้เจ้าหนูนี่พอใจ

เมื่อคิดได้ดังนั้น ราชาเซียนฟ้าขุ่นก็พูดอย่างผึ่งผาย “ไม่ต้องโมโหไป แค่โชคลิขิตเล็กน้อยจะไปพออุดฟันได้อย่างไร ข้าจะชดใช้ให้เจ้าเอง”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็นำกระดานหมากขนาดเล็กออกมา โยนให้เสิ่นเทียน

“นี่คืออะไร”

เสิ่นเทียนเกาศีรษะ ทำหน้ามึนงง

ข้าจะเอากระดานหมากไปทำอะไร ไปเล่นหมากกับคนอื่นรึ

ราชาเซียนฟ้าขุ่นเหมือนเดาความคิดในใจเสิ่นเทียนได้ เขามุมปากกระตุกขึ้นมา “นี่ไม่ใช่กระดานหมากธรรมดา สิ่งนี้คือสมบัติสุดยอดมรดกของข้า กระดานหมากฟ้าขุ่น! กระดานหมากฟ้าขุ่น ก็วางรากฐานตามสิ่งนี้”

เสิ่นเทียนตกใจเล็กน้อย เขารู้ถึงความแกร่งของกระดานหมากฟ้าขุ่น แม้แต่มหาอริยะยังแก้ไม่ได้

นี่ยังเป็นเพราะกระดานหมากฟ้าขุ่นอยู่ในโลกสะพานเชื่อมฟ้า มีเพียงผู้บำเพ็ญอายุต่ำกว่าสามพันปีที่เข้ามาได้ หากกระดานหมากฟ้าขุ่นไปอยู่ข้างนอก ต่อให้เป็นมหาจักรพรรดิก็ยังแก้ไม่ได้

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นอาวุธวิเศษของราชาเซียนฟ้าขุ่น เป็นของสุดยอด

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนก็เลิกคิ้วขึ้น “ผู้อาวุโสราชาเซียน กระดานหมากฟ้าขุ่นนี่เป็นสมบัติระดับใด”

มรดกของราชาเซียนฟ้าขุ่น จะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน!

ราชาเซียนฟ้าขุ่นยิ้มเล็กน้อย “ไม่ด้อยไปกว่าหอคอยเทพสงครามในสภาพสมบูรณ์”

เสิ่นเทียนได้ยินเช่นนั้นก็ใจสั่นสะท้าน

แม้เขาจะไม่รู้ว่าหอคอยเทพสงครามอยู่ระดับใดกันแน่ แต่ก็รู้ถึงอานุภาพน่ากลัวของมัน

เล่าลือว่าหอคอยเทพสงครามในสภาพทรุดโทรมก็เคยสังหารเซียนแท้จริงมาแล้ว

แค่คิดก็รู้ได้ว่าหอคอยเทพสงครามในสภาพสมบูรณ์จะแกร่งเพียงใด

กระดานหมากฟ้าขุ่นไม่ด้อยไปกว่าหอคอยเทพสงคราม นั่นคือยอดอาวุธสูงสุดแน่นอน

…..

ด้านข้าง เยี่ยฉิงชางได้ยินว่าราชาเซียนฟ้าขุ่นจะมอบกระดานหมากฟ้าขุ่นให้เสิ่นเทียนก็ใจสั่นไหวอย่างรุนแรง

เสิ่นเทียนไม่รู้ว่ากระดานหมากฟ้าขุ่นล้ำค่าเพียงใด…แต่เขาจะไม่รู้ได้หรือ

เยี่ยฉิงชางแบะปาก “เจ้าหนูนี่ยังไม่ขอบคุณท่านราชาเซียนฟ้าขุ่นอีก แค่ตัวหมากตัวเดียวในนี้ ก็บดขยี้อาวุธเซียนธรรมดาแหลกเป็นผุยผงได้ง่ายดาย หากฝึกคัมภีร์มรรคครอบฟ้าถึงระดับสูงพอ กระดานหมากฟ้าขุ่นจะแสดงอานุภาพได้แกร่งกว่าเดิม

กระดานหมากฟ้าขุ่นจำแลงเป็นค่ายกลพันธนาการและค่ายกลสังหารปราบศัตรูได้ และยังเป็นโล่และเกราะที่แกร่งที่สุดได้

ในกระดานหมากมีตัวหมากสามหมื่นหกพันตัว ทุกตัวกลายเป็นกระบี่บินและสมบัติวิเศษที่แกร่งที่สุดสังหารศัตรูได้ สำแดงกระบี่มารผนึกดารา ตัวหมากสามหมื่นหกพันตัวจะเหมือนดาวตก กลายเป็นปราณกระบี่ไม่มีสิ้นสุดสังหารศัตรู ทำลายได้ทุกวิชาในโลก

แน่นอน กระดานหมากฟ้าขุ่นจะแกร่งที่สุดคือต้องใช้คู่กับตัวหมากฟ้าขุ่น สามารถวางยอดค่ายกลดาราครอบฟ้าสมบูรณ์ได้ด้วยตัวคนเดียว เหนี่ยวนำพลังแห่งดาราต่างแดนไร้พรมแดน สร้างเป็นค่ายกลสังหารที่น่ากลัวที่สุดในโลก

แต่การจะทำเช่นนี้ได้อันดับแรกต้องมีความชำนาญในยอดค่ายกลดาราครอบฟ้าถึงระดับสูงสุดก่อน ต่อมาต้องมีพลังฤทธิ์ไร้ขีดจำกัด ไม่เช่นนั้นจะไม่อาจแบกรับการจ่ายพลังมากขนาดนี้ได้”

……

กระดานหมากฟ้าขุ่นปรากฏขึ้นในโลกเซียนครั้งแรกก็สังหารจนมีชื่อเสียง ทำให้คนมากมายได้ยินข่าวแล้วต้องขวัญหนีดีฝ่อ

ราชาเซียนฟ้าขุ่นยินดีมอบกระดานหมากฟ้าขุ่นให้เสิ่นเทียน จะเห็นได้ว่าจ่ายไปมากเพียงใด!

กล่าวได้ว่าแม้แต่เยี่ยฉิงชางยังตกใจกับการกระทำอันยิ่งใหญ่เช่นนี้

ใบหน้าเสิ่นเทียนเต็มไปด้วยความสงสัย “ของสิ่งนี้ร้ายกาจขนาดนั้นเลยรึ”

คำพูดของเยี่ยฉิงชางทำให้เสิ่นเทียนตาลุกวาว ตื่นเต้นอยากจะลอง

เขานำตัวหมากฟ้าขุ่นออกมาตัวหนึ่ง ก่อนนำอาวุธอริยะแท้ระดับสูงสุดออกมาอีกชิ้น

จากนั้นเสิ่นเทียนกระตุ้นพลังฤทธิ์ เคลื่อนตัวหมากฟ้าขุ่นให้กระแทกใส่อาวุธอริยะแท้ระดับสูงสุด

บึ้ม!

เกิดเสียงดังสนั่น!

อาวุธอริยะแท้ระดับสูงสุดระเบิดกลายเป็นผุยผง หายไปในฟ้าดิน

เสิ่นเทียนหนังตากระตุก ถึงกับร้องตกใจ “สุดยอดจริงๆ!”

อาวุธอริยะแท้ระดับสูงสุดอยู่ต่อหน้าตัวหมากฟ้าขุ่นยังรับการโจมตีเดียวไม่ไหว!

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนพลันเปลี่ยนท่าทีไป เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณผู้อาวุโสฟ้าขุ่นมาก!”

แม้เขาจะเสียเวลาไปร้อยแปดสิบปี พลาดโชคลิขิตไปไม่น้อย

แต่ได้คัมภีร์มรรคครอบฟ้ากับกระดานหมากฟ้าขุ่นมา คิดอย่างไรก็ถือว่าไม่ขาดทุน

ถึงอย่างไรแค่คัมภีร์มรรคครอบฟ้าก็ทดแทนได้เท่ากับคัมภีร์จักรพรรดิมากกว่าสิบส่วน และกระดานหมากฟ้าขุ่นยังล้ำค่าไม่อาจกล่าวได้

มูลค่าของมันอยู่เหนืออาวุธจักรพรรดิ

สรุป ครั้งนี้ไม่ขาดทุนเลย!

……

เมื่อเห็นเสิ่นเทียนเปลี่ยนท่าทีไปโดยพลัน ราชาเซียนฟ้าขุ่นก็ส่ายหน้ายิ้มแห้งๆ

เจ้าหนูนี่เปลี่ยนหน้าได้เร็วเหมือนกับการแสดงกลเลยจริงๆ

แต่ราชาเซียนฟ้าขุ่นไม่สนใจเลย

ในเมื่อเขาตัดสินใจจะผูกมิตรกับเสิ่นเทียน ยิ่งต้องมีน้ำใจมากขึ้นกว่าเดิมไม่ใช่รึ

ถึงอย่างไรเจ้าหนูนี่ก็เกี่ยวข้องกับท่านผู้นั้น หากข้าสร้างเหตุและผลขึ้นจากสิ่งนี้ได้ นั่นจะเท่ากับว่า…

อืม พูดไม่ได้ พูดไม่ได้~!

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด