ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 600 หลวงจีนกวาดลานแห่งเส้าหลิน

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 600 หลวงจีนกวาดลานแห่งเส้าหลิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 600 หลวงจีนกวาดลานแห่งเส้าหลิน

การมอบของขวัญ ที่จริงแล้วคือวิชาความรู้แขนงหนึ่งเช่นกัน อีกทั้งเมื่อเป้าหมายต่างกัน ความพิถีพิถันของการมอบของขวัญก็ต่างกันมากด้วย

คำตอบที่ดีที่สุดของมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ก็คือตราบใดที่เงินถึงก็เพียงพอแล้ว ก็เหมือนกับนักเขียนคนนี้ ขอเพียงท่านสนับสนุนลิขสิทธ์แท้ เขาก็พอใจมากแล้ว หากยังเติมเงินซื้อตั๋วอ่านขั้นพื้นฐานและให้รางวัลด้วย ก็จะทำให้คุณนักเขียนผู้ไม่เคยเห็นโลกกว้างซาบซึ้งใมากแล้ว

แต่หากระดับของใครคนหนึ่งสูงมากพอ เช่นนั้นตอนที่เขามอบของขวัญ การส่งของขวัญโดยคัดเลือกมูลค่าแม้จะไม่ใช่เรื่องผิด แต่กลับไม่อาจทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้

พูดจา ก็ต้องพูดให้ถึงใจคนฟัง

มอบของขวัญ ก็ต้องมอบให้ถึงใจผู้รับ!

มีแต่การทำเช่นนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้ของขวัญที่เดิมทีธรรมดา กลายเป็นการมอบของขวัญที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้

ซึ่งผู้แข็งแกร่งอย่างจางซานเฟิง เขาย่อมไม่ขาดแคลนของขวัญธรรมดาสามัญอยู่แล้ว ดังนั้นของที่ค่อนข้างธรรมดาอย่างสมบัติเงินทอง เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าเก็บไว้ดูหมิ่นตนเองดีกว่า

ของขวัญที่มอบให้จางซานเฟิง ต้องเลือกที่ราคาถูกหน่อย…แค่กๆ ต้องเป็นของที่มีคุณค่าและความหมายมากกว่าเงินทอง สิ่งที่มิอาจใช้เงินทองประเมินค่าได้

ซึ่งของขวัญที่มีการแบ่งแยกระดับประเภทนั้น ถึงจะคู่ควรกับฐานะเทพเซียนเดินดินอย่างจางซานเฟิง!

ใช่แล้ว เป็นอย่างนั้น!

ดังนั้นหากจะลงมือจากระดับทางจิตวิญญาณ ของอะไรกันที่จางซานน่าจะเฟิงชอบ

ตำราลับทักษะยุทธ์ อาวุธเทพ?

หากมีของเช่นนั้นอยู่จริง ตนเก็บไว้เองไม่ดีกว่าหรอกหรือ

คัมภีร์เต๋า?

เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่มีเหมือนกัน! ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ตอนนี้เลเวล ‘กฎเต๋า’ ของเขายังไม่ถึงระดับสมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ!

ดังนั้น ของขวัญสำหรับงานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้จะต้องผ่านทั้งหมดสามมาตรฐาน

มาตรฐานที่หนึ่ง จางซานเฟิงต้องชอบ ยิ่งชอบมากเท่าไรก็ยิ่งดี

มาตรฐานที่สอง ต้องเป็นของที่ไม่สำคัญกับเยี่ยเว่ยหมิง เช่นนี้มอบให้แล้วจะได้ไม่ปวดใจ!

มาตรฐานที่สาม ต้องได้มาอย่างง่าย ทางที่ดีอย่าให้เปลืองแรงมากเกินไป

อย่างไรเสีย ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงสิบวันก็จะถึงงานเลี้ยงวันเกิดของจางซานเฟิงแล้ว

เพียงแต่เป็นเช่นนี้ก็ดีมากแแล้ว หากเทียบกับงานที่เหมาจัดสามวันสิบคืนถือว่าสบายกว่าเยอะ

กลับเข้าประเด็นหลัก ต้องการเติมเต็มสามจุดเด่นนี้ เช่นนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือลงมือจากทางด้านความรู้สึก เพราะมีเพียงของที่มีความหมายพิเศษต่อใครบางคนเท่านั้น ถึงจะเติมเต็มเงื่อนไขสามข้อข้างต้นได้ง่ายขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นของขวัญแทนใจของรักแรก ถ้าอยู่ในมือของเขาเอง จะต้องเป็นของที่เก็บรักษาอย่างรู้คุณค่าไปทั้งชีวิตแน่นอน แต่ถ้าตกอยู่ในมือของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง เกรงว่าคงถูกเลือกอยู่ตรงหน้าตะกร้าแยกขยะแล้ว

เช่นนั้นสิ่งใดกันที่มีพันธนาการทางความรู้สึกต่อจางซานเฟิง

กัวเซียง?

พอเอ่ยถึงความรู้สึกของจางซานเฟิง นี่คือท่านแรกที่คนมากมายนึกถึง ในภายหลังมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เยี่ยเว่ยหมิงคุยกับเจ้าอ้วนชนะฟ้า ก็แน่ใจแล้วว่าฐานะที่แท้จริงของเขาก็คือจอมตื๊อไร้เทียมทานอีกคนหนึ่งของกัวเซียง

แต่หลังจากพิจารณาคร่าวๆ แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ละทิ้งความคิดนี้อย่างไม่ลังเล

ประการแรกเป็นเพราะตัวกัวเซียงเองไม่ใช่บุคคลต่ำต้อยไร้ชื่อเสียง ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ผู้บุกเบิกสำนักเอ๋อเหมย สิ่งที่เกี่ยวข้องกับนางไม่เพียงแค่มีแรงดึงดูดต่อจางซานเฟิงเท่านั้น แต่มีความหมายที่พิเศษมากสำหรับสำนักเอ๋อเหมยเช่นกัน ไม่มีทางหาได้จากบนเขาเอ๋อเหมยแน่

แต่นอกจากเอ๋อเหมยแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็คิดไม่ออกว่ามีสถานที่ใดที่จะทำให้เจอของที่เกี่ยวข้องกับกัวเซียง

สิ่งนี้ขัดกับเงื่อนไขข้อสามที่กล่าวมาข้างต้น ตัดออก!

ยิ่งไปกว่านั้น ความรักระหว่างชายหญิงแม้จะลึกซึ้งจนสลักไว้บนกระดูกและหัวใจ แต่ในโลกที่ต้องคอยหลบภัยโดยมีฉากหลังยุทธภพ กลับถูกจัดให้เป็นหัวข้อที่ทุกคนต้องหลีกเลี่ยง เป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องปกป้อง

ถึงขั้นที่นอกจากแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับเดิมอย่างอินปู้คุยกับเจ้าอ้วนชนะฟ้าแล้ว แม้แต่เจ็ดศิษย์ของจางซานเฟิงก็อาจะไม่รู้เสมอไปว่าอาจารย์ของเขามีความรักที่แท้จริงต่อกัวเซียง

หากเยี่ยเว่ยหมิงนำของที่กัวเซียงเคยใช้มาที่งานเลี้ยงวันเกิดใช่ว่าจะได้ผลดีเสมอไป กลับจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดจนหาทางลงไม่เจอด้วยซ้ำ

หากเลิกพิจารณากัวเซียง เช่นนั้นยังมีคน เรื่องราวหรือวัตถุใดที่มีค่าต่อจางซานเฟิงที่สุด

ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงปัญหานี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็มาถึงจุดพักม้าของเมืองหลวงโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นในหัวก็เกิดแสงสว่างทางปัญญา จึงจ่ายเงินแล้วพูดกับคนขับรถม้าว่า “ไปวัดเส้าหลิน”

คนขับรถม้ารับเงินแล้วถามว่า “ที่เขาซงซานหรือผู่เถียน”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วงงไปชั่วขณะ ตอนนี้เพิ่งนึกออกว่าวัดเส้าหลินแบ่งเป็นฝั่งใต้กับฝั่งเหนือ จึงตอบไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ซงซาน”

……

วัดเส้าหลินเป็นสถานที่ต้นกำเนิดศาสนาพุทธนิกายฌานหรือนิกายเซนและวิทยายุทธ์เส้าหลิน ตามท้องตลาดถึงขั้นมีคำกล่าวที่ว่า ‘วิทยายุทธ์ใต้หล้าล้วนมีต้นกำเนิดกำเนิดจากเส้าหลิน’

แต่หลักการเช่นนี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้เพราะยุคสมัยผ่านมานานมากแล้ว แต่ในฉากหลังที่กำหนดไว้ของ ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ แต่วิทยายุทธ์เก่าแก่กว่าการมีอยู่ของวัดเส้าหลินแน่นอน

สำหรับจุดนี้ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ที่เยี่ยเว่ยหมิงฝึกก็เป็นหลักฐานที่มีพลังมาก

อิงตามที่อินปู้คุยกับเจ้าอ้วนชนะฟ้าบรรยาย เส้าหลินเป็นที่เคารพนับถือของยุทธภพราวกับดาวเหนือของไท่ซาน ตามต้นฉบับเดิมหากอยากจะเข้าที่นี่ก็เป็นเรื่องยุ่งยากมาก ต่อให้เป็นผู้แสวงบุญแต่ก็ต้องมีหลวงจีนบริการนำทาง

อย่างไรเสียในโลกของจอมยุทธ์ ผู้แสวงบุญที่เดินทางไกลเป็นพันลี้มาไหว้พระที่วัดเส้าหลินก็มีไม่มาก หลวงจีนบริการรับมือไหวอยู่แล้ว 艾琳小說

แต่เมื่ออยู่ในเกมก็ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นแล้ว ทุกอย่างเน้นความสะดวกของผู้เล่นเป็นหลัก

ดังนั้นนอกจากหอเก็บคัมภีร์ ลานต้าหมัวและเขตพิเศษอีกไม่กี่แห่งที่ถูกจัดให้เป็นสถานที่ต้องห้ามที่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามา สถานที่อื่นก็เข้าออกได้ตามใจชอบทั้งหมด

อย่าว่าแต่ลูกศิษย์เส้าหลินและผู้เล่นทั่วไปเลย ต่อให้เป็นผู้เล่นจากสำนักฝ่ายมารอย่างพรรคจรัสและพรรคสุริยันจันทราก็เข้าออกได้อย่างอิสระเช่นกัน ไม่มีใครสนใจสักนิด

แต่วันนี้เยี่ยเว่ยหมิงมาพร้อมจุดประสงค์ที่ชัดเจน ย่อมไม่มีอารมณ์มาเดินเล่นอยู่ในวัดนานอยู่แล้ว

หลังจากเข้าประตูวัด เขาก็เดินตามทางที่หลิวอวิ๋นและนำไว้ก่อนหน้านี้โดยตรง กระทั่งเจอหลวงจีนบริการที่เข้าเวรทำงานวันนี้ตรงนอกมหาวีระวิหาร “นมัสการเณรน้อย ผู้น้อยศิษย์สำนักมือปราบเทพเยี่ยเว่ยหมิง ที่มาวันนี้เพราะต้องการขอพบไต้ซือเสวียนฉือ เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน หวังว่าเณรน้อยช่วยไปรายงานให้หน่อย”

ในเมื่อมีงานสำคัญให้จัดการ เยี่ยเว่ยหมิงก็พูดจาสุภาพและเกรงใจมาก แต่กลับนึกไม่ถึงว่าหลวงจีนบริการท่านนั้นจะพูดจาสุภาพยิ่งกว่า

“ที่แท้ก็เป็นขุนนางปราชญ์จอมยุทธ์ ฉายาคนกระบี่ (พ้องเสียงกับ คนจัญไร) เยี่ยเว่ยหมิง!”

พอได้ยินชื่อของเยี่ยเว่ยหมิง หลวงจีนบริการที่ดูค่อนข้างเหมือนเด็กอ้วนก็กระปรี้กระเปร่าทันที ตื่นเต้นราวกับแฟนคลับเจอไอดอล “โยมคนกระบี่รอสักครู่ อาตมาจะไปแจ้งเจ้าอาวาสเดี๋ยวนี้!”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางตื่นเต้นราวกับคนบ้าดารา เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวแล้ว

ไม่ใช่เพราะท่าทีของอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะสงสัยว่าคำว่า ‘คนกระบี่’ จากปากเจ้ามีกี่ความหมายกันแน่

แต่ก็ช่วยไม่ได้ เขาเองก็ดูออกเช่นกันว่าอีกฝ่ายเรียกเช่นนี้เพราะเคารพเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี กอปรกับครั้งนี้เขาไม่ได้มาถล่มวัดเส้าหลิน อีกฝ่ายย่อมไม่เป็นฝ่ายหาเรื่องแตกคอกันก่อนอยู่แล้ว

ทำได้เพียงยิ้มอย่างร่าเริง แต่ในใจ…

แม้ในใจจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็แสดงอานุภาพของชื่อเสียงบารมีออกมาทันที

หลังหลวงจีนบริการที่หน้าเหมือนเด็กอ้วนท่านนั้นทำความเคารพเขาตามธรรมเนียมพุทธอีกครั้งก็แสดงวิชาตัวเบาหายไปจากตรงหน้าของเขาทันที จากนั้นผ่านไปไม่กี่อึดใจก็ ‘ฟิ้ว’ ใช้วิชาตัวเบาวิ่งกลับมาอีกครั้ง ดูจากลมหายใจที่เปลี่ยนเป็นถี่กระชั้นขึ้นก็รู้แล้วว่าขั้นตอนการใช้วิชาตัวเบาวิ่งไปกลับหนึ่งเที่ยวล้วนอาศัยการปะทุกำลัง

หลวงจีนบริการที่กลับมาที่เดิมอีกครั้งทำความเคารพเยี่ยเว่ยหมิงตามวิถีพุทธอีกครั้ง จากนั้นเอ่ยว่า “โยมเยี่ย เจ้าอาวาสเชิญ ตามอาตมามา”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายทุ่มเทช่วยตนขนาดนี้ ความไม่พอใจอันน้อยนิดที่เดิมทีอยู่ในใจเยี่ยเว่ยหมิงก็สลายหายไปราวกับเมฆ เขาเดินตามหลวงจีนบริการไปทางด้านหลังของมหาวิหาร

ในห้องสมาธิห้องหนึ่งของลานด้านข้างหลังมหาวีระวิหาร ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็เห็นเสวียนฉือ เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินผู้สีหน้าอ่อนโยนมีเมตตาแล้ว

ในฐานะผู้อาวุโสของยุทธภพ เขาจึงก้าวขึ้นมาข้างหน้าและกุมหมัดทักทายก่อน ส่วนเสวียนฉือก็ทักทายกลับพร้อมรอยยิ้มบางๆ “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยมาเส้าหลินครั้งนี้ ไม่ทราบว่ามีธุระใด”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วเก็บสีหน้าอ่อนโยนที่เคยมีทันที เปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าโศกและเงียบขรึม สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันของเขาทำให้เสวียนฉือรู้สึกแปลกเล็กน้อย ยังนึกว่าตนเองพูดประโยคนั้นผิดไปหรือเปล่า

แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นเยี่ยเว่ยหมิงหยิบของสองชิ้นออกจากกระเป๋าพร้อมบอกว่า “ตอนที่ผู้อาวุโสไปทำธุระที่ต้าหลี่ บังเอิญเจอไต้ซือเสวียนเปยถูกคนชั่วทำร้ายพอดี ผู้น้อยได้รับการไหว้วานจากองค์ชายฝั่งใต้แห่งต้าหลี่ ต้วนเจิ้งฉุนให้นำเถ้ากระดูกและสารีริกธาตุของไต้ซือเสวียนเปยกลับมาส่งที่เส้าหลิน”

“หา!”

พอได้ยินพูดของเยี่ยเว่ยหมิง เสวียนฉือก็ตกใจมากทันที “ศิษย์น้องเสวียนเปยมรณภาพแล้วหรือ”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เล่าเรื่องราวที่รู้มาจากปาก NPC ให้เสวียนฉือฟัง อีกฝ่ายได้ยินแล้วประนมมือ หลับตากล่าวนามพระพุทธองค์แล้วยื่นมือรับของสองสิ่งจากมือเยี่ยเว่ยหมิง

แต่กลับพบว่าเยี่ยเว่ยหมิงเพียงถือไหบรรจุเถ้ากระดูกและกล่องผ้าแพรที่ใส่สารีริกธาตุไว้ในมือ ไม่ได้มีท่าทีว่าจะคืนให้

เสวียนฉือเห็นเหตุการณ์แล้วขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันรอให้เขาพูดอะไร กลับได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยอีกครั้งว่า “ที่จริงที่ผู้น้อยมาวันนี้ นอกจากคืนเถ้ากระดูกกับสารีริกธาตุของไต้ซือเสวียนเปยแล้ว ยังมีอีกเรื่องจะขอร้อง หวังว่าไต้ซือฟางจั้งจะตอบรับ”

“อ้อ” พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเจรจาเงื่อนไข สีหน้าของเสวียนฉือกลับสงบลงทันที เขาถามอย่างยากเดาอารมณ์ “ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์น้อยเยี่ยมีธุระเรื่องใด”

เมื่อเห็นว่าปูเรื่องไปพอสมควรแล้ว ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็เอ่ยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนเอง “ผู้น้อยจะขอคัมภีร์เล่มหนึ่งจากเส้าหลิน มีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือต้องเป็นคัมภีร์ที่มีลายมือของเจวี๋ยหยวนไต้ซือแห่งหอเก็บคัมภีร์”

เสวียนฉือได้ยินแล้วหลุดหัวเราะ “ที่จอมยุทธ์น้อยเยี่ยจะมาขอ คงไม่ใช่ ‘ลังกาวตารสูตร’ หรอกกระมัง”

ในเมื่อเนื้อเรื่องของ ‘บันทึกกระบี่อิงฟ้าดาบฆ่ามังกร’ ดำเนินมาจนถึงช่วงงานเลี้ยงวันเกิดแล้ว เช่นนั้นเรื่องที่ ‘คัมภีร์เก้าเอี๊ยง’ ซ่อนอยู่ใน ‘ลังกาวตารสูตร’ ก็น่าจะไม่ใช่ความลับอะไร เสวียนฉือรู้จุดนี้ดี และไม่ได้สงสัยว่าเยี่ยเว่ยหมิงกำลังวางแผนเอา ‘คัมภีร์เก้าเอี๊ยง’ นี่คือการคาดเดาที่สมเหตุสมผลเช่นกัน

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วยืนยันอีกครั้ง “ผู้น้อยบอกไปแล้ว สิ่งที่ต้องการมีเพียงลายมือของเจวี๋ยหยวนไต้ซือ ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์พุทธฉบับสำเนา หรือจะเป็นตระหนักรู้วิชาพุทธที่เรียบเรียงแล้ว บันทึก หรือตำราตระหนักรู้ก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงมาจากมือของเจวี๋ยหยวนไต้ซือ ต่อให้เป็นสมุดบัญชีเล่มเดียวก็ยังได้”

หลังจากชะงักเล็กน้อย เขาก็กล่าวเสริมอีกว่า “หากไต้ซือเสวียนฉือสงสัยว่าผู้น้อยมีจุดประสงค์อื่น ก็สุ่มเลือกมาสักเล่มได้เลย แล้วหาเส้าหลินอาวุโสสักสองสามท่านมาร่วมตรวจสอบ หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีข้อความส่วนตัวปะปน ค่อยมอบให้ผู้น้อยก็ได้”

เสวียนฉือมองเยี่ยเว่ยหมิงปราดหนึ่ง แล้วพลันหยักยิ้มมุมปาก “คาดว่าจอมยุทธ์น้อยเยี่ยคงเตรียมจะเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบร้อยปีของนักพรตจางที่สำนักอู่ตังสินะ”

เยี่ยเว่ยหมิงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “การนำเถ้ากระดูกและสารีริกธาตุของของไต้ซือเสวียนเปยกลับเส้าหลินก็ถือเป็นบุญอย่างหนึ่ง”

“ก็ได้!” เสวียนฉือไม่ต่อรองกับเยี่ยเว่ยหมิงอีก ที่จริงเงื่อนไขที่เยี่ยเว่ยหมิงเสนอมาก็ไม่ได้สูงเกินไป กลับง่ายมากด้วยซ้ำ ไม่มีช่องว่างอะไรให้ต่อรองทั้งนั้น

เขาจึงหันตัวเดินไปหน้าโต๊ะหนังสือ หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนข้อความแผ่นหนึ่งส่งให้เยี่ยเว่ยหมิงทันที “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยนำกระดาษแผ่นที่ไปที่ชั้นหนึ่งของหอเก็บคัมภีร์แล้วเลือกคัมภีร์ได้เลย เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว จะมีหลวงจีนผู้ดูแลมาแนะนำเองว่าจอมยุทธ์น้อยควรเลือกอย่างไร”

เรียบร้อยแล้ว!

หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงรับกระดาษแผ่นนี้มา ก็กุมหมัดคารวะกล่าวอำลาเสวียนฉือ จากนั้นมุ่งตรงไปที่หอเก็บคัมภีร์

หอเก็บคัมภีร์ของเส้าหลิน กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ชาวยุทธ์ใฝ่หามากที่สุด ในนั้นเก็บตำราลับทักษะยุทธ์ไว้จำนวนมากรวมถึงเจ็ดสิบสองสุดยอดทักษะด้วยกัน ด้านการรักษาความปลอดภัยย่อมจัดการได้อย่างดีที่สุด

อย่าคิดว่าจะเหมือนต้นฉบับเดิมที่เซียวหยวนซานกับมู่หรงปั๋วคิดจะมาเมื่อไรก็มาได้ อยากจะหยิบฉวยไปก็หยิบได้ เพราะหากผู้เล่นกล้าเลียนแบบพฤติกรรมก่อกวนของพวกเขาสองคน รับรองว่าจะมีคนใช้การกระทำจริงบอกเจ้าแน่นอนว่าทักษะยุทธ์ในใต้หล้ามาจากเส้าหลินหมายความว่าอย่างไร!

เยี่ยเว่ยหมิงแม้ในมือจะมีข้อความแนะนำที่เสวียนฉือเขียนด้วยตนเอง แต่ก็ยังถูกหลวงจีนที่รับหน้าที่พิทักษ์หอตักเตือนว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยเลือกคัมภีร์พุทธได้ที่ชั้นหนึ่งของหอเก็บคัมภีร์เท่านั้น ห้ามลักลอบขึ้นไปอ่านตำราลับทักษะยุทธ์ที่ชั้นสองเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมา!”

เยี่ยเว่ยหมิงไม่มีความคิดเห็นแย้งต่อสิ่งนี้ หลังจากเข้าชั้นหนึ่งมาแล้ว กลับพบว่าข้างในว่างเปล่าไร้ผู้คน

จะว่าไปแล้ว การที่ระบบจัดเตรียมไว้เช่นนี้ ก็เพราะต้องการหลอกล่อผู้เล่นให้ไปแอบดูตำราลับทักษะยุทธ์ชั้นสอง จากนั้นก็ถูกหลวงจีนผู้พิทักษ์หอเก็บคัมภีร์ส่งกลับไปยังจุดฟื้นชีพอย่างสมเหตุสมผล?

วิธีการที่หน้าเนื้อใจเสือเช่นนี้ ช่างสมกับเป็นระบบจริงๆ!

เยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่ได้โง่ถึงขั้นไปเหยียบกับดักระดับต่ำเช่นนี้ หลังจากแน่ใจแล้วว่าในสายตาของเขาไม่มีคน ก็ตะโกนถามเสียงดังทันที “มีใครอยู่ไหม”

“อามิตาภพุทธ!”

เพิ่งจะสิ้นเสียงเยี่ยเว่ยหมิง จู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงเอ่ยนามพระพุทธเจ้าดังขึ้น เมื่อหันกลับไปมอง สิ่งที่เห็นกลับทำให้เยี่ยเว่ยหมิงตกตะลึงมาก

เห็นหลวงจีนเคราขาวรูปร่างผอมเซียวท่านหนึ่งถือไม้กวาดยืนกวาดพื้นอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ตรงนั้น

เขาโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรกัน

ต้องทราบไว้ว่า หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วว่ารอบกายไม่มีคนถึงได้ตะโกนถามเสียงดัง แต่หลวงจีนเฒ่ารูปนี้ไม่เพียงแค่โผล่มาข้างหลังเขากลางอากาศเท่านั้น อีกทั้งท่าทางตอนกวาดพื้นก็เป็นธรรมชาติมากด้วย ราวกับการเคลื่อนไหวไม่ขาดตอน

นี่คือ BOSS เลเวลสองร้อยที่อินปู้คุยเอ่ยถึง หลวงจีนกวาดลานแห่งวัดเส้าหลินงั้นหรือ

เขาเป็นคนหรือผีกันแน่

มองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง หลวงจีนกวาดลานกลับเอ่ยอย่างใจเย็น “รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือรูป มองเห็นหรือมองไม่เห็น แท้จริงแล้วไม่ต่างกัน เหตุใดโยมจึงคร่ำครึเช่นนี้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด