ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 277 ประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 277 ประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 277 ประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด

ประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด?

เยี่ยเว่ยหมิงนึกย้อนถึงกลยุทธ์ที่อินปู้คุยส่งมาให้อีกครั้งอย่างละเอียด แล้วก็ส่งพิราบสื่อสารไปยืนยันความจริงกับเขาอีก ถึงได้จนใจและแน่ใจว่า ชื่อ ‘ประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด’ เหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับต้นฉบับเดิมจริงๆ

แม้อินปู้คุยจะบอกว่าเคยเห็นคำพวกนี้จากนิยายกำลังภายในเล่มหนึ่ง แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้ซักไซ้รายละเอียดต่อ

อย่างไรเสีย เรื่องราวในฉากเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ ก็ห่างไกลกับนิยายกำลังภายในมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกี่ยวข้องกัน

แน่นอน สาเหตุที่เยี่ยเว่ยหมิงมั่นใจขนาดนี้ ก็เป็นเพราะหันเสี่ยวอิ๋งกับเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานอยู่ในระดับต่ำเกินไป

ถ้าเปลี่ยนเป็นหวงโส่วจุน หรือจางซานเฟิงเป็นผู้ริเริ่มภารกิจ อย่างน้อยเยี่ยเว่ยหมิงก็จะถามข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับนิยายกำลังภายในเรื่องนั้น

และเมื่อผ่านเรื่องราวครั้งนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ่งรู้สึกถึงคุณค่าของขี้ผึ้งหยกดำต่อกระดูก

ต่อให้เขารู้ชัดอยู่แก่ใจว่าถ้าอาศัยค่าความรู้สึกดีของจางซานเฟิงที่มีต่อตน การไปพบตัวจริงของอีกฝ่ายและส่งขี้ผึ้งหยกดำต่อกระดูกให้โดยตรงจะต้องได้ผลประโยชน์จากอีกฝ่ายไม่น้อยแน่นอน แต่เขาก็ยังหลีกทางผลประโยชน์นี้ให้อินปู้คุยที่เหมาะสมกว่าอย่างไม่ลังเล

ถ้าไม่มีเรื่องขี้ผึ้งหยกดำต่อกระดูก หลายครั้งเยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่อยากไปรบกวนอินปู้คุย ขอเพียงไม่ใช่ภารกิจที่สำคัญเกินไป เขาก็จะลองใช้วิธีการของตัวเองเพื่อให้ได้ข่าวมาและแก้ไขปัญหาเอง

แต่เมื่อมีขี้ผึ้งหยกดำต่อกระดูกมาปูทางเป็นน้ำใจแล้ว เวลาเขาจะถามเรื่องอะไร ก็ดูจะชอบธรรมมากขึ้นแล้ว!

สำหรับสิ่งที่ไม่รู้จัก บางคนอาจจะแสดงความหวาดกลัวต่อสิ่งนั้น แต่สำหรับคนบางคน นั่นกลับเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจมาก

เยี่ยเว่ยหมิงเป็นแบบหลัง!

ดังนั้น สำหรับภารกิจที่เรียกว่า ‘ประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด’ แม้เขาจะยังสนใจมันมาก แต่ก่อนหน้านั้น เขาต้องจัดการเรื่องในมือให้เสร็จเสียก่อน ถึงจะออกไปพเนจรได้สะดวก

ถ้าจะพูดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดในมือตอนนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นประกาศิตสร้างพรรคที่ดรอปได้จากสือจงอวี้

ของสิ่งนี้จะดูอย่างไมูลค่าของมันก็เหมือนมีแต่จะยิ่งมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป ก็เหมือนกับบางกลุ่มที่ยอมจ่ายเงิน 60% เพื่อซื้อความได้เปรียบในการสร้างพรรคแรก เช่นนั้นตอนที่ในมือพวกเขามีเงินหนึ่งหมื่นเหรียญทอง ป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนี้ก็จะขายได้หกพัน แต่ตอนที่พวกเขามีหนึ่งแสน ราคาของป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนี้ก็จะเป็นหกหมื่น!

อีกทั้งเมื่อบรรดาผู้เล่นเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาในเกม ผู้เล่นธรรมดาก็จะเปลี่ยนเป็นผู้เล่นที่ร่ำรวยได้ ป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนี้ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำ

และความเร็วในการสะสมทรัพย์สินของกลุ่มกลุ่มหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงคนเดียวก็เทียบไม่ติดแน่นอน

แต่ว่า!

หากในช่วงเวลานี้ผู้เล่นคนอื่นก็ดรอปได้ประกาศิตสร้างพรรคเหมือนกันล่ะ

ไม่ว่าประกาศิตสร้างพรรคแผ่นแรกจะกลายเป็นแผ่นที่สองของเกมหรือไม่ หรือมีแผ่นอื่นปรากฏขึ้นพร้อมกัน ก็ล้วนทำให้ราคาลดลงเยอะมาก

เยี่ยเว่ยหมิงไม่สนใจการเดิมพันแบบนี้

ส่วนของที่มีมูลค่าอย่างประกาศิตสร้างพรรค ชีชีซื้อไม่ไหวแน่ ดังนั้นเยี่ยเว่ยหมิงจึงไม่ได้ติดต่อไปถามความเห็นของฉางซิงอวี่ แต่ส่งพิราบสื่อสารไปหาซานเย่ว์โดยตรง

[ถ้าเจ้าว่าง ช่วยไปสืบสถานการณ์จากร้านประมูลขายให้ข้าหน่อย ในมือข้ามีของอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเจ้าช่วยข้าขายได้ราคาสูงมา ข้าก็จะแบ่งกำไรให้เจ้าส่วนหนึ่ง]…เยี่ยเว่ยหมิง

[จะว่าไปแล้ว วิธีการแบ่งเงินก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้เจ้าจะพูดเรื่องนี้ได้จริงจังขนาดนี้ หรือว่าเจ้าได้ของดีอะไรมา]…ซานเย่ว์

เยี่ยเว่ยหมิงส่งลิงก์อุปกรณ์ของประกาศิตสร้างพรรคไปทันที

ครั้งนี้ผ่านไปครึ่งนาที พิราบสื่อสารของของซานเย่ว์ถึงได้บินกลับมา

[เรื่องร้านประมูลขาย ข้าไม่ได้สังเกตเป็นพิเศษจริงๆ อย่างไรเสียเดิมทีพวกเราก็เตรียมจะเปิดร้านอุปกรณ์อยู่แล้ว ช่วงนี้ข้ากับสะพานสวรรค์น้อยกำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่…

…แต่ทางฝั่งนั้นก็งานยุ่ง ข้าช่วยเจ้าประมูลขายของก่อนดีกว่า ร้านประมูลที่ข้าพอจะรู้จักตอนนี้…ช่างเถอะ รอให้ข้าไปสำรวจเสร็จก่อนแล้วข้าค่อยบอกเจ้าก็แล้วกัน อาจต้องใช้เวลาสักสองสามวัน…

…เก็บของไว้ที่เจ้าก่อน อย่าให้ข้าเด็ดขาด ถ้าถูกคนอื่นดรอปไปจะขาดทุน]…ซานเย่ว์

[ไม่มีปัญหา สู้ๆ!]…เยี่ยเว่ยหมิง

เยี่ยเว่ยหมิงยกนิ้วหัวแม่มือให้ซานเย่ว์ แล้วเดินต่อไปทางจุดพักม้า

ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่มีเรื่องอื่นที่ทำได้ เยี่ยเว่ยหมิงจึงนั่งรถม้ามาที่เมืองเทียนจินที่ไม่ได้มานานแล้วเสียเลย หลังจากซื้อยาเติมไว้จำนวนหนึ่งแล้วก็ออกนอกเมืองไปตีมอนสเตอร์อัปเลเวลบริเวณเขาผิงกู่

หลังจากข้ามผ่านเขาผิงกู่มา ก็เป็นค่ายที่มีพื้นที่ยาวสิบแปดลี้ มอนสเตอร์บริเวณนั้นเลเวลอยู่ระหว่างสี่สิบถึงห้าสิบ ในจำนวนนั้นมีมอนสเตอร์อีลิทกับ BOSS แซมอยู่ด้วย แต่เลเวลก็ไม่เกินหกสิบแน่นอน อยู่ในขอบเขตที่เยี่ยเว่ยหมิงรับมือไหว

ในช่วงก่อนหน้านี้ แม้เลเวลของเยี่ยเว่ยหมิงจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แต่อุปกรณ์กับทักษะล้วนมีความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่น้อยๆ ประสิทธิภาพการฆ่ามอนสเตอร์ก็ดีขึ้นมาก ตอนอยู่ที่เขากระบี่เกาะเผิงไหลเทียบไม่ติด

อาศัยฝีมือกับกับอุปกรณ์ที่แข็งแกร่งขึ้น เยี่ยเว่ยหมิงก็อัปเลเวลขึ้นเร็วมาก ก่อนครบสามวันอย่างที่หันเสี่ยวอิ๋งนัดเจอกันในจดหมาย เขาก็ทะลวงถึงเลเวลสามสิบหกแล้ว

เมื่อเห็นเวลานัดมาถึงแล้ว เขาถึงได้ใช้วิชาตัวเบา ‘แปดก้าวไล่ทันคางคก’ เดินทางออกจากจุดอัปเลเวลอย่างไม่รีบร้อนหรือเชื่องช้าเกินไป เลี้ยวกลับไปทางเมืองเทียนจินแล้ว

อิงตามที่เยี่ยเว่ยหมิงเดาไว้ทีแรก สิ่งที่เรียกว่าประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด จะต้องเป็นการประลองระหว่างลูกศิษย์เจ็ดคนของเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานเพื่อคัดเลือกว่าใครคือคนที่เก่งที่สุดในบรรดาผู้สืบทอดของพวกเขาเจ็ดคนแน่นอน แล้วก็ถือโอกาสแจกรางวัลให้จำนวนหนึ่ง

ทั้งหมดล้วนทำเพื่อประสบการณ์ในเกมและความบันเทิง!

หลังจากมาถึงโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลที่นัดกันไว้ เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้พบว่ามี ‘ภารกิจเนื้อเรื่องขนาดใหญ่’ อยู่จริงๆ

ระหว่างทางที่มา เยี่ยเว่ยหมิงพบว่าถนนทั้งสายข้างหน้าโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลเบียดเสียดเป็นพิเศษ เต็มไปด้วยผู้เล่นที่เข้าๆ ออกๆ แค่จำนวนที่เขามองเห็นอย่างเดียวก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันคนแล้ว!

เดินผ่านกลุ่มคนที่เบียดเสียดกันเข้ามาลานด้านหลังโรงเตี๊ยม ประตูห้องเจ็ดห้องในลานบ้านล้วนเปิดอยู่ บนประตูทุกบานจะเห็นอักษรตัวใหญ่เปล่งประกายระยิบระยับ ตั้งแต่หนึ่งถึงเจ็ดเรียงหน้ากระดาน

ดูจากลักษณะการปรากฏขึ้นของตัวอักษรก็รู้แล้วว่าไม่ใช่การออกแบบของโรงเตี๊ยมตั้งแต่แรกแน่นอน มีเพียงผู้เล่นบางคนที่ได้รับภารกิจเท่านั้นถึงจะเห็นการแจ้งเตือนที่พิเศษนี้

เพราะในสายตาเยี่ยเว่ยหมิง เลขหนึ่งถึงหกล้วนเป็นสีแดง มีเพียง ‘เจ็ด’ ที่เป็นสีเขียว

ต่อให้มีทูตพิเศษชัดเจนขนาดนี้แล้วผู้เล่นยังมองไม่เข้าใจอีกก็ไม่มีทางเดินผิดแน่นอน เพราะว่าประตูเจ็ดบานล้วนเปิดอยู่ มองจากข้างนอกก็จะเห็นสถานการณ์ข้างในชัดเจน

เยี่ยเว่ยหมิงมองไปทีละห้อง ทุกห้องจะมี NPC รูปร่างหน้าตาประหลาดนั่งอยู่หนึ่งคน ในจำนวนนั้นมีหันเสี่ยวอิ๋งที่เคยมีวาสนาพบกันที่หมู่บ้านตู้คังก่อนหน้านี้ ส่วนคนหน้าตาอัปลักษณ์เหมือนฝักเบี้ยวพุทราแตกอีกหลายคนที่เหลือเขากลับไม่รู้จักสักคน

เห็นผู้เล่นคนอื่นเดินเข้าประตูบางบานแล้วหายไปจากสายตาเขาในชั่วพริบตาเดียว เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วรู้สึกขำนิดหน่อย

เพื่อป้องกันความวุ่นวาย ระบบยังคงใช้โหมดดันเจี้ยนเดี่ยวเหมือนเดิม ไม่มีอะไรใหม่แม้แต่น้อย

ไม่คิดวนเวียนเรื่องการออกแบบเดิมๆ อีก เยี่ยเว่ยหมิงเดินเข้ามาในห้องที่หันเสี่ยวอิ๋งอยู่ทันที

พอเข้ามาในห้องแล้ว ก็เท่ากับเข้าสู่ดันเจี้ยนส่วนตัวแล้ว ทิวทัศน์ด้านนอกไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แต่กลายเป็นฉากส่วนตัวแล้ว

หลังจากเห็นเยี่ยเว่ยหมิง หันเสี่ยวอิ๋งที่ดูแก่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับตอนแรกก็ยิ้มบางๆ แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายก่อน “เจ้ามาแล้วหรือ”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถามทันทีว่า “ก่อนหน้านี้แม่นางหันบอกว่าเชิญข้ามาเข้าร่วมภารกิจเนื้อเรื่องขนาดใหญ่ที่ชื่อว่าประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด ตอนนี้ข้ามาแล้ว แม่นางหันช่วยอธิบายให้ละเอียดหน่อยได้หรือไม่”

หันเสี่ยวอิ๋งพยักหน้าเล็กน้อยแล้วผายมือไปทางเก้าอี้อีกตัว “ข้าเชิญจอมยุทธ์น้อยเยี่ยมาครั้งนี้ เดิมทีก็เพื่อคุยเรื่องนี้ จอมยุทธ์น้อยเยี่ยเชิญนั่งก่อน”

หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงนั่งลงแล้ว หันเสี่ยวอิ๋งถึงได้โล่งอก แล้วกล่าวสบายๆ ว่า “เรื่องนี้ต้องคุยกันยาว ถ้าจะเล่าถึงสาเหตุของเรื่องทั้งหมด ก็ต้องเริ่มจากหมู่บ้านหนิวเจียเมื่อสิบแปดปีก่อน…”

ฟังจากที่หันเสี่ยวอิ๋งเล่า เยี่ยเว่ยหมิงได้พบว่าที่แท้งานประลองที่เรียกว่า ‘ประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด’ มีสาเหตุมาจากตน

พูดง่ายๆ ก็คือ ภารกิจนี้เกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องหลักของ ‘ตำนานวีรบุรุษยิงอินทรี’ อย่างใกล้ชิด

เมื่อสิบแปดปีก่อนเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานเดิมพันกับชิวชู่จี สองฝ่ายต่างคนต่างไปหาทายาทกำพร้าของกัวเสี้ยวเทียนกับหยางเถี่ยซินมาเลี้ยงและสอนทักษะยุทธ์ให้ หลังจากผ่านไปสิบแปดปี หรือปีนี้นั่นเอง ก็ให้พวกเขามาประลองยุทธ์กันที่หอหมอกพิรุณที่เมืองจยาซิ่งเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะระหว่างเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานกับชิวชู่จี

เดิมทีภารกิจนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้เล่น

อย่าว่าแต่ผู้เล่นเลย ถึงขนาดว่าตัวละครหลักสองคนที่สู้กันอย่างกัวจิ้งกับหยางคังก็ไม่ได้ประลองกันจริง ๆ ด้วยซ้ำ เพียงแต่ก่อนหน้านี้การแสดงออกต่างๆ ของหยางคังนั้นเกินจะรับไหว ชิวชู่จีรู้สึกว่าการที่ตัวเองสอนคนแบบนี้ขึ้นมา ก็ไม่มีหน้าไปพูดถึงชัยชนะอะไรต่ออีกแล้ว จึงเป็นฝ่ายยอมแพ้เองแล้ว

แต่เนื้อเรื่องที่ตายตัวนี้ กลับถูกผู้เล่นที่หล่อเท่บางคนทำลายหมดแล้ว

หยางคังเพิ่งจะออกฉากก็ตายแล้ว อย่าบอกนะว่าจะให้กัวจิ้งไปประลองยุทธ์กับอากาศ

และเนื่องจากเจ้าหมอนี่ตายเร็วเกินไป ถึงขั้นไม่ทันได้แสดงด้านชั่วร้ายในนิสัยของเขาด้วยซ้ำ

เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ชิวชู่จีแม้จะมีพื้นเพมาจากสำนักฝ่ายธรรมะ ไม่มีทางล้างแค้นแทนท่านอ๋องน้อยแคว้นจินได้ แต่การจะให้เขายอมแพ้กลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ดังนั้น หลังจากทั้งสองฝ่ายเจอหน้าก็ปรึกษากัน ถึงอย่างไรชิวชู่จีก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักฉวนเจิน หลายปีนี้รับลูกศิษย์ไม่น้อย ส่วนผู้สืบทอดของของเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานก็เริ่มเติบโตในช่วงที่อยู่หมู่บ้านมือใหม่ ผู้เล่นที่เคยเรียนความสามารถจากพวกเขามีเยอะมาก

ในเมื่อหยางคังตายแล้ว จึงเปลี่ยนวิธีการประลองเสียเลย

และตอนนี้ก็ต้องเล่นใหญ่ขึ้นหน่อย แบ่งฝ่ายเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานกับสำนักฉวนเจินเสียเลย เลือกคนที่เก่งที่สุดเจ็ดคนจากบรรดาศิษย์ของทั้งสองฝ่าย จากนั้นจัดสังเวียน PK แบบเจ็ดต่อเจ็ดตามสถานที่และเวลาที่กำหนดไว้แต่เดิม ผู้ชนะจะได้รับรางวัลจากระบบมากมาย

แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานต้องจัดการประลองใหญ่ระหว่างลูกศิษย์ก่อน เพื่อยืนยันตัวเจ็ดคนที่ถูกเลือกไปเข้าร่วมการประลองครั้งเป็นสุดท้าย

และการประลองคัดเลือกนี้ ก็คือการ ‘ประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด’ ที่หันเสี่ยวอิ๋งเอ่ยถึงก่อนหน้านี้

“ประลองยุทธ์เจ็ดสังกัดแม้จะเป็นเพียงการประลองคัดเลือกที่กำหนดรายชื่อไว้ล่วงหน้า แต่ผู้เล่นที่เข้าร่วมก็จะได้รางวัลไม่น้อยเช่นกัน” หันเสี่ยวอิ๋งหยุดพูดไปครู่เดียวก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “หากเจ้าชิงรางวัลชนะเลิศของการประลองเจ็ดสังกัดได้ แล้วได้อยู่ในรายชื่อผู้เข้าร่วมประลองในมือข้า ข้าก็จะชี้แนะ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ให้เพิ่มหนึ่งเลเวลโดยตรง!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด