ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 512 นี่คือสง่าราศีของยอดฝีมือ

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 512 นี่คือสง่าราศีของยอดฝีมือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 512 นี่คือสง่าราศีของยอดฝีมือ

อาจ่งได้รับบาดเจ็บ?

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน

จะว่าไปแล้ว พวกเจ้าต่อสู้กันแบบมารดาเมตตาบุตร บุตรกตัญญูต่อมารดาขนาดนั้น แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไรกันแน่

เมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายของหมิ่นโหรวดูไม่เหมือนการเสแสร้ง ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ แม้นางจะเป็นมารดาที่มีเมตตา แต่ก็เป็นชาวยุทธ์คนหนึ่งเช่นกัน การบาดเจ็บเล็กน้อยภายในผิวหนังหรือนอกผิวหนังทั่วไปไม่อาจทำให้นางตื่นตูมอย่างนี้ได้

เพียงแต่เยี่ยเว่ยหมิงไม่เข้าใจจริงๆ ด้วยลักษณะการต่อสู้ของพวกเขาสองคน ต้องเกิดความผิดพลาดอย่างไรกันแน่ ถึงได้ทำให้อาจ่งได้รับบาดเจ็บหนักจนหมิ่นโหรวตระหนกตกใจแบบนี้

แต่ในเมื่อฝั่งนั้นไม่ได้ต่อสู้สูสีกันอีกแล้ว ทางฝั่งเยี่ยเว่ยหมิงก็ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะต้องตัดสินแพ้ชนะกับไป๋วั่นเจี้ยนให้ได้

แม้การพลาดค่าประสบการณ์สองล้านแต้มและค่าตบะสองแสนแต้มเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ แต่ทุกเรื่องล้วนมีลำดับความสำคัญและความเร่งด่วน เพื่อคำนึงถึงเป้าหมายระยะยาวของภารกิจ ไปดูอาการของอาจ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนกว่า

ตอนนี้เอง กลุ่มศิษย์สำนักภูเขาหิมะที่ก่อนหน้านี้ถูกเยี่ยเว่ยหมิงเคลียร์ออกจากพื้นที่ให้ไปยืนอยู่ที่จุดทำโทษซึ่งห่างออกไปห้าจั้งได้ทยอยกันหลุดออกจากคุมขัง แต่ละคนขยับตัวยืดเส้นยืดสาย มองไปที่เยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ขณะเดียวกันนี้เอง เสียงแจ้งเตือนของระบบกลับดังขึ้นข้างหูเยี่ยเว่ยหมิงสองครั้งต่อเนื่องกัน

[ติ๊ง! การต่อสู้ของคุณกับไป๋วั่นเจี้ยนสิ้นสุดก่อนเวลาเนื่องจากปัจจัยที่ไม่คาดคิด ภารกิจ ‘เคล็ดกระบี่สำนักภูเขาหิมะ’ จบแล้ว]

[ติ๊ง! อิงตามการแสดงความสามารถตอนที่คุณสู้กับไป๋วั่นเจี้ยน ระบบตัดสินตามคะแนนสะสม สุดท้ายตัดสินว่าคุณได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ ได้รับรางวัล: ค่าประสบการณ์ 1000000 แต้ม ค่าตบะ 100000 แต้ม]

แบบนี้ก็ได้เหรอ!?

มาตรฐานการรับชัยชนะแบบนี้ ขนาดเยี่ยเว่ยหมิงได้ฟังแล้วยังตะลึงค้าง

การประลองศึกตัดสินในยุทธภพ ควรจะเป็นแบบไม่ตายไม่เลิก สู้กันจนกระทั่งพลังชีวิตของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเหลือศูนย์ ถึงจะตัดสินแพ้ชนะได้ไม่ใช่หรอกหรือ

วิธีการสะสมคะแนนแบบนี้คือลักษณะไหนกันแน่ แข่งชกมวย?

แต่สำหรับวิธีการตัดสินแพ้ชนะที่น่าแขวะแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้แขวะอะไรมากเช่นกัน ถึงอย่างไรเขาก็ได้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ

แม้จะไม่ได้ค่าประสบการณ์สองล้านกับค่าตบะสองแสน แต่เมื่อเทียบกับผลตอบแทนเป็นศูนย์ที่เขาคาดคะเนไว้ตอนแรก นี่ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเหนือความคาดหมายแล้ว

อย่าโลภเกินไปนักเลย

ผลแพ้ชนะแบบนี้ ขอเพียงรู้อยู่ในใจตัวเองก็พอ…ควรจะพูดว่าขอเพียงได้รางวัลครบก็พอ เยี่ยเว่ยหมิงที่ผลประโยชน์มาหาถึงที่ไม่ลังเลที่จะเลือกรวยเงียบๆ ไม่คิดจะพูดออกมาสร้างความกลัดกลุ้มใจให้ไป๋วั่นเจี้ยน

เขาเข้าวัดร้างพร้อมคนที่เหลือทันที ไปตรวจดูอาการของอาจ่ง สีหน้าดูสุขุมสุดๆ

ท่าทีไม่สะทกสะท้านแบบนี้ของเขา ยิ่งทำให้พวกศิษย์สำนักภูเขาหิมะเห็นแล้วอดรู้สึกน้อยใจตัวเองไม่ได้

นี่คือสง่าราศีของยอดฝีมืออย่างนั้นหรือ

ทว่า ผ่านไปไม่นานศิษย์สำนักภูเขาหิมะเหล่านี้ก็ย้ายความสนใจออกจากตัวเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว เพราะตอนที่พวกเขาตามหมิ่นโหรวเข้ามาในวัดร้างกลับไม่เห็นอาจ่งที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว!

บนพื้นมีเพียงรอยเลือดสดใหม่กกองหนึ่ง พิสูจน์แล้วว่าเรื่องที่หมิ่นโหรวบอกว่านางแทงอาจ่งบาดเจ็บไม่ใช่เรื่องโกหก

พวกเขาต่อสู้กันอยู่ตั้งนาน แต่อาจ่งที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่พวกเขาแย่งชิงกันกลับหายไปเสียดื้อๆ แล้ว!

เมื่อได้เห็นฉากนี้ ปฏิกิริยาแรกของไป๋วั่นเจี้ยนก็คือสงสัยเจ้าของกระบี่สีดำ สีขาวและสีทอง

ไป๋วั่นเจี้ยนมองสือชิง หมิ่นโหรวและเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาระแวดระวัง พร้อมพูดเสียงต่ำว่า “นึกไม่ถึงว่าทั้งสามท่านยังเตรียมผู้ช่วยคนอื่นไว้อีก วิธีการระดับนี้ ไป๋ผู้นี้นับถือ!”

เมื่อได้ยินดังนั้น จอมกระบี่ขาวดำก็เริ่มสีหน้าแย่ทันที เพิ่งคิดจะเอ่ยปากอธิบาย แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับชิงบ่นตรงๆ เลยว่า “ผู้อาวุโสไป๋ สมองท่านใช้งานได้ไม่ค่อยดีหรือเปล่า”

ไป๋วั่นเจี้ยนได้ยินแล้วโมโหมาก “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หลังจากช่วยคนสำเร็จแล้ว ยังต้องกล่าวเสียดสีไป๋ผู้นี้ด้วยหรือ”

“เสียดสี? ไม่ๆๆ ผู้อาวุโสไป๋กล่าวเกินไปแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงย้ายสายตาไปที่เลือดบนพื้นดินแล้วกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อย “สถานการณ์เมื่อครู่นี้ ทุกคนรู้ชัดอยู่แก่ใจ ว่าทั้งวัดร้างมีเพียงผู้อาวุโสหมิ่นโหรวกับอาจ่งสองคนที่ประลองกระบี่กัน ไม่มีบุคคลที่สามอยู่ในเหตุการณ์…

…ก็ถามหน่อยกว่า หากตอนนั้นผู้อาวุโสหมิ่นโหรวอยากจะช่วยอาจ่งออกไป ยังต้องใช้กลยุทธ์ทุกข์กาย[1]อะไรนั่น หรือหาผู้ช่วยคนอื่นมาอีกหรือ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋วั่นเจี้ยนก็พูดไม่ออกทันที

ดูจากสถานการณ์เมื่อครู่นี้ก็เห็นได้ชัดมาก หากหมิ่นโหรวอยากจะพา ‘สือจงอวี้’ ไป ก็พาไปได้ทันที

ไป๋วั่นเจี้ยนสู้เสมอกับสือชิงได้คนเดียว หากสู้กับเยี่ยเว่ยหมิงจนถึงตอนสุดท้าย เกรงว่าจะมีโอกาสแพ้มากกว่า ส่วนคนอื่นล้วนอยู่ตรงจุดยืนทำโทษที่ห่างออกไปห้าจั้ง ไม่มีใครมาขัดขวางหมิ่นโหรวไม่ให้ช่วยคนออกไปได้เลย

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเถียงไม่ออกแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่คิดจะบ่นต่อโดยไม่รู้จักจบจักสิ้นเช่นกัน

ถึงอย่างไรไป๋วั่นเจี้ยนก็น่าสงสารมากพอแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงไม่คิดจะยั่วโมโหเขาเกินไปเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าโหมดภารกิจสิ้นุสดแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็สิ่งพิราบสื่อสารไปหาอินปู้คุยเพื่อถามถึงข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง แต่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับข้อความในทันที

ขณะที่รอข้อความ สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงก็เริ่มสอดส่องทั่วทุกมุมในวัดร้างไม่หยุดพร้อมบอกว่า “ผู้อาวุโสไป๋วั่นเจี้ยน ผู้อาวุโสสือชิง ผู้อาวุโสหมิ่นโหรว คนอื่นถอยออกไปหมดแล้ว คนที่ดูเอาสนุกก็ดูอยู่ตรงประตู อย่าทำลายที่เกิดเหตุตรงนี้…

…ข้าอยากดูให้ละเอียดว่าคนที่พาอาจ่งไปทิ้งร่องรอยอะไรไว้หรือเปล่า”

“เชอะ! อย่ามาทำตัวเป็นหมาป่าอวดหาง[2]หน่อยเลย เจ้าคิดว่าแค่ตัวเองใส่เครื่องแบบทางการก็เป็นตี๋เหรินเจี๋ย เป็นเปาชิงเทียนแล้วหรือ” เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงทำท่าเหมือนจะตรวจสอบสถานการณ์ ท่ามกลางศิษย์สำนักภูเขาหิมะก็มีผู้เล่นคนหนึ่งโต้กลับอย่างดูถูกมาก “ยังจะหาเบาะแสอีก ทำไมเจ้าไม่บอกเสียเลยล่ะว่าเจ้านับนิ้วทำนายได้”

พอหันไปมอง คนพูดก็คือเจ้าหมอนั่นที่ก่อนหน้านี้ต่อสู้จนถึงตอนสุดท้ายแต่ถูกเยี่ยเว่ยหมิงระเบิดหัว

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วขมวดคิ้ว แต่ตอนนี้กลับได้ยินหลี่วั่นจีกล่าวเสียงต่ำว่า “บางทีสหายเยี่ยอาจจะเจอเบาะแสอะไรก็ได้ ถึงอย่างไรพวกเราอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ออกไปรอฟังข่าวดีกว่า”

ที่จริงไม่ต้องให้หลี่วั่นจีบอก NPC และผู้เล่นของสำนักภูเขาหิมะก็ถอยออกไปเกินครึ่งแล้ว แต่ยังมีส่วนน้อยที่รู้สึกไม่ยอม คนที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้ พอได้ยินดังนั้นก็พูดอย่างมีนัยยะแอบแฝงอีกว่า “นั่นก็ไม่แน่หรอก เขาอาจกำลังถ่วงเวลามากขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายหลบหนีก็ได้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็พาคนไปด้วยอีกคน อาจจะวิ่งได้ไม่เร็วมาก…

…มิหนำซ้ำ เดิมทีพวกเขาก็มาเพื่อช่วยคนอยู่แล้ว มีหรือที่จะทุ่มเทเต็มที่เพื่อช่วยพวกเราหาเบาะแส”

หลี่วั่นจีได้ยินแล้วขมวดคิ้วมุ่น กล่าวเสียงเข้มว่า “ศัตรูอาจไม่มีเมตตาต่อ ‘สือจงอวี้’…ช่างเถอะ ข้าขี้คร้านจะเถียงกับเจ้าแล้ว”

หลี่วั่นจีพูดได้ครึ่งเดียวก็ตัดบทไม่เถียงต่อแล้ว เพราะเขารู้ว่าเจ้าจอมแย้งที่ชอบแสดงจุดยืนตรงข้ามกับเขาคนนี้ไม่มีทางฟังเขาเลย

ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร อีกฝ่ายก็แย้งตลอด

ที่จริง นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ขุนเขาลำธารย่อมพานพบถูกเรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักภูเขาหิมะ

ที่จริงก่อนจะทำภารกิจพิเศษนั่นเสร็จ ฝีมือของหลี่วั่นจีก็ไม่ได้ด้อยกว่าขุนเขาลำธารสักเท่าไร ถึงขั้นเรียกว่าสูสีก็ได้

แต่นิสัยส่วนตัวของหลี่วั่นจีค่อนข้างโอหังอวดดี ในสำนักมีสหายอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ไม่ค่อยพอใจที่เขาเผยท่าทีว่าตัวเองเหนือกว่าออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

เจ้าจะเก่งกาจนั้นไม่ผิด เจ้าจะยอดเยี่ยมนั่นก็ใช่

แต่นั่นเกี่ยวอะไรกับข้า

นี่ก็คือข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเกมกับชีวิตจริง

ในชีวิตจริง ผู้ที่ชอบจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเข้มงวด บางทีอาจจะทำเรื่องบางอย่างได้ดีมาก แต่ตอนอยู่ในเกม เจ้าลองไปตำหนิสมาชิกคนอื่นดูสิ ดูว่าอีกฝ่ายจะชี้หน้าด่าเจ้าหรือไม่

ในชีวิตจริง คนธรรมดาที่แหล่งทรัพยากรทางการเงินสำหรับการดำรงชีวิตถูกบีบอยู่ในมือคนอื่น คนที่อยู่ระดับต่ำกว่า ต่อให้ในใจไม่พอใจอย่างไรก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้อยู่ดี

แต่เมื่ออยู่ในเกม ทุกคนต้องการความสะใจ อย่างมากก็ออกจากเกมไปให้จบๆ เจ้าไม่ได้จ่ายเงินเดือนให้ข้าเสียหน่อย มีสิทธิ์อะไรมาบงการข้า

แต่ด้วยนิสัยอย่างเขา แม้จะขัดใจผู้เล่นมาก แต่ไป๋จื้อไจ้กลับชอบมาก

เพราะตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกยันนิสัย เขาเหมือนไป๋จื้อไจ้มาก

ดังนั้น แม้สิทธิ์ในการพูดที่สำนักภูเขาหิมะจะไม่สูงมาก แต่กลับเป็นที่ชื่นชมของไป๋จื้อไจ้ นอกจากจะให้ภารกิจพิเศษแก่เขาแล้ว ไป๋จื้อไจ้ยังรับเขาเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียวที่เป็นผู้เล่น ดูแลดีมาก

ลองคำนวณดูแล้วก็พูดยากเหมือนกันว่านิสัยแบบนี้ทำให้เขาประสบความสำเร็จ หรือถ่วงความเจริญเขากันแน่

“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ทำตามที่จอมยุทธ์น้อยเยี่ยบอก” เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ ไป๋วั่นเจี้ยนก็เอ่ยปาก ทำให้ทุกคนหุบปากแล้ว

พอได้ยินคำสั่งของไป๋วั่นเจี้ยน พวกผู้เล่นที่ยังหยุดอยู่ตรงนี้แม้จะหงุดหงิดอยู่ในใจ แต่ทั้งหมดก็ถอยออกจากประตูวัดไปแล้ว

เพราะที่สำนักภูเขาหิมะ นอกจากหลี่วั่นจีแล้ว ผู้เล่นคนอื่นก็แทบจะเป็นลูกศิษย์ของไป๋วั่นเจี้ยนเหมือนกันหมด

หากขัดคำสั่งอาจารย์ในเวลานี้ ก็จะต้องถูกหักค่าความรู้สึกดี!

พูดแบบร้ายแรงหน่อยก็คือ จะส่งผลกระทบต่อรางวัลภารกิจครั้งนี้มากทีเดียว!

เพื่อไม่ให้ล่วงเกินอาจารย์เพราะเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ กลับไม่ค่อยมีใครอยากแอบทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้น

ดังนั้นสำหรับคำพูดของหลี่วั่นจี พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะบ่น เพราะไม่กล้าขัดคำสั่งของไป๋วั่นเจี้ยน

ความเป็นจริงก็สมจริงอย่างนี้แหละ!

หลังจากสมาชิกที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปหมดแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็เดินในวัดร้างรอบหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็หยุดอยู่ตรงใต้ขื่อ จากนั้นย่อตัวลงนั่งยองๆ เก็บวัตถุสีเหลืองที่ไม่สะดุดตาขึ้นมาจากพื้น ไป๋วั่นเจี้ยนกับจอมกระบี่ขาวดำล้อมเข้ามาทันที แต่กลับเห็นว่าสิ่งที่เขาถืออยู่เป็นเศษของใบไม้สีเหลืองที่ถูกหั่น

ท่ามกลางความสนใจของทั้งสามคน เยี่ยเว่ยหมิงใช้มือคีบบางอย่างขึ้นมาเส้นหนึ่ง นำมาจ่อดมตรงจมูก จากนั้นบอกว่า “นี่คือเส้นยาสูบ ดูท่าแล้ว เมื่อครู่คงมีคนหลบอยู่ในวัดร้าง เส้นยาสูบพวกนี้คือสิ่งที่เขาทิ้งไว้”

สือชิงได้ยินแล้วอดขมวดคิ้วถามไม่ได้ “เส้นยาสูบพวกนี้ดูเหมือนเป็นของใหม่ แต่สิ่งนี้มีอายุการเก็บรักษานานมาก วางไว้ในนี้วันสองวันก็ไม่กลายสภาพเป็นอย่างนี้แน่ จะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือว่าอาจมีคนซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก่อนที่พวกศิษย์พี่ไป๋จะมาถึง”

“เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว พวกท่านดูตรงนี้สิ” ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็ชี้ไปที่พื้น กลับเห็นว่าตรงต้นเสาสีแดงต้นหนึ่งมีวัตถุป่นสีเหลืองอยู่กองหนึ่งด้วย ถ้าลองแยกแยะให้ดี จะพบว่ามันเป็นเส้นยาสูบที่เคยถูกคนเคี้ยวมาก่อน

หลักฐานก็มีแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ตามหลักแล้ว ช่วงก่อนที่พวกผู้อาวุโสไป๋จะมาถึงที่นี่ ถ้ามีคนอยู่ตรงนี้ก่อนแล้ว เส้นยาสูบที่เคยถูกกัดไว้ก็น่าจะถูกลมพัดแห้งไปนานแล้ว ไม่น่าจะมีสภาพอย่างนี้”

หลังจากชะงักไปครู่เดียว เขาก็พูดเสริมอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ของประเภทเส้นยาสูบ เดิมทีก็ใช้เพื่อสูบ ไม่ได้ใช้เพื่อเคี้ยว…

…การกระทำที่ผิดปกติเช่นนี้ของอีกฝ่าย เกรงว่าคำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลก็คือ ที่จริงเขาซ่อนตัวอยู่ในวัดร้างแห่งนี้ตั้งนานแล้ว ทุกอย่างอยู่ในสายตาเขา เพียงแต่เมื่อเวลานานไป อดทนความอยากสูบยาไม่ได้ แต่ก็กลัวว่าจะถูกเปิดโปงร่องรอยอีก จึงทำได้เพียงใช้แผนสอง ก็คือเคี้ยวใบยาสูบแก้อาการอยากสูบยา…

…ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินได้ว่า อีกฝ่ายเป็นคนที่ติดยาสูบหนักมากแน่นอน!…

…ซึ่งจุดที่เขาซ่อนตัวอยู่ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นบนขื่อเหนือศีรษะพวกเราตอนนี้”

เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋วั่นเจี้ยนก็พุ่งฟิ้วขึ้นไป แล้วก็กระโดดลงมาทันที “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยพูดไม่ผิด บนขื่อมีฝุ่นเต็มเลย เห็นชัดเจนว่ามีรอยเท้าคน เพียงแต่รอยเท้านี้ไม่ใช่ของคนคนเดียว เป็นของคนสองคน”

“น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าเดาตัวตนได้คร่าวๆ เพียงคนเดียว” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นบอกว่า “ผู้ที่ชอบยาสูบ ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับอาจ่ง บวกกับหลังจากอีกฝ่ายซ่อนตัวแล้วทำให้ยอดฝีมืออย่างผู้อาวุโสไป๋จับสังเกตไม่ได้…

…รวมจุดเด่นต่างๆ นี้ไว้ด้วยกัน คนแรกที่ข้าสงสัยก็คือ…”

พอพูดถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็จงใจลากเสียงยาว ทำให้ทุกคนมองไปที่เขาอย่างตื่นเต้นทันที

หลังจากยั่วให้ทุกคนอยากรู้แล้ว ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงถึงได้ประกาศชื่อบุคคลที่ตัวเองสงสัยอยู่ในใจออกมา “เขาก็คือ…เซี่ยเยียนเค่อ!”

เมื่อได้ยินชื่อของเซี่ยเยียนเค่อ NPC ยอดฝีมือสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าทุกคนตกใจเพราะชื่อนี้

ถ้าพูดถึงในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ มี NPC มากมายที่ฝีมือสูงต่ำไม่เท่ากัน แต่ระหว่างพวกเขาแม้จะมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันหลายครั้งก็มีขีดจำกัดเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่นสำนักอู่ตัง ยอดฝีมือที่คุมสำนักเป็นใครไปไม่ได้นอกจากจางซานเฟิงเลเวลสองร้อย แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับภารกิจในเรื่องอย่าง ‘ยิ้มเย้ยยุทธภพ’ คนแรกที่ NPC ผู้เกี่ยวข้องนึกถึงจะต้องเป็นชงซวีจากสำนักอู่ตัง ผู้แทนพิเศษที่รับผิดชอบดูแลงานของห้าสำนักขุนเขากระบี่แน่นอน

ซึ่งยอดฝีมือที่แท้จริงที่เกี่ยวข้องกับอาจ่งและสำนักใหญ่ต่างๆ ในภารกิจนี้ก็มีไม่เยอะ นอกจากคนเกาะจอมยุทธ์ที่ลึกลับยากคาดเดา พวกที่เหลือก็ไม่มีใครฝีมือแข็งแกร่งเป็นพิเศษเลย

ยกตัวอย่างเช่น BOSS ที่เลเวลไม่เกินร้อยอย่างไป๋วั่นเจี้ยน จอมกระบี่ขาวดำ ต่างก็นับเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งของยุทธภพได้แล้ว!

แม้จะเจอผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสมากมาย แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ทำไม่ได้ถึงขั้นที่ไม่กลัวอะไรเลย

แต่ในบรรดาตัวละครของเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา กลับมีสองคนที่ฝีมือเหนือกว่าคนเหล่านี้ ทั้งยังมีความแตกต่างกันมากจนเห็นได้ชัดอีกด้วย

คนหนึ่งคือเจ้าสำนักภูเขาหิมะ บุรุษผู้มีบารมีและคุณธรรม ไป๋จื้อไจ้

ส่วนอีกคนก็คือจอมยุทธ์ใหญ่ที่มีสัจจะที่สุดในใต้หล้า ประสกหมัวเทียนเซี่ยเยียนเค่อ!

เมื่อฟังเยี่ยเว่ยหมิงวิเคราะห์จบ ในที่สุดไป๋วั่นเจี้ยนก็ถามว่า “สือจงอวี้กับเซี่ยเยียนเค่อมีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร”

เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่พร้อมตอบตามความจริง “ก่อนหน้านี้ข้าบอกแล้วว่าเขาไม่ใช่สือจงอวี้ แต่เป็นน้องชายของข้าที่ชื่ออาจ่ง เขาถูกเซี่ยเยียนเค่อเลี้ยงดูจนโต ท่านว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไรล่ะ”

สำหรับวิธีการพูดแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไป๋วั่นเจี้ยนยังไม่อยากเชื่อ

แต่ตอนนี้สือชิงกลับอดถามไม่ได้ว่า “เช่นนั้นเซี่ยเยียนเค่อกับเส้นยาสูบพวกนี้เกี่ยวอะไรกัน”

เยี่ยเว่ยหมิงถูกเขาถามจนชะงักทันที “ก็ต้องเป็นเพราะเขาชอบสูบยาน่ะสิ ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่ชื่อยังชื่อเซี่ยเยียน[3]เค่อเลย”

“ฮิฮิ!…”

ตอนนี้เอง จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงหัวเราะเย้ายวนของผู้หญิงดังขึ้น “มือปราบหน้าเหม็น เจ้านี่วิเคราะห์ได้น่าสนใจทีเดียว ใครที่ชื่อเซี่ยเยียนเค่อ ก็ต้องชอบสูบยาเสมอไปอย่างนั้นหรือ…

…อิงตามการวิเคราะห์ของเจ้า เช่นนั้นซื่อเจี้ยน[4]ก็น่าจะเป็นยอดฝีมือเคล็ดกระบี่เหมือนกันอย่างนั้นสิ หรืออย่างน้อยๆ ก็น่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่ใช้กระบี่?”

[1] กลยุทธ์ทุกข์กาย 苦肉计 เป็นกลยุทธ์ยามพ่ายจากเรื่องสามก๊ก มีหลักการคือทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บเพื่อให้ศัตรูหลงเชื่อ

[2] หมาป่าอวดหาง 大尾巴狼 หมายถึงทำตัวเด่น กลัวคนอื่นจะมองข้ามหรือมองไม่เห็นตน

[3] เยียน 烟 แปลว่า ควัน บุหรี่ ยาสูบ

[4] เจี้ยน 剑 แปลว่ากระบี่

…………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด