ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 102 หนิวจื้อชุนแห่งสำนักฉวนเจิน

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 102 หนิวจื้อชุนแห่งสำนักฉวนเจิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 102 หนิวจื้อชุนแห่งสำนักฉวนเจิน

ในเมื่อมีการค้นพบที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม การฆ่าหมาป่าที่มีการรีเฟรชตลอดเวลาก็ย่อมพักไว้ก่อนได้

ขณะเดินทางตามไปยังต้นเสียง ซานเย่ว์ก็อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ “คนออกแบบภารกิจนี้หน้าเนื้อใจเสือเกินไปแล้ว แบบนี้ต้องการให้ผู้เล่นที่เข้าร่วมภารกิจเข่นฆ่ากันเองชัดๆ เลย”

เท้าขวาเยี่ยเว่ยหมิงแตะเบาๆ บนก้อนหินที่นูนขึ้นมา ตัวเบาจนลอยไปทางก้อนหินสีขาวอีกก้อนราวกับนกนางแอ่น ปากก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “สงสัยเจ้าจะเพิ่งรู้สินะ”

แล้วไม่ใช่หรอกหรือ

ดูในกติกาภารกิจสิ ตรงที่บอกว่าหากผู้เล่นเข่นฆ่ากันเองจะได้รับคะแนนทั้งหมดจากตัวผู้เล่นอีกฝ่าย แค่นี้ก็มองออกแล้วว่าตระกูลมู่หรงไม่ใช่สำนักลับที่ดีงามอะไรแน่นอน

“พูดอย่างนี้ก็ไม่ผิด” ซานเย่ว์ยังคงขุ่นเคืองนิดหน่อย “ถ้าเสียงนั่นมาจากมนุษย์กลจริงๆ พวกเราก็ต้องปรับกระบวนการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับเจตนาชั่วร้ายของพวกเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังเลี้ยงแมลงพิษ!”

หากเป็นเพียงการฆ่าเพื่อเอาคะแนนสะสม มีความระแวงระหว่างผู้เล่นด้วยกันเอง ก็อาจไม่ก่อให้เกิดการนองเลือดเสมอไป

เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงคะแนนเล็กน้อยเท่านั้น เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีความมั่นใจ ผู้เล่นที่ใจเย็นหน่อยก็จะไม่นำผลลัพธ์จากความพยายามในหลายชั่วโมงของตัวเองไปเทหมดหน้าตัก

แต่มนุษย์กลนี้กลับไม่เหมือนกัน เพราะในภารกิจกล่าวไว้ชัดเจนแล้ว ว่าในดันเจี้ยนนี้มีเจ้าสิ่งนี้เพียงสิบตัว เป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างแท้จริงในดันเจี้ยน หากบังเอิญพบมัน ก็จะต้องพยายามช่วงชิงสุดชีวิตแน่นอน

เนื่องจากเทียบกับป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูของตระกูลมู่หรงแล้ว มูลค่าคะแนนสะสมของพวกเขาก็ไม่ควรค่าให้กล่าวถึงเลยสักนิด

เดิมทีในแผนที่ใหญ่ขนาดนี้ซ่อนมนุษย์กลไว้สิบตัว ผู้เล่นยังมีโอกาสรวยแบบเงียบๆ พอสมควร แต่หากมนุษย์กลทุกตัวมีวิธีการเรียกอย่างนี้ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องคัดเลือกผู้ชนะคนสุดท้ายจากศึกใหญ่คลุ้งคาวเลือดแล้ว

ความจริงก็เป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้เช่นกัน ตอนที่ทั้งสองมาถึงแหล่งกำเนิดเสียงนั้น ก็เห็นผู้เล่นยี่สิบกว่าคนกำลังเข่นฆ่ากันโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มนุษย์กลทองแดงที่สูงสองเมตรกว่าตัวหนึ่งกำลังเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ระหว่างผู้เล่นเหล่านั้น แต่กลับไม่มีใครสนใจ

ในตอนนี้เอง อาวุธลับของหนึ่งในผู้เล่นเหล่านั้นตกลงบนตัวมนุษย์กลทองแดง ทำให้มนุษย์กลทองแดงส่งเสียงขลุ่ยสะอื้นเหมือนก่อนหน้านี้ทันที จากนั้นก็ก้าวเดินอย่างหนักแน่นจนภูเขาสะท้านแผ่นดินสะเทือน ไล่ตามผู้เล่นสำนักถังเหมินคนนั้นไป

ผู้เล่นสำนักถังเหมินมีหรือจะกล้าปะทะกับคนประหลาดขนาดมหึมาตัวนี้ซึ่งหน้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายมาก็เลี้ยวหนีทันที ทว่าในตอนนี้เอง ผู้เล่นเส้าหลินที่ถูกเขายิงโจมตีรัวๆ ก่อนหน้านี้กลับมาขวางทางเขาไว้ และเมื่อถูกขวางทางไว้อย่างนี้ ไม่นานเขาก็ถูกมนุษย์กลทองแดงตามทัน จากนั้นโดนโจมตีสองสามทีก็กลายเป็นแสงสีขาวหายไปแล้ว

ส่วนผู้เล่นเส้าหลินที่ใช้วิธียืมดาบฆ่าคนก็เผยรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจ เห็นได้ชัดว่าหัวของผู้เล่นสำนักถังเหมินที่ถูกมนุษย์กลทุบตายถือเป็นของเขาแล้ว คะแนนสะสมของอีกฝ่ายก็ย่อมตกมาอยู่ในชื่อของเขาเช่นกัน

ฉากตรงหน้านี้ เป็นเพียงมุมหนึ่งของฉากตะลุมบอนอันบ้าระห่ำนี้เท่านั้น!

เป้าหมายโจมตีหลักของบรรดาผู้เล่นในตอนนี้ย้ายจากตัวมนุษย์กลทองแดงไปยังตัวผู้เล่นคนอื่นแล้ว บางคนที่ฉลาดหน่อยก็จะทำเหมือนศิษย์เส้าหลินคนนั้น คิดหาทางใช้ประโยชน์จากมนุษย์กลทองแดงที่ทำเป็นแค่ ‘ถูกยั่วให้โจมตีกลับ’ มาวางกับดักคนอื่น มนุษย์และหุ่นยนต์ทำงานร่วมกันอย่างสัมฤทธิ์ผล

ทั้งสนามรบเละเป็นโจ๊กเลยจริงๆ

ทั้งยังมีผู้เล่นที่ทยอยกันมาตามเสียงเหมือนพวกเยี่ยเว่ยหมิง เข้ามาร่วม PK ในศึกอันวุ่นวายนี้เช่นกัน

เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์หยุดอยู่บนก้อนหินกลมขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากสนามต่อสู้สามสิบเมตร พวกเขามองดูการ PK อันโหดร้ายข้างล่าง แล้วเยี่ยเว่ยหมิงก็เริ่มวิเคราะห์ “มนุษย์กลพวกนี้ไม่มีความสามารถในการรุกโจมตี มันมีแต่ถูกยั่วให้โจมตีกลับผู้เล่นที่โจมตีมัน และหลังจากถูกโจมตีแล้ว ก็จะส่งเสียงขลุ่ยแหลมบาดหู…

…การออกแบบอย่างนี้ดูเหมือนกำลังลดระดับความยาก แต่ความจริงกลับลดความระมัดระวังตัวของบรรดาผู้เล่นต่างหาก ทำให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองได้อย่างวางใจยิ่งขึ้น”

ซานเย่ว์พยักหน้าเห็นด้วย แล้วอดถามไม่ได้ว่า “เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี ไปเข้าร่วมตะลุมบอนด้วย หรือจะกลับไปฆ่าหมาป่าต่อ”

“เรื่องนี้ไม่รีบหรอก” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ จากนั้นหยิบซาลาเปาออกมาสองเข่ง แล้วหย่อนก้นนั่งลงบนหินกลมเกลี้ยงเกลาก้อนนี้เสียเลย “ก่อนหน้านี้ฆ่าหมาป่าอยู่ตั้งนาน ค่าความหิวเพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน พวกเรากินไปดูไปก่อนดีกว่า”

“เจ้าหมอนี่ แอบชั่วอยู่นะ”

ปากก็บ่นไปอย่างนั้น แต่ซานเย่ว์ก็ยังนั่งลงข้างเยี่ยเว่ยหมิง ขณะที่พูดก็หยิบซาลาเปาขึ้นมากัดคำหนึ่ง “รสชาติไม่เลวเลยนี่”

“ข้ายังมีสุราสยงหวงอีกหลายขวด จะดื่มสักหน่อยไหม”

ซานเย่ว์ได้ยินแล้วมองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างระแวง “นี่เจ้าคงไม่ได้มีเจตนาจะมอมสุราข้าใช่ไหม”

“เชอะ…” เยี่ยเว่ยหมิงเบะปากดูถูก “ในเกมที่ถอดไม่ได้แม้กระทั่งเสื้อผ้า ข้าจะไปมีเจตนาอะไรได้”

“เช่นนั้นก็หมายความว่า หากในเกมตั้งค่าให้ทำได้…”

“หุบปาก! ถ้าพูดต่อถือว่าใกล้ล้ำเส้นแล้วนะ”

……

ทั้งสองกินไปคุยไป พร้อมรับชมฉาก PK อันยิ่งใหญ่ที่แสนวุ่นวายด้านล่าง ถือว่าเป็นประสบการณ์ในการเล่นเกมอีกแบบได้เลย

ทว่าดอกไม้งามเบ่งบานยาก ฉากที่ดีเกิดขึ้นไม่บ่อย บนหินก้อนใหญ่ที่เดิมทีเต็มไปด้วยบรรยากาศปรองดองสุขสันต์ ไม่นานก็ถูกเสียงคำกล่าวของชาวลัทธิเต๋าทำลายจนหมดเกลี้ยง

“ประเสริฐยิ่งนัก!”

หลังจากเสียงคำกล่าวของชาวลัทธิเต๋าดังขึ้น นักพรตเต๋าร่างอ้วนที่สูงประมาณสองเมตรก็เหาะขึ้นมาบนหินก้อนใหญ่ที่พวกเขานั่งอยู่ ร่างกายใหญ่โตบังแดดมิด ทำให้ทั้งสองรู้สึกว่าแสงสว่างตรงหน้ามืดลง

เมื่อเห็นว่าการปรากฏตัวอัน ‘สวยงาม’ ของตัวเองดึงดูดความสนใจของทั้งสองได้อย่างราบรื่น นักพรตเต๋าร่างอ้วนก็ยิ้มเผยฟันพร้อมกล่าวว่า “พบกันคือวาสนา ไม่ทราบว่าตัวข้าขอซาลาเปาสักสองลูกมาเติมท้องได้หรือไม่”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายยุทธภพ ทั้งสองก็ก็เริ่มสงสัยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือ NPC หรือผู้เล่นกันแน่

ฟังจากลักษณะการพูด เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่เหมือน NPC ทั้งสองเองก็เดินทางอยู่ในยุทธภพมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เคยเห็นแต่หลวงจีนอ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นนักพรตเต๋าอ้วนมาก่อน

เห็นได้ชัดว่ารูปร่างของสหายคนนี้ไม่สอดคล้องกับอาชีพ!

เพียงแต่ซาลาเปาเนื้อก็ไม่ได้ราคาสูง เยี่ยเว่ยหมิงนำซาลาเปาเข่งใหม่มายื่นให้อีกฝ่ายเสียเลย พร้อมถามว่า “เจ้าคือผู้เล่นหรือ NPC”

มีอะไรก็พูดกันตรงๆ นี่ก็คือหลักการของเยี่ยเว่ยหมิง!

นักพรตเต๋าร่างอ้วนหัวเราะแห้งพลางรับซาลาเปามาจากมือเยี่ยเว่ยหมิง จากนั้นตอบว่า “ตัวข้าหนิวจื้อชุนจากสำนักฉวนเจิน เป็นผู้เล่น…ขนานแท้” ขณะที่พูดก็คว้าซาลาเปาร้อนๆ ขึ้นมาลูกหนึ่ง แล้วโยนเข้าปากทั้งลูก

หลังจากกินซาลาเปาหมดหนึ่งลูก หนิวจื้อชุนก็พูดต่อว่า “เดิมทีตอนข้าเข้ามาในเกม ข้าชื่อหนิวต้าชุน ตอนหลังทำภารกิจสำนักสำเร็จหลายครั้ง เมื่อกราบเป็นลูกศิษย์ของนักพรตฉางชุน ชิวชู่จี เขาก็ยืนกรานจะเปลี่ยนชื่อให้ข้าให้ได้ บอกว่าศิษย์รุ่นสามของสำนักฉวนเจินต้องมีชื่อที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ชื่อของข้าก็เลยเปลี่ยนจากหนิวต้าชุนเป็นหนิวจื้อชุนแล้ว”

เมื่อได้ยินเจ้าหมอนี่พูดจาน่าสนใจ เยี่ยเว่ยหมิงก็คุยเรื่อยเปื่อยกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ แล้วถือโอกาสประกาศฐานะของตัวเองกับซานเย่ว์ด้วย

เมื่อสนทนาพาทีไปพอสมควรแล้ว หนิวจื้อชุนก็พลันกดเสียงต่ำ กล่าวอย่างมีลับลมคมในว่า “ตอนอยู่บนสังเวียนด้านนอก พวกเจ้าทั้งสองแสดงฝีมือได้ไม่เลวเลย ไม่ทราบว่าสนใจจะรวมกลุ่มกันหรือไม่ เก็บเกี่ยวป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูสักแผ่น”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลับส่ายหน้าเบาๆ “เกรงว่าเจ้าพวกนั้นคงไม่ให้โอกาสพวกเรา”

ซานเย่ว์กับหนิวจื้อชุนได้ยินแล้วมองลงไปข้างล่าง พบว่า PK โหมดตะลุมบอนสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ ด้วย ยังเหลือผู้เล่นอีกสิบสี่คนที่แบ่งกลุ่มเป็นสองกลุ่ม พวกเขาไม่โจมตี BOSS และไม่ PK ต่อเช่นกัน เพียงจ้องมายังตำแหน่งที่ทั้งสามยืนอยู่อย่างหวาดระแวง

เดาล่วงหน้าได้เลย ว่าถ้าพวกเยี่ยเว่ยหมิงไม่ไป คนพวกนี้ก็จะไม่ก้าวเท้าออกไปแม้แต่ก้าวเดียวแน่นอน

อย่างไรเสียก็ไม่มีใครโง่ คนรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนี้ พวกเขาจะทำเหมือนมองไม่เห็นได้อย่างไร

สาเหตุที่ไม่มีใครเข้ามาเคลียร์สนาม เกรงว่าคงเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากทำงานให้คนอื่นฟรีๆ ก็เท่านั้นเอง

เพราะถึงอย่างไรงานเคลียร์สนามก็ไม่อาจทำให้ได้รับป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตู

เมื่อได้เห็นฉากนี้ หนิวจื้อชุนก็ยิงฟันยิ้ม “ที่ข้าเพิ่งพูดถึงไม่ใช่มนุษย์กลตรงหน้านี้หรอก แต่เป็นสถานที่ลับแห่งหนึ่งที่ข้าอยู่ก่อนหน้านี้ ข้าค้นพบอีกตัวหนึ่ง…

…ที่นั่นลับมาก จนกระทั่งตอนนี้ก็มีแค่ข้าคนเดียวที่รู้จัก แต่พลังโจมตีของข้าคนเดียวมีจำกัด ข้าลองถามตัวเองดูแล้ว พบว่าสังหารให้มันตายภายในเวลาอันสั้นไม่ได้ ข้าถึงไม่ประมาทลงมือ แต่หากรวมพวกเจ้าสองคนด้วย พวกเราก็มีโอกาสบดขยี้มันก่อนที่ผู้เล่นคนอื่นจะหาพบ!…

…ข้าถึงขั้นสำรวจหาทางหนีทีไล่ไว้แล้ว…

…เป็นอย่างไร ทั้งสองสนใจจะร่วมงานกับข้าไหม”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 102 หนิวจื้อชุนแห่งสำนักฉวนเจิน

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 102 หนิวจื้อชุนแห่งสำนักฉวนเจิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 102 หนิวจื้อชุนแห่งสำนักฉวนเจิน

ในเมื่อมีการค้นพบที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม การฆ่าหมาป่าที่มีการรีเฟรชตลอดเวลาก็ย่อมพักไว้ก่อนได้

ขณะเดินทางตามไปยังต้นเสียง ซานเย่ว์ก็อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ “คนออกแบบภารกิจนี้หน้าเนื้อใจเสือเกินไปแล้ว แบบนี้ต้องการให้ผู้เล่นที่เข้าร่วมภารกิจเข่นฆ่ากันเองชัดๆ เลย”

เท้าขวาเยี่ยเว่ยหมิงแตะเบาๆ บนก้อนหินที่นูนขึ้นมา ตัวเบาจนลอยไปทางก้อนหินสีขาวอีกก้อนราวกับนกนางแอ่น ปากก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “สงสัยเจ้าจะเพิ่งรู้สินะ”

แล้วไม่ใช่หรอกหรือ

ดูในกติกาภารกิจสิ ตรงที่บอกว่าหากผู้เล่นเข่นฆ่ากันเองจะได้รับคะแนนทั้งหมดจากตัวผู้เล่นอีกฝ่าย แค่นี้ก็มองออกแล้วว่าตระกูลมู่หรงไม่ใช่สำนักลับที่ดีงามอะไรแน่นอน

“พูดอย่างนี้ก็ไม่ผิด” ซานเย่ว์ยังคงขุ่นเคืองนิดหน่อย “ถ้าเสียงนั่นมาจากมนุษย์กลจริงๆ พวกเราก็ต้องปรับกระบวนการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับเจตนาชั่วร้ายของพวกเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังเลี้ยงแมลงพิษ!”

หากเป็นเพียงการฆ่าเพื่อเอาคะแนนสะสม มีความระแวงระหว่างผู้เล่นด้วยกันเอง ก็อาจไม่ก่อให้เกิดการนองเลือดเสมอไป

เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงคะแนนเล็กน้อยเท่านั้น เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีความมั่นใจ ผู้เล่นที่ใจเย็นหน่อยก็จะไม่นำผลลัพธ์จากความพยายามในหลายชั่วโมงของตัวเองไปเทหมดหน้าตัก

แต่มนุษย์กลนี้กลับไม่เหมือนกัน เพราะในภารกิจกล่าวไว้ชัดเจนแล้ว ว่าในดันเจี้ยนนี้มีเจ้าสิ่งนี้เพียงสิบตัว เป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างแท้จริงในดันเจี้ยน หากบังเอิญพบมัน ก็จะต้องพยายามช่วงชิงสุดชีวิตแน่นอน

เนื่องจากเทียบกับป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูของตระกูลมู่หรงแล้ว มูลค่าคะแนนสะสมของพวกเขาก็ไม่ควรค่าให้กล่าวถึงเลยสักนิด

เดิมทีในแผนที่ใหญ่ขนาดนี้ซ่อนมนุษย์กลไว้สิบตัว ผู้เล่นยังมีโอกาสรวยแบบเงียบๆ พอสมควร แต่หากมนุษย์กลทุกตัวมีวิธีการเรียกอย่างนี้ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องคัดเลือกผู้ชนะคนสุดท้ายจากศึกใหญ่คลุ้งคาวเลือดแล้ว

ความจริงก็เป็นอย่างที่พวกเขาคาดไว้เช่นกัน ตอนที่ทั้งสองมาถึงแหล่งกำเนิดเสียงนั้น ก็เห็นผู้เล่นยี่สิบกว่าคนกำลังเข่นฆ่ากันโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มนุษย์กลทองแดงที่สูงสองเมตรกว่าตัวหนึ่งกำลังเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ระหว่างผู้เล่นเหล่านั้น แต่กลับไม่มีใครสนใจ

ในตอนนี้เอง อาวุธลับของหนึ่งในผู้เล่นเหล่านั้นตกลงบนตัวมนุษย์กลทองแดง ทำให้มนุษย์กลทองแดงส่งเสียงขลุ่ยสะอื้นเหมือนก่อนหน้านี้ทันที จากนั้นก็ก้าวเดินอย่างหนักแน่นจนภูเขาสะท้านแผ่นดินสะเทือน ไล่ตามผู้เล่นสำนักถังเหมินคนนั้นไป

ผู้เล่นสำนักถังเหมินมีหรือจะกล้าปะทะกับคนประหลาดขนาดมหึมาตัวนี้ซึ่งหน้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายมาก็เลี้ยวหนีทันที ทว่าในตอนนี้เอง ผู้เล่นเส้าหลินที่ถูกเขายิงโจมตีรัวๆ ก่อนหน้านี้กลับมาขวางทางเขาไว้ และเมื่อถูกขวางทางไว้อย่างนี้ ไม่นานเขาก็ถูกมนุษย์กลทองแดงตามทัน จากนั้นโดนโจมตีสองสามทีก็กลายเป็นแสงสีขาวหายไปแล้ว

ส่วนผู้เล่นเส้าหลินที่ใช้วิธียืมดาบฆ่าคนก็เผยรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจ เห็นได้ชัดว่าหัวของผู้เล่นสำนักถังเหมินที่ถูกมนุษย์กลทุบตายถือเป็นของเขาแล้ว คะแนนสะสมของอีกฝ่ายก็ย่อมตกมาอยู่ในชื่อของเขาเช่นกัน

ฉากตรงหน้านี้ เป็นเพียงมุมหนึ่งของฉากตะลุมบอนอันบ้าระห่ำนี้เท่านั้น!

เป้าหมายโจมตีหลักของบรรดาผู้เล่นในตอนนี้ย้ายจากตัวมนุษย์กลทองแดงไปยังตัวผู้เล่นคนอื่นแล้ว บางคนที่ฉลาดหน่อยก็จะทำเหมือนศิษย์เส้าหลินคนนั้น คิดหาทางใช้ประโยชน์จากมนุษย์กลทองแดงที่ทำเป็นแค่ ‘ถูกยั่วให้โจมตีกลับ’ มาวางกับดักคนอื่น มนุษย์และหุ่นยนต์ทำงานร่วมกันอย่างสัมฤทธิ์ผล

ทั้งสนามรบเละเป็นโจ๊กเลยจริงๆ

ทั้งยังมีผู้เล่นที่ทยอยกันมาตามเสียงเหมือนพวกเยี่ยเว่ยหมิง เข้ามาร่วม PK ในศึกอันวุ่นวายนี้เช่นกัน

เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์หยุดอยู่บนก้อนหินกลมขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากสนามต่อสู้สามสิบเมตร พวกเขามองดูการ PK อันโหดร้ายข้างล่าง แล้วเยี่ยเว่ยหมิงก็เริ่มวิเคราะห์ “มนุษย์กลพวกนี้ไม่มีความสามารถในการรุกโจมตี มันมีแต่ถูกยั่วให้โจมตีกลับผู้เล่นที่โจมตีมัน และหลังจากถูกโจมตีแล้ว ก็จะส่งเสียงขลุ่ยแหลมบาดหู…

…การออกแบบอย่างนี้ดูเหมือนกำลังลดระดับความยาก แต่ความจริงกลับลดความระมัดระวังตัวของบรรดาผู้เล่นต่างหาก ทำให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองได้อย่างวางใจยิ่งขึ้น”

ซานเย่ว์พยักหน้าเห็นด้วย แล้วอดถามไม่ได้ว่า “เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรดี ไปเข้าร่วมตะลุมบอนด้วย หรือจะกลับไปฆ่าหมาป่าต่อ”

“เรื่องนี้ไม่รีบหรอก” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ จากนั้นหยิบซาลาเปาออกมาสองเข่ง แล้วหย่อนก้นนั่งลงบนหินกลมเกลี้ยงเกลาก้อนนี้เสียเลย “ก่อนหน้านี้ฆ่าหมาป่าอยู่ตั้งนาน ค่าความหิวเพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน พวกเรากินไปดูไปก่อนดีกว่า”

“เจ้าหมอนี่ แอบชั่วอยู่นะ”

ปากก็บ่นไปอย่างนั้น แต่ซานเย่ว์ก็ยังนั่งลงข้างเยี่ยเว่ยหมิง ขณะที่พูดก็หยิบซาลาเปาขึ้นมากัดคำหนึ่ง “รสชาติไม่เลวเลยนี่”

“ข้ายังมีสุราสยงหวงอีกหลายขวด จะดื่มสักหน่อยไหม”

ซานเย่ว์ได้ยินแล้วมองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างระแวง “นี่เจ้าคงไม่ได้มีเจตนาจะมอมสุราข้าใช่ไหม”

“เชอะ…” เยี่ยเว่ยหมิงเบะปากดูถูก “ในเกมที่ถอดไม่ได้แม้กระทั่งเสื้อผ้า ข้าจะไปมีเจตนาอะไรได้”

“เช่นนั้นก็หมายความว่า หากในเกมตั้งค่าให้ทำได้…”

“หุบปาก! ถ้าพูดต่อถือว่าใกล้ล้ำเส้นแล้วนะ”

……

ทั้งสองกินไปคุยไป พร้อมรับชมฉาก PK อันยิ่งใหญ่ที่แสนวุ่นวายด้านล่าง ถือว่าเป็นประสบการณ์ในการเล่นเกมอีกแบบได้เลย

ทว่าดอกไม้งามเบ่งบานยาก ฉากที่ดีเกิดขึ้นไม่บ่อย บนหินก้อนใหญ่ที่เดิมทีเต็มไปด้วยบรรยากาศปรองดองสุขสันต์ ไม่นานก็ถูกเสียงคำกล่าวของชาวลัทธิเต๋าทำลายจนหมดเกลี้ยง

“ประเสริฐยิ่งนัก!”

หลังจากเสียงคำกล่าวของชาวลัทธิเต๋าดังขึ้น นักพรตเต๋าร่างอ้วนที่สูงประมาณสองเมตรก็เหาะขึ้นมาบนหินก้อนใหญ่ที่พวกเขานั่งอยู่ ร่างกายใหญ่โตบังแดดมิด ทำให้ทั้งสองรู้สึกว่าแสงสว่างตรงหน้ามืดลง

เมื่อเห็นว่าการปรากฏตัวอัน ‘สวยงาม’ ของตัวเองดึงดูดความสนใจของทั้งสองได้อย่างราบรื่น นักพรตเต๋าร่างอ้วนก็ยิ้มเผยฟันพร้อมกล่าวว่า “พบกันคือวาสนา ไม่ทราบว่าตัวข้าขอซาลาเปาสักสองลูกมาเติมท้องได้หรือไม่”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายยุทธภพ ทั้งสองก็ก็เริ่มสงสัยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือ NPC หรือผู้เล่นกันแน่

ฟังจากลักษณะการพูด เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่เหมือน NPC ทั้งสองเองก็เดินทางอยู่ในยุทธภพมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เคยเห็นแต่หลวงจีนอ้วน แต่กลับไม่เคยเห็นนักพรตเต๋าอ้วนมาก่อน

เห็นได้ชัดว่ารูปร่างของสหายคนนี้ไม่สอดคล้องกับอาชีพ!

เพียงแต่ซาลาเปาเนื้อก็ไม่ได้ราคาสูง เยี่ยเว่ยหมิงนำซาลาเปาเข่งใหม่มายื่นให้อีกฝ่ายเสียเลย พร้อมถามว่า “เจ้าคือผู้เล่นหรือ NPC”

มีอะไรก็พูดกันตรงๆ นี่ก็คือหลักการของเยี่ยเว่ยหมิง!

นักพรตเต๋าร่างอ้วนหัวเราะแห้งพลางรับซาลาเปามาจากมือเยี่ยเว่ยหมิง จากนั้นตอบว่า “ตัวข้าหนิวจื้อชุนจากสำนักฉวนเจิน เป็นผู้เล่น…ขนานแท้” ขณะที่พูดก็คว้าซาลาเปาร้อนๆ ขึ้นมาลูกหนึ่ง แล้วโยนเข้าปากทั้งลูก

หลังจากกินซาลาเปาหมดหนึ่งลูก หนิวจื้อชุนก็พูดต่อว่า “เดิมทีตอนข้าเข้ามาในเกม ข้าชื่อหนิวต้าชุน ตอนหลังทำภารกิจสำนักสำเร็จหลายครั้ง เมื่อกราบเป็นลูกศิษย์ของนักพรตฉางชุน ชิวชู่จี เขาก็ยืนกรานจะเปลี่ยนชื่อให้ข้าให้ได้ บอกว่าศิษย์รุ่นสามของสำนักฉวนเจินต้องมีชื่อที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ชื่อของข้าก็เลยเปลี่ยนจากหนิวต้าชุนเป็นหนิวจื้อชุนแล้ว”

เมื่อได้ยินเจ้าหมอนี่พูดจาน่าสนใจ เยี่ยเว่ยหมิงก็คุยเรื่อยเปื่อยกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพ แล้วถือโอกาสประกาศฐานะของตัวเองกับซานเย่ว์ด้วย

เมื่อสนทนาพาทีไปพอสมควรแล้ว หนิวจื้อชุนก็พลันกดเสียงต่ำ กล่าวอย่างมีลับลมคมในว่า “ตอนอยู่บนสังเวียนด้านนอก พวกเจ้าทั้งสองแสดงฝีมือได้ไม่เลวเลย ไม่ทราบว่าสนใจจะรวมกลุ่มกันหรือไม่ เก็บเกี่ยวป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูสักแผ่น”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลับส่ายหน้าเบาๆ “เกรงว่าเจ้าพวกนั้นคงไม่ให้โอกาสพวกเรา”

ซานเย่ว์กับหนิวจื้อชุนได้ยินแล้วมองลงไปข้างล่าง พบว่า PK โหมดตะลุมบอนสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ ด้วย ยังเหลือผู้เล่นอีกสิบสี่คนที่แบ่งกลุ่มเป็นสองกลุ่ม พวกเขาไม่โจมตี BOSS และไม่ PK ต่อเช่นกัน เพียงจ้องมายังตำแหน่งที่ทั้งสามยืนอยู่อย่างหวาดระแวง

เดาล่วงหน้าได้เลย ว่าถ้าพวกเยี่ยเว่ยหมิงไม่ไป คนพวกนี้ก็จะไม่ก้าวเท้าออกไปแม้แต่ก้าวเดียวแน่นอน

อย่างไรเสียก็ไม่มีใครโง่ คนรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนี้ พวกเขาจะทำเหมือนมองไม่เห็นได้อย่างไร

สาเหตุที่ไม่มีใครเข้ามาเคลียร์สนาม เกรงว่าคงเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากทำงานให้คนอื่นฟรีๆ ก็เท่านั้นเอง

เพราะถึงอย่างไรงานเคลียร์สนามก็ไม่อาจทำให้ได้รับป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตู

เมื่อได้เห็นฉากนี้ หนิวจื้อชุนก็ยิงฟันยิ้ม “ที่ข้าเพิ่งพูดถึงไม่ใช่มนุษย์กลตรงหน้านี้หรอก แต่เป็นสถานที่ลับแห่งหนึ่งที่ข้าอยู่ก่อนหน้านี้ ข้าค้นพบอีกตัวหนึ่ง…

…ที่นั่นลับมาก จนกระทั่งตอนนี้ก็มีแค่ข้าคนเดียวที่รู้จัก แต่พลังโจมตีของข้าคนเดียวมีจำกัด ข้าลองถามตัวเองดูแล้ว พบว่าสังหารให้มันตายภายในเวลาอันสั้นไม่ได้ ข้าถึงไม่ประมาทลงมือ แต่หากรวมพวกเจ้าสองคนด้วย พวกเราก็มีโอกาสบดขยี้มันก่อนที่ผู้เล่นคนอื่นจะหาพบ!…

…ข้าถึงขั้นสำรวจหาทางหนีทีไล่ไว้แล้ว…

…เป็นอย่างไร ทั้งสองสนใจจะร่วมงานกับข้าไหม”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+