ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 52 เข้ามาเลย!

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 52 เข้ามาเลย! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 52 เข้ามาเลย!

สเตตัสปลอกข้อมือหนังกบไม่เลวเลย แถมยังเป็นชุดเซ็ตสีเชียว หากรวบรวมได้ครบชุดล่ะก็ สเตตัสจะต้องเจ๋งมากแน่ๆ

น่าเสียดายอยู่เรื่องเดียวก็คือ แม้จะเรียกว่าเป็นปลอกข้อมือ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นอาวุธประเภทนวม จนถึงตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังไม่เคยได้เรียนวิชาหมัดมวยเลย ดังนั้นได้มาก็ไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงเอาไปขายแลกเงิน

ส่วน ‘กระสอบข้าวแสนสาหัส’ นั่น

แม่งเอ๊ย!

ตกลงนี่มันของบ้าบออะไรกัน?

ข้าวสารที่เสียไปแล้วหนึ่งกระสอบ แต่ดันทิ้งไม่ได้ จะทำลายก็ไม่ได้อีก!

ก็คือให้มันมายึดพื้นที่ในกระเป๋าของผู้เล่นไปตลอด เพื่อทำให้อึดอัดใจเล่นอย่างนั้นหรือ?

“เฮ้อ!”

ในขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังสับสนว่าควรจัดการกับกระสอบข้าวนี้อย่างไรดี อีกด้านหนึ่งของสนามรบ จู่ๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมา พอหันกลับไปดู กลับเป็นไป๋จ่านจีที่หลังจากเปิดฉากต่อสู้อันสูสีกับหลินจื้อเพ่ยมาอย่างยาวนาน สุดท้ายก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ซี่โครงซ้ายถูกอีกฝ่ายฟาดลงมาหนึ่งดาบ ทิ้งบาดแผลลึกเห็นกระดูกเอาไว้หนึ่งแผล

ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ การต่อสู้กันระหว่าง NPC ก็แบ่งได้เป็นสองรูปแบบ

โดยปกติแล้วในตอนที่มีผู้เล่นเข้าร่วมต่อสู้กับ NPC รูปแบบการต่อสู้นั้นโดยพื้นฐานแล้วจะไม่ต่างกับการที่ผู้เล่นไปตี BOSS สักเท่าไร แม้จะยังดุดันเช่นเดิม แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นการต่อสู้ที่ถูกจัดสรรมาอย่างเหมาะสมแล้ว การบาดเจ็บแม้จะยังเจ็บอยู่เหมือนเดิม แต่บาดแผลก็จะฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว ความแตกต่างอยู่ที่การลดลงของค่าพลังชีวิต ที่อาจไม่ได้มีผลกระทบมากมายอะไรกับการต่อสู้ครั้งถัดไป

แต่ในการต่อสู้ระหว่าง NPC กับ NPC นี่แหละที่ถือเป็นการต่อสู้แบบจริงจัง ทันทีที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงรักษาไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ถึงขั้นที่ความเจ็บปวดที่ได้รับจากบาดแผลจะส่งผลกระทบต่อการใช้พลังรบของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บได้ในระดับหนึ่งด้วย

ส่วนถ้าจะถามว่าผลกระทบนี้ส่งผลได้มากมายถึงระดับไหน

ถ้าจะให้ชัดเจนก็ยังต้องพิจารณาจากระดับความรุนแรงของอาการบาดเจ็บ ประกอบกับผู้บาดเจ็บจะมีปณิธานหนักแน่นมากแค่ไหน

เยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้กำลังสงสัยสุดๆ ว่าการออกแบบภารกิจนี้จะเป็นแบบ ‘ของเพียงแค่ยังตัดสินการต่อสู้ของฝั่งผู้เล่นไม่ได้ พวกเขาก็จะสู้กันอย่างสูสีแบบนั้นต่อไปตลอด แต่หากผู้เล่นยุติการต่อสู้ได้ เสี่ยวไป๋ก็จะได้รับบาดเจ็บทันที ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความบีบคั้นและความยากให้กับผู้เล่น’

ขอบอกเลยว่า นิสัยใจคอของผู้ออกแบบเกมนี้ช่างโหดเหี้ยม ทำให้คนโกรธจนเป็นบ้าได้จริงๆ!

ขณะมองไป๋จ่านจีที่หลังจากได้รับบาดเจ็บก็ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่อย่างที่สุด เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่มีความคิดจะก่นด่า เขาจับดาบและหมุนตัวกลับไป มือซ้ายชี้ไปยังหลินจื้อเพ่ยผู้ลงมือทำร้ายไป๋จ่านจี รวบรวมลมปราณสู่จุดตันเถียน แล้วตะโกนออกไปว่า “เข้ามาเลย!”

ถังซานไฉ่เห็นดังนั้นจึงรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง

เอาอีกแล้ว…

เป็นดังคาด จากเสียงที่ตะโกนออกไปของเยี่ยเว่ยหมิง หลินจื้อเพ่ยละทิ้งไป๋จ่านจีที่กำลังจะตายอยู่รอมร่อ พุ่งมาสังหารเยี่ยเว่ยหมิงด้วยดวงตาแดงก่ำ

ต่อจากนั้น ก็เริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือด

พอทั้งสองฝ่ายได้ประมือกัน เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกได้ถึงความกดดันบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เจ้าหลินจื้อเพ่ยเลเวลสามสิบห้าที่อยู่ตรงหน้านี้ แข็งแกร่งกว่าอีกสองคนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

คนผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นกำลังภายใน วิชาตัวเบา หรือเคล็ดกระบี่ แต่ละอย่างล้วนสร้างความกดดันรอบด้านให้กับเยี่ยเว่ยหมิง ต่อให้อาศัยการป้องกันของมังกรร่อนล่อหงส์ ก็ยังต่อสู้กันได้อย่างกินกำลังอย่างยิ่ง

และนี่ยังเป็นในสถานการณ์ที่เขากินอาหารเพิ่มสเตตัสมาก่อนที่จะเข้าต่อสู้ ทำให้พละกำลังเพิ่มขึ้นเก้าสิบเจ็ดแต้มด้วยหรอกนะ!

หากไม่ใช่เช่นนั้น ด้วยพลังของเยี่ยเว่ยหมิงในตอนนี้ เกรงว่าจะสู้กับฝ่ายตรงข้ามได้ไม่เกินสามรอบแน่นอน!

หากเป็นการท้าสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง เกรงว่าวันนี้เยี่ยเว่ยหมิงจะต้องจบอยู่แค่ตรงนี้เสียแล้ว เพราะถ้าหลินจื้อเพ่ยอยากจะฆ่าเขา ก็เป็นปัญหาในเรื่องเวลาเท่านั้น

ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่การต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่เป็นสามต่อหนึ่ง

จากที่เยี่ยเว่ยหมิงออกตัวไปรับดาเมจจากหลินจื้อเพ่ย ถังซานไฉ่จึงใช้พลังเพลิงซัพพอร์ตระยะไกลให้เขาทันที แต่หลินจื้อเพ่ยไม่ใช่จีไหลเหย่ เมื่อเผชิญหน้ากับกลยุทธ์ที่คนหนึ่งป้องกันคนหนึ่งโจมตี เขากลับมิได้เกรงกลัว ตวัดกระบี่ยาวในมือขึ้นลงอย่างคล่องแคล่ว ทางหนึ่งก็สร้างความกดดันให้กับเยี่ยเว่ยหมิง ในขณะเดียวกันก็ยังทำให้อาวุธลับที่ถังซานไฉ่ยิงออกมา ร่วงตกลงไปไม่เหลือแม้แต่อันเดียว

เมื่อเผชิญหน้ากับหลินจื้อเพ่ย เยี่ยเว่ยหมิงไม่กล้าแม้แต่จะลองเปลี่ยนเป็นเคล็ดกระบี่วีรสตรีเพื่อช่วยโจมตี

สำหรับความสามารถของตัวเอง ในใจเยี่ยเว่ยหมิงก็พอจะประเมินได้อยู่บ้าง หากในเวลานี้เขากล้าเปลี่ยนเป็นเคล็ดกระบี่วีรสตรีที่เป็นการโจมตีหลัก จุดอ่อนเรื่องการป้องกันที่ไม่เพียงพอของมันจะต้องถูกเปิดเผยออกมาทันที รังแต่จะเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสังหารเขาได้ก่อนเท่านั้น

เพราะฉะนั้นแม้จะต้องสู้จนหมดกำลัง เยี่ยเว่ยหมิงก็ทำได้เพียงใช้ ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ ต่อสู้กับอีกฝ่ายจนถึงที่สุดเท่านั้น

ดีที่สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้ดำเนินต่อเนื่องยาวนานนัก ไป๋จ่านจีที่อยู่อีกทางหนึ่งก็รู้ได้อย่างชัดแจ้งว่าผู้เล่นทั้งสองคนในตอนนี้ยังไม่ใช้คู่ต่อสู้ของหลินจื้อเพ่ย หลังจากทำแผลที่บริเวณใต้ซี่โครงเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปร่วมต่อสู้ด้วย

การเข้าร่วมของไป๋จ่านจีทำให้สถานการณ์พลิกผันขึ้นทันที

ต่อให้ไม่พูดถึงความกล้าหาญในตอนนั้นที่เขาไล่ต้อนหลินจื้อเพ่ยไปจนไร้สิ้นหนทาง ด้วยพลังรบที่เขามีอยู่ในขณะนี้เพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะต่อสู้กับหลินจื้อเพ่ยได้นานเป็นวัน หากจะบอกว่าไป๋จ่านจีกับหลินจื้อเพ่ยนั้นมีพลังที่เทียบเท่ากันก็คงจะไม่เกินจริงนัก

ด้วยความได้เปรียบของการต่อสู้แบบสามต่อหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหลินจื้อเพ่ยก็ยังโดนโจมตีอยู่เนืองๆ เพียงแต่ในสถานการณ์ที่เยี่ยเว่ยหมิงไม่กล้าโจมตีกลับ อีกทั้งการโจมตีของไป๋จ่านจีก็ถูกสกัดไว้ได้นับครั้งไม่ถ้วนนั้น มีเพียงการโจมตีด้วยอาวุธลับของถังซานไฉ่ที่โจมตีโดนเขาได้ ทำให้ทุกครั้งที่ถูกโจมตี พลังชีวิตของเขาลดลงได้เพียงแค่ไม่กี่สิบแต้มเท่านั้น แถมอาวุธลับของถังซานไฉ่ยังไม่ได้โจมตีโดนทุกครั้งด้วย

ในขณะที่กำลังสู้กันอย่างดุเดือดอยู่นั้น ทุกครั้งที่ถังซานไฉ่ปล่อยอาวุธลับออกไปสิบอัน หากมีเพียงสองสามอันที่โจมตีโดนอีกฝ่ายนั่นก็นับว่าไม่เลวแล้ว ที่เหลือถ้าไม่ใช่ว่าหลบได้ก็ถูกโจมตีร่วงไป หรือไม่ก็โดนกำลังภายในของอีกฝ่ายซัดจนปลิว

อันที่จริงแล้ว แทนที่จะบอกว่าหลินจื้อเพ่ยป้องกันการโจมตีของเขาไม่ได้ ไม่สู้บอกว่าว่าอีกฝ่ายอยากจะประหยัดใช้กำลังภายใน จึงสละพลังชีวิตส่วนหนึ่งอย่างมีกลยุทธ์

ทว่าในความจริงแล้ว พลังชีวิตที่ถูกถังซานไฉ่โจมตีไป ก็พอๆ กับระดับความเร็วในการฟื้นฟูเลือดอัตโนมัติพอดี

ในตอนนี้ ไป๋จ่านจีทางหนึ่งก็กำลังต่อสู้อย่างสุดกำลัง พร้อมกับพูดอธิบายให้กับอีกสองคนฟังว่า “หลินจื้อเพ่ยคนนี้ ครั้งวัยเยาว์เป็นศิษย์ที่ว่านอนสอนง่าย ต่อมาละทิ้งคำสอนแล้วหนีออกมา ก่อตั้งค่ายดอกบัว ในช่วงนั้นเขาไปลอบสังหารยอดฝีมือสำนักกระบี่หัวซาน และได้รับตำราลับ ‘กระบี่เร็ววายุคลั่ง’ ที่อีกฝ่ายฝึกฝนมา ในตอนนั้นเอง ทักษะยุทธ์ก็ก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก พวกเจ้าต้องรับมืออย่างระวัง”

อันที่จริงไม่ต้องให้เขาบอก ทั้งเยี่ยเว่ยหมิงและถังซานไฉ่ต่างก็ดูออกว่าเคล็ดกระบี่ของหลินจื้อเพ่ยนี้เร็วผิดธรรมดา ถึงขนาดที่อาศัยเพียงความเร็ว ก็ทำให้ทั้งสามคนใช้ข้อได้เปรียบด้านจำนวนคนโจมตีออกมาได้ไม่เต็มที่

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไป๋จ่านจีอาจจะลองใช้จุดเด่นด้านสเตตัสของตนมาสู้กับอีกฝ่ายหนึ่งต่อไปได้ แต่กำลังภายในของเยี่ยเว่ยหมิงกับถังซานไฉ่จะต้องหมดไปก่อนอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น สถานการณ์การก็มีแต่จะแย่ลงไปกว่าเดิม

ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ดีแน่!

ฉับพลันนั้นก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เยี่ยเว่ยหมิงเปิดปากพูดทันที “พี่ใหญ่เสี่ยวไป๋ ท่านสามารถถ่วงเขาไว้สักสิบลมหายใจได้หรือไม่”

“แค่สิบลมหายใจ” ไป๋จ่านจีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าต่อทันที “ไม่มีปัญหาแน่นอน”

“งั้นก็ลำบากพี่ใหญ่เสี่ยวไป๋แล้ว!” พูดจบเยี่ยเว่ยหมิงเคลื่อนตัวออกจากวงต่อสู้อย่างรวดเร็ว วิ่งไปยังถังซานไฉ่ที่กำลังออกอาวุธอยู่อย่างไม่คิดชีวิต หลินจื้อเพ่ยคิดจะเข้าไปขัดขวาง แต่กลับถูกไป๋จ่านจีที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วสกัดไว้ได้ก่อน

เพราะว่าระยะการโจมตีของอาวุธลับนั้นมีขีดจำกัดเช่นกัน หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงปลดปล่อยท่าร่างแล้ว เมื่อเบนสายตาไปก็ปะทะเข้ากับอีกฝ่ายพอดี ไม่รอให้ถังซานไฉ่เอ่ยถาม ก็ส่งคำเชิญซื้อขายออกไปเรียบร้อย

ถังซานไฉ่ชะงักไปก่อนครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบตอบตกลงด้วยทันที

เยี่ยเว่ยหมิงทางหนึ่งก็รีบวางเข็มปากยุงกับตะปูเจ็ดดาวลงในแถบซื้อขาย พร้อมกันนั้นก็ได้พูดในช่องทีมว่า “พิษร้ายแรงของอาวุธลับทั้งสองอย่างนี้รวมกัน ในโหมดเนื้อเรื่องนี้ แม้แต่อวี๋ไต้เหยียนก็ยังทนไม่ได้ ในโหมดต่อสู้ก็จะทำให้อ่อนแอลงได้ แต่คิดไปคิดมาเจ้าหลินจื้อเพ่ยนั่นก็ไม่อาจเอามาเปรียบกับอวี๋ไต้เหยียนได้ ทันทีที่โดนจะต้องกระทบกับพลังแน่ๆ แต่ว่าโอกาสมีเพียงสองครั้ง ฝากไว้ที่เจ้าแล้ว!”

อาวุธลับพิษร้ายแรง!

พอถังซานไฉ่ได้เห็นอาวุธลับสองชิ้น แววตาก็สว่างวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง

ในฐานะศิษย์สำนักถังเหมิน สำหรับเขาแล้ว เรื่องอานุภาพของพิษนั้น แน่นอนว่าต้องเข้าใจแจ่มแจ้งดีอยู่แล้ว น่าเสียดายที่เกมเปิดเซิร์ฟมาจนถึงตอนนี้ยังไม่นานนัก ต่อให้เป็น ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ สำนักถังเหมินคนนั้นของเขา ก็ทำได้เพียงศึกษาอาวุธลับเฉพาะทางอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ยังศึกษาไม่ถึงขั้นการอาบพิษ

แต่ถึงเขาจะไม่รู้ว่าจะอาบพิษให้อาวุธลับได้อย่างไร แต่อาวุธลับที่อาบพิษมาแล้วใช้อย่างไรนั้น เรื่องนี้เขารู้ดี

“วางใจได้เลย ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”

หลังได้รับคำตอบยืนยันจากถังซานไฉ่แล้ว ทันใดนั้นเยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าที่ที่ตัวเองกำลังยืนอยู่นั้น คล้ายจะกว้างขึ้นมาเลยทีเดียว เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่กลับไป และยกมือขึ้นชี้ไปยังหลินจื้อเพ่ยอีกครั้ง “เข้ามาเลย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 52 เข้ามาเลย!

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 52 เข้ามาเลย! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 52 เข้ามาเลย!

สเตตัสปลอกข้อมือหนังกบไม่เลวเลย แถมยังเป็นชุดเซ็ตสีเชียว หากรวบรวมได้ครบชุดล่ะก็ สเตตัสจะต้องเจ๋งมากแน่ๆ

น่าเสียดายอยู่เรื่องเดียวก็คือ แม้จะเรียกว่าเป็นปลอกข้อมือ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นอาวุธประเภทนวม จนถึงตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังไม่เคยได้เรียนวิชาหมัดมวยเลย ดังนั้นได้มาก็ไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงเอาไปขายแลกเงิน

ส่วน ‘กระสอบข้าวแสนสาหัส’ นั่น

แม่งเอ๊ย!

ตกลงนี่มันของบ้าบออะไรกัน?

ข้าวสารที่เสียไปแล้วหนึ่งกระสอบ แต่ดันทิ้งไม่ได้ จะทำลายก็ไม่ได้อีก!

ก็คือให้มันมายึดพื้นที่ในกระเป๋าของผู้เล่นไปตลอด เพื่อทำให้อึดอัดใจเล่นอย่างนั้นหรือ?

“เฮ้อ!”

ในขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังสับสนว่าควรจัดการกับกระสอบข้าวนี้อย่างไรดี อีกด้านหนึ่งของสนามรบ จู่ๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมา พอหันกลับไปดู กลับเป็นไป๋จ่านจีที่หลังจากเปิดฉากต่อสู้อันสูสีกับหลินจื้อเพ่ยมาอย่างยาวนาน สุดท้ายก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ซี่โครงซ้ายถูกอีกฝ่ายฟาดลงมาหนึ่งดาบ ทิ้งบาดแผลลึกเห็นกระดูกเอาไว้หนึ่งแผล

ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ การต่อสู้กันระหว่าง NPC ก็แบ่งได้เป็นสองรูปแบบ

โดยปกติแล้วในตอนที่มีผู้เล่นเข้าร่วมต่อสู้กับ NPC รูปแบบการต่อสู้นั้นโดยพื้นฐานแล้วจะไม่ต่างกับการที่ผู้เล่นไปตี BOSS สักเท่าไร แม้จะยังดุดันเช่นเดิม แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นการต่อสู้ที่ถูกจัดสรรมาอย่างเหมาะสมแล้ว การบาดเจ็บแม้จะยังเจ็บอยู่เหมือนเดิม แต่บาดแผลก็จะฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว ความแตกต่างอยู่ที่การลดลงของค่าพลังชีวิต ที่อาจไม่ได้มีผลกระทบมากมายอะไรกับการต่อสู้ครั้งถัดไป

แต่ในการต่อสู้ระหว่าง NPC กับ NPC นี่แหละที่ถือเป็นการต่อสู้แบบจริงจัง ทันทีที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงรักษาไม่ได้ภายในเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ถึงขั้นที่ความเจ็บปวดที่ได้รับจากบาดแผลจะส่งผลกระทบต่อการใช้พลังรบของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บได้ในระดับหนึ่งด้วย

ส่วนถ้าจะถามว่าผลกระทบนี้ส่งผลได้มากมายถึงระดับไหน

ถ้าจะให้ชัดเจนก็ยังต้องพิจารณาจากระดับความรุนแรงของอาการบาดเจ็บ ประกอบกับผู้บาดเจ็บจะมีปณิธานหนักแน่นมากแค่ไหน

เยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้กำลังสงสัยสุดๆ ว่าการออกแบบภารกิจนี้จะเป็นแบบ ‘ของเพียงแค่ยังตัดสินการต่อสู้ของฝั่งผู้เล่นไม่ได้ พวกเขาก็จะสู้กันอย่างสูสีแบบนั้นต่อไปตลอด แต่หากผู้เล่นยุติการต่อสู้ได้ เสี่ยวไป๋ก็จะได้รับบาดเจ็บทันที ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความบีบคั้นและความยากให้กับผู้เล่น’

ขอบอกเลยว่า นิสัยใจคอของผู้ออกแบบเกมนี้ช่างโหดเหี้ยม ทำให้คนโกรธจนเป็นบ้าได้จริงๆ!

ขณะมองไป๋จ่านจีที่หลังจากได้รับบาดเจ็บก็ตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่อย่างที่สุด เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่มีความคิดจะก่นด่า เขาจับดาบและหมุนตัวกลับไป มือซ้ายชี้ไปยังหลินจื้อเพ่ยผู้ลงมือทำร้ายไป๋จ่านจี รวบรวมลมปราณสู่จุดตันเถียน แล้วตะโกนออกไปว่า “เข้ามาเลย!”

ถังซานไฉ่เห็นดังนั้นจึงรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง

เอาอีกแล้ว…

เป็นดังคาด จากเสียงที่ตะโกนออกไปของเยี่ยเว่ยหมิง หลินจื้อเพ่ยละทิ้งไป๋จ่านจีที่กำลังจะตายอยู่รอมร่อ พุ่งมาสังหารเยี่ยเว่ยหมิงด้วยดวงตาแดงก่ำ

ต่อจากนั้น ก็เริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือด

พอทั้งสองฝ่ายได้ประมือกัน เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกได้ถึงความกดดันบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เจ้าหลินจื้อเพ่ยเลเวลสามสิบห้าที่อยู่ตรงหน้านี้ แข็งแกร่งกว่าอีกสองคนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

คนผู้นี้ไม่ว่าจะเป็นกำลังภายใน วิชาตัวเบา หรือเคล็ดกระบี่ แต่ละอย่างล้วนสร้างความกดดันรอบด้านให้กับเยี่ยเว่ยหมิง ต่อให้อาศัยการป้องกันของมังกรร่อนล่อหงส์ ก็ยังต่อสู้กันได้อย่างกินกำลังอย่างยิ่ง

และนี่ยังเป็นในสถานการณ์ที่เขากินอาหารเพิ่มสเตตัสมาก่อนที่จะเข้าต่อสู้ ทำให้พละกำลังเพิ่มขึ้นเก้าสิบเจ็ดแต้มด้วยหรอกนะ!

หากไม่ใช่เช่นนั้น ด้วยพลังของเยี่ยเว่ยหมิงในตอนนี้ เกรงว่าจะสู้กับฝ่ายตรงข้ามได้ไม่เกินสามรอบแน่นอน!

หากเป็นการท้าสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง เกรงว่าวันนี้เยี่ยเว่ยหมิงจะต้องจบอยู่แค่ตรงนี้เสียแล้ว เพราะถ้าหลินจื้อเพ่ยอยากจะฆ่าเขา ก็เป็นปัญหาในเรื่องเวลาเท่านั้น

ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่การต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่เป็นสามต่อหนึ่ง

จากที่เยี่ยเว่ยหมิงออกตัวไปรับดาเมจจากหลินจื้อเพ่ย ถังซานไฉ่จึงใช้พลังเพลิงซัพพอร์ตระยะไกลให้เขาทันที แต่หลินจื้อเพ่ยไม่ใช่จีไหลเหย่ เมื่อเผชิญหน้ากับกลยุทธ์ที่คนหนึ่งป้องกันคนหนึ่งโจมตี เขากลับมิได้เกรงกลัว ตวัดกระบี่ยาวในมือขึ้นลงอย่างคล่องแคล่ว ทางหนึ่งก็สร้างความกดดันให้กับเยี่ยเว่ยหมิง ในขณะเดียวกันก็ยังทำให้อาวุธลับที่ถังซานไฉ่ยิงออกมา ร่วงตกลงไปไม่เหลือแม้แต่อันเดียว

เมื่อเผชิญหน้ากับหลินจื้อเพ่ย เยี่ยเว่ยหมิงไม่กล้าแม้แต่จะลองเปลี่ยนเป็นเคล็ดกระบี่วีรสตรีเพื่อช่วยโจมตี

สำหรับความสามารถของตัวเอง ในใจเยี่ยเว่ยหมิงก็พอจะประเมินได้อยู่บ้าง หากในเวลานี้เขากล้าเปลี่ยนเป็นเคล็ดกระบี่วีรสตรีที่เป็นการโจมตีหลัก จุดอ่อนเรื่องการป้องกันที่ไม่เพียงพอของมันจะต้องถูกเปิดเผยออกมาทันที รังแต่จะเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสังหารเขาได้ก่อนเท่านั้น

เพราะฉะนั้นแม้จะต้องสู้จนหมดกำลัง เยี่ยเว่ยหมิงก็ทำได้เพียงใช้ ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ ต่อสู้กับอีกฝ่ายจนถึงที่สุดเท่านั้น

ดีที่สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้ดำเนินต่อเนื่องยาวนานนัก ไป๋จ่านจีที่อยู่อีกทางหนึ่งก็รู้ได้อย่างชัดแจ้งว่าผู้เล่นทั้งสองคนในตอนนี้ยังไม่ใช้คู่ต่อสู้ของหลินจื้อเพ่ย หลังจากทำแผลที่บริเวณใต้ซี่โครงเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปร่วมต่อสู้ด้วย

การเข้าร่วมของไป๋จ่านจีทำให้สถานการณ์พลิกผันขึ้นทันที

ต่อให้ไม่พูดถึงความกล้าหาญในตอนนั้นที่เขาไล่ต้อนหลินจื้อเพ่ยไปจนไร้สิ้นหนทาง ด้วยพลังรบที่เขามีอยู่ในขณะนี้เพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะต่อสู้กับหลินจื้อเพ่ยได้นานเป็นวัน หากจะบอกว่าไป๋จ่านจีกับหลินจื้อเพ่ยนั้นมีพลังที่เทียบเท่ากันก็คงจะไม่เกินจริงนัก

ด้วยความได้เปรียบของการต่อสู้แบบสามต่อหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหลินจื้อเพ่ยก็ยังโดนโจมตีอยู่เนืองๆ เพียงแต่ในสถานการณ์ที่เยี่ยเว่ยหมิงไม่กล้าโจมตีกลับ อีกทั้งการโจมตีของไป๋จ่านจีก็ถูกสกัดไว้ได้นับครั้งไม่ถ้วนนั้น มีเพียงการโจมตีด้วยอาวุธลับของถังซานไฉ่ที่โจมตีโดนเขาได้ ทำให้ทุกครั้งที่ถูกโจมตี พลังชีวิตของเขาลดลงได้เพียงแค่ไม่กี่สิบแต้มเท่านั้น แถมอาวุธลับของถังซานไฉ่ยังไม่ได้โจมตีโดนทุกครั้งด้วย

ในขณะที่กำลังสู้กันอย่างดุเดือดอยู่นั้น ทุกครั้งที่ถังซานไฉ่ปล่อยอาวุธลับออกไปสิบอัน หากมีเพียงสองสามอันที่โจมตีโดนอีกฝ่ายนั่นก็นับว่าไม่เลวแล้ว ที่เหลือถ้าไม่ใช่ว่าหลบได้ก็ถูกโจมตีร่วงไป หรือไม่ก็โดนกำลังภายในของอีกฝ่ายซัดจนปลิว

อันที่จริงแล้ว แทนที่จะบอกว่าหลินจื้อเพ่ยป้องกันการโจมตีของเขาไม่ได้ ไม่สู้บอกว่าว่าอีกฝ่ายอยากจะประหยัดใช้กำลังภายใน จึงสละพลังชีวิตส่วนหนึ่งอย่างมีกลยุทธ์

ทว่าในความจริงแล้ว พลังชีวิตที่ถูกถังซานไฉ่โจมตีไป ก็พอๆ กับระดับความเร็วในการฟื้นฟูเลือดอัตโนมัติพอดี

ในตอนนี้ ไป๋จ่านจีทางหนึ่งก็กำลังต่อสู้อย่างสุดกำลัง พร้อมกับพูดอธิบายให้กับอีกสองคนฟังว่า “หลินจื้อเพ่ยคนนี้ ครั้งวัยเยาว์เป็นศิษย์ที่ว่านอนสอนง่าย ต่อมาละทิ้งคำสอนแล้วหนีออกมา ก่อตั้งค่ายดอกบัว ในช่วงนั้นเขาไปลอบสังหารยอดฝีมือสำนักกระบี่หัวซาน และได้รับตำราลับ ‘กระบี่เร็ววายุคลั่ง’ ที่อีกฝ่ายฝึกฝนมา ในตอนนั้นเอง ทักษะยุทธ์ก็ก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก พวกเจ้าต้องรับมืออย่างระวัง”

อันที่จริงไม่ต้องให้เขาบอก ทั้งเยี่ยเว่ยหมิงและถังซานไฉ่ต่างก็ดูออกว่าเคล็ดกระบี่ของหลินจื้อเพ่ยนี้เร็วผิดธรรมดา ถึงขนาดที่อาศัยเพียงความเร็ว ก็ทำให้ทั้งสามคนใช้ข้อได้เปรียบด้านจำนวนคนโจมตีออกมาได้ไม่เต็มที่

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไป๋จ่านจีอาจจะลองใช้จุดเด่นด้านสเตตัสของตนมาสู้กับอีกฝ่ายหนึ่งต่อไปได้ แต่กำลังภายในของเยี่ยเว่ยหมิงกับถังซานไฉ่จะต้องหมดไปก่อนอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น สถานการณ์การก็มีแต่จะแย่ลงไปกว่าเดิม

ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ดีแน่!

ฉับพลันนั้นก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เยี่ยเว่ยหมิงเปิดปากพูดทันที “พี่ใหญ่เสี่ยวไป๋ ท่านสามารถถ่วงเขาไว้สักสิบลมหายใจได้หรือไม่”

“แค่สิบลมหายใจ” ไป๋จ่านจีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าต่อทันที “ไม่มีปัญหาแน่นอน”

“งั้นก็ลำบากพี่ใหญ่เสี่ยวไป๋แล้ว!” พูดจบเยี่ยเว่ยหมิงเคลื่อนตัวออกจากวงต่อสู้อย่างรวดเร็ว วิ่งไปยังถังซานไฉ่ที่กำลังออกอาวุธอยู่อย่างไม่คิดชีวิต หลินจื้อเพ่ยคิดจะเข้าไปขัดขวาง แต่กลับถูกไป๋จ่านจีที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วสกัดไว้ได้ก่อน

เพราะว่าระยะการโจมตีของอาวุธลับนั้นมีขีดจำกัดเช่นกัน หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงปลดปล่อยท่าร่างแล้ว เมื่อเบนสายตาไปก็ปะทะเข้ากับอีกฝ่ายพอดี ไม่รอให้ถังซานไฉ่เอ่ยถาม ก็ส่งคำเชิญซื้อขายออกไปเรียบร้อย

ถังซานไฉ่ชะงักไปก่อนครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบตอบตกลงด้วยทันที

เยี่ยเว่ยหมิงทางหนึ่งก็รีบวางเข็มปากยุงกับตะปูเจ็ดดาวลงในแถบซื้อขาย พร้อมกันนั้นก็ได้พูดในช่องทีมว่า “พิษร้ายแรงของอาวุธลับทั้งสองอย่างนี้รวมกัน ในโหมดเนื้อเรื่องนี้ แม้แต่อวี๋ไต้เหยียนก็ยังทนไม่ได้ ในโหมดต่อสู้ก็จะทำให้อ่อนแอลงได้ แต่คิดไปคิดมาเจ้าหลินจื้อเพ่ยนั่นก็ไม่อาจเอามาเปรียบกับอวี๋ไต้เหยียนได้ ทันทีที่โดนจะต้องกระทบกับพลังแน่ๆ แต่ว่าโอกาสมีเพียงสองครั้ง ฝากไว้ที่เจ้าแล้ว!”

อาวุธลับพิษร้ายแรง!

พอถังซานไฉ่ได้เห็นอาวุธลับสองชิ้น แววตาก็สว่างวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง

ในฐานะศิษย์สำนักถังเหมิน สำหรับเขาแล้ว เรื่องอานุภาพของพิษนั้น แน่นอนว่าต้องเข้าใจแจ่มแจ้งดีอยู่แล้ว น่าเสียดายที่เกมเปิดเซิร์ฟมาจนถึงตอนนี้ยังไม่นานนัก ต่อให้เป็น ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ สำนักถังเหมินคนนั้นของเขา ก็ทำได้เพียงศึกษาอาวุธลับเฉพาะทางอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ยังศึกษาไม่ถึงขั้นการอาบพิษ

แต่ถึงเขาจะไม่รู้ว่าจะอาบพิษให้อาวุธลับได้อย่างไร แต่อาวุธลับที่อาบพิษมาแล้วใช้อย่างไรนั้น เรื่องนี้เขารู้ดี

“วางใจได้เลย ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”

หลังได้รับคำตอบยืนยันจากถังซานไฉ่แล้ว ทันใดนั้นเยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าที่ที่ตัวเองกำลังยืนอยู่นั้น คล้ายจะกว้างขึ้นมาเลยทีเดียว เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่กลับไป และยกมือขึ้นชี้ไปยังหลินจื้อเพ่ยอีกครั้ง “เข้ามาเลย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+