ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 111 เฟยอวี๋ผู้ปราดเปรื่อง

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 111 เฟยอวี๋ผู้ปราดเปรื่อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 111 เฟยอวี๋ผู้ปราดเปรื่อง

กงเหย่เฉียนมาส่งพวกเขาออกจากประตูใหญ่ของหมู่บ้านชื่อสยา ก็เท่ากับว่าอุดทางถอยของทั้งสามแล้ว ตรงหน้าก็คือผู้เล่นสามสิบกว่าคน แต่ละคนนำอาวุธออกมาแล้ว กำลังวิ่งสังหารมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าดุร้าย กลิ่นอายสังหารพวยพุ่ง

ขณะมองผู้เล่นสามสิบกว่าคนพุ่งเข้ามาทางนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วบอกในช่องทีมว่า [อยากจะออกไปจากที่นี่อย่างสงบ ดูท่าแล้วคงทำได้เพียงสังหารจนเกิดเส้นทางเลือด]

ซานเย่ว์กับหนิวจื้อชุนพยักหน้าพร้อมกัน เตรียมพร้อมลงมือกับคนกลุ่มนี้ทุกเมื่อแล้ว

ตอนนี้ จู่ๆ ทั้งสามก็ได้ยินหนึ่งในคนที่อยู่หน้าสุดของแนวรบฝ่ายตรงข้ามตะโกนเสียงดังว่า “เจ้านักพรตเต๋าคนนั้นนั่นแหละ เขาคือหนิวจื้อชุน ก่อนหน้านี้วางกับดักให้พวกเราตาย ทุกคนลุยพร้อมกันเลย เล่นงานเจ้านั่นให้ตาย!”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้รู้ว่ากลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าก็คือคนที่ถูกพวกเขาวางกับดักจนตายในถ้ำใต้ดินก่อนหน้านี้…

หึหึ คนกลุ่มนั้นที่จิตใจไม่สามัคคีมากพอ ตอนที่แย่งป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูจึงตายเพราะศึกตะลุมบอน

เมื่อเทียบกับเยี่ยเว่ยหมิงที่สุขุมเยือกเย็น หนิวจื้อชุนกลับรู้สึกปวดไข่อยู่พักหนึ่ง

ขอร้องล่ะ!

คนที่ได้ผลประโยชน์สูงสุดก็คือเจ้ามือปราบหน้าเหม็นนั่นแท้ๆ ขนาดมือปราบหญิงคนนั้นยังกอบโกยผลประโยชน์ไปได้มากกว่าข้าด้วยซ้ำ มีสิทธิ์อะไรมาคิดบัญชีความแค้นทั้งหมดกับข้าคนเดียว

มีสิทธิ์อะไร!

ข้าดูเหมือนแพะรับบาปหรือ

ข้าชื่อหนิวจื้อชุนที่แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช้หนิวจื้อชุนที่แปลว่าชนบท!

ข้าไม่ใช่ราชาแห่งแพะรับบาปนะ!

แต่ถึงแม้ในใจจะมีคำด่าว่าฟัคยัวร์มัมเป็นหมื่นล้านคำ เขากลับไม่มีทางเปลี่ยนเป้าหมายความแค้นของกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าได้

อยากจะให้คุยกับพวกเขาด้วยเหตุผลอย่างนั้นหรือ

ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนจะได้คุยกับอาวุธในมือพวกเขามากกว่า!

แต่ยังดีที่วิชาตัวเบาของหนิวจื้อชุนแข็งแกร่งมากพอ เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ก็เลี้ยวหนีทันที

เมื่อเห็นเขาหนีไป คนพวกนั้นที่พุ่งเข้ามาก็เลี้ยวเปลี่ยนหัวหอกทันที ตามไปไล่สังหารหนิวจื้อชุนที่ทำให้พวกเขาสูญเสียรางวัลภารกิจไปหมด

มีเพียงสี่คนที่สังเกตเห็นเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง เพราะช่วงสุดท้ายของศึกชิงป้ายอาญาสิทธิ์ก่อนหน้านี้ เป็นพวกเขาสี่คนถูกฆ่าตายหลังจากเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ลงสนามต่อสู้ ถึงโชคดีได้เห็นทั้งสองคน

เมื่อเห็นว่ามีคนจำตัวเองได้ บนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงก็เผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาทันที ขณะเดียวกันก็กวักมือ กระบี่ชิงจู๋ปรากฏอยู่ในมือเขาแล้ว

คมกระบี่เย็นเฉียบสะท้อนแสงสีเขียวอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ราวกับเป็นไม้ไผ่เขียวหลังฝนตก ดูสดชื่นเย็นสบาย

เมื่อเห็นกระบี่วิเศษสีเขียวชอุ่ม สี่คนที่อยู่ตรงหน้าก็หวนนึกถึงการโจมตีอันน่าสะพรึงที่ปลิดชีพด้วยกระบี่ด้วยทันที พวกเขากลืนน้ำลายพร้อมกันโดยไม่รู้ตัว

สี่คนนี้มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา หนึ่งในนั้นค่อนข้างไหวพริบดี จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ ตะโกนเสียงดังนำขึ้นมาว่า “หนิวจื้อชุนต่ำช้าไร้ยางอาย เอาชีวิตของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้!”

พอพูดจบ ก็เลี้ยวไล่ตามไปทางหนิวจื้อชุนโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา

อีกสามคนไหวตัวช้าไปหน่อย แต่ก็ตระหนักรู้ในทันทีเช่นกัน ขณะที่พวกเขาตะโกนว่า “เอาชีวิตของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้” ก็ไล่ตามสังหารไปทางหนิวจื้อชุนอย่างไม่สนใจอะไรแล้ว

อีกด้านหนึ่ง หากไล่ตามหนิวจื้อชุนทัน นั่นคือการรุมโจมตีแบบสามสิบต่อหนึ่ง แล้วจะแพ้ได้อย่างไร

ส่วนทางด้านนี้ สี่คนโจมตีสองคน แม้จะยังได้เปรียบด้านจำนวนคน แต่ศักยภาพที่แท้จริงของอีกฝ่ายเหนือกว่าพวกเขา ในจุดนี้พวกเขารู้อย่างชัดเจน

สู้ไม่ไหวแน่นอน!

ดังนั้น วิกฤติที่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์กงเหย่เฉียนตั้งใจสร้างให้เยี่ยเว่ยหมิงโดยเฉพาะจึงย้ายไปอยู่บนตัวนักพรตเต๋าหนิวอย่างผิดคาด

ให้พวกเรายืนสงบไว้อาลัยให้เขาสามวินาที

ประเสริฐยิ่งนัก!

หลังจากยืนสงบไว้อาลัยเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็เปิดอินเตอร์เฟสระบบทันที เตะหนิวจื้อชุนออกจากทีมไปแล้ว

ซานเย่ว์กลับหันขวับ ถามเยี่ยเว่ยหมิงว่า “อาหมิง ก่อนหน้านี้ข้าใช้ทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ แน่ใจแล้วว่าสองครั้งที่กงเหย่เฉียนพูดไม่สอดคล้องกัน ตอนแรกที่บอกว่าไม่เคยเห็นของสมบัติของแท้เหล่านั้นเขาไม่ได้โกหก แต่เขาโกหกตรงไหนกันแน่นะ”

“ถ้าจะให้ข้าเดานะ ถ้าเขาได้เห็นของโจรพวกนั้นก่อน เขาก็น่าจะกล้ารับไว้” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเสียงเรียบ “สอดคล้องกับที่หัวหน้าทหารยามสือเยี่ยนหมิงบรรยายไว้พอดี”

“อย่างไรเสีย นอกจากสิ่งนี้ ข้าก็หาคำอธิบายอื่นที่สมเหตุสมผลไม่ได้แล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ แล้วถามกึ่งหยอกล้อว่า “อย่าบอกนะว่าคนที่หากินกับยุทธภพอย่างเขาจะกล้าเป็นกบฏ”

ขณะที่พูด ทั้งสองก็เดินไปทางเมืองซูโจว

ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งจะออกจากประตูใหญ่ของหมู่บ้านชื่อสยาได้สามจั้ง พิราบขาวสิบสามตัวก็พลันปรากฏบนฟ้า พวกมันกระพือปีกแย่งกันบินมา ก่อนจะมาเกาะบนบ่าของเยี่ยเว่ยหมิง

เฟยอวี๋ [ช่วยด้วย!]

เฟยอวี๋ [ช่วยด้วย!]

เฟยอวี๋ [ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!…]

เฟยอวี๋ […]

……

เฟยอวี๋ [ศิษย์พี่เยี่ย เกิดเรื่องกับข้าแล้ว! ถ้าพวกเจ้าออกจากสถานที่พิเศษที่ส่งจดหมายไม่ได้แล้ว กรุณาส่งพิราบสื่อสารมาหาข้าทันที ขอเพียงเจ้าช่วยให้ข้าผ่านด่านยากนี้ไปได้ ต่อไปนี้ข้าจะไม่แย่งตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักมือปราบเทพกับเจ้าแน่นอน!]

เมื่อเห็นจดหมายขอความช่วยเหลือที่ส่งมาอย่างต่อเนื่อง เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก

เป็นเพราะอะไรกันแน่ ถึงทำให้เจ้าคนที่ไม่ยอมแพ้เขามาตลอดยอมก้มหัวขอความช่วยเหลือจากเขาเช่นนี้

เมื่อเห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นของซานเย่ว์ที่อยู่ข้างกัน เยี่ยเว่ยหมิงก็อธิบายให้นางฟังอย่างเรียบง่ายได้ใจความ ขณะเดียวกันก็ส่งพิราบสื่อสารกลับไปให้เฟยอวี๋

[เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…เยี่ยเว่ยหมิง]

หลังจากนั้นสักพัก พิราบขาวก็บินกลับมาทันที

[เฮ้อ…เรื่องมันยาวน่ะ ตอนที่ข้ากำลังทำภารกิจสำนัก ข้าถูกวางกับดักแล้ว!…เฟยอวี๋]

ผ่านไปอีกสามนาที มีพิราบขาวบินมาอีกตัวแล้ว ครั้งนี้เนื้อหาของจดหมายค่อนข้างยาว เฟยอวี๋เล่าเรื่องที่ตัวเองประสบให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้อย่างกระจ่าง

……

ย้อนเวลาไปเมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้

สถานที่ ตีนเขาชิงเฉิง

เฟยอวี๋ปฏิบัติภารกิจที่โหยวจิ้นมอบหมายให้เขา เขาต้องไปตามหาความจริงจากศิษย์คนหนึ่งของสำนักชิงเฉิง และจับเป็นกลับมาที่สำนักมือปราบเทพ

หลังจากสอบสวนไปแล้วทั้งวัน ในที่สุดเฟยอวี๋ก็เล็งไปเป้าหมายไปยังศิษย์สำนักชิงเฉิงคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฟิงเหรินยวน จึงดักซุ่มอยู่บนเส้นทางที่เขาต้องผ่านตอนกลับภูเขา และจับกุมเขาไว้!

หากเรื่องราวเกิดขึ้นเพียงเท่านี้ ภารกิจของเฟยอวี๋ก็จะสำเร็จอย่างราบรื่น และจะสร้างผลงานได้โดดเด่นมากด้วย

ทว่า ตอนที่เขาเตรียมจะควบคุมตัวเฟิงเหรินยวนกลับสำนักมือปราบเทพ กลับบังเอิญเจอชายฉกรรจ์หน้าเหลืองคนหนึ่งเดินผ่านพวกเขาไป

จากนั้น สหายเฟยอวี๋ของพวกเราก็นึกขึ้นได้ถึงคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงตอนทำภารกิจสำนักคุ้มภัยฝูเวย ยิ่งภารกิจนี้มีระดับความสำเร็จสูง ผลประโยชน์ที่ได้รับก็ยิ่งมาก

ดังนั้น ชั่วพริบตาที่สหายเฟยอวี๋ของพวกเราเดินเฉียดกับอีกฝ่าย ก็พลันก้าวขึ้นมาดักตรงหน้าชายฉกรรจ์หน้าเหลืองคนนั้น ใช้ดาบปักวสันต์ในมือขวางอีกฝ่ายไว้

จากนั้นเฟยอวี๋ก็กล่าวอย่างมั่นใจเต็มสิบว่า “แม้บนตัวเจ้าจะไม่ได้สวมเครื่องแบบศิษย์สำนักชิงเฉิง แต่เจ้าต้องเป็นศิษย์สำนักชิงเฉิงเหมือนกันแน่นอน ถึงขนาดว่าเจ้าอาจจะรู้ความจริงในคดีสำนักคุ้มภัยฝูเวยเยอะกว่าเฟิงเหรินยวนด้วย”

“ถึงขั้นว่าเจ้าอาจจะเป็นญาติกับอวี๋ชางไห่ก็เป็นได้ หากปล่อยให้เจ้าจากไป ผลที่ตามมาคงร้ายแรงเกินคาดคิด!”

ชายฉกรรจ์หน้าเหลืองได้ยินแล้วอึ้งไปก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบอย่างใจเย็นมาก “ข้าไม่ใช่ ข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักชิงเฉิงเลย”

“เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องขึ้นอยู่กับเจ้าอย่างนั้นหรือ” เฟยอวี๋ยิ่งพูดยิ่งลำพองใจ “ความสามารถของข้าค่อนข้างพิเศษ ไม่เพียงแค่ไล่ตามคนร้ายได้หมื่นลี้ ทำให้อีกฝ่ายไร้ที่ซ่อน ขณะเดียวกันก็ยังมองทะลุอุปสรรคได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงถูกข้ามองปราดเดียว ข้าก็จะรู้ชื่อของเขาทันที”

สายตาหยอกเย้าของเฟยอวี๋มองสำรวจบนตัวชายฉกรรจ์หน้าเหลือง ก่อนจะพูดต่อว่า “และเจ้า ก็ไม่เพียงแต่ปรากฏตัวในเวลาพิเศษและสถานที่พิเศษเช่นนี้ ถึงขนาดว่าชื่อของเจ้าก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกับศิษย์รุ่น ‘เหริน’ ของสำนักชิงเฉิงด้วย!”

เฟยอวี๋ยิ่งพูดก็ยิ่งลำพองใจ ให้ความรู้สึกเหมือนเชอร์ล็อก โฮมส์เข้าสิง ในดวงตาเล็กที่ไร้ความโดดเด่นก็ยิ่งฉายแววฉลาดหลักแหลม ราวกับมองทะลุทุกอย่าง ทั้งตัวราวกับเดินเข้าไปอยู่ท่ามกลางสถานะพิเศษ ใช้ดาบปักวสันต์ชี้หน้าชายฉกรรจ์หน้าเหลือง “ข้าพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายังไม่ยอมรับตัวตนของตัวเองอีก”

“เหมียวเหรินเฟิ่ง!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 111 เฟยอวี๋ผู้ปราดเปรื่อง

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 111 เฟยอวี๋ผู้ปราดเปรื่อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 111 เฟยอวี๋ผู้ปราดเปรื่อง

กงเหย่เฉียนมาส่งพวกเขาออกจากประตูใหญ่ของหมู่บ้านชื่อสยา ก็เท่ากับว่าอุดทางถอยของทั้งสามแล้ว ตรงหน้าก็คือผู้เล่นสามสิบกว่าคน แต่ละคนนำอาวุธออกมาแล้ว กำลังวิ่งสังหารมาทางพวกเขาด้วยสีหน้าดุร้าย กลิ่นอายสังหารพวยพุ่ง

ขณะมองผู้เล่นสามสิบกว่าคนพุ่งเข้ามาทางนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วบอกในช่องทีมว่า [อยากจะออกไปจากที่นี่อย่างสงบ ดูท่าแล้วคงทำได้เพียงสังหารจนเกิดเส้นทางเลือด]

ซานเย่ว์กับหนิวจื้อชุนพยักหน้าพร้อมกัน เตรียมพร้อมลงมือกับคนกลุ่มนี้ทุกเมื่อแล้ว

ตอนนี้ จู่ๆ ทั้งสามก็ได้ยินหนึ่งในคนที่อยู่หน้าสุดของแนวรบฝ่ายตรงข้ามตะโกนเสียงดังว่า “เจ้านักพรตเต๋าคนนั้นนั่นแหละ เขาคือหนิวจื้อชุน ก่อนหน้านี้วางกับดักให้พวกเราตาย ทุกคนลุยพร้อมกันเลย เล่นงานเจ้านั่นให้ตาย!”

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้รู้ว่ากลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้าก็คือคนที่ถูกพวกเขาวางกับดักจนตายในถ้ำใต้ดินก่อนหน้านี้…

หึหึ คนกลุ่มนั้นที่จิตใจไม่สามัคคีมากพอ ตอนที่แย่งป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูจึงตายเพราะศึกตะลุมบอน

เมื่อเทียบกับเยี่ยเว่ยหมิงที่สุขุมเยือกเย็น หนิวจื้อชุนกลับรู้สึกปวดไข่อยู่พักหนึ่ง

ขอร้องล่ะ!

คนที่ได้ผลประโยชน์สูงสุดก็คือเจ้ามือปราบหน้าเหม็นนั่นแท้ๆ ขนาดมือปราบหญิงคนนั้นยังกอบโกยผลประโยชน์ไปได้มากกว่าข้าด้วยซ้ำ มีสิทธิ์อะไรมาคิดบัญชีความแค้นทั้งหมดกับข้าคนเดียว

มีสิทธิ์อะไร!

ข้าดูเหมือนแพะรับบาปหรือ

ข้าชื่อหนิวจื้อชุนที่แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ ไม่ใช้หนิวจื้อชุนที่แปลว่าชนบท!

ข้าไม่ใช่ราชาแห่งแพะรับบาปนะ!

แต่ถึงแม้ในใจจะมีคำด่าว่าฟัคยัวร์มัมเป็นหมื่นล้านคำ เขากลับไม่มีทางเปลี่ยนเป้าหมายความแค้นของกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าได้

อยากจะให้คุยกับพวกเขาด้วยเหตุผลอย่างนั้นหรือ

ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนจะได้คุยกับอาวุธในมือพวกเขามากกว่า!

แต่ยังดีที่วิชาตัวเบาของหนิวจื้อชุนแข็งแกร่งมากพอ เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ก็เลี้ยวหนีทันที

เมื่อเห็นเขาหนีไป คนพวกนั้นที่พุ่งเข้ามาก็เลี้ยวเปลี่ยนหัวหอกทันที ตามไปไล่สังหารหนิวจื้อชุนที่ทำให้พวกเขาสูญเสียรางวัลภารกิจไปหมด

มีเพียงสี่คนที่สังเกตเห็นเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง เพราะช่วงสุดท้ายของศึกชิงป้ายอาญาสิทธิ์ก่อนหน้านี้ เป็นพวกเขาสี่คนถูกฆ่าตายหลังจากเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ลงสนามต่อสู้ ถึงโชคดีได้เห็นทั้งสองคน

เมื่อเห็นว่ามีคนจำตัวเองได้ บนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงก็เผยรอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้เดียงสาทันที ขณะเดียวกันก็กวักมือ กระบี่ชิงจู๋ปรากฏอยู่ในมือเขาแล้ว

คมกระบี่เย็นเฉียบสะท้อนแสงสีเขียวอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ราวกับเป็นไม้ไผ่เขียวหลังฝนตก ดูสดชื่นเย็นสบาย

เมื่อเห็นกระบี่วิเศษสีเขียวชอุ่ม สี่คนที่อยู่ตรงหน้าก็หวนนึกถึงการโจมตีอันน่าสะพรึงที่ปลิดชีพด้วยกระบี่ด้วยทันที พวกเขากลืนน้ำลายพร้อมกันโดยไม่รู้ตัว

สี่คนนี้มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา หนึ่งในนั้นค่อนข้างไหวพริบดี จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ ตะโกนเสียงดังนำขึ้นมาว่า “หนิวจื้อชุนต่ำช้าไร้ยางอาย เอาชีวิตของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้!”

พอพูดจบ ก็เลี้ยวไล่ตามไปทางหนิวจื้อชุนโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา

อีกสามคนไหวตัวช้าไปหน่อย แต่ก็ตระหนักรู้ในทันทีเช่นกัน ขณะที่พวกเขาตะโกนว่า “เอาชีวิตของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้” ก็ไล่ตามสังหารไปทางหนิวจื้อชุนอย่างไม่สนใจอะไรแล้ว

อีกด้านหนึ่ง หากไล่ตามหนิวจื้อชุนทัน นั่นคือการรุมโจมตีแบบสามสิบต่อหนึ่ง แล้วจะแพ้ได้อย่างไร

ส่วนทางด้านนี้ สี่คนโจมตีสองคน แม้จะยังได้เปรียบด้านจำนวนคน แต่ศักยภาพที่แท้จริงของอีกฝ่ายเหนือกว่าพวกเขา ในจุดนี้พวกเขารู้อย่างชัดเจน

สู้ไม่ไหวแน่นอน!

ดังนั้น วิกฤติที่ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์กงเหย่เฉียนตั้งใจสร้างให้เยี่ยเว่ยหมิงโดยเฉพาะจึงย้ายไปอยู่บนตัวนักพรตเต๋าหนิวอย่างผิดคาด

ให้พวกเรายืนสงบไว้อาลัยให้เขาสามวินาที

ประเสริฐยิ่งนัก!

หลังจากยืนสงบไว้อาลัยเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็เปิดอินเตอร์เฟสระบบทันที เตะหนิวจื้อชุนออกจากทีมไปแล้ว

ซานเย่ว์กลับหันขวับ ถามเยี่ยเว่ยหมิงว่า “อาหมิง ก่อนหน้านี้ข้าใช้ทักษะ ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ แน่ใจแล้วว่าสองครั้งที่กงเหย่เฉียนพูดไม่สอดคล้องกัน ตอนแรกที่บอกว่าไม่เคยเห็นของสมบัติของแท้เหล่านั้นเขาไม่ได้โกหก แต่เขาโกหกตรงไหนกันแน่นะ”

“ถ้าจะให้ข้าเดานะ ถ้าเขาได้เห็นของโจรพวกนั้นก่อน เขาก็น่าจะกล้ารับไว้” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวเสียงเรียบ “สอดคล้องกับที่หัวหน้าทหารยามสือเยี่ยนหมิงบรรยายไว้พอดี”

“อย่างไรเสีย นอกจากสิ่งนี้ ข้าก็หาคำอธิบายอื่นที่สมเหตุสมผลไม่ได้แล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ แล้วถามกึ่งหยอกล้อว่า “อย่าบอกนะว่าคนที่หากินกับยุทธภพอย่างเขาจะกล้าเป็นกบฏ”

ขณะที่พูด ทั้งสองก็เดินไปทางเมืองซูโจว

ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งจะออกจากประตูใหญ่ของหมู่บ้านชื่อสยาได้สามจั้ง พิราบขาวสิบสามตัวก็พลันปรากฏบนฟ้า พวกมันกระพือปีกแย่งกันบินมา ก่อนจะมาเกาะบนบ่าของเยี่ยเว่ยหมิง

เฟยอวี๋ [ช่วยด้วย!]

เฟยอวี๋ [ช่วยด้วย!]

เฟยอวี๋ [ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!…]

เฟยอวี๋ […]

……

เฟยอวี๋ [ศิษย์พี่เยี่ย เกิดเรื่องกับข้าแล้ว! ถ้าพวกเจ้าออกจากสถานที่พิเศษที่ส่งจดหมายไม่ได้แล้ว กรุณาส่งพิราบสื่อสารมาหาข้าทันที ขอเพียงเจ้าช่วยให้ข้าผ่านด่านยากนี้ไปได้ ต่อไปนี้ข้าจะไม่แย่งตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักมือปราบเทพกับเจ้าแน่นอน!]

เมื่อเห็นจดหมายขอความช่วยเหลือที่ส่งมาอย่างต่อเนื่อง เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกเหนือความคาดหมายมาก

เป็นเพราะอะไรกันแน่ ถึงทำให้เจ้าคนที่ไม่ยอมแพ้เขามาตลอดยอมก้มหัวขอความช่วยเหลือจากเขาเช่นนี้

เมื่อเห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นของซานเย่ว์ที่อยู่ข้างกัน เยี่ยเว่ยหมิงก็อธิบายให้นางฟังอย่างเรียบง่ายได้ใจความ ขณะเดียวกันก็ส่งพิราบสื่อสารกลับไปให้เฟยอวี๋

[เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…เยี่ยเว่ยหมิง]

หลังจากนั้นสักพัก พิราบขาวก็บินกลับมาทันที

[เฮ้อ…เรื่องมันยาวน่ะ ตอนที่ข้ากำลังทำภารกิจสำนัก ข้าถูกวางกับดักแล้ว!…เฟยอวี๋]

ผ่านไปอีกสามนาที มีพิราบขาวบินมาอีกตัวแล้ว ครั้งนี้เนื้อหาของจดหมายค่อนข้างยาว เฟยอวี๋เล่าเรื่องที่ตัวเองประสบให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้อย่างกระจ่าง

……

ย้อนเวลาไปเมื่อสามชั่วโมงก่อนหน้านี้

สถานที่ ตีนเขาชิงเฉิง

เฟยอวี๋ปฏิบัติภารกิจที่โหยวจิ้นมอบหมายให้เขา เขาต้องไปตามหาความจริงจากศิษย์คนหนึ่งของสำนักชิงเฉิง และจับเป็นกลับมาที่สำนักมือปราบเทพ

หลังจากสอบสวนไปแล้วทั้งวัน ในที่สุดเฟยอวี๋ก็เล็งไปเป้าหมายไปยังศิษย์สำนักชิงเฉิงคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฟิงเหรินยวน จึงดักซุ่มอยู่บนเส้นทางที่เขาต้องผ่านตอนกลับภูเขา และจับกุมเขาไว้!

หากเรื่องราวเกิดขึ้นเพียงเท่านี้ ภารกิจของเฟยอวี๋ก็จะสำเร็จอย่างราบรื่น และจะสร้างผลงานได้โดดเด่นมากด้วย

ทว่า ตอนที่เขาเตรียมจะควบคุมตัวเฟิงเหรินยวนกลับสำนักมือปราบเทพ กลับบังเอิญเจอชายฉกรรจ์หน้าเหลืองคนหนึ่งเดินผ่านพวกเขาไป

จากนั้น สหายเฟยอวี๋ของพวกเราก็นึกขึ้นได้ถึงคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงตอนทำภารกิจสำนักคุ้มภัยฝูเวย ยิ่งภารกิจนี้มีระดับความสำเร็จสูง ผลประโยชน์ที่ได้รับก็ยิ่งมาก

ดังนั้น ชั่วพริบตาที่สหายเฟยอวี๋ของพวกเราเดินเฉียดกับอีกฝ่าย ก็พลันก้าวขึ้นมาดักตรงหน้าชายฉกรรจ์หน้าเหลืองคนนั้น ใช้ดาบปักวสันต์ในมือขวางอีกฝ่ายไว้

จากนั้นเฟยอวี๋ก็กล่าวอย่างมั่นใจเต็มสิบว่า “แม้บนตัวเจ้าจะไม่ได้สวมเครื่องแบบศิษย์สำนักชิงเฉิง แต่เจ้าต้องเป็นศิษย์สำนักชิงเฉิงเหมือนกันแน่นอน ถึงขนาดว่าเจ้าอาจจะรู้ความจริงในคดีสำนักคุ้มภัยฝูเวยเยอะกว่าเฟิงเหรินยวนด้วย”

“ถึงขั้นว่าเจ้าอาจจะเป็นญาติกับอวี๋ชางไห่ก็เป็นได้ หากปล่อยให้เจ้าจากไป ผลที่ตามมาคงร้ายแรงเกินคาดคิด!”

ชายฉกรรจ์หน้าเหลืองได้ยินแล้วอึ้งไปก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าตอบอย่างใจเย็นมาก “ข้าไม่ใช่ ข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักชิงเฉิงเลย”

“เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องขึ้นอยู่กับเจ้าอย่างนั้นหรือ” เฟยอวี๋ยิ่งพูดยิ่งลำพองใจ “ความสามารถของข้าค่อนข้างพิเศษ ไม่เพียงแค่ไล่ตามคนร้ายได้หมื่นลี้ ทำให้อีกฝ่ายไร้ที่ซ่อน ขณะเดียวกันก็ยังมองทะลุอุปสรรคได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงถูกข้ามองปราดเดียว ข้าก็จะรู้ชื่อของเขาทันที”

สายตาหยอกเย้าของเฟยอวี๋มองสำรวจบนตัวชายฉกรรจ์หน้าเหลือง ก่อนจะพูดต่อว่า “และเจ้า ก็ไม่เพียงแต่ปรากฏตัวในเวลาพิเศษและสถานที่พิเศษเช่นนี้ ถึงขนาดว่าชื่อของเจ้าก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกับศิษย์รุ่น ‘เหริน’ ของสำนักชิงเฉิงด้วย!”

เฟยอวี๋ยิ่งพูดก็ยิ่งลำพองใจ ให้ความรู้สึกเหมือนเชอร์ล็อก โฮมส์เข้าสิง ในดวงตาเล็กที่ไร้ความโดดเด่นก็ยิ่งฉายแววฉลาดหลักแหลม ราวกับมองทะลุทุกอย่าง ทั้งตัวราวกับเดินเข้าไปอยู่ท่ามกลางสถานะพิเศษ ใช้ดาบปักวสันต์ชี้หน้าชายฉกรรจ์หน้าเหลือง “ข้าพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายังไม่ยอมรับตัวตนของตัวเองอีก”

“เหมียวเหรินเฟิ่ง!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+