ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 67 ฝ่าวงล้อมอย่างไร

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 67 ฝ่าวงล้อมอย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 67 ฝ่าวงล้อมอย่างไร

หลังจากตกลงซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยเฉพาะเยี่ยเว่ยหมิงที่ได้สวมแหวนกระบี่อวิ๋นไถ เพียงชักกระบี่ชิงจู๋ออกมาอย่างสบายมือก็เกิดประกายคมกระบี่หลายดอก ท่วงท่าสง่างาม บนใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มพึงพอใจ

เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจกับเอฟเฟ็กต์ความเร็วที่มากับแหวนวงนี้มาก เพียงแต่เฟยอวี๋ที่มองอยู่ข้างๆ กลับหมั่นไส้จนกัดฟันกรอด

อันที่จริง เอฟเฟ็กต์ของแหวนวงนี้ก็ยอดมากจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงการเพิ่มโจมตีกับป้องกัน แค่ความเร็วในการโจมตีเคล็ดกระบี่ที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียว ก็ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกถึงความแตกต่างตอนที่ใช้กระบี่ได้อย่างชัดเจนแล้ว

แม้ความแตกต่างจะไม่ได้ชัดเจนมาก แต่กลับมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นแล้วจริงๆ

ต้องทราบไว้ว่า ยามยอดฝีมือต่อสู้กัน ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยทำให้เกิดความแตกต่างพันลี้

อีกทั้งหลังจากผ่านการทดสอบเมื่อครู่นี้ ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจแล้วเช่นกัน นั่นก็คือ ‘ความเร็วในการโจมตีเคล็ดกระบี่’ ที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่การเพิ่มขึ้นของกลไก แต่เป็นการขยายขีดจำกัดความเร็วตอนเขาใช้กระบี่โจมตี หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ตอนที่เขาอยากจะให้กระบี่ของตัวเองเร็วกว่านี้อีกหน่อย ค่าสถานะนี้ก็จะแสดงบทบาทของมัน ในทางกลับกัน หากอยากจะให้กระบี่ของตัวเองช้าลง ก็ทำให้ช้าลงได้เช่นกัน

เป็นของดีจริงๆ ด้วย!

เมื่อปรึกษากันภายในทีมเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าทีมหุ่นเชิดของสำนักมือปราบเทพ…เอิ่ม ไม่ใช่สิ แม่นางซานเย่ว์ผู้เป็นหัวหน้าทีมก็ไปหาหลินเจิ้นหนานอีก “เจ้าสำนักคุ้มภัยหลิน เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”

“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ” หลินเจิ้นหนานได้ยินแล้วอดถามอย่างประหลาดใจไม่ได้ “หากออกเดินทางตอนนี้ จะเร่งรีบเกินไปหรือเปล่า พวกเรายังเตรียมตัวไม่เรียบร้อยเลย”

“แต่พวกเราเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงคอยพิมพ์อักษรบัญชาการอยู่ในช่องทีม ซานเย่ว์รับหน้าที่ถ่ายทอดเป็นคำพูด “และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ศัตรูก็ไม่ได้เตรียมตัวเหมือนกัน หากออกเดินทางตอนนี้ ถึงจะกุมอำนาจฝ่ายรุกไว้ในมือตัวเองได้มากที่สุด”

เมื่อหลินเจิ้นหนานได้ยินว่าการหารือได้รับการพิจารณาแล้ว ก็กล่าวทันทีว่า “พวกเราจะไปเตรียมเงินค่าจ้างคุ้มภัย ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว” เมื่อพูดจบ เขาก็วิ่งเหยาะไปทางโถงหลังด้านของสำนักคุ้มภัย

แม้ในใจลึกๆ ของหลินเจิ้นหนานจะเป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่ง แต่เขาก็เข้าใจหลักการ ‘ความเร็วคือหัวใจสำคัญของปฏิบัติการทางทหาร’ เช่นกัน จึงไม่ชักช้าแม้แต่น้อย กลับเป็นหลินผิงจือที่อยู่ข้างกันที่กล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “แต่ตอนนี้ยังเป็นเวลากลางวันนะ พวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกันหลายคนขนาดนี้ จะไม่สะดุดตาไปหน่อยหรือ เหตุใดไม่รอให้ถึงตอนค่ำแล้วค่อยออกเดินทาง”

ช่างเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาเสียจริง

เฟยอวี๋ที่แน่ใจแล้วว่าหลินผิงจือไม่ใช่ตัวละครธรรมดาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วตบบ่าเขาพร้อมชี้แนะอย่างจริงใจว่า “หัวหน้าคุ้มภัยน้อย เจ้าอยากแสดงความฉลาด แต่กลับกลายเป็นทำให้เสียเรื่องแล้ว! เจ้าต้องจำไว้นะว่าพวกเราเป็นทหาร พวกเขาต่างหากที่เป็นโจร ดังนั้นยิ่งเป็นตอนกลางวันแสกๆ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อพวกเรา”

หลังจากหยุดไปครู่เดียว เขาก็ถามกลับอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่าหากพวกเราออกเดินทางตอนกลางคืน จะปิดบังหูตาของพวกเขาได้หรือ”

หลินผิงจือพยักหน้าสื่อว่าได้รับคำชี้แนะแล้ว ตามด้วยบอกว่า “ความผิดที่ข้าก่อ ข้ายินดีแบกรับไว้คนเดียว หวังเพียงว่าตอนที่พวกเจ้าพาข้าออกไป จะไม่ใส่เครื่องจองจำข้า แม้ทักษะยุทธ์ของข้าจะต่ำต้อย แต่ข้าก็ไม่อยากกลายเป็นตัวถ่วง”

สำหรับคำขอที่มีเหตุผลของหนุ่มน้อยสุดหล่อหลินผิงจือ ทุกคนของสำนักมือปราบเทพเห็นด้วย

ส่วนเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังก็ยิ่งไม่ได้ซับซ้อนเลย

เนื่องจากบนตัวของพวกเยี่ยเว่ยหมิง ไม่มีใครพกไอเทมประเภทเครื่องจองจำอะไรมาทั้งนั้น

อย่างไรเสียสำนักมือปราบเทพก็ไม่เหมือนกับหน่วยงานทั่วไป คนที่พวกเขาต้องรับมือล้วนเป็นคนในยุทธภพที่ชั่วช้าสารเลว หากอยากจะจับเป็นก็เป็นการดันทุรังทำเรื่องยากเกินไป พวกเขาโน้มเอียงไปทางการจับตายคามากกว่า

ตั้งแต่เริ่มทำงานนี้มาจนถึงปัจจุบัน หลินผิงจือเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกที่ไม่ขัดขืนพวกเขา

ขณะที่พูดอยู่นั้น หลินเจิ้นหนานนำเงินถุงใหญ่ที่เตรียมไว้สะพายหลังแล้ว หลังจากสั่งงานผู้คุ้มภัยกับคนงานในสำนักคุ้มภัยพักหนึ่ง ขบวนเดินทางเก้าคนที่ประกอบด้วยทีมเล็กของสำนักมือปราบเทพและสามพ่อแม่ลูกตระกูลหลินก็ออกจากประตูใหญ่สีแดงของสำนักคุ้มภัยฝูเวยอย่างเอิกเกริก

ด้านนอกประตูใหญ่ แผ่นหินที่เขียนตัวอักษรเลือดไว้ว่า ‘ออกจากประตูสิบก้าว ตาย’ ยังคงสะดุดตาสะเทือนใจ นอกจากแผ่นหินก็ยังมีกลุ่มคนที่แต่งกายเหมือนผู้เล่นยืนอยู่สิบกว่าคน กำลังลับอาวุธรอต่อสู้

เมื่อได้เห็นฉากนี้ หลินเจิ้นหนานก็อดขี้ขลาดกวาดกลัวไม่ได้ ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็กวักมือ “ศัตรูยังมีจำนวนเท่ากับก่อนหน้านี้ ไม่มีอะไรน่ากลัว ตามข้าฝ่าออกไป!”

เยี่ยเว่ยหมิงพูดพลางบุกนำไปก่อน ชักกระบี่ชิงจู๋เบิกทางอยู่ข้างหน้า ส่วนคนที่เหลือก็ตามติดอยู่ข้างหลังเขา

“บัดซบ! นึกไม่ถึงว่าจะกล้าฝ่าวงล้อมซึ่งๆ หน้า เจ้าพวกนี้มันกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!”

“กำจัดพวกเขา!”

“ใช่! ทำให้พวกเขาตายให้หมด!”

“อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!…”

……

กลุ่มผู้เล่นที่ดักอยู่ตรงประตู หลังจากได้เห็นพวกเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว ก็เรียกได้ว่าเอ็ดตะโรอย่างกำเริบเสิบสาน ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงคิดว่ากำลังจะเกิดศึกเดือดที่น่าเวทนากว่าตอนเข้าประตูมา คนกลุ่มนี้กลับตะโกนว่าจะโจมตีพร้อมทั้งหลีกทางเดินให้พวกเขาทางหนึ่ง ทยอยกันออกจากขอบเขตการโจมตีของกระบี่ชิงจู๋ของเยี่ยเว่ยหมิง

จากนั้นก็ยืนอยู่สองข้างทางและตะโกนว่าจะฆ่าพวกเขาต่อไป

จะว่าไปแล้ว คนพวกนี้คงไม่ได้สมองมีปัญหาหรอกใช่ไหม

เพียงแต่ตอนนี้ต้องทำงานแข่งกับเวลา สำหรับทีมของสำนักมือปราบเทพ ผู้เล่นทั่วไปเหล่านี้ไม่ได้น่ากลัวเลย อย่างมากก็แค่ถ่วงเวลาพวกเขาได้นิดหน่อยเท่านั้น

อย่างไรเสียระหว่างผู้เล่นทั่วไปกับยอดฝีมือ ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย

คนที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจริงๆ ก็คือ NPC ยอดฝีมือฝ่ายศัตรู

หรือถ้าพูดให้ชัดเจนตรงไปตรงมากว่านั้นก็คือ เป็นสำนักชิงเฉิงที่มาฝูโจว ถึงขั้นอาจจะเป็น NPC ยอดฝีมือที่รวมอวี๋ชางไห่ไว้ในนั้นด้วย!

ครั้งนี้พวกเขาทำศึกฝ่าวงล้อม เดิมพันว่าต้องส่งสามพ่อแม่ลูกตระกูลหลินไปให้ถึงสำนักคุ้มภัยทงเทียนสาขาฝูโจวก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะรู้ตัว

หากไปถึงก่อนแม้เพียงวินาทีเดียว ก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น ไม่อย่างนั้นใครจะรู้ว่าวินาทีถัดไป อวี๋ชางไห่ที่อยู่ในฐานะเจ้าสำนักจะกระโดดออกมาเล่นบทโหดกับพวกเขากะทันหันหรือเปล่า

ส่วนผู้เล่นพวกนี้จะเล่นลูกไม้อะไร ตอนนี้เขากลับไม่มีกะจิตกะใจจะมาครุ่นคิดเรื่องนี้

สิ่งที่ทำให้พวกเยี่ยเว่ยหมิงไม่เข้าใจก็คือ จนกระทั่งพวกเขาเดินออกจากซอย สลัดพวกผู้เล่นทิ้งไว้ข้างหลังได้ร้อยเมตร ก็ยังไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีจะไล่ตามมา ราวกับว่าจุดประสงค์ที่พวกเขามาดักประตูไว้ ก็เพื่อจะพูดปากเปล่าเฉยๆ ว่าจะสู้ตายกับพวกเยี่ยเว่ยหมิง

ทว่าความจริงจะเหลวไหลลวงโลกถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ความจริงก็เหลวไหลอย่างนี้แหละ ความจริงก็ไร้เหตุผลอย่างนี้

ตอนแรกที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งสังหารพวกลูกชิ้นน้อยเชอร์รี่ หลังจากเข้าสำนักคุ้มภัยฝูเวยมาแล้ว คนกลุ่มนี้ที่ได้รับภารกิจมาพร้อมกับพวกนั้นก็ได้รับพิราบส่งจดหมายจากพวกลูกชิ้นแล้ว

เนื้อหาในจดหมายคร่าวๆ ก็คือ พวกข้าถูกสังหารตายแล้ว พวกเขาบอกว่าตัวเองเป็นคนของสำนักมือปราบเทพ พิลึกคนเกินไปแล้ว!

พวกเขาไม่เพียงแค่มีศักยภาพแข็งแกร่ง หกคนนี้สังหารพวกเราสิบคนโดยที่ฝ่ายตัวเองไม่เสียสมาชิกเลย อีกทั้งหลังจากพวกเราถูกสังหารแล้ว ก็นึกไม่ถึงว่าจะไม่ได้ฟื้นชีพที่จุดฟื้นชีพของเมืองฝูโจว แต่ไปฟื้นชีพในคุกใหญ่ของสำนักมือปราบเทพแทน!

ใครไม่เคยฆ่าคนก็ยังดีหน่อย ถูกคุมขังเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ส่วนพวกที่เคยฆ่าคนก็ซวยแล้ว NPC ทุกคนของสำนักคุ้มภัยฝูเวยที่เคยฆ่าไป ก็จะเพิ่มโทษไปคนละสามชั่วโมง ไม่มีลดหย่อน!

โอ้สวรรค์! นี่ยังมีกฎเกณฑ์อยู่ไหม ยังมีกฎหมายอยู่ไหม?

ที่ดวงซวยที่สุดก็คือลูกชิ้นน้อยเชอร์รี่ เพราะก่อนหน้านี้นางสังหาร NPC ของสำนักคุ้มภัยฝูเวยที่ทดลองหนีออกมาห้าคน ต้องติดคุกสิบหกชั่วโมงกว่าจะถูกปล่อยออกมา!

หลังจากรู้ว่าเมื่อถูกฆ่าแล้วจะต้องเผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้ ถามหน่อยว่ายังจะมีใครมาสู้ตายกับพวกเยี่ยเว่ยหมิงอีกไหม

หากไม่ใช่เพราะ NPC ลึกลับที่แจกภารกิจก็เหี้ยมโหดใจดำเหมือนกัน สังหารผู้เล่นที่หมายจะละทิ้งภารกิจต่อหน้าพวกเขา เกรงว่าพวกเขาคงจะทิ้งภารกิจนี้ไปนานแล้ว ควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นไปแล้ว

เพียงแต่การไม่ให้ละทิ้งภารกิจนั้นไม่ได้สำคัญ พวกเขาแอบกินแรงเพื่อนได้! แล้วใครจะมาทำอะไรพวกเขาได้อีก

อีกด้านหนึ่ง หลังจากพวกเยี่ยเว่ยหมิงฝ่าวงล้อมชั้นแรกของศัตรูได้โดยมือไม่เปื้อนเลือด ในที่สุดก็เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว

NPC สี่คนที่มาจากสำนักชิงเฉิงที่แม้จะโพกผ้าดำทั้งหมด แต่ชื่อที่ลอยอยู่เหนือศีรษะกลับแสดงฐานะของพวกเขาชัดเจน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 67 ฝ่าวงล้อมอย่างไร

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 67 ฝ่าวงล้อมอย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 67 ฝ่าวงล้อมอย่างไร

หลังจากตกลงซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยเฉพาะเยี่ยเว่ยหมิงที่ได้สวมแหวนกระบี่อวิ๋นไถ เพียงชักกระบี่ชิงจู๋ออกมาอย่างสบายมือก็เกิดประกายคมกระบี่หลายดอก ท่วงท่าสง่างาม บนใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มพึงพอใจ

เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจกับเอฟเฟ็กต์ความเร็วที่มากับแหวนวงนี้มาก เพียงแต่เฟยอวี๋ที่มองอยู่ข้างๆ กลับหมั่นไส้จนกัดฟันกรอด

อันที่จริง เอฟเฟ็กต์ของแหวนวงนี้ก็ยอดมากจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงการเพิ่มโจมตีกับป้องกัน แค่ความเร็วในการโจมตีเคล็ดกระบี่ที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียว ก็ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกถึงความแตกต่างตอนที่ใช้กระบี่ได้อย่างชัดเจนแล้ว

แม้ความแตกต่างจะไม่ได้ชัดเจนมาก แต่กลับมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นแล้วจริงๆ

ต้องทราบไว้ว่า ยามยอดฝีมือต่อสู้กัน ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยทำให้เกิดความแตกต่างพันลี้

อีกทั้งหลังจากผ่านการทดสอบเมื่อครู่นี้ ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจแล้วเช่นกัน นั่นก็คือ ‘ความเร็วในการโจมตีเคล็ดกระบี่’ ที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่การเพิ่มขึ้นของกลไก แต่เป็นการขยายขีดจำกัดความเร็วตอนเขาใช้กระบี่โจมตี หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ตอนที่เขาอยากจะให้กระบี่ของตัวเองเร็วกว่านี้อีกหน่อย ค่าสถานะนี้ก็จะแสดงบทบาทของมัน ในทางกลับกัน หากอยากจะให้กระบี่ของตัวเองช้าลง ก็ทำให้ช้าลงได้เช่นกัน

เป็นของดีจริงๆ ด้วย!

เมื่อปรึกษากันภายในทีมเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าทีมหุ่นเชิดของสำนักมือปราบเทพ…เอิ่ม ไม่ใช่สิ แม่นางซานเย่ว์ผู้เป็นหัวหน้าทีมก็ไปหาหลินเจิ้นหนานอีก “เจ้าสำนักคุ้มภัยหลิน เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”

“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ” หลินเจิ้นหนานได้ยินแล้วอดถามอย่างประหลาดใจไม่ได้ “หากออกเดินทางตอนนี้ จะเร่งรีบเกินไปหรือเปล่า พวกเรายังเตรียมตัวไม่เรียบร้อยเลย”

“แต่พวกเราเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงคอยพิมพ์อักษรบัญชาการอยู่ในช่องทีม ซานเย่ว์รับหน้าที่ถ่ายทอดเป็นคำพูด “และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ศัตรูก็ไม่ได้เตรียมตัวเหมือนกัน หากออกเดินทางตอนนี้ ถึงจะกุมอำนาจฝ่ายรุกไว้ในมือตัวเองได้มากที่สุด”

เมื่อหลินเจิ้นหนานได้ยินว่าการหารือได้รับการพิจารณาแล้ว ก็กล่าวทันทีว่า “พวกเราจะไปเตรียมเงินค่าจ้างคุ้มภัย ประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว” เมื่อพูดจบ เขาก็วิ่งเหยาะไปทางโถงหลังด้านของสำนักคุ้มภัย

แม้ในใจลึกๆ ของหลินเจิ้นหนานจะเป็นเพียงพ่อค้าคนหนึ่ง แต่เขาก็เข้าใจหลักการ ‘ความเร็วคือหัวใจสำคัญของปฏิบัติการทางทหาร’ เช่นกัน จึงไม่ชักช้าแม้แต่น้อย กลับเป็นหลินผิงจือที่อยู่ข้างกันที่กล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “แต่ตอนนี้ยังเป็นเวลากลางวันนะ พวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกันหลายคนขนาดนี้ จะไม่สะดุดตาไปหน่อยหรือ เหตุใดไม่รอให้ถึงตอนค่ำแล้วค่อยออกเดินทาง”

ช่างเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาเสียจริง

เฟยอวี๋ที่แน่ใจแล้วว่าหลินผิงจือไม่ใช่ตัวละครธรรมดาก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วตบบ่าเขาพร้อมชี้แนะอย่างจริงใจว่า “หัวหน้าคุ้มภัยน้อย เจ้าอยากแสดงความฉลาด แต่กลับกลายเป็นทำให้เสียเรื่องแล้ว! เจ้าต้องจำไว้นะว่าพวกเราเป็นทหาร พวกเขาต่างหากที่เป็นโจร ดังนั้นยิ่งเป็นตอนกลางวันแสกๆ ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อพวกเรา”

หลังจากหยุดไปครู่เดียว เขาก็ถามกลับอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่าหากพวกเราออกเดินทางตอนกลางคืน จะปิดบังหูตาของพวกเขาได้หรือ”

หลินผิงจือพยักหน้าสื่อว่าได้รับคำชี้แนะแล้ว ตามด้วยบอกว่า “ความผิดที่ข้าก่อ ข้ายินดีแบกรับไว้คนเดียว หวังเพียงว่าตอนที่พวกเจ้าพาข้าออกไป จะไม่ใส่เครื่องจองจำข้า แม้ทักษะยุทธ์ของข้าจะต่ำต้อย แต่ข้าก็ไม่อยากกลายเป็นตัวถ่วง”

สำหรับคำขอที่มีเหตุผลของหนุ่มน้อยสุดหล่อหลินผิงจือ ทุกคนของสำนักมือปราบเทพเห็นด้วย

ส่วนเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังก็ยิ่งไม่ได้ซับซ้อนเลย

เนื่องจากบนตัวของพวกเยี่ยเว่ยหมิง ไม่มีใครพกไอเทมประเภทเครื่องจองจำอะไรมาทั้งนั้น

อย่างไรเสียสำนักมือปราบเทพก็ไม่เหมือนกับหน่วยงานทั่วไป คนที่พวกเขาต้องรับมือล้วนเป็นคนในยุทธภพที่ชั่วช้าสารเลว หากอยากจะจับเป็นก็เป็นการดันทุรังทำเรื่องยากเกินไป พวกเขาโน้มเอียงไปทางการจับตายคามากกว่า

ตั้งแต่เริ่มทำงานนี้มาจนถึงปัจจุบัน หลินผิงจือเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกที่ไม่ขัดขืนพวกเขา

ขณะที่พูดอยู่นั้น หลินเจิ้นหนานนำเงินถุงใหญ่ที่เตรียมไว้สะพายหลังแล้ว หลังจากสั่งงานผู้คุ้มภัยกับคนงานในสำนักคุ้มภัยพักหนึ่ง ขบวนเดินทางเก้าคนที่ประกอบด้วยทีมเล็กของสำนักมือปราบเทพและสามพ่อแม่ลูกตระกูลหลินก็ออกจากประตูใหญ่สีแดงของสำนักคุ้มภัยฝูเวยอย่างเอิกเกริก

ด้านนอกประตูใหญ่ แผ่นหินที่เขียนตัวอักษรเลือดไว้ว่า ‘ออกจากประตูสิบก้าว ตาย’ ยังคงสะดุดตาสะเทือนใจ นอกจากแผ่นหินก็ยังมีกลุ่มคนที่แต่งกายเหมือนผู้เล่นยืนอยู่สิบกว่าคน กำลังลับอาวุธรอต่อสู้

เมื่อได้เห็นฉากนี้ หลินเจิ้นหนานก็อดขี้ขลาดกวาดกลัวไม่ได้ ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็กวักมือ “ศัตรูยังมีจำนวนเท่ากับก่อนหน้านี้ ไม่มีอะไรน่ากลัว ตามข้าฝ่าออกไป!”

เยี่ยเว่ยหมิงพูดพลางบุกนำไปก่อน ชักกระบี่ชิงจู๋เบิกทางอยู่ข้างหน้า ส่วนคนที่เหลือก็ตามติดอยู่ข้างหลังเขา

“บัดซบ! นึกไม่ถึงว่าจะกล้าฝ่าวงล้อมซึ่งๆ หน้า เจ้าพวกนี้มันกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!”

“กำจัดพวกเขา!”

“ใช่! ทำให้พวกเขาตายให้หมด!”

“อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!…”

……

กลุ่มผู้เล่นที่ดักอยู่ตรงประตู หลังจากได้เห็นพวกเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว ก็เรียกได้ว่าเอ็ดตะโรอย่างกำเริบเสิบสาน ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงคิดว่ากำลังจะเกิดศึกเดือดที่น่าเวทนากว่าตอนเข้าประตูมา คนกลุ่มนี้กลับตะโกนว่าจะโจมตีพร้อมทั้งหลีกทางเดินให้พวกเขาทางหนึ่ง ทยอยกันออกจากขอบเขตการโจมตีของกระบี่ชิงจู๋ของเยี่ยเว่ยหมิง

จากนั้นก็ยืนอยู่สองข้างทางและตะโกนว่าจะฆ่าพวกเขาต่อไป

จะว่าไปแล้ว คนพวกนี้คงไม่ได้สมองมีปัญหาหรอกใช่ไหม

เพียงแต่ตอนนี้ต้องทำงานแข่งกับเวลา สำหรับทีมของสำนักมือปราบเทพ ผู้เล่นทั่วไปเหล่านี้ไม่ได้น่ากลัวเลย อย่างมากก็แค่ถ่วงเวลาพวกเขาได้นิดหน่อยเท่านั้น

อย่างไรเสียระหว่างผู้เล่นทั่วไปกับยอดฝีมือ ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย

คนที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจริงๆ ก็คือ NPC ยอดฝีมือฝ่ายศัตรู

หรือถ้าพูดให้ชัดเจนตรงไปตรงมากว่านั้นก็คือ เป็นสำนักชิงเฉิงที่มาฝูโจว ถึงขั้นอาจจะเป็น NPC ยอดฝีมือที่รวมอวี๋ชางไห่ไว้ในนั้นด้วย!

ครั้งนี้พวกเขาทำศึกฝ่าวงล้อม เดิมพันว่าต้องส่งสามพ่อแม่ลูกตระกูลหลินไปให้ถึงสำนักคุ้มภัยทงเทียนสาขาฝูโจวก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะรู้ตัว

หากไปถึงก่อนแม้เพียงวินาทีเดียว ก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น ไม่อย่างนั้นใครจะรู้ว่าวินาทีถัดไป อวี๋ชางไห่ที่อยู่ในฐานะเจ้าสำนักจะกระโดดออกมาเล่นบทโหดกับพวกเขากะทันหันหรือเปล่า

ส่วนผู้เล่นพวกนี้จะเล่นลูกไม้อะไร ตอนนี้เขากลับไม่มีกะจิตกะใจจะมาครุ่นคิดเรื่องนี้

สิ่งที่ทำให้พวกเยี่ยเว่ยหมิงไม่เข้าใจก็คือ จนกระทั่งพวกเขาเดินออกจากซอย สลัดพวกผู้เล่นทิ้งไว้ข้างหลังได้ร้อยเมตร ก็ยังไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีจะไล่ตามมา ราวกับว่าจุดประสงค์ที่พวกเขามาดักประตูไว้ ก็เพื่อจะพูดปากเปล่าเฉยๆ ว่าจะสู้ตายกับพวกเยี่ยเว่ยหมิง

ทว่าความจริงจะเหลวไหลลวงโลกถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ความจริงก็เหลวไหลอย่างนี้แหละ ความจริงก็ไร้เหตุผลอย่างนี้

ตอนแรกที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งสังหารพวกลูกชิ้นน้อยเชอร์รี่ หลังจากเข้าสำนักคุ้มภัยฝูเวยมาแล้ว คนกลุ่มนี้ที่ได้รับภารกิจมาพร้อมกับพวกนั้นก็ได้รับพิราบส่งจดหมายจากพวกลูกชิ้นแล้ว

เนื้อหาในจดหมายคร่าวๆ ก็คือ พวกข้าถูกสังหารตายแล้ว พวกเขาบอกว่าตัวเองเป็นคนของสำนักมือปราบเทพ พิลึกคนเกินไปแล้ว!

พวกเขาไม่เพียงแค่มีศักยภาพแข็งแกร่ง หกคนนี้สังหารพวกเราสิบคนโดยที่ฝ่ายตัวเองไม่เสียสมาชิกเลย อีกทั้งหลังจากพวกเราถูกสังหารแล้ว ก็นึกไม่ถึงว่าจะไม่ได้ฟื้นชีพที่จุดฟื้นชีพของเมืองฝูโจว แต่ไปฟื้นชีพในคุกใหญ่ของสำนักมือปราบเทพแทน!

ใครไม่เคยฆ่าคนก็ยังดีหน่อย ถูกคุมขังเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ส่วนพวกที่เคยฆ่าคนก็ซวยแล้ว NPC ทุกคนของสำนักคุ้มภัยฝูเวยที่เคยฆ่าไป ก็จะเพิ่มโทษไปคนละสามชั่วโมง ไม่มีลดหย่อน!

โอ้สวรรค์! นี่ยังมีกฎเกณฑ์อยู่ไหม ยังมีกฎหมายอยู่ไหม?

ที่ดวงซวยที่สุดก็คือลูกชิ้นน้อยเชอร์รี่ เพราะก่อนหน้านี้นางสังหาร NPC ของสำนักคุ้มภัยฝูเวยที่ทดลองหนีออกมาห้าคน ต้องติดคุกสิบหกชั่วโมงกว่าจะถูกปล่อยออกมา!

หลังจากรู้ว่าเมื่อถูกฆ่าแล้วจะต้องเผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้ ถามหน่อยว่ายังจะมีใครมาสู้ตายกับพวกเยี่ยเว่ยหมิงอีกไหม

หากไม่ใช่เพราะ NPC ลึกลับที่แจกภารกิจก็เหี้ยมโหดใจดำเหมือนกัน สังหารผู้เล่นที่หมายจะละทิ้งภารกิจต่อหน้าพวกเขา เกรงว่าพวกเขาคงจะทิ้งภารกิจนี้ไปนานแล้ว ควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นไปแล้ว

เพียงแต่การไม่ให้ละทิ้งภารกิจนั้นไม่ได้สำคัญ พวกเขาแอบกินแรงเพื่อนได้! แล้วใครจะมาทำอะไรพวกเขาได้อีก

อีกด้านหนึ่ง หลังจากพวกเยี่ยเว่ยหมิงฝ่าวงล้อมชั้นแรกของศัตรูได้โดยมือไม่เปื้อนเลือด ในที่สุดก็เจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว

NPC สี่คนที่มาจากสำนักชิงเฉิงที่แม้จะโพกผ้าดำทั้งหมด แต่ชื่อที่ลอยอยู่เหนือศีรษะกลับแสดงฐานะของพวกเขาชัดเจน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+