ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 553 โน้ตเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 553 โน้ตเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 553 โน้ตเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร

คนฉลาดสองคนหากมีความจริงใจ เวลาจะทำงานขึ้นมาสักอย่างก็ง่ายมาก

ยกตัวอย่างเช่นเชิญร่ำสุรา เป็นคนฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง เขาเข้าใจชัดเจนว่าต่อให้ตัวเองโผล่มาช่วยกู้สถานการณ์ แต่ก็ไม่อาจได้รับความเชื่อใจจากเยี่ยเว่ยหมิงโดยสมบูรณ์อยู่ดี อย่างน้อยเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่อาจจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก คนเจ้าเล่ห์อย่างเยี่ยเว่ยหมิงไม่มีทางหลับหูหลับตาเชื่อเขาเด็ดขาด

ดังนั้น หลังจากเจอหน้ากันแล้วเขาก็ไม่คุยอะไรทั้งนั้น แต่ให้เยี่ยเว่ยหมิงไปช่วยทีมฟื้นฟูค่าเตตัสก่อน จากนั้นก็ไปส่งมอบภารกิจ

รอให้เยี่ยเว่ยหมิงจัดการเรื่องที่ทำให้ห่วงหน้าพะวงหลังเรียบร้อยแล้ว ทุกคนค่อยนั่งลงคุยกัน

เมื่อเห็นชัดว่าเชิญร่ำสุราแสดงความจริงใจออกมามากพอแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงจึงตอบรับอย่างปลื้มใจเสียเลย

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้เชื่ออีกฝ่ายเต็มร้อยเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียว

อย่างไรเสีย การต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ไม่มียอดฝีมือบาดเจ็บ ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้เลยที่เชิญร่ำสุราจะรวมหัวแสดงละครกับอีกฝ่ายเพราะมีจุดประสงค์อย่างอื่น

ดังนั้น หลังจากกลับมาถึงห้องลับแล้ว เขาก็ยังให้ถังซานไฉ่ฟื้นฟูค่าสเตตัสกลับมาอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด จากนั้นค่อยร่วมมือกับทุกคนคุ้มกัน NPC สามคนออกจากถ้ำ ขณะเดียวกันก็เตรียมรับมือการจู่โจมจากพวกเชิญร่ำสุราทุกเมื่อ

ทว่าพวกเชิญร่ำสุรากลับซื่อสัตย์มาก นำคนถอยออกไปไกลร้อยเมตร ไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาประสมโรงเลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งส่งมอบภารกิจเรียบร้อยแล้ว แจกรางวัลเสร็จแล้ว และไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝันใดๆ แล้ว

[ติ๊ง! ทีมที่คุณอยู่ทำภารกิจใหญ่ ‘ล้างมือในอ่างทองคำ’ สำเร็จ อิงตามค่าผลงาน คุณได้รับรางวัลภารกิจ: ค่าประสบการณ์ 5000000 ค่าตบะ 500000]

เยี่ยเว่ยหมิงเลเวลเพิ่มแล้ว

คนอื่นในทีมก็เลเวลเพิ่มเช่นเดียวกัน

ถึงอย่างไรเยี่ยเว่ยหมิงก็เข้าร่วมภารกิจค่อนข้างช้า หลังจากร่วมภารกิจ แม้จะแสดงความสามารถได้ดีมากพอ แต่เนื่องจากระดับการมีส่วนรวมในภารกิจยังไม่มากพอ รางวัลที่ดีที่สุดของเขาจึงไม่อาจเทียบกับรางวัลของพวกซานเย่ว์ที่เข้าร่วมภารกิจครบทุกขั้นตอน

นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญมาก นั่นก็คือตอนที่ระบบคำนวณค่าผลงานของผู้เล่น วิธีคำนวณการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นกับผู้เล่นจะต้องลดจำนวนค่าผลงานลงแน่นอน

ใช่ว่าเยี่ยเว่ยหมิงสู้กับผู้สืบทอดวิชา ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ คนหนึ่ง สู้กับผู้สืบทอด ‘เคล็ดกระบี่งูทอง’ คนหนึ่งแล้วระบบจะกำหนดรางวัลภารกิจให้เขาแบบเดียวกับการท้าสู้ยอดฝีมือที่มีสุดยอดวิชาสองคน

ในสถานการณ์ปกติ ระบบจะคำนวณปัจจัยบางอย่างอีกนิดหน่อย เช่นจำนวนคนของฝ่ายตรงข้ามที่รับภารกิจและเลเวลภารกิจ ถ้ามีผู้เล่นที่ไม่ได้รับภารกิจมาเข้าร่วมการต่อสู้ ระบบจะกำหนดให้เป็นความแค้นส่วนตัว เมื่อคำนวณรางวัลตอนสุดท้ายก็จะมองข้ามจุดนี้ไป

ผลสุดท้ายก็คือรางวัลภารกิจของเยี่ยเว่ยหมิงเกือบน้อยที่สุดในทีม คนที่ได้รางวัลน้อยกว่าเขามีเพียงโหยวโหยวคนเดียวเท่านั้น

ยังดีที่หลิวเจิ้งเฟิงกับฉวี่หยางยังนับว่าค่อนข้างรู้ความ หลังจากระบบแจกรางวัลภารกิจแล้ว ก็ยังยัดตำราลับให้เยี่ยเว่ยหมิงหนึ่งเล่ม นับว่าเป็นรางวัลพิเศษที่มอบให้ผู้เล่นที่ให้ความช่วยเหลือพวกเขาอย่างใหญ่หลวง

[โน้ตเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร: บทเพลงที่ฉวี่หยางกับหลิวเจิ้งเฟิงร่วมกันแต่ง เป็นสุดยอดดนตรีแห่งยุค! เงื่อนไขการเรียน: ทฤษฎีดนตรีเลเวล 8!]

เยี่ยเว่ยหมิงแม้จะไม่มีความสนใจด้านดนตรี แต่หลังจากเข้าใจเนื้อเรื่องแล้ว ก็รู้เช่นกันว่านี่คือไอเทมภารกิจที่สำคัญมาก ถึงขั้นว่าแม้แต่ภูมิหลังเรื่องราวของภารกิจเนื้อเรื่องขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกันมาตลอดก็ตั้งชื่อจากหนังสือเพลงเล่มนี้เช่นกัน จะเรียกว่าเป็นหนังสือเพลงที่มีรัศมีของตัวเอกก็ไม่ถือว่าเกินไป

ก็เพราะแบบนี้ แม้เขาจะไม่ได้ชอบหนังสือเพลงเล่มนี้มาก แต่ก็เก็บมันไว้อย่างระมัดระวัง

หลังจากแจกรางวัลภารกิจแล้ว ฉวี่หยางก็ถอนตัวออกจากยุทธภพอย่างเป็นทางการ ส่วนหลิวเจิ้งเฟิงก็เข้าราชสำนักเป็นขุนนางชั่วคราว เตรียมจะรอให้แนวโน้มสถานการณ์ช่วงนี้ผ่านไปก่อน แล้วค่อยหาข้ออ้างลากลับบ้านเกิด

แต่พอพิจารณาว่าไม่อยากให้ทายาทของพวกเขาลำบากไปด้วย ฉวี่หยางก็ส่งตัวฉวี่เฟยเยียนให้เจ้าสำนักชิงเฉิงหลินผิงจื่อ ให้นางมีจุดยืนในยุทธภพต่อไปด้วยฐานะศิษย์สำนักชิงเฉิง

อีกทั้งในฐานะที่เป็นยอดฝีมือที่ฝึกสุดยอดวิชา เขาเชื่อว่าด้วยศักยภาพของหลินผิงจื่อ จะรับประกันความปลอดภัยให้ฉวี่เฟยเยียนได้

กระทั่งตอนนี้ ถึงได้ถือว่าทำตามทุกขั้นตอนของภารกิจล้างมือในอ่างทองคำเสร็จสมบูรณ์ พวก NPC ยอดฝีมือจากสำนักใหญ่ต่างๆ ที่มาดูเอาสนุกก็ย่อมแยกย้ายกลับบ้านไปหาแม่ตัวเอง

ในบ้านหลังหนึ่งที่เมืองเปี้ยนจิง เยี่ยเว่ยหมิงเตรียมสุราอาหารเอาไว้เต็มโต๊ะด้วยตัวเองตามที่นัดไว้ ด้านหนึ่งเพื่อฉลองความสำเร็จพร้อมทั้งแสดงความขอบคุณต่อกำลังหนุนจากภายนอกอย่างเชิญร่ำสุราและพวกฉางซิงอวี่

กระทั่งตอนนี้ เชิญร่ำสุราจึงไม่อุบไว้อีกต่อไป อีกทั้งพอเปิดปากพูด ก็เปิดเผยข่าวที่มีน้ำหนักมาก “ขอบคุณมากสำหรับงานเลี้ยงต้อนรับที่เปี่ยมไมตรีของสหายเยี่ย เช่นนั้นข้าขอแนะนำตัวใหม่อีกครั้ง ผู้น้อยคือ…”

เชิญร่ำสุราลากเสียงยาวเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า “ฝ่ายเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานในการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณ ตัวแทนของค้างคาวเหินเคอเจิ้นเอ้อ…เชิญร่ำสุรา!”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วตาเป็นประกายอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรได้มากมาย

เรื่องนี้ก็ไม่แปลก

ฉางซิงอวี่เคยเรียน ‘วิชาทวนฮูเหยียน’ เหมือนจะเป็นหนึ่งในสุดยอดวิชาอันเลื่องชื่อของฉวนจินฟา ด้วยความสามารถอย่างเขา จะได้อันดับหนึ่งในประลองยุทธ์เจ็ดสังกัดก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว

ส่วนหลวงจีนที่อยู่กับสองคนนั้นก็ประสมมือสองข้างพร้อมทักทาย “สถานการณ์ของอาตมาก็ไม่ต่างจากพวกเขานัก เป็นผู้แข่งขันฝ่ายเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานในการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณเช่นกัน ผู้น้อยซูไตจื่อ ศิษย์เส้าหลิน เป็นตัวแทนแข่งขันของอรหันต์ยิ้มอาเซิง”

ตอนนี้ฉางซิงอวี่ที่สนิทกับพวกเยี่ยเว่ยหมิงที่สุดกล่าวเสริมว่า “ซูไตจื่อคนนี้ไม่เพียงแค่พลังฝีมือไม่ธรรมดา ทั้งยังเป็นแกนนำที่รวบรวมกำลังได้สามฝ่าย ครั้งนี้ที่พวกเรารวบรวมยอดฝีมือมากมายขนาดนี้มาช่วยได้ ที่จริงล้วนพึ่งพาความช่วยเหลือจากเขา”

ซูไตจื่อได้ยินแล้วกลับโบกมือ “กับเรื่องนี้ข้าแสดงความสามารถเพียงน้อยนิดเท่านั้น รอให้ถึงการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณ อาจจะต้องขออาศัยบารมีของยอดฝีมือทุกท่านก็ได้”

พวกเขาตอบตามมารยาททันที ทั้งยังกล่าวชมกันและกันพร้อมรอยยิ้มธุรกิจ

ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงหลังจากได้ฟังพวกเขาเปิดเผยตัวตนแล้ว ในใจกลับยืนยันสิ่งที่เคยเดาไว้ก่อนหน้านี้ได้แล้ว!

เขาทำตามรูปแบบของอีกฝ่ายก่อน หลังจากประกาศฝ่ายของตัวเองและโหยวโหยวในการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณอีกครั้ง ก็เข้าประเด็นหลักทันที “ถ้าข้าเดาไม่ผิด เรื่องที่พวกเลี้ยงบาสลงห่วงจงใจกลั่นแกล้งข้าก่อนหน้านี้ รวมทั้งเรื่องที่ทั้งสามยื่นมือเข้ามาช่วย ล้วนเกี่ยวข้องกับการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป…

…แม้สองเรื่องนี้จะดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แต่สัญชาตญาณกลับบอกข้าว่ามีความเป็นไปได้สูงมาก”

เชิญร่ำสุราได้ยินแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “แค่เพราะสัญชาตญาณ?”

“แน่นอน” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “อาจเพราะข้อมูลที่ข้าได้มาก่อนหน้านี้มีจำกัดกระมัง มีหลายเรื่องในนั้นที่อธิบายไม่กระจ่าง ขาดจิ๊กซอว์ที่เป็นกุญแจสำคัญบางส่วนไป ดังนั้นจึงบอกไม่ได้ว่ามีหลักฐาน บอกได้เพียงว่าเป็นสัญชาตญาณ”

เชิญร่ำสุราได้ยินแล้วยกจอกสุราขึ้นมา มองน้ำสุราสีเขียวดุจหยกในจอก หลังจากสูดกลิ่นเบาๆ แล้วดื่มหมอดจอกในคราเดียวถึงได้บอกว่า “สัญชาตญาณของเจ้าแม่นยำมาก…

…จุดประสงค์ของอีกฝ่ายก็คือต้องการถ่วงเวลาการเดินทางของเจ้า ให้เจ้าพลาดการประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกสองวันหลังจากนี้!”

“เป็นเพราะการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณจริงๆ?”

แม้ในใจจะเดาไว้แบบนี้นานแล้ว ถึงขั้นพูดสิ่งที่คาดเดาออกมาเอง แต่หลังจากได้รับการยืนยันข้อมูล เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังรู้สึกอดตกตะลึงมากไม่ได้

จุดที่เขาคิดไม่ถึงที่สุดก็คือ “ทำแบบนี้พวกเขาได้ประโยชน์อะไร”

ถ้าบอกว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือสำนักฉวนเจินทั้งหมด การทำแบบนี้ก็พอเข้าใจได้ แต่ในบรรดาหกยอดฝีมือฝ่ายตรงข้ามกลับไม่มีใครเป็นผู้เล่นสำนักฉวนเจินสักคน

อย่าบอกนะว่าพวกเขายอมจ่ายมากขนาดนั้นเพียงเพื่อสร้างความรำคาญใจให้เยี่ยเว่ยหมิง?

ถ้าในนั้นไม่มีสาเหตุอื่นๆ อีก แสดงว่าสมองของคนพวกนั้นคงถูกลาเตะแล้ว!

เชิญร่ำสุราได้ยินแล้วกลับยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับอย่างใจเย็นมากว่า “เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นการแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว ฉายาคนกระบี่ของสหายเยี่ยโด่งดังเกินไป อย่ามองข้าด้วยสายตาอย่างนั้น ข้าว่าถ้า…รู้ว่าตู๋กูฉิวไป้คือใคร ก็ไม่มีใครกล้ามองข้ามกำลังของเจ้าแน่นอน ถ้าลองตรวจสอบเรื่องต่างๆ ที่เจ้าเคยทำโดยละเอียด คู่ต่อสู้ของพวกเราย่อมจัดให้เจ้าเป็นศัตรูอันดับหนึ่งอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างๆ ก็อดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “ในเกมไม่มีสถานที่แบบเวทีอภิปราย ถ้าตัดช่องทางแบบนั้นออก เจ้าหมอนี่โด่งดังขนาดนี้แล้วหรือ”

เชิญร่ำสุราได้ยินแล้วดื่มสุราหยกราชสำนักอีกจอก เหมือนพอใจในรสชาติมาก บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นบอกว่า “โด่งดังนั่นแน่นอนอยู่แล้ว ถึงขนาดว่าวิธีการรับข้อมูลจากผู้เล่นก็เหนือกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้ด้วย ไม่รู้ว่าทุกคนเคยได้ยิน ‘รวมบันทึกประกาศ’ หรือเปล่า”

เยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่เคยได้ยินอยู่แล้ว เขาเคยได้ยินแค่ ‘รวมบันทึกล้างมลทิน’ แต่เพื่อไม่แสดงออกว่าตัวเองไร้ความรู้ เขาจึงตัดสินใจเงียบไว้ เพราะจะต้องมีคนที่รู้กระโดดออกมาให้ความรู้แน่นอน

เป็นอย่างที่คาดไว้ ตอนที่เชิญร่ำสุราเพิ่งพูดจบ ถังซานไฉ่ที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยทันทีว่า “อันนี้ข้ารู้ ได้ยินว่ามีคนขี้เบื่อบางคน ตั้งแต่เข้ามาในเกมก็เริ่มรวบรวมประกาศทั้งหมดที่เคยมีในเกม จะอัปเดตทุกเดือนและพิมพ์เป็นเล่มออกมาขาย เหมือนจะทำเงินได้จำนวนหนึ่งด้วย อีกทั้งธุรกิจยังดีมากอีกด้วย”

“ไม่ผิดหรอก!” เชิญร่ำสุราพยักหน้า “ในเกมก็เหมือนชีวิตจริง ความลับที่มีคนรู้เพียงคนเดียวเท่านั้นถึงจะเรียกว่าความลับที่แท้จริง”

“ยกตัวอย่างเช่นรอบคัดเลือกของการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณ หรือเรียกอีกชื่อว่าประลองยุทธ์เจ็ดสังกัดที่จัดเมื่อสองเดือนก่อน เพราะกิจกรรมครั้งนั้นเลือกรายชื่อผู้เข้ารอบโดยอิงจากคะแนนสะสม ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยรู้ว่าตัวแทนของแต่ละสังกัดคือใคร ถ้าตรวจสอบให้ละเอียด อยากจะได้รายชื่อของทั้งเจ็ดคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

ถึงอย่างไรก็ต้องประลองกับทุกคน จะรู้จักตัวตนของคู่ต่อสู้ช้าหรือเร็วแล้วต่างกันตรงไหน

ถ้ามีเวลามาสืบเรื่องพวกนี้ ไปทำภารกิจสักสองภารกิจ บุกสักสองดันเจี้ยนแล้วรับรางวัลภารกิจไม่ดีกว่าหรอกหรือ

ดูจากสายตาก็รู้ว่าเยี่ยเว่ยหมิงไม่ใส่ใจ เชิญร่ำสุราจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ซูไตจื่อผู้ที่รวบรวมกำลังได้สามฝ่ายกลับพูดต่อว่า “ที่สหายเชิญร่ำสุราพูดก่อนหน้านี้ เพียงเพื่ออยากให้สหายเยี่ยเข้าใจเหตุผลอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ หากอีกฝ่ายอยากรู้รายชื่อผู้เข้าร่วมประลองที่เป็นตัวแทนของเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนาน ถึงขั้นผลงานอันทรงเกียรติคร่าวๆ ของแต่ละคนก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร…

…ดังนั้น การที่พวกเขาจัดให้สหายเยี่ยเป็นศัตรูอันดับหนึ่งก็เข้าใจได้ไม่ยากหรอกใช่ไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า “ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ การประลองใหญ่หอหมอกพิรุณครั้งนี้มีแรงดึงดูดอะไรกันแน่ ถึงทำให้อีกฝ่ายยอมจ่ายแพงขนาดนี้ได้…

…พวกซานเย่ว์เจอปัญหา ข้าจะไม่สนใจก็ไม่ได้ เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว การดึงข้าเข้ามาเกี่ยวข้องโดยอาศัยภารกิจของพวกซานเย่ว์ อีกฝ่ายคิดวิธีการนี้ออกก็พอเข้าใจได้เช่นกัน”

เยี่ยเว่ยหมิงชะงักไปครู่เดียว แล้วก็ส่ายหน้าอีก “แต่เพื่อที่จะขังพวกเรา เลี้ยงบาสลงห่วงให้กำลังคนไปเกือบสองร้อย ถ้าจุดประสงค์แค่ต้องการขัดขวางไม่ให้ข้าเข้าร่วมการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณ ในบรรดาพวกเขาก็ต้องมีอย่างน้อยร้อยกว่าคนเสียเวลาต่อสู้กับข้าสามวัน!…

…ใช้กำลังคนเยอะขนาดนี้ เสียเวลาเยอะขนาดนี้ ในระหว่างนั้นก็ยิ่งมีคนตายในภารกิจ ถึงขั้นเป็นฝ่ายรนหาที่ตายเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย…

…พวกเลี้ยงบาสลงห่วงแบกรับความเสียหายมากมายขนาดนี้ อีกฝ่ายต้องชดเชยอย่างไร ถึงจะทำให้พวกเขาพอใจได้…

…รางวัลที่ได้หลังจากชนะการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณ สูงขนาดนั้นเชียวหรือ”

คำถามต่างๆ ก่อนหน้านี้ได้รับคำอธิบายไปพอสมควรแล้ว ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็เอ่ยสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจที่สุดออมาเสียที

ในความรู้สึกของเขา ปฏิบัติการของอีกฝ่ายวันนี้เป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ!

ฉางซิงอวี่ที่เงียบและสนใจแต่กินมาตลอด ตอนนี้กลับเงยหน้าขึ้นให้คำตอบตรงๆ “ฝ่ายที่ชนะในการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณ แต่ละคนจะเลือกเพิ่มเลเวลทักษะอะไรก็ได้หนึ่งเลเวล คนที่ค่าผลงานเป็นอันดับสองและอันดับสามจะเพิ่มเลเวลได้สองทักษะ ส่วนอันดับหนึ่งเพิ่มเลเวลได้สามทักษะ!…

…ไม่จำกัดว่าเป็นทักษะประเภทไหน อีกทั้งโอกาสเพิ่มเลเวลทักษะนี้ก็ใช้ซ้ำกับทักษะเดิมได้ ไม่ว่าจะเป็นวิทยายุทธ์ ทักษะการเอาชีวิตรอด หรือทักษะด้านความคิดก็ใช้ได้หมด อีกทั้งไม่จำกัดคุณภาพกับเลเวลด้วย ต่อให้เจ้าอยากเพิ่มเลเวลสุดยอดวิชาจากเลเวลเก้าให้ถึงระดับสมบูรณ์ก็ไม่มีปัญหา! ถ้าได้รางวัลชนะเลิศ ถึงขั้นเพิ่มเลเวลสุดยอดวิชาจากเลเวลเจ็ดจนถึงระดับสมบูรณ์ยังได้เลย!…

…นอกจากนี้ ทุกคนในทีมที่ชนะก็จะได้รับรางวัลลับคนละชิ้นโดยอิงจากค่าผลงานในระหว่างการประลองด้วย”

เขาหยุดพักครู่เดียวแล้วกล่าวเสริม “เนื่องจากครั้งนี้ระบบเป็นผู้แจกรางวัล ดังนั้นพวกเราไม่ต้องกังวลเลยว่า NPC จะหาของดีที่ทำให้เราใจเต้นมาได้หรือไม่ เพราะระบบมีความสามารถในการรักษาสัญญาอยู่แล้ว”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วตกใจมาก “ไม่น่าเชื่อว่ารางวัลภารกิจจะอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าก่อนหน้านี้พวกเราจะไม่รู้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว!”

ตอนนี้เชิญร่ำสุรากลับย้อนถาม “เพื่อคำตอบของคำถามนี้ สหายเยี่ยทุ่มเทความพยายามขนาดนี้เชียวหรือ”

เอ่อ…

ก็ได้ เยี่ยเว่ยหมิงยอมรับว่าไม่ค่อยเก็บเรื่องการประลองใหญ่ครั้งนี้มาใส่ใจสักเท่าไร

เหมือนรู้เพียงว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรก็เท่านั้นเอง

ส่วนรายละเอียดว่าแจกรางวัลอะไร เขาถึงขั้นไม่เคยถามหันเสี่ยวอิ๋งเลยด้วยซ้ำ

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วถามสิ่งที่ยังไม่เข้าใจอีกหนึ่งคำถาม “เช่นนั้นคู่ต่อสู้ที่พวกเราต้องเจอที่หอหมอกพิรุณ ต้องจ่ายไปเท่าไรกว่าจะจ้างพวกเลี้ยงบาสลงห่วงได้”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด