ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 60 รู้เขารู้เรา

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 60 รู้เขารู้เรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 60 รู้เขารู้เรา

เมื่อเพื่อนสาวของซานเย่ว์ปรากฏตัว ก็ดึงดูดสายตาของวีรบุรุษทั้งสามในทันที

สาเหตุที่เกิดผลลัพธ์อย่างนี้ ไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้หน้าตางดงามโดดเด่นอะไรนักหรอก อย่างไรเสีย ก่อนที่ผู้เล่นจะเข้าเกมมา ก็มีโอกาสปรับรูปร่างหน้าตาได้หนึ่งครั้ง

แม้จะปรับแต่งได้ไม่เกินสามสิบเปอร์เซ็นต์ ยังไม่พอให้เปลี่ยนจากป้ากลายเป็นสาวน้อยโลลิ แต่ก็ยังพอถูไถทำให้คนบ้านๆ เปลี่ยนเป็นหนุ่มหล่อสาวสวยได้

ด้วยสถานการณ์อย่างนี้ ในเกมจึงแทบจะไม่เห็นผู้หญิงขี้เหร่ตามความหมายที่แท้จริงเลย

ผู้หญิงที่พอจะสวยอยู่บ้างก็ปรับแต่งจนตัวเองกลายเป็นเทพธิดา สาวโลลิ พี่สาวคนสวย สาวแบ๊ว…ไม่ได้มีแค่แบบเดียว

หากผู้หญิงคนนี้หน้าตาสวยอย่างเดียว ก็คงไม่ทำให้ผู้ชายสามคนที่ปิดบังตัวตนอยู่ในเกมมาได้ระยะหนึ่งตกตะลึงพร้อมกันหรอก

สิ่งที่ดึงดูพวกเขาจริงๆ ก็คือ นางมีสง่าราศีอันโดดเด่นแบบที่ไม่เหมือนมนุษย์เดินดินแผ่ซ่านออกมาจากตัว

ภายใต้การขับดันของสง่าราศีแบบนี้ ทำให้สาวน้อยคนหนึ่งที่เดิมทีก็หน้าตางดงามมากอยู่แล้ว ยิ่งดูไม่ธรรมดา เหมือนเทพธิดาท่ามกลางหมู่เมฆ มองจากที่ไกลๆ ได้ แต่มิอาจเข้าไปล่วงเกิน

ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ พลังทำลายล้างต่อสิ่งมีชีวิตเพศชายก็ยิ่งสูงมาก

เมื่อเห็นสามพี่น้องท้องเดียวกันไม่ย้ายสายตาไปไหน แต่กลับไม่ยอมแสดงท่าทางเหมือนอาเฮียหมูหื่นเพราะเป็นห่วงภาพลักษณ์ตัวเอง ซานเย่ว์ก็กลอกตามองเยี่ยเว่ยหมิงทันที จากนั้นก็กระแอมเรียกสติพวกเขา เสร็จแล้วถึงได้แนะนำคน “นี่คือเพื่อนสาวที่แสนดีของข้า ชื่อของนางก็คือสะพานสวรรค์คริสตัล พวกเจ้าอย่าไปมองแค่ความสวยของนางนะ เพราะพลังของนางก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าข้านิดหนึ่ง”

ซานเย่ว์บอกว่าสะพานสวรรค์คริสตัลเก่งกว่านาง คนอื่นกลับไม่ได้ใส่ใจกับการประเมินนี้

อย่างไรเสียในบรรดาคนพวกนี้ คนที่นางคลุกคลีด้วยบ่อยสุดก็คือเยี่ยเว่ยหมิง ทั้งยังเคยร่วมงานกันครั้งเดียวตอนอยู่หมู่บ้านมือใหม่ด้วย ตอนนั้นรู้สึกว่าความสามารถของนางก็ไม่ได้เก่งกาจเท่าไร ตอนนี้เวลาผ่านไปนานแล้ว ใครจะไปรู้ว่านางเก่งขึ้นขนาดไหนกันแน่

ในเมื่อไม่มีความรู้ชัดเจนต่อความสามารถของนาง เช่นนั้นที่บอกว่าเก่งกว่านิดหน่อยคือเก่งกว่าเท่าไรกันแน่ ก็ย่อมเป็นตัวเลขที่ยังไม่อาจทราบได้เช่นกัน

เพียงแต่บางครั้งสาวงามก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ได้จ่ายสิ่งตอบแทนใดๆ แบบนี้ ผู้คนจะกล่าวชมอย่างไว้หน้า จากนั้นเยี่ยเว่ยหมิงกับเฟยอวี๋ก็ต่างคนต่างแนะนำถังซานไฉ่กับโหยวโหยวให้สองสาวรู้จัก

“ศิษย์พี่ใหญ่สำนักถังซานกับศิษย์พี่หญิงใหญ่สำนักถังซาน!” เมื่อได้ยินการแนะนำตัวของสองคนนี้ ซานเย่ว์ก็ตาลุกวาวอย่างอดไม่ได้ มองทั้งสองพร้อมกล่าวอย่างอิจฉา “นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะเข้าสำนักไปเร็วขนาดนั้น พอเป็นแบบนี้ ที่จริงสะพานสวรรค์น้อยก็นับเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ของสำนักสุสานโบราณเหมือนกันสินะ!”

ได้!

นี่นายคิดว่าการจะเรียกใครว่าศิษย์พี่ใหญ่หรือศิษย์พี่หญิงใหญ่ในสำนัก เป็นเพราะตัดสินตามลำดับจริงหรือ

เฟยอวี๋ที่อยากจะหาเรื่องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอได้ยินแบบนั้นก็ฉวยโอกาสตัดบททันที อธิบายว่า “ศิษย์น้องซานเย่ว์ก็พูดไม่ถูกนะ ไม่ว่าจะเป็นสหายซานไฉ่หรือแม่นางโหยวโหยว ก็ล้วนไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่เข้าสำนักถังซาน สาเหตุที่ผู้เล่นสำนักถังซานเต็มใจให้ตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่หญิงใหญ่กับพวกเขา ก็เป็นเพราะพวกเขาสองคนแสดงความศักยภาพออกมาได้แข็งแกร่งที่สุดก็เท่านั้นเอง ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นยุทธภพ ความสามารถเป็นตัวตัดสินตำแหน่ง”

เมื่อพูดจบ เขาก็ยังมองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างท้าทายแวบหนึ่งด้วย ความหมายแฝงในนั้นไม่ต้องพูดก็เข้าใจชัดเจนแล้ว ไม่ว่าใครก็มองออก

สำหรับเจ้าหมอนี่ที่ดึงดันกับตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ ในใจเยี่ยเว่ยหมิงขบขำมาก แต่ภายนอกก็แค่พยักหน้าให้อีกฝ่ายเท่านั้น

ปฏิกิริยาแบบนี้ของเขา ทำให้เฟยอวี๋ก็รู้สึกสับสนนิดหน่อย

ขอร้องล่ะ!

นี่ฉันกำลังท้าทายตำแหน่งของนายอยู่นะ สหาย!

นายพยักหน้ายิ้มให้ฉันนี่หมายความว่ายังไง เห็นด้วยกับที่ฉันพูดเหรอ

คอยดูแถอะ!

พอนึกถึงการประเมินค่าที่ถังซานไฉ่มีต่อเยี่ยเว่ยหมิงก่อนหน้านี้ เฟยอวี๋ก็เปลี่ยนเป็นบอกว่า “ที่จริงสิ่งที่เรียกว่าศักยภาพ ก็ไม่ใช่ว่าใครต่อสู้เก่งกว่าอย่างเดียวหรอก แต่ต้องดูด้วยว่าความสามารถในการทำงานของใครดีกว่า”

หลังจากเปลี่ยนประเด็นสนทนา เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ยกตัวอย่างเช่นภารกิจครั้งนี้ ก่อนที่ข้าจะมา ก็ไปสืบที่สำนักคุ้มภัยฝูเวยมาแล้ว ทั้งยังได้ข้อมูลปฐมภูมิมาแล้วด้วย”

สงสัยว่าตอนที่เจ้าหมอนี่นัดเจอที่โรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ ที่จริงแล้วตัวเองเอาเวลาไปสืบดูสถานการณ์มาล่วงหน้าแล้วล่ะสิ

สิ่งที่เขาทำแม้จะไม่สอดคล้องกับที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ แต่ก็จะว่าไม่ได้ว่าเขาทำอะไรไม่ถูกต้อง อย่างไรเสีย ก่อนหน้านี้ก็นัดกันไว้แล้วว่าต่างคนต่างเตรียมตัว ใครก็ว่าไม่ได้ว่าการเตรียมตัวนี้ไม่รวมถึงการสืบค้นข้อมูล

แต่จากสิ่งนี้จะเห็นได้เลยว่า เขาแน่วแน่กับตำแหน่งผู้นำของภารกิจครั้งนี้ขนาดไหน!

สำหรับสรรพนามจอมปลอมอย่างศิษย์พี่ใหญ่อะไรนั่น เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ ก็คือรางวัลภารกิจ

และถ้าจะเพิ่มรางวัลภารกิจให้ถึงขีดจำกัดสูงสุด เขากลับมั่นใจว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น

ดังนั้นอำนาจของผู้นำในภารกิจครั้งนี้ เขาจะไม่หลีกทางให้คนอื่นง่ายๆ แน่นอน

หลังจากเรียกทุกคนมานั่งลงแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งสัญญาณมือเชิญเฟยอวี๋ “ไหนลองว่ามา”

หลังจากทุกคนนั่งลงแล้วก็มองเศษอาหารบนโต๊ะแวบหนึ่ง แม้เฟยอวี๋จะไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่ว่าอะไร พูดเข้าประเด็นหลักเลยว่า “ตอนนี้นอกสำนักคุ้มภัยฝูเวยมีผู้เล่นมารวมตัวกันอยู่ไม่น้อย พวกเขาล้วนได้รับภารกิจมาจากบุคคลลึกลับผู้หนึ่ง มาดักสังหารคนที่เดินออกจากสำนักคุ้มภัยฝูเวยโดยเฉพาะ ทุกครั้งที่สังหารได้ ก็จะได้รับเงินห้าเหรียญทอง ค่าประสบการณ์และค่าตบะแยกอีกต่างหาก!”

ส่วนถังซานไฉ่ก็กล่าวเสริมอยู่ข้างๆ ว่า “NPC ปิดหน้าชุดดำที่แจกภารกิจ ข้าแยกแยะตัวตนไม่ได้เลย ข้าลองใช้วิชาลับของสำนักถังซานสืบดูเลเวลของอีกฝ่าย ข้อมูลที่ได้ก็คือ อีกฝ่ายเป็น NPC เลเวลยี่สิบห้า ชื่อที่แสดงก็คือคนชุดดำ”

“หรือพูดได้อีกอย่างว่า…” เฟยอวี๋พูดต่ออีกครั้ง วิเคราะห์ว่า “ศัตรูที่พวกเราต้องเผชิญหน้า ไม่เพียงแต่เป็นผู้เล่นจำนวนมากที่พวกเราไม่รู้พลังแน่ชัดเท่านั้น ขณะเดียวกันยังมี NPC เลเวลยี่สิบห้าอย่างน้อยคนหนึ่งด้วย แต่ข้ารู้สึกว่านี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ศัตรูแสดงให้เห็นเท่านั้น ในเมื่อเป็นภารกิจระดับหกดาว แสดงว่าไม่ได้ง่ายเหมือนที่เห็นภายนอกแน่นอน”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วบอกทันทีว่า “จะว่าไปแล้ว สำหรับภารกิจครั้งนี้ ข้าเองก็รวบรวมข่าวได้บางส่วนเช่นกัน ถ้าข้าพูดออกมา พวกเจ้าก็อย่ากลัวนะ”

เฟยอวี๋ทำเสียงฮึดฮัดดูถูก แล้วเหยียดหยามว่า “พวกเราล้วนเป็นยอดฝีมือในหมู่ผู้เล่น ไม่กลัวหรอก”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วพูดตรงๆ เลยว่า “ตามข่าวกรองที่ข้าได้มา ผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมต่อเนื่องของสำนักคุ้มภัยฝูเวยครั้งนี้ ที่จริงแล้วคืออวี๋ชางไห่!”

“อวี๋ชางไห่? คนไหนหรือ” ถังซานไฉ่ซักไซ้อย่างไม่เข้าใจ

“อวี๋ชางไห่คือเจ้าสำนักชิงเฉิง พลังไม่ด้อยไปกว่าเย่ว์ปู้ฉวินเจ้าสำนักหัวซานสักเท่าไร” ครั้งนี้ เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้อุบไว้ แต่นำข้อมูลที่ได้จากอินปู้คุย หลังจากตัดภูมิหลังที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ก็อธิบายให้ทุกคนฟังอย่างตั้งใจรอบหนึ่ง

เนื้อหาคร่าวๆ ก็คือ ในสำนักคุ้มภัยฝูเวยมีสุดยอดวิชาที่ชื่อว่า ‘เพลงกระบี่พิชิตมาร’ เดิมทีการมีสุดยอดวิชาเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาก็คือ ทั้งๆ ที่สำนักคุ้มภัยฝูเวยมีสุดยอดวิชา แต่กลับไม่มีใครฝึก ทั้งสำนักมีแต่เด็กไม่ได้เรื่อง เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นในยุทธภพก็เหมือนให้เด็กน้อยมาอุ้มก้อนทองหยวนเป่า ย่อมกลายเป็นเป้าหมายในการล่าของคนทะเยอะทะยานเหล่านั้น

ในบรรดาคนที่ทะเยอะทะยาน ฐานะของอวี๋ชางไห่ก็เป็นเพียงนกที่โผล่หัวก่อนเท่านั้น ออกมาก่อเรื่องก่อนคนแรกก็เท่านั้นเอง

ทว่าสำหรับผู้เล่นในปัจจุบันนี้ นกโผล่หัวตัวนี้กลับเป็นการดำรงอยู่อันน่าหวาดกลัวที่ไม่มีทางเอาชนะได้!

หลังจากฟังเยี่ยเว่ยหมิงแบ่งปันข้อมูลจบ เฟยอวี๋ก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้ “เจ้าคือแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับหรือ”

ชั่วขณะนั้น สายตาของทุกคนไปหยุดอยู่บนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าในใจพวกเขาก็คาดเดาค้ลายๆ กับเฟยอวี๋

สำหรับคำถามนี้ เยี่ยเว่ยหมิงเพียงเผยรอยยิ้มที่สื่อความหมายลึกซึ้ง แล้วเปลี่ยนกระเด็นสนทนาเสียเลย “ที่จริงแหล่งข่าวของข้าก็ไม่ได้สำคัญหรอก สิ่งที่ข้าต้องการศึกษาตอนนี้ก็คือ ควรจะทำอย่างไรถึงจะทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จได้”

“เคยมีคำกล่าวว่า รู้เขารู้เรา ถึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”

“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเรารู้จักศัตรูดีหรือเปล่า แม้แต่พวกเราเองยังเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก แม้แต่ ‘รู้เรา’ ยังนับไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ดังนั้นคำแนะนำของข้าก็คือ ทุกคนหาที่ประลองอย่างกันเป็นมิตรอย่างหน่อยเถอะ จะได้รู้จักพลังของกันและกัน แบบนี้ถึงจะกำหนดกลยุทธ์สะดวก ใช่ไหมล่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 60 รู้เขารู้เรา

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 60 รู้เขารู้เรา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 60 รู้เขารู้เรา

เมื่อเพื่อนสาวของซานเย่ว์ปรากฏตัว ก็ดึงดูดสายตาของวีรบุรุษทั้งสามในทันที

สาเหตุที่เกิดผลลัพธ์อย่างนี้ ไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้หน้าตางดงามโดดเด่นอะไรนักหรอก อย่างไรเสีย ก่อนที่ผู้เล่นจะเข้าเกมมา ก็มีโอกาสปรับรูปร่างหน้าตาได้หนึ่งครั้ง

แม้จะปรับแต่งได้ไม่เกินสามสิบเปอร์เซ็นต์ ยังไม่พอให้เปลี่ยนจากป้ากลายเป็นสาวน้อยโลลิ แต่ก็ยังพอถูไถทำให้คนบ้านๆ เปลี่ยนเป็นหนุ่มหล่อสาวสวยได้

ด้วยสถานการณ์อย่างนี้ ในเกมจึงแทบจะไม่เห็นผู้หญิงขี้เหร่ตามความหมายที่แท้จริงเลย

ผู้หญิงที่พอจะสวยอยู่บ้างก็ปรับแต่งจนตัวเองกลายเป็นเทพธิดา สาวโลลิ พี่สาวคนสวย สาวแบ๊ว…ไม่ได้มีแค่แบบเดียว

หากผู้หญิงคนนี้หน้าตาสวยอย่างเดียว ก็คงไม่ทำให้ผู้ชายสามคนที่ปิดบังตัวตนอยู่ในเกมมาได้ระยะหนึ่งตกตะลึงพร้อมกันหรอก

สิ่งที่ดึงดูพวกเขาจริงๆ ก็คือ นางมีสง่าราศีอันโดดเด่นแบบที่ไม่เหมือนมนุษย์เดินดินแผ่ซ่านออกมาจากตัว

ภายใต้การขับดันของสง่าราศีแบบนี้ ทำให้สาวน้อยคนหนึ่งที่เดิมทีก็หน้าตางดงามมากอยู่แล้ว ยิ่งดูไม่ธรรมดา เหมือนเทพธิดาท่ามกลางหมู่เมฆ มองจากที่ไกลๆ ได้ แต่มิอาจเข้าไปล่วงเกิน

ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ พลังทำลายล้างต่อสิ่งมีชีวิตเพศชายก็ยิ่งสูงมาก

เมื่อเห็นสามพี่น้องท้องเดียวกันไม่ย้ายสายตาไปไหน แต่กลับไม่ยอมแสดงท่าทางเหมือนอาเฮียหมูหื่นเพราะเป็นห่วงภาพลักษณ์ตัวเอง ซานเย่ว์ก็กลอกตามองเยี่ยเว่ยหมิงทันที จากนั้นก็กระแอมเรียกสติพวกเขา เสร็จแล้วถึงได้แนะนำคน “นี่คือเพื่อนสาวที่แสนดีของข้า ชื่อของนางก็คือสะพานสวรรค์คริสตัล พวกเจ้าอย่าไปมองแค่ความสวยของนางนะ เพราะพลังของนางก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าข้านิดหนึ่ง”

ซานเย่ว์บอกว่าสะพานสวรรค์คริสตัลเก่งกว่านาง คนอื่นกลับไม่ได้ใส่ใจกับการประเมินนี้

อย่างไรเสียในบรรดาคนพวกนี้ คนที่นางคลุกคลีด้วยบ่อยสุดก็คือเยี่ยเว่ยหมิง ทั้งยังเคยร่วมงานกันครั้งเดียวตอนอยู่หมู่บ้านมือใหม่ด้วย ตอนนั้นรู้สึกว่าความสามารถของนางก็ไม่ได้เก่งกาจเท่าไร ตอนนี้เวลาผ่านไปนานแล้ว ใครจะไปรู้ว่านางเก่งขึ้นขนาดไหนกันแน่

ในเมื่อไม่มีความรู้ชัดเจนต่อความสามารถของนาง เช่นนั้นที่บอกว่าเก่งกว่านิดหน่อยคือเก่งกว่าเท่าไรกันแน่ ก็ย่อมเป็นตัวเลขที่ยังไม่อาจทราบได้เช่นกัน

เพียงแต่บางครั้งสาวงามก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างดีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ได้จ่ายสิ่งตอบแทนใดๆ แบบนี้ ผู้คนจะกล่าวชมอย่างไว้หน้า จากนั้นเยี่ยเว่ยหมิงกับเฟยอวี๋ก็ต่างคนต่างแนะนำถังซานไฉ่กับโหยวโหยวให้สองสาวรู้จัก

“ศิษย์พี่ใหญ่สำนักถังซานกับศิษย์พี่หญิงใหญ่สำนักถังซาน!” เมื่อได้ยินการแนะนำตัวของสองคนนี้ ซานเย่ว์ก็ตาลุกวาวอย่างอดไม่ได้ มองทั้งสองพร้อมกล่าวอย่างอิจฉา “นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะเข้าสำนักไปเร็วขนาดนั้น พอเป็นแบบนี้ ที่จริงสะพานสวรรค์น้อยก็นับเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ของสำนักสุสานโบราณเหมือนกันสินะ!”

ได้!

นี่นายคิดว่าการจะเรียกใครว่าศิษย์พี่ใหญ่หรือศิษย์พี่หญิงใหญ่ในสำนัก เป็นเพราะตัดสินตามลำดับจริงหรือ

เฟยอวี๋ที่อยากจะหาเรื่องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พอได้ยินแบบนั้นก็ฉวยโอกาสตัดบททันที อธิบายว่า “ศิษย์น้องซานเย่ว์ก็พูดไม่ถูกนะ ไม่ว่าจะเป็นสหายซานไฉ่หรือแม่นางโหยวโหยว ก็ล้วนไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่เข้าสำนักถังซาน สาเหตุที่ผู้เล่นสำนักถังซานเต็มใจให้ตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่หญิงใหญ่กับพวกเขา ก็เป็นเพราะพวกเขาสองคนแสดงความศักยภาพออกมาได้แข็งแกร่งที่สุดก็เท่านั้นเอง ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นยุทธภพ ความสามารถเป็นตัวตัดสินตำแหน่ง”

เมื่อพูดจบ เขาก็ยังมองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างท้าทายแวบหนึ่งด้วย ความหมายแฝงในนั้นไม่ต้องพูดก็เข้าใจชัดเจนแล้ว ไม่ว่าใครก็มองออก

สำหรับเจ้าหมอนี่ที่ดึงดันกับตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ ในใจเยี่ยเว่ยหมิงขบขำมาก แต่ภายนอกก็แค่พยักหน้าให้อีกฝ่ายเท่านั้น

ปฏิกิริยาแบบนี้ของเขา ทำให้เฟยอวี๋ก็รู้สึกสับสนนิดหน่อย

ขอร้องล่ะ!

นี่ฉันกำลังท้าทายตำแหน่งของนายอยู่นะ สหาย!

นายพยักหน้ายิ้มให้ฉันนี่หมายความว่ายังไง เห็นด้วยกับที่ฉันพูดเหรอ

คอยดูแถอะ!

พอนึกถึงการประเมินค่าที่ถังซานไฉ่มีต่อเยี่ยเว่ยหมิงก่อนหน้านี้ เฟยอวี๋ก็เปลี่ยนเป็นบอกว่า “ที่จริงสิ่งที่เรียกว่าศักยภาพ ก็ไม่ใช่ว่าใครต่อสู้เก่งกว่าอย่างเดียวหรอก แต่ต้องดูด้วยว่าความสามารถในการทำงานของใครดีกว่า”

หลังจากเปลี่ยนประเด็นสนทนา เขาก็กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ยกตัวอย่างเช่นภารกิจครั้งนี้ ก่อนที่ข้าจะมา ก็ไปสืบที่สำนักคุ้มภัยฝูเวยมาแล้ว ทั้งยังได้ข้อมูลปฐมภูมิมาแล้วด้วย”

สงสัยว่าตอนที่เจ้าหมอนี่นัดเจอที่โรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ ที่จริงแล้วตัวเองเอาเวลาไปสืบดูสถานการณ์มาล่วงหน้าแล้วล่ะสิ

สิ่งที่เขาทำแม้จะไม่สอดคล้องกับที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ แต่ก็จะว่าไม่ได้ว่าเขาทำอะไรไม่ถูกต้อง อย่างไรเสีย ก่อนหน้านี้ก็นัดกันไว้แล้วว่าต่างคนต่างเตรียมตัว ใครก็ว่าไม่ได้ว่าการเตรียมตัวนี้ไม่รวมถึงการสืบค้นข้อมูล

แต่จากสิ่งนี้จะเห็นได้เลยว่า เขาแน่วแน่กับตำแหน่งผู้นำของภารกิจครั้งนี้ขนาดไหน!

สำหรับสรรพนามจอมปลอมอย่างศิษย์พี่ใหญ่อะไรนั่น เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ ก็คือรางวัลภารกิจ

และถ้าจะเพิ่มรางวัลภารกิจให้ถึงขีดจำกัดสูงสุด เขากลับมั่นใจว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น

ดังนั้นอำนาจของผู้นำในภารกิจครั้งนี้ เขาจะไม่หลีกทางให้คนอื่นง่ายๆ แน่นอน

หลังจากเรียกทุกคนมานั่งลงแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งสัญญาณมือเชิญเฟยอวี๋ “ไหนลองว่ามา”

หลังจากทุกคนนั่งลงแล้วก็มองเศษอาหารบนโต๊ะแวบหนึ่ง แม้เฟยอวี๋จะไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่ว่าอะไร พูดเข้าประเด็นหลักเลยว่า “ตอนนี้นอกสำนักคุ้มภัยฝูเวยมีผู้เล่นมารวมตัวกันอยู่ไม่น้อย พวกเขาล้วนได้รับภารกิจมาจากบุคคลลึกลับผู้หนึ่ง มาดักสังหารคนที่เดินออกจากสำนักคุ้มภัยฝูเวยโดยเฉพาะ ทุกครั้งที่สังหารได้ ก็จะได้รับเงินห้าเหรียญทอง ค่าประสบการณ์และค่าตบะแยกอีกต่างหาก!”

ส่วนถังซานไฉ่ก็กล่าวเสริมอยู่ข้างๆ ว่า “NPC ปิดหน้าชุดดำที่แจกภารกิจ ข้าแยกแยะตัวตนไม่ได้เลย ข้าลองใช้วิชาลับของสำนักถังซานสืบดูเลเวลของอีกฝ่าย ข้อมูลที่ได้ก็คือ อีกฝ่ายเป็น NPC เลเวลยี่สิบห้า ชื่อที่แสดงก็คือคนชุดดำ”

“หรือพูดได้อีกอย่างว่า…” เฟยอวี๋พูดต่ออีกครั้ง วิเคราะห์ว่า “ศัตรูที่พวกเราต้องเผชิญหน้า ไม่เพียงแต่เป็นผู้เล่นจำนวนมากที่พวกเราไม่รู้พลังแน่ชัดเท่านั้น ขณะเดียวกันยังมี NPC เลเวลยี่สิบห้าอย่างน้อยคนหนึ่งด้วย แต่ข้ารู้สึกว่านี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ศัตรูแสดงให้เห็นเท่านั้น ในเมื่อเป็นภารกิจระดับหกดาว แสดงว่าไม่ได้ง่ายเหมือนที่เห็นภายนอกแน่นอน”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วบอกทันทีว่า “จะว่าไปแล้ว สำหรับภารกิจครั้งนี้ ข้าเองก็รวบรวมข่าวได้บางส่วนเช่นกัน ถ้าข้าพูดออกมา พวกเจ้าก็อย่ากลัวนะ”

เฟยอวี๋ทำเสียงฮึดฮัดดูถูก แล้วเหยียดหยามว่า “พวกเราล้วนเป็นยอดฝีมือในหมู่ผู้เล่น ไม่กลัวหรอก”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วพูดตรงๆ เลยว่า “ตามข่าวกรองที่ข้าได้มา ผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังคดีฆาตกรรมต่อเนื่องของสำนักคุ้มภัยฝูเวยครั้งนี้ ที่จริงแล้วคืออวี๋ชางไห่!”

“อวี๋ชางไห่? คนไหนหรือ” ถังซานไฉ่ซักไซ้อย่างไม่เข้าใจ

“อวี๋ชางไห่คือเจ้าสำนักชิงเฉิง พลังไม่ด้อยไปกว่าเย่ว์ปู้ฉวินเจ้าสำนักหัวซานสักเท่าไร” ครั้งนี้ เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้อุบไว้ แต่นำข้อมูลที่ได้จากอินปู้คุย หลังจากตัดภูมิหลังที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ก็อธิบายให้ทุกคนฟังอย่างตั้งใจรอบหนึ่ง

เนื้อหาคร่าวๆ ก็คือ ในสำนักคุ้มภัยฝูเวยมีสุดยอดวิชาที่ชื่อว่า ‘เพลงกระบี่พิชิตมาร’ เดิมทีการมีสุดยอดวิชาเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาก็คือ ทั้งๆ ที่สำนักคุ้มภัยฝูเวยมีสุดยอดวิชา แต่กลับไม่มีใครฝึก ทั้งสำนักมีแต่เด็กไม่ได้เรื่อง เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นในยุทธภพก็เหมือนให้เด็กน้อยมาอุ้มก้อนทองหยวนเป่า ย่อมกลายเป็นเป้าหมายในการล่าของคนทะเยอะทะยานเหล่านั้น

ในบรรดาคนที่ทะเยอะทะยาน ฐานะของอวี๋ชางไห่ก็เป็นเพียงนกที่โผล่หัวก่อนเท่านั้น ออกมาก่อเรื่องก่อนคนแรกก็เท่านั้นเอง

ทว่าสำหรับผู้เล่นในปัจจุบันนี้ นกโผล่หัวตัวนี้กลับเป็นการดำรงอยู่อันน่าหวาดกลัวที่ไม่มีทางเอาชนะได้!

หลังจากฟังเยี่ยเว่ยหมิงแบ่งปันข้อมูลจบ เฟยอวี๋ก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้ “เจ้าคือแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับหรือ”

ชั่วขณะนั้น สายตาของทุกคนไปหยุดอยู่บนใบหน้าเยี่ยเว่ยหมิงพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าในใจพวกเขาก็คาดเดาค้ลายๆ กับเฟยอวี๋

สำหรับคำถามนี้ เยี่ยเว่ยหมิงเพียงเผยรอยยิ้มที่สื่อความหมายลึกซึ้ง แล้วเปลี่ยนกระเด็นสนทนาเสียเลย “ที่จริงแหล่งข่าวของข้าก็ไม่ได้สำคัญหรอก สิ่งที่ข้าต้องการศึกษาตอนนี้ก็คือ ควรจะทำอย่างไรถึงจะทำภารกิจครั้งนี้สำเร็จได้”

“เคยมีคำกล่าวว่า รู้เขารู้เรา ถึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”

“ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเรารู้จักศัตรูดีหรือเปล่า แม้แต่พวกเราเองยังเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก แม้แต่ ‘รู้เรา’ ยังนับไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ดังนั้นคำแนะนำของข้าก็คือ ทุกคนหาที่ประลองอย่างกันเป็นมิตรอย่างหน่อยเถอะ จะได้รู้จักพลังของกันและกัน แบบนี้ถึงจะกำหนดกลยุทธ์สะดวก ใช่ไหมล่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+