ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 212 เงาของเทพกระบี่

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 212 เงาของเทพกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 212 เงาของเทพกระบี่

ดูจากข้อมูลแนะนำ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เลเวลสิบยังดูประสิทธิภาพธรรมดา พลังโจมตีก็ดีกว่า ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เลเวลหกนิดหน่อยเท่านั้น

ใช่แล้ว บางทีก็ดีกว่าเลเวลเจ็ดด้วย แต่ถ้ารอให้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เพิ่มถึงเลเวลแปด ก็น่าจะบดขยี้มันได้ทุกด้าน

มองจากจุดนี้ เหมือนจะเป็นการทำผิดต่อค่าประสบการณ์สามแสนแต้มที่ต้องใช้นิดหน่อย

อย่างไรเสีย ความยอดเยี่ยมของ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ก็ไม่ได้เกิดจากดาเมจของกระบวนท่าอันดุดันอยู่แล้ว แต่เป็นโบนัสค่าสเตตัสต่างหาก!

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากเลเวลของวิทยายุทธ์ถึงเลเวลสิบซึ่งเป็นระดับสมบูรณ์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเพิ่มเลเวลซ้อนได้ผ่านการใส่อุปกรณ์

เพียงแต่การเพิ่มเลเวลซ้อนแบบนี้ เพิ่มได้เพียงค่าสเตตัสพื้นฐานของทักษะยุทธ์เท่านั้น แต่กลับไม่มีทางเปลี่ยนแบบพลิกโฉมใหม่ได้อย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างเช่นก่อนได้รับการชี้แนะจากหวงโส่วจุน ค่าสเตตัสของ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ก็แค่โจมตี +110% ป้องกัน +110% เท่านั้น ไม่ใช่แค่ค่าสเตตัสที่แตกต่างกับตอนอัปถึงเลเวลสิบ ทั้งยังขาด ‘เอฟเฟ็กต์พิเศษ’ ที่สำคัญไปหนึ่งอย่างด้วย

เอฟเฟ็กต์พิเศษนี้ต่างหาก ที่ทำให้ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เปลี่ยนจากดักแด้กลายเป็นผีเสื้ออย่างแท้จริง กลายเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลง!

[เงาของเทพกระบี่: คุณฝึก ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ จนถึงระดับสมบูรณ์แล้ว ในที่สุดก็ได้เข้าใจถึงท่วงท่าอันสง่างามของเทพกระบี่]

[เอฟเฟกต์พาสซิฟ: ได้เอฟเฟกต์ทวีคูณของค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’ ถ้ามี ‘ความว่องไว’ 1 แต้ม ก็จะแสดงผลได้ 2 แต้ม!]

เอฟเฟกต์ทวีคูณของค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’ จะให้ความรู้สึกอย่างไรกัน

อย่างไรเสีย หลังจากเคล็ดกระบี่นี้อัปถึงเลเวลสิบแล้ว ทุกอย่างรอบตัวที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกได้ราวกับเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว

แต่หากจะถามให้เจาะจงว่าตรงไหนที่เปลี่ยนไป เขาเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน

ตอนนี้เอง กลับได้ยินเสียงหวงโส่วจุนทีนั่งอยู่ด้านบนเอ่ยถามว่า “เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย ตอบกลับด้วยความเคารพ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

“ไม่ใช่หรอก!”

หวงโส่วจุนส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นกล่าวอย่างมั่นใจมากกว่า “สีหน้าของเจ้าบอกข้าว่าเจ้าไม่เข้าใจ”

พอพูดจบ ร่างของหวงโส่วจุนก็หายไปจากตรงหน้าทั้งสามราวกับเคลื่อนย้ายมวลสาร ขณะเดียวกัน ก็ไปปรากฏตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิงสามฉื่อ (ประมาณหนึ่งเมตร)

หลังจาก ‘หายตัว’ มาโผล่ตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง นิ้วชี้กับนิ้วกลางมือขวาของหวงโส่วจุนก็หุบเข้าด้วยกัน แล้วแตะเข้ามาตรงหว่างคิ้วของเขาโดยตรง!

การเคลื่อนไหวของนิ้วเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนทำให้เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ มองเห็นเพียงเงาเลือนรางเท่านั้น

ตอนที่ทั้งสองนึกว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะต้องถูกนิ้วของหวงโส่วจุนจิ้มแน่ๆ กลับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะพลันหันหน้าหลบอย่างรวดเร็วเช่นกัน ใช้ระยะการหลบน้อยมาก แทบจะหลบนิ้วที่ไวปานสายฟ้าของหวงโส่วจุนไม่ทัน

ทว่าเมื่อโจมตีครั้งเดียวแล้วไม่ถูกเป้าหมาย หวงโส่วจุนกลับเป็นเปลี่ยนใช้ฝ่ามือแทน ใช้ฝ่ามือเป็นดาบ ฟันขวางเข้ามาตรงหน้าผากแบนราบของเยี่ยเว่ยหมิง

กระบวนท่านี้รวดเร็วอัศจรรย์เช่นเดียวกัน แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับเอนหลังอย่างไม่รีบร้อน จึงหลบดาบฝ่ามือนี้ของหวงโส่วจุนได้

ผู้เล่นอีกสองคนตาปริบๆ มองฝ่ามือของหวงโส่วจุนเฉียดผ่านปลายจมูกของเขาไป แต่กลับทำร้ายเขาไม่ได้แม้แต่ครึ่งเส้นขน

เป็นท่าร่างที่เจ๋งมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะหลบหลีกการโจมตีที่รวดเร็วดุดันได้สบายๆ!

หลังจากนั้น หวงโส่วจุนก็โจมตีเยี่ยเว่ยหมิงอีกสิบกว่ากระบวนท่าในอึดใจเดียว แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับหลบหลีกได้อย่างเหมาะเจาะ

ในสายตาของซานเย่ว์กับเฟยอวี๋ ตอนนี้หวงโส่วจุนกลายเป็นเงาเลือนรางที่มองเห็นไม่ชัดแล้ว แต่ท่ามกลางการโจมตีโหดที่เหมือนพายุฝน เยี่ยเว่ยหมิงกลับหลบซ้ายหลบขวา ใช้การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็รอดจากการโจมตีที่รวดเร็วจนเหนือสายตามนุษย์ของหวงโส่วจุนได้!

หลังจากผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า เงาร่างของหวงโส่วจุนก็ ‘เทเลพอร์ต’ อีกครั้ง หายไปจากตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง กลับมานั่งประจำที่ของตัวเองในหอประชุมอีกครั้ง ราวกับไม่เคยย้ายที่มาก่อน เอาแต่อมยิ้มมองเยี่ยเว่ยหมิงที่ยังไม่หายตกใจ “ตอนนี้ เจ้าเข้าใจหรือยัง”

ก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงถูกหวงโส่วจุนโจมตีต่อเนื่อง เมื่อค่าสเตตัสท่าร่างประกอบกับกำลังภายในแล้วแสดงประสิทธิภาพสูงสุดออกมา เขาเพียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็หลบการโจมตีที่เหมือนพายุฝนของหวงโส่วจุนได้แล้ว ตอนนี้ย่อมไม่มีกะจิตกะใจไปครุ่นคิดถึงอย่างอื่น

ตอนนี้เมื่อได้ยินหวงโส่วจุนเตือน เขากลับดีอกดีใจมาก รีบกุมหมัดคารวะ “ขอบคุณหวงโส่วจุนมากที่ชี้แนะ ข้าเข้าใจแล้ว ครั้งนี้ข้าเข้าใจแล้วจริงๆ!”

หวงโส่วจุนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เข้าใจก็ดีแล้ว วันนี้พวกเจ้าได้อะไรไปไม่น้อยเลย กลับไปตั้งใจเรียบเรียงให้ดีเถิด”

ทั้งสามกล่าวอำลาแล้วออกจากหอประชุม

ตอนที่เพิ่งออกจากประตูใหญ่ ซานเย่ว์อดไม่ไหว คว้าแขนเยี่ยเว่ยหมิงแล้วถามอย่างตื่นเต้นว่า “อาหมิง เจ้าเก่งกาจเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าขนาดหวงโส่วจุนโจมตีสุดกำลังแล้ว เจ้าก็ยังหลบได้สิบกว่ากระบวนท่าโดยไม่บาดเจ็บเลยสักนิด เป็นบิดาของบิดาของบิดาของยอดฝีมือจริงๆ!”

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเจื่อนเยาะเย้ยตัวเอง “ข้าเก่งบ้าอะไรล่ะ!”

ไม่รอให้อีกฝ่ายถาม เขาก็อธิบายต่อว่า “เมื่อครู่ข้าใช้ความเร็วจนเต็มขีดจำกัดของตัวเองแล้ว แต่กลับทำได้เพียงหลบการโจมตีของหวงโส่วจุนเท่านั้น อยากจะดึงระยะห่างสักก้าวยังทำไม่ได้…

…แต่หวงโส่วจุนกลับไม่เปลืองแรงเลยสักนิด…

…ความเร็วของเขาไม่มากหรือน้อยไป แต่กลับบีบให้ข้าพยายามหลบสุดความสามารถได้ ไม่ถึงขั้นรับมือไม่ไหวด้วย เพียงทำให้ข้าสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ หลังจากถึงเลเวลสิบได้ดียิ่งขึ้นก็เท่านั้นเอง…

…ในสายตาพวกเจ้า ความเร็วของเขานับเป็นระดับสูงสุดแล้ว แต่ความจริงเขาเพียงใช้ความเร็วที่มากกว่าบีบให้ข้าใช้ความเร็วสูงสุดก็เท่านั้นเอง ด้านกระบวนท่ากลับเคลื่อนไหวเยอะมาก โจมตีไปโจมตีมา ในระหว่างนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนใดๆ บางทีอาจจะมีเพียงการทำอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะรู้สึกได้ถึงเอฟเฟ็กต์ของค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’”

“ความว่องไว?” เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างๆ กลับจับประเด็นสำคัญจากคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงได้แล้ว เขาถามว่า “ฟังจากที่เจ้าพูด หลังจาก ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เพิ่มถึงเลเวลสิบแล้ว ก็จะเพิ่มเอฟเฟ็กต์พิเศษให้ ‘ความว่องไว’ ทั้งยังเพิ่มอย่างชัดเจนมากด้วยอย่างนั้นหรือ”

ซานเย่ว์ที่อยู่ข้างกันกลับยังงงงวย “ค่าสเตตัสอย่างความว่องไวแสดงประสิทธิภาพได้แข็งแกร่งขนาดนี้เหมือนกันหรือ ข้ายังนึกว่าเจ้าได้ท่าร่างเสริมที่ร้ายกาจมากเสียอีก”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วถามกลับว่า “ตอนนี้เข้าเกมมาได้สักระยะแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า พลังกับความเร็วที่พวกเจ้ามีตอนนี้เป็นอย่างไร ตอนที่พวกเจ้าประมือกับศัตรู พวกเจ้าใช้วิธีการรีบสู้รีบจบ ใช้ทุกกระบวนท่าที่อันตรายที่สุด หากเปลี่ยนเป็นตอนที่พวกเราเพิ่งเข้ามาในเกมแล้วอยู่ในการต่อสู้นั้น พวกเจ้าจะควบคุมพลังกับความเร็วที่ตัวเองมีไหวหรือเปล่า”

“เรื่องนี้…”

พอได้ยินคำถามของเยี่ยเว่ยหมิง ทั้งสองก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกัน

จนกระทั่งตอนนี้ ซานเย่ว์เพิ่งจะเข้าใจ “สิ่งที่ทำให้พวกเราควบคุมพลังกับความเร็วได้ก่อนหน้านี้ก็คือผลจากค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’ หรือ”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ อาศัยเลเวลและโบนัสเคล็ดวิชาต่างๆ ค่าสเตตัสแต่ละรายการที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างเฉลี่ยกัน แต่ ‘ความว่องไว’ ของข้าเพิ่มเร็วสุดในบรรดาค่าเตตัสทั้งหมด ข้าจึงไมได้สังเกตจุดนี้เลย”

“เพราะก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็ได้อัปเลเวลค่อนข้างเยอะ กอปรกับการจู่โจมของหวงโส่วจุน ถึงทำให้ข้าตระหนักได้ถึงความสำคัญของความว่องไว”

พอนึกถึงความรู้สึกที่ตัวเองควบคุมทุกอย่างได้ก่อนหน้านี้ แม้เยี่ยเว่ยหมิงจะรู้ชัดว่ารู้สึกไปเอง แต่กลับยังแอบดีใจ

เมื่อมี เอฟเฟ็กต์เสริมอย่าง ‘เงาของเทพกระบี่’ ก็ทำให้เขากลายเป็นยอดฝีมือที่เคลื่อนไหวรวดเร็วได้ภายในเวลาสั้นๆ แล้ว

โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีสมาธิสูงอย่างนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนได้ใช้ ‘เอฟเฟ็กต์หลบกระสุน’ ในภาพยนตร์!

ราวกับทั้งโลกนี้หมุนช้าลง ทำให้เขารับมือกับทุกสถานการณ์ฉุกเฉินได้สบายๆ

ส่วนเฟยอวี๋กับซานเย่ว์พอได้ฟังเขาพูดแล้วก็อดเผยสีหน้าครุ่นคิดไม่ได้ ราวกับกำลังพิจารณาว่าต้องเลือกทักษะยุทธ์ที่เหมาะสมสักวิชาเพื่ออัปเลเวลให้ถึงระดับสมบูรณ์ก่อนไหม

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า กลับเป็นคนแรกที่ดึงสติกลับมาก่อน จู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ไปกันเถอะ ข้าพาพวกเจ้าไปดูธนูระดับทองคำที่ข้าพูดถึงก่อนหน้านี้”

คาดไม่ถึงว่าเฟยอวี๋ได้ยินแล้วกลับส่ายหน้า “หากเทียบกับธนูระดับทองคำอะไรนั่น เยี่ยเว่ยหมิง เจ้าจำเรื่องที่หมู่บ้านแปะก๊วยตอนนั้นได้ไหม ที่พวกเราสัญญากับสหายถังไว้”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอดชะงักไม่ได้ จากนั้นบอกว่า “เจ้าพูดถูก เขาเคยรับปากเจ้า ว่าหากเจ้าเลิกใช้ดาบแล้วมาใช้กระบี่เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้าย เขาก็จะพิจารณาเรื่องยอมรับเจ้า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 212 เงาของเทพกระบี่

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 212 เงาของเทพกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 212 เงาของเทพกระบี่

ดูจากข้อมูลแนะนำ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เลเวลสิบยังดูประสิทธิภาพธรรมดา พลังโจมตีก็ดีกว่า ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เลเวลหกนิดหน่อยเท่านั้น

ใช่แล้ว บางทีก็ดีกว่าเลเวลเจ็ดด้วย แต่ถ้ารอให้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เพิ่มถึงเลเวลแปด ก็น่าจะบดขยี้มันได้ทุกด้าน

มองจากจุดนี้ เหมือนจะเป็นการทำผิดต่อค่าประสบการณ์สามแสนแต้มที่ต้องใช้นิดหน่อย

อย่างไรเสีย ความยอดเยี่ยมของ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ก็ไม่ได้เกิดจากดาเมจของกระบวนท่าอันดุดันอยู่แล้ว แต่เป็นโบนัสค่าสเตตัสต่างหาก!

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากเลเวลของวิทยายุทธ์ถึงเลเวลสิบซึ่งเป็นระดับสมบูรณ์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเพิ่มเลเวลซ้อนได้ผ่านการใส่อุปกรณ์

เพียงแต่การเพิ่มเลเวลซ้อนแบบนี้ เพิ่มได้เพียงค่าสเตตัสพื้นฐานของทักษะยุทธ์เท่านั้น แต่กลับไม่มีทางเปลี่ยนแบบพลิกโฉมใหม่ได้อย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างเช่นก่อนได้รับการชี้แนะจากหวงโส่วจุน ค่าสเตตัสของ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ก็แค่โจมตี +110% ป้องกัน +110% เท่านั้น ไม่ใช่แค่ค่าสเตตัสที่แตกต่างกับตอนอัปถึงเลเวลสิบ ทั้งยังขาด ‘เอฟเฟ็กต์พิเศษ’ ที่สำคัญไปหนึ่งอย่างด้วย

เอฟเฟ็กต์พิเศษนี้ต่างหาก ที่ทำให้ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เปลี่ยนจากดักแด้กลายเป็นผีเสื้ออย่างแท้จริง กลายเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลง!

[เงาของเทพกระบี่: คุณฝึก ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ จนถึงระดับสมบูรณ์แล้ว ในที่สุดก็ได้เข้าใจถึงท่วงท่าอันสง่างามของเทพกระบี่]

[เอฟเฟกต์พาสซิฟ: ได้เอฟเฟกต์ทวีคูณของค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’ ถ้ามี ‘ความว่องไว’ 1 แต้ม ก็จะแสดงผลได้ 2 แต้ม!]

เอฟเฟกต์ทวีคูณของค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’ จะให้ความรู้สึกอย่างไรกัน

อย่างไรเสีย หลังจากเคล็ดกระบี่นี้อัปถึงเลเวลสิบแล้ว ทุกอย่างรอบตัวที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกได้ราวกับเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว

แต่หากจะถามให้เจาะจงว่าตรงไหนที่เปลี่ยนไป เขาเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน

ตอนนี้เอง กลับได้ยินเสียงหวงโส่วจุนทีนั่งอยู่ด้านบนเอ่ยถามว่า “เจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย ตอบกลับด้วยความเคารพ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”

“ไม่ใช่หรอก!”

หวงโส่วจุนส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นกล่าวอย่างมั่นใจมากกว่า “สีหน้าของเจ้าบอกข้าว่าเจ้าไม่เข้าใจ”

พอพูดจบ ร่างของหวงโส่วจุนก็หายไปจากตรงหน้าทั้งสามราวกับเคลื่อนย้ายมวลสาร ขณะเดียวกัน ก็ไปปรากฏตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิงสามฉื่อ (ประมาณหนึ่งเมตร)

หลังจาก ‘หายตัว’ มาโผล่ตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง นิ้วชี้กับนิ้วกลางมือขวาของหวงโส่วจุนก็หุบเข้าด้วยกัน แล้วแตะเข้ามาตรงหว่างคิ้วของเขาโดยตรง!

การเคลื่อนไหวของนิ้วเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนทำให้เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ มองเห็นเพียงเงาเลือนรางเท่านั้น

ตอนที่ทั้งสองนึกว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะต้องถูกนิ้วของหวงโส่วจุนจิ้มแน่ๆ กลับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะพลันหันหน้าหลบอย่างรวดเร็วเช่นกัน ใช้ระยะการหลบน้อยมาก แทบจะหลบนิ้วที่ไวปานสายฟ้าของหวงโส่วจุนไม่ทัน

ทว่าเมื่อโจมตีครั้งเดียวแล้วไม่ถูกเป้าหมาย หวงโส่วจุนกลับเป็นเปลี่ยนใช้ฝ่ามือแทน ใช้ฝ่ามือเป็นดาบ ฟันขวางเข้ามาตรงหน้าผากแบนราบของเยี่ยเว่ยหมิง

กระบวนท่านี้รวดเร็วอัศจรรย์เช่นเดียวกัน แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับเอนหลังอย่างไม่รีบร้อน จึงหลบดาบฝ่ามือนี้ของหวงโส่วจุนได้

ผู้เล่นอีกสองคนตาปริบๆ มองฝ่ามือของหวงโส่วจุนเฉียดผ่านปลายจมูกของเขาไป แต่กลับทำร้ายเขาไม่ได้แม้แต่ครึ่งเส้นขน

เป็นท่าร่างที่เจ๋งมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะหลบหลีกการโจมตีที่รวดเร็วดุดันได้สบายๆ!

หลังจากนั้น หวงโส่วจุนก็โจมตีเยี่ยเว่ยหมิงอีกสิบกว่ากระบวนท่าในอึดใจเดียว แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับหลบหลีกได้อย่างเหมาะเจาะ

ในสายตาของซานเย่ว์กับเฟยอวี๋ ตอนนี้หวงโส่วจุนกลายเป็นเงาเลือนรางที่มองเห็นไม่ชัดแล้ว แต่ท่ามกลางการโจมตีโหดที่เหมือนพายุฝน เยี่ยเว่ยหมิงกลับหลบซ้ายหลบขวา ใช้การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็รอดจากการโจมตีที่รวดเร็วจนเหนือสายตามนุษย์ของหวงโส่วจุนได้!

หลังจากผ่านไปสิบกว่ากระบวนท่า เงาร่างของหวงโส่วจุนก็ ‘เทเลพอร์ต’ อีกครั้ง หายไปจากตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง กลับมานั่งประจำที่ของตัวเองในหอประชุมอีกครั้ง ราวกับไม่เคยย้ายที่มาก่อน เอาแต่อมยิ้มมองเยี่ยเว่ยหมิงที่ยังไม่หายตกใจ “ตอนนี้ เจ้าเข้าใจหรือยัง”

ก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงถูกหวงโส่วจุนโจมตีต่อเนื่อง เมื่อค่าสเตตัสท่าร่างประกอบกับกำลังภายในแล้วแสดงประสิทธิภาพสูงสุดออกมา เขาเพียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็หลบการโจมตีที่เหมือนพายุฝนของหวงโส่วจุนได้แล้ว ตอนนี้ย่อมไม่มีกะจิตกะใจไปครุ่นคิดถึงอย่างอื่น

ตอนนี้เมื่อได้ยินหวงโส่วจุนเตือน เขากลับดีอกดีใจมาก รีบกุมหมัดคารวะ “ขอบคุณหวงโส่วจุนมากที่ชี้แนะ ข้าเข้าใจแล้ว ครั้งนี้ข้าเข้าใจแล้วจริงๆ!”

หวงโส่วจุนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เข้าใจก็ดีแล้ว วันนี้พวกเจ้าได้อะไรไปไม่น้อยเลย กลับไปตั้งใจเรียบเรียงให้ดีเถิด”

ทั้งสามกล่าวอำลาแล้วออกจากหอประชุม

ตอนที่เพิ่งออกจากประตูใหญ่ ซานเย่ว์อดไม่ไหว คว้าแขนเยี่ยเว่ยหมิงแล้วถามอย่างตื่นเต้นว่า “อาหมิง เจ้าเก่งกาจเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าขนาดหวงโส่วจุนโจมตีสุดกำลังแล้ว เจ้าก็ยังหลบได้สิบกว่ากระบวนท่าโดยไม่บาดเจ็บเลยสักนิด เป็นบิดาของบิดาของบิดาของยอดฝีมือจริงๆ!”

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเจื่อนเยาะเย้ยตัวเอง “ข้าเก่งบ้าอะไรล่ะ!”

ไม่รอให้อีกฝ่ายถาม เขาก็อธิบายต่อว่า “เมื่อครู่ข้าใช้ความเร็วจนเต็มขีดจำกัดของตัวเองแล้ว แต่กลับทำได้เพียงหลบการโจมตีของหวงโส่วจุนเท่านั้น อยากจะดึงระยะห่างสักก้าวยังทำไม่ได้…

…แต่หวงโส่วจุนกลับไม่เปลืองแรงเลยสักนิด…

…ความเร็วของเขาไม่มากหรือน้อยไป แต่กลับบีบให้ข้าพยายามหลบสุดความสามารถได้ ไม่ถึงขั้นรับมือไม่ไหวด้วย เพียงทำให้ข้าสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ หลังจากถึงเลเวลสิบได้ดียิ่งขึ้นก็เท่านั้นเอง…

…ในสายตาพวกเจ้า ความเร็วของเขานับเป็นระดับสูงสุดแล้ว แต่ความจริงเขาเพียงใช้ความเร็วที่มากกว่าบีบให้ข้าใช้ความเร็วสูงสุดก็เท่านั้นเอง ด้านกระบวนท่ากลับเคลื่อนไหวเยอะมาก โจมตีไปโจมตีมา ในระหว่างนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนใดๆ บางทีอาจจะมีเพียงการทำอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะรู้สึกได้ถึงเอฟเฟ็กต์ของค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’”

“ความว่องไว?” เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างๆ กลับจับประเด็นสำคัญจากคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงได้แล้ว เขาถามว่า “ฟังจากที่เจ้าพูด หลังจาก ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เพิ่มถึงเลเวลสิบแล้ว ก็จะเพิ่มเอฟเฟ็กต์พิเศษให้ ‘ความว่องไว’ ทั้งยังเพิ่มอย่างชัดเจนมากด้วยอย่างนั้นหรือ”

ซานเย่ว์ที่อยู่ข้างกันกลับยังงงงวย “ค่าสเตตัสอย่างความว่องไวแสดงประสิทธิภาพได้แข็งแกร่งขนาดนี้เหมือนกันหรือ ข้ายังนึกว่าเจ้าได้ท่าร่างเสริมที่ร้ายกาจมากเสียอีก”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วถามกลับว่า “ตอนนี้เข้าเกมมาได้สักระยะแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยคิดถึงเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า พลังกับความเร็วที่พวกเจ้ามีตอนนี้เป็นอย่างไร ตอนที่พวกเจ้าประมือกับศัตรู พวกเจ้าใช้วิธีการรีบสู้รีบจบ ใช้ทุกกระบวนท่าที่อันตรายที่สุด หากเปลี่ยนเป็นตอนที่พวกเราเพิ่งเข้ามาในเกมแล้วอยู่ในการต่อสู้นั้น พวกเจ้าจะควบคุมพลังกับความเร็วที่ตัวเองมีไหวหรือเปล่า”

“เรื่องนี้…”

พอได้ยินคำถามของเยี่ยเว่ยหมิง ทั้งสองก็ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกัน

จนกระทั่งตอนนี้ ซานเย่ว์เพิ่งจะเข้าใจ “สิ่งที่ทำให้พวกเราควบคุมพลังกับความเร็วได้ก่อนหน้านี้ก็คือผลจากค่าสเตตัส ‘ความว่องไว’ หรือ”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ อาศัยเลเวลและโบนัสเคล็ดวิชาต่างๆ ค่าสเตตัสแต่ละรายการที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างเฉลี่ยกัน แต่ ‘ความว่องไว’ ของข้าเพิ่มเร็วสุดในบรรดาค่าเตตัสทั้งหมด ข้าจึงไมได้สังเกตจุดนี้เลย”

“เพราะก่อนหน้านี้จู่ๆ ก็ได้อัปเลเวลค่อนข้างเยอะ กอปรกับการจู่โจมของหวงโส่วจุน ถึงทำให้ข้าตระหนักได้ถึงความสำคัญของความว่องไว”

พอนึกถึงความรู้สึกที่ตัวเองควบคุมทุกอย่างได้ก่อนหน้านี้ แม้เยี่ยเว่ยหมิงจะรู้ชัดว่ารู้สึกไปเอง แต่กลับยังแอบดีใจ

เมื่อมี เอฟเฟ็กต์เสริมอย่าง ‘เงาของเทพกระบี่’ ก็ทำให้เขากลายเป็นยอดฝีมือที่เคลื่อนไหวรวดเร็วได้ภายในเวลาสั้นๆ แล้ว

โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีสมาธิสูงอย่างนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนได้ใช้ ‘เอฟเฟ็กต์หลบกระสุน’ ในภาพยนตร์!

ราวกับทั้งโลกนี้หมุนช้าลง ทำให้เขารับมือกับทุกสถานการณ์ฉุกเฉินได้สบายๆ

ส่วนเฟยอวี๋กับซานเย่ว์พอได้ฟังเขาพูดแล้วก็อดเผยสีหน้าครุ่นคิดไม่ได้ ราวกับกำลังพิจารณาว่าต้องเลือกทักษะยุทธ์ที่เหมาะสมสักวิชาเพื่ออัปเลเวลให้ถึงระดับสมบูรณ์ก่อนไหม

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า กลับเป็นคนแรกที่ดึงสติกลับมาก่อน จู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ไปกันเถอะ ข้าพาพวกเจ้าไปดูธนูระดับทองคำที่ข้าพูดถึงก่อนหน้านี้”

คาดไม่ถึงว่าเฟยอวี๋ได้ยินแล้วกลับส่ายหน้า “หากเทียบกับธนูระดับทองคำอะไรนั่น เยี่ยเว่ยหมิง เจ้าจำเรื่องที่หมู่บ้านแปะก๊วยตอนนั้นได้ไหม ที่พวกเราสัญญากับสหายถังไว้”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอดชะงักไม่ได้ จากนั้นบอกว่า “เจ้าพูดถูก เขาเคยรับปากเจ้า ว่าหากเจ้าเลิกใช้ดาบแล้วมาใช้กระบี่เพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้าย เขาก็จะพิจารณาเรื่องยอมรับเจ้า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด