ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 559 เตียงสำหรับสองคน

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 559 เตียงสำหรับสองคน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 559 เตียงสำหรับสองคน

ปล้นสุสาน!

‘ตระหนักรู้วิชากำลังภายใน’ ของอ๋าวป้ายร่างแท้ไม่เพียงแค่เพิ่มไปบนทักษะการดำรงชีวิต ‘ปล้นสุสาน’ ทั้งยังทำให้เลเวลทักษะนี้เพิ่มจะหนึ่งไปถึงเลเวลเก้าในรวดเดียว!

แล้วข้าจะไปเรียกร้องความยุติธรรมได้ที่ไหน

มารดาเจ้าเถอะ ใครบอกข้าได้บ้างว่าเจ้าคนที่มีอำนาจมากในราชสำนักอย่างอ๋าวป้ายจะเกี่ยวข้องอะไรกับการปล้นสุสาน

ต่อให้เพิ่มไปด้านนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกัน

แต่ปัญหาก็คือ ทักษะการดำรงชีวิตอย่างปล้นสุสาน ตั้งแต่เยี่ยเว่ยหมิงเรียนมาก็ไม่เคยได้ใช้เลย จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่ามีประโยชน์ตรงไหน

เดี๋ยวนะ…

เหมือนว่าตอนที่ค้นพบห้องหินชั้นสองที่ซ่อนไว้ของตู๋กูเจี้ยนก่อนหน้านี้ ทักษะแจ้งเตือนว่า ‘เวทชันสูตรศพ’ และ ‘ปล้นสุสาน’ จะรวมกันได้

พอมาดูแบบนี้ ทักษะนี้ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เหมือนอย่างที่เห็นภายนอกเสียทีเดียว?ไอรีนโนเวล

แม้จะในจะบ่นต่างๆ นานา แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังพลิกเปิด ‘ตระหนักรู้วิชากำลังภายใน’ ที่ได้จากเฝิงซีฟ่านร่างแท้ หลังจากอ่านแล้วค่าประสบการณ์วิชากำลังภายในกลายเป็นหกแสนสามหมื่นแต้ม ซึ่งครั้งนี้ ในที่สุดก็เขาก็ใช้ ‘เรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกัน’ สุ่มเพิ่มค่าประสบการณ์ไปบน ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ ได้แล้ว!

[ไท้ซัวเป็นไฉน (สุดยอดวิชา)]

เลเวล: 9

ค่าประสบการณ์: 65773/1000000

โจมตี +90%

แม่นยำ +90%

คริติคอลดาเมจ +90%

โจมตีถูกจุดสำคัญมีโอกาสปลิดชีพ 15%!

……

เป็นอย่างที่คาดไว้ สวรรค์ย่อมเมตตาคนที่มีความเพียร ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงใช้งานตำราลับตระหนักรู้ในมือจนหมด ในที่สุด ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ ก็เพิ่มถึงเลเวลเก้าสมใจปปรารถนาเขาแล้ว

‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ เลเวลเก้า แม้เทียบกับเลเวลแปดแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ แต่กลับเข้าใกล้เลเวลสิบที่เป็นระดับสมบูรณ์มากขึ้นอีกก้าวแล้ว

พูดอีกอย่างก็คือ รอให้เขาได้ชัยชนะในการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณ ก็จะได้เห็นแล้วว่าความพิเศษของสุดยอดวิชานี้ตอนเลเวลเต็มแล้วจะฝืนชะตาอย่าางไรกันแน่!

ขณะที่กำลังตื่นเต้นดีใจ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้บุ่มบ่ามใช้งาน ‘ตระหนักรู้วิชากำลังภายใน’ เล่มสุดท้ายและเป็นเล่มที่มีค่าสที่สุดของตู๋กูเจี้ยน

สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไรอย่างอื่น เป็นเพราะ ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ และ ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ของเขาล้วนขาดค่าประสบการณ์อีกไม่น้อยกว่าจะอัปเลเวลได้ อีกทั้งค่าประสบการณ์ ‘ตระหนักรู้วิชากำลังภายใน’ 1500000 แต้มจากตู๋กูเจี้ยน หากนำมาคูณ 1.5 แล้วหารด้วย 4 สุดท้ายค่าประสบการณ์ 562500 ที่ได้รับ ไม่ว่าจะใช้วิธีเรียนรู้ผ่านเรื่องทำนองเดียวกันสุ่มเพิ่มไปที่ไหน ก็ไม่มีทางเพิ่มเลเวลได้โดยตรง

ถ้าตอนนี้รีบร้อนใช้ตำราลับตระหนักรู้อันล้ำค่าเล่มนี้ ก็เป็นการสิ้นเปลืองอย่างน่าไร้ยางอายจริงๆ!

สงบสติอารมณ์คครู่หนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ในมือตนมีเรื่องบางอย่างที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย ยกตัวอย่างเช่นป้ายบำเหน็จลงทัณฑ์ที่จางซาน หลี่ซื่อให้เขาส่งต่อให้หวงโส่วจุน ตอนนี้มันยังอยู่ในมือเขาอยู่เลย

ยกตัวอย่างเช่น เถ้ากระดูกและสารีริกธาตุของไต้ซือเสวียนเปยยังอยู่บนตัวเขา ต้องหาเวลานำไปส่งที่เส้าหลิน艾琳小說

เถ้ากระดูกของเสวียนเปย ตอนนี้ยังไม่ได้รีบใช้ ถึงอย่างไรก็ไม่จำกัดเวลาอยู่แล้ว แต่การส่งป้ายบำเหน็จลงทัณฑ์กลับไปที่สำนักกลับมีเวลาจำกัดอย่างเข้มงวด

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกินเวลาภารกิจจนเกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น เยี่ยเว่ยหมิงวิ่งส่ายก้นกลับไปสำนักมือปราบเทพนำป้ายทองแดงสองแผ่นส่งถึงมือหวงโส่วจุน

หลังจากอีกฝ่ายรับป้ายอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็มองเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เจ้าเด็กนี่ ถ้าไม่มีภารกิจของคนนอกก็ไม่คิดจะกลับสำนักมือปราบเทพแล้วใช่ไหม”

“ท่านใส่ร้ายกันนี่ขอรับ!” ขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกละอายใจ ภายนอกก็ยังแสร้งทำสีหน้าเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าน้อยเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักมือปราบเทพ จดจำความตั้งใจเดิมและคำสั่งไว้ทุกชั่วขณะ ไม่กล้าลืมแม้เพียงครู่เดียวขอรับ!…

…ก่อนหน้านี้ออกไปเที่ยว…แค่กๆ ออกไปทำภารกิจอื่น แล้วก็ถือโอกาสใช้เวลาตอนไม่มีภารกิจอื่นพยายามเพิ่มความสามารถของตัวเอง ใช้วิทยายุทธ์ที่ทรงพลังกว่ามาเพิ่มความองอาจให้ความสามารถของตัวเองไม่หยุด มีแต่ทำอย่างนี้เท่านั้นถึงจะไม่ถูกยุคสมัยทอดทิ้งขอรับ”

พอพูดถึงตรงนี้ ความละอายใจและความน้อยเนื้อต่ำใจก็หายไปจากสีหน้าของเยี่ยเว่ยหมิง แทนที่ด้วยสีหน้าที่รู้สึกเป็นเกียรติ ศักดิ์สิทธิ์และภาคภูมิใจ เหลือแค่แสงรัศมีเทพที่ยังไม่เปล่งออกจากตัวเท่านั้น “มีเพียงการทำอย่างนี้เท่านั้น ตอนที่สำนักมือปราบเทพต้องการให้ข้าบุกกอยู่แนวหน้า ข้าจะได้อุทิศคุณค่าของตนเพื่อคำสั่งอันศักดิ์สิทธิ์ที่ให้จัดระเบียบยุทธภพของสำนักมือปราบเทพได้!”

แปะๆๆ!…

เมื่อฟังเยี่ยเว่ยหมิงพูดจบแล้ว หวงโส่วจุนก็ปรบมืออย่างให้ความร่วมมือมาก “ดีมาก ไม่เลวเลย ประพันธ์เรื่องราวได้ดีมาก การแสดงก็ทำได้ยอดเยี่ยมทั้งสีหน้าทั้งน้ำเสียงเช่นกัน เจ้าทำได้ถึงขั้นนี้ ก็แสดงว่าเจ้าก็มีความตั้งใจแล้ว…”

เขาพูดพลางส่ายหน้า “ดูท่าแล้วข้าคงเข้าใจเจ้าผิด เฮ้อ…เห็นเจ้าไม่ยอมกลับสำนักมือปราบเทพเลย ยังนึกว่าเจ้าไม่สนใจเคล็ดกระบี่ที่เหลือของ ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ แล้วเสียอีก”

พอได้ยินคำว่า ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ เยี่ยเว่ยหมิงก็ฮึกเหิมทันที สดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นทั้งตัว

อาการเลือดลมสูบฉีดที่ไม่ต้องอาศัยการแสดงเหมือนก่อนหน้านี้ ครั้งนี้เขาดูมีชีวิตชีวาแล้วจริงๆ กระปรี้กระเปร่ามาจากภายใน!

เมื่อเห็นท่าทางของหวงโส่วจุนเหมือนกำลังบอกว่า ‘ข้าไม่กลัวว่าเด็กอย่างเจ้าจะไม่ตกหลุมพราง’ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยอมรับว่าตัวเองทำไม่ได้ถึงขั้นเยือกเย็นเพราะไร้ความปรารถนา ทำได้เพียงยิ้มสู้อย่างว่านอนสอนง่ายพร้อมกล่าวว่า “เอ่อ คือ…หวงโส่วจุนผู้ยิ่งใหญ่ รุ่งโรจน์และรักความถูกต้อง เมื่อครู่ท่านเพิ่งเอ่ยถึง ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ อย่าบอกนะว่าตอนนี้มีภารกิจสำหรับฝึก ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ ต่อแล้ว?”

หวงโส่วจุนได้ยินแล้วย้อนถามด้วยสีหน้าอมยิ้ม “ต่อให้มีภารกิจ ตอนนี้เจ้ายังมีเวลาไปจัดการงานราชการหรือ”

“กำลังจะมีเวลาเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”

ตอนนี้รอยยิ้มของเยี่ยเว่ยหมิงชั่วร้ายมาก เขาถึงขั้นจินตนาการได้ว่าตอนนี้สีหน้าของตัวเองเจ้าเล่ห์ขนาดไหน แต่เขาก็ไม่แยแสหรอก

สุดยอดวิชา ข้าปรารถนา

ภารกิจ ข้าก็ปรารถนา

ตอนที่เผชิญหน้ากับสองสิ่งที่ขัดแย้งกัน เยี่ยเว่ยหมิงเลือกที่จะเสียสละศักดิ์ศรีของตัวเอง จากนั้นก็เอาทุกอย่างเลย!

ดังนั้น เขาถึงไม่แยแสเลยว่าจะเสียหน้าหรือไม่ กล่าวอย่างไม่อายเลยว่า “การประลองใหญ่หอหมอกพิรุณที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป มีความสำคัญต่อการยกระดับความสามารถของข้าน้อยมาก แต่คิดไปคิดมาก็เป็นเพียงการประลองครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่เสียเวลามากเกินไปแน่นอน…

…รอให้ภารกิจประลองใหญ่หอหมอกพิรุณจบแล้ว ข้าน้อยจะได้จัดการเรื่องที่ได้รับหมอบหมายจากท่านทันทีขอรับ ทำเช่นนี้ได้หรือไม่”

“เช่นนั้นก็รอให้เจ้ามีเวลาก่อน แล้วค่อยมาหาข้าก็แล้วกัน” ขณะที่พูด หวงโส่วจุนก็หยิบตำราที่เขาเคยวางลงก่อนหน้านี้ขึ้นมาเริ่มอ่านอย่างไม่จริงจังอีกครั้ง

มองออกเลยว่าอีกฝ่ายทำท่าเหมือนส่งแขก เยี่ยเว่ยหมิงจึงลุกขึ้นแล้วกล่าวอำลาอยากรู้กาลเทศะทันที

ในเมื่อหวงโส่วจุนให้เยี่ยเว่ยหมิงไปร่วมประลองใหญ่หอหมอกพิรุณก่อนแล้วค่อยมาหาเขา เช่นนั้นก็แสดงว่าโส่วจุนท่านนี้ยอมรับข้อเสนอจับปลาสองมือที่เขาเพิ่งเอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว!

Perfect (สมบูรณ์แบบ)!

งานสำคัญต่อจากนี้ ก็คือคว้ารางวัลชนะเลิศในการประลองใหญ่หอหมอกพิรุณ

เพียงแต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ต้องทำความคุ้นเคยกับความสามารถที่เพิ่งเพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้เช่นกัน โดยเฉพาะเอฟเฟ็กต์โดยละเอียดของ ‘หนึ่งปราณแปรสาม’

แล้วก็ผ่านไปอย่างนี้ เวลาผ่านไปแล้วหนึ่งวัน การประลองยุทธ์หอหมอกพิรุณกำลังจะมาถึง แต่กลับมีแขกที่ไม่คาดคิดมาเยือนเยี่ยเว่ยหมิง

“โหยวโหยว?” เมื่อเห็นสาวน้อยแสนสวยผู้องอาจห้าวหาญคนนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดกล่าวพร้อมรอยยิ้มไม่ได้ “เจ้าไม่ไปศึกษาสักหน่อยหรือว่าใน ‘บันทึกลับหลี่ว์กง’ มีอะไรที่ใช้ได้กับกลยุทธ์ต่อสู้จริงของเจ้า มาหาข้ามีธุระอะไร”

“ข้าก็มาเพื่อส่งของดีให้เจ้าน่ะสิ” โหยวโหยวหัวเราะแห้ง จากนั้นโบกมือเรียวงาม หยิบอุปกรณ์พิเศษชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า

มันคือเตียงสำหรับสองคน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด