ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 135 รางวัลภารกิจอีกส่วน

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 135 รางวัลภารกิจอีกส่วน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 135 รางวัลภารกิจอีกส่วน

เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงด่าอย่างอุกอาจขนาดนี้แล้วเดินจากไป ชวีหลิงเฟิงที่กำลังถูกความโกรธโจมตีหัวใจ ตอนนี้ดวงตาสองข้างเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงฉาน พอพลิกฝ่ามือ พลังของฝ่ามือตัดอากาศก็เริ่มก่อตัว

“น่ารังเกียจ! บังอาจมาเหยียดหยามอาจารย์ผู้มีพระคุณของข้า ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!”

เพียะ! ไม่รอให้ชวีหลิงเฟิงลงมือ ฝ่ามือของหวงเย่าซือกลับตบลงบนบ่าเขาแล้ว ทำให้กำลังภายในที่เขาเพิ่งจะรวบรวมขึ้นมาแตกซ่าน

ขณะมองคล้อยหลังเยี่ยเว่ยหมิงจากไปอย่างอุกอาจ หวงเย่าซือก็เอ่ยว่า “เจ้าเด็กนี่กำเริบเสิบสานได้ขนาดนี้ แสดงว่ามั่นใจแล้วว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเขาจริงๆ ประเด็นก็คือเขามองออกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”

ชวีหลิงเฟิงก็เป็นคนเจนจัดในยุทธภพเช่นกัน ประเด็นสำคัญที่หวงเย่าซือเอ่ยถึง มีหรือที่เขาจะคิดไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าหวงเย่าซือแพ้เดิมพันให้คนอื่น ถึงต้องนำทักษะยุทธ์ของตัวเองมาเป็นรางวัลให้คนที่จับตัวลูกศิษย์ของตัวเองอย่างเยี่ยเว่ยหมิง

และในระหว่างการให้รางวัล เขาเล่นลิ้นก็เพราะจงใจจะยั่วโมโหเยี่ยเว่ยหมิงสักหน่อย แต่กลับหักรางวัลภารกิจไม่ได้ ทั้งยังลงมือกับเยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ด้วย

ต่อให้ปล่อยให้ชวีหลิงเฟิงลงมือ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน!

เพราะหากเขาทำอย่างนั้นเมื่อไร คนในยุทธภพก็จะคิดว่าเขามารเฒ่าหวงแพ้แล้วพาล!

หากเป็นเช่นนี้ ชื่อของหวงเย่าซือก็จะถือว่าฉาวโฉ่โดยสิ้นเชิง

หวงเย่าซือเป็นคนทำอะไรแปลกประหลาด ดูเผินๆ เหมือนดูถูกค่านิยมไม่ดีในสังคม บอกว่าตัวเองไม่สนใจสายตาคนในยุทธภพ แต่จำกัดอยู่เพียงทัศนคติของผู้อื่นที่มีต่อลักษณะการทำเรื่องต่างๆ ของเขาเท่านั้น

เขาไม่แยแสเลยหากคนอื่นว่าเขาประหลาด ว่าเขาเป็นมาร ว่าเขาไม่เคารพประเพณี แต่เขาไม่ยอมให้ใครมาว่าเขาเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ว่าเขาพูดจาไม่เป็นคำพูดเด็ดขาด!

ที่เขาบอกว่าไม่แยแสสายตาคนในสังคม ก็เป็นเพียงความเข้าใจและบรรทัดฐานส่วนตัวต่อเรื่องราวในสังคมเท่านั้น

ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็มองออกถึงจุดนี้ของเขา ถึงได้กล้าด่าอย่างอุกอาจขนาดนี้ ทั้งยังทำให้เขาไม่มีหนทางโต้ตอบด้วย

แต่สำหรับบางปัญหานั้น เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่จะให้ชวีหลิงเฟิงมองเยี่ยเว่ยหมิงด่าอาจารย์ตัวเองแล้วจากไปอย่างปลอดภัยเช่นนี้ เขาก็รู้สึกไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก

ส่วนหวงเย่าซือ เห็นได้ชัดว่าไม่มีท่าทีจะอธิบายอะไรกับเขา เพียงใช้วิธีการพูดคุยด้วย ‘เหตุผล’ หยุดยั้งการทำอะไรมุทะลุของชวีหลิงเฟิง จากนั้นก็มองส่งเยี่ยเว่ยหมิงจากไปไกลอย่างช้าๆ แต่ปากที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากกลับเผยรอยยิ้มที่คนอื่นมองไม่เห็น

ทันใดนั้น หวงเย่าซือก็เริ่มหัวเราะลั่น หัวเราะจนชวีหลิงเฟิงรู้สึกขนพองสยองเกล้า

หลังจากนั้นพักหนึ่ง หวงเย่าซือถึงได้หยุดหัวเราะ แล้วส่ายหน้ากล่าวว่า “คิดดูสิ ข้าหวงเย่าซือมีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะกับหวังฉงหยาง โอวหยางเฟิง ต้วนจื้อซิง หงชี แต่กลับนึกไม่ถึงว่าคนที่รู้จักข้าดีที่สุดจะเป็นมือปราบเล็กๆ ไร้ประสบการณ์คนหนึ่ง! น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ!”

“วิชา ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ ของข้าไปตกอยู่ในมือเจ้าเด็กที่น่าสนใจเช่นนี้ คงไม่ทำลายชื่อเสียงของมารบูรพาอย่างข้าหรอก”

เมื่อได้ยินหวงเย่าซือพึมพำกับตัวเอง ชวีหลิงเฟิงที่ตกใจจนลืมความโกรธแค้นก่อนหน้านี้ของตัวเองก็ถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

หวงเย่าซือได้ยินแล้วแสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าเป็นบ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ”

ชวีหลิงเฟิงรีบก้มหน้า “ศิษย์มิบังอาจ”

เมื่อเห็นชวีหลิงเฟิงมีท่าทางเฉลียวฉลาดขนาดนี้ หวงเย่าซือก็พลันถามว่า “เจ้าปัญญาอ่อน เจ้ารู้หรือเปล่าว่าลูกสาวของเจ้าตกอยู่ในมือของสำนักมือปราบเทพแล้ว”

ชวีหลิงเฟิงได้ยินแล้วตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เยี่ยเว่ยหมิงพูดก่อนหน้านี้จะเป็นความจริง!

ตอนนี้หวงเย่าซือส่ายหน้าน้อยๆ “เจ้ามือปราบนั่นทำงานได้รอบคอบไร้ช่องโหว่ ย่อมไม่ลืมเตรียมแผนสำรองหากสู้ไม่ชนะเจ้าอยู่แล้ว ที่จริงโหยวจิ้นแห่งสำนักมือปราบเทพก็วางกับดักแหฟ้าตาข่ายดินไว้รอเจ้าแล้ว ตอนให้ตอนแรกเจ้าสู้ชนะ แต่ก็เลี่ยงชะตากรรมที่จะถูกจับกุมได้ยาก”

ชวีหลิงเฟิงได้ยินแล้วตกใจมาก แต่กลับได้ยินหวงเย่าซือพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากับสหายหวงแห่งสำนักมือปราบเทพทำข้อตกลงกัน ตอนนี้ลูกสาวเจ้าถูกส่งตัวไปรอพวกเราอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแล้ว”

เมื่อได้ยินหวงเย่าซือพูดเช่นนี้ ชวีหลิงเฟิงมีหรือที่จะยังคิดไม่ได้ว่าอาจารย์ของเขาได้จ่ายราคาสมน้ำสมเนื้อเพื่อสิ่งนี้ ถึงขั้นว่าสิ่งที่จ่ายไปไม่ใช่เพียง ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ วิชาเดียวด้วย

พอนึกถึงจุดนี้ ชายชาตรีคนหนึ่งก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ “ศิษย์ทำให้อาจารย์ลำบากแล้ว!”

“อย่ามัวพูดมากเป็นยายแก่” หวงเย่าซือยื่นมือออกมาคว้าเอวของชวีหลิงเฟิงแล้วหิ้วขึ้นมาเสียเลย “โรงเตี๊ยมอะไรนั่นของเจ้า ไม่ต้องทำแล้ว อีกประเดี๋ยวหากรับตัวลูกสาวเจ้ามาแล้ว ก็กลับไปเกาะดอกท้อด้วยกันกับข้า”

“ท่านอาจารย์!” ┭┮﹏┭┮

(ชั่วพริบตาเดียว ฉากก็ราวกับเปลี่ยนเป็นอาทิตย์ยามอัสดง มหาสมุทร โขดหินโสโครก…แค่กๆ ขออภัย ออกนอกบทแล้ว)

……

อีกด้านหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงที่อารมณ์ดีสุดๆ เพราะได้ด่าหวงเย่าซือแบบจัดหนัก ตอนนี้กำลังก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาและว่องไว มุ่งหน้าไปทางวัดถู่ตี้อย่างลำพองใจแล้ว

ที่นั่นก็คือสถานที่นัดพบชั่วคราวของคนในทีม

และตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงไปถึงที่นั่น กลับไม่ได้พบกับดักของโหยวจิ้นเหมือนที่ภารกิจบอกไว้เลย

เขาถึงขั้นไม่เห็นแม้แต่โหยวจิ้นด้วยซ้ำ!

หน้าวัดถู่ตี้ มีเพียงเพื่อนในทีมสี่คนของเขากับชายหนุ่มหน้าคุ้นคนหนึ่งกำลังนั่งจับกลุ่มสองสามคน ต่างคนต่างทำธุระของตัวเอง

อืม……

ที่บอกว่า ‘นั่งจับกลุ่มสองสามคน’ ไม่ใช่เพียงคำคุณศัพท์เท่านั้น แต่เป็นคำบรรยายที่ถูกต้องทีเดียว

ซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อย สองสาวนั่งหลบแยกตัวอยู่อีกด้าน กำลังพูดคุยหัวข้อสนทนาของผู้หญิง

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฟยอวี๋ ถังซานไฉ่ก็กำลังนั่งล้อมวงกับชายหนุ่มที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกคุ้นหน้า ปากกำลังพูดสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย

“หนึ่งคู่สาม!”

“หนึ่งคู่หก!”

“จรวด[1]!”

“ฮ่าๆ ข้าเหลือไพ่เพียงใบเดียวแล้ว!”

เนื่องจากชายหนุ่มที่ดูคุ้นตาคนนั้นนั่งหันหลังให้เยี่ยเว่ยหมิงพอดี ชั่วขณะนั้นเยี่ยเว่ยหมิงจึงตัดสินฐานะตัวตนของอีกฝ่ายไม่ได้ เขาเดินเข้าไปด้วยความสงสัย แล้วถามอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมพวกเจ้ายังเล่นกันได้อีก พวกโหยวจิ้นไปไหนล่ะ แล้วลูกสาวของชวีหลิงเฟิงไปไหนแล้ว”

เมื่อได้ยินคำถาม ชายหนุ่มสามคนที่กำลังตั้งวงเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดก็หันกลับมาพร้อมกัน ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงเห็นพวกเขาชัดเจน ก็แทบจะสำลักตรงนั้น

เฟยอวี๋ยังคงเป็นเฟยอวี๋คนเดิม ถังซานไฉ่ก็เป็นถังซานไฉ่คนเดิมเช่นกัน เพียงแต่บนใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วย…กระดาษเส้นยาว!

ส่วนผู้ที่กำลังเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดกับพวกเขา บนใบหน้าก็ติดกระดาษเส้นยาวไว้เต็มเช่นกัน ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้แน่ใจตัวตนของอีกฝ่าย

ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็น…

“ลู่ติ่งกง!”

เจ้าเป็นขุนนางบรรดาศักดิ์กงขั้นหนึ่งของราชสำนัก แต่มาเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดอยู่กับพวกผู้เล่นในสถานที่เช่นนี้เนี่ยนะ

มาดาเจ้าเถอะ ยังมาเล่นติดกระดาษเส้นยาวอะไรกันอีก!

ช่างร่วมทุกข์ร่วมสุขกับราษฎรจริงๆ!

“สหายเยี่ย ข้าเคยบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้ว อย่าเรียกข้าว่าลู่ติ่งกง เรียกข้าว่าเสี่ยวเป่าก็พอแล้ว” หลังจากแก้ไขคำเรียกของเยี่ยเว่ยหมิงไปแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เหวยเสี่ยวเป่าก็อธิบายว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้าทำภารกิจสำเร็จด้วยตัวเองแล้ว พี่ใหญ่โหยวจิ้นก็เพิ่งพาลูกสาวของชวีหลิงเฟิงไปแล้วด้วย เพียงแต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วแปลกใจนิดหน่อย “เช่นนั้นประเด็นสำคัญคืออะไร”

ตอนนี้เหวยเสี่ยวเป่าดึงกระดาษเส้นยาวบนใบหน้าออกหมดแล้ว ยิ้มแห้งแล้วกล่าวว่า “หลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้น ก็ย่อมต้องแจกรางวัลภารกิจแล้ว พวกเจ้าทำภารกิจสำเร็จได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ มีการเพิ่มรางวัลด้วยนะ!”

[1] จรวด 王炸 การเรียงไพ่ชุดที่ใหญ่ที่สุดในเกมไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 135 รางวัลภารกิจอีกส่วน

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 135 รางวัลภารกิจอีกส่วน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 135 รางวัลภารกิจอีกส่วน

เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงด่าอย่างอุกอาจขนาดนี้แล้วเดินจากไป ชวีหลิงเฟิงที่กำลังถูกความโกรธโจมตีหัวใจ ตอนนี้ดวงตาสองข้างเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงฉาน พอพลิกฝ่ามือ พลังของฝ่ามือตัดอากาศก็เริ่มก่อตัว

“น่ารังเกียจ! บังอาจมาเหยียดหยามอาจารย์ผู้มีพระคุณของข้า ข้าจะสู้ตายกับเจ้า!”

เพียะ! ไม่รอให้ชวีหลิงเฟิงลงมือ ฝ่ามือของหวงเย่าซือกลับตบลงบนบ่าเขาแล้ว ทำให้กำลังภายในที่เขาเพิ่งจะรวบรวมขึ้นมาแตกซ่าน

ขณะมองคล้อยหลังเยี่ยเว่ยหมิงจากไปอย่างอุกอาจ หวงเย่าซือก็เอ่ยว่า “เจ้าเด็กนี่กำเริบเสิบสานได้ขนาดนี้ แสดงว่ามั่นใจแล้วว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเขาจริงๆ ประเด็นก็คือเขามองออกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”

ชวีหลิงเฟิงก็เป็นคนเจนจัดในยุทธภพเช่นกัน ประเด็นสำคัญที่หวงเย่าซือเอ่ยถึง มีหรือที่เขาจะคิดไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าหวงเย่าซือแพ้เดิมพันให้คนอื่น ถึงต้องนำทักษะยุทธ์ของตัวเองมาเป็นรางวัลให้คนที่จับตัวลูกศิษย์ของตัวเองอย่างเยี่ยเว่ยหมิง

และในระหว่างการให้รางวัล เขาเล่นลิ้นก็เพราะจงใจจะยั่วโมโหเยี่ยเว่ยหมิงสักหน่อย แต่กลับหักรางวัลภารกิจไม่ได้ ทั้งยังลงมือกับเยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ด้วย

ต่อให้ปล่อยให้ชวีหลิงเฟิงลงมือ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน!

เพราะหากเขาทำอย่างนั้นเมื่อไร คนในยุทธภพก็จะคิดว่าเขามารเฒ่าหวงแพ้แล้วพาล!

หากเป็นเช่นนี้ ชื่อของหวงเย่าซือก็จะถือว่าฉาวโฉ่โดยสิ้นเชิง

หวงเย่าซือเป็นคนทำอะไรแปลกประหลาด ดูเผินๆ เหมือนดูถูกค่านิยมไม่ดีในสังคม บอกว่าตัวเองไม่สนใจสายตาคนในยุทธภพ แต่จำกัดอยู่เพียงทัศนคติของผู้อื่นที่มีต่อลักษณะการทำเรื่องต่างๆ ของเขาเท่านั้น

เขาไม่แยแสเลยหากคนอื่นว่าเขาประหลาด ว่าเขาเป็นมาร ว่าเขาไม่เคารพประเพณี แต่เขาไม่ยอมให้ใครมาว่าเขาเป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ว่าเขาพูดจาไม่เป็นคำพูดเด็ดขาด!

ที่เขาบอกว่าไม่แยแสสายตาคนในสังคม ก็เป็นเพียงความเข้าใจและบรรทัดฐานส่วนตัวต่อเรื่องราวในสังคมเท่านั้น

ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็มองออกถึงจุดนี้ของเขา ถึงได้กล้าด่าอย่างอุกอาจขนาดนี้ ทั้งยังทำให้เขาไม่มีหนทางโต้ตอบด้วย

แต่สำหรับบางปัญหานั้น เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่จะให้ชวีหลิงเฟิงมองเยี่ยเว่ยหมิงด่าอาจารย์ตัวเองแล้วจากไปอย่างปลอดภัยเช่นนี้ เขาก็รู้สึกไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก

ส่วนหวงเย่าซือ เห็นได้ชัดว่าไม่มีท่าทีจะอธิบายอะไรกับเขา เพียงใช้วิธีการพูดคุยด้วย ‘เหตุผล’ หยุดยั้งการทำอะไรมุทะลุของชวีหลิงเฟิง จากนั้นก็มองส่งเยี่ยเว่ยหมิงจากไปไกลอย่างช้าๆ แต่ปากที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากกลับเผยรอยยิ้มที่คนอื่นมองไม่เห็น

ทันใดนั้น หวงเย่าซือก็เริ่มหัวเราะลั่น หัวเราะจนชวีหลิงเฟิงรู้สึกขนพองสยองเกล้า

หลังจากนั้นพักหนึ่ง หวงเย่าซือถึงได้หยุดหัวเราะ แล้วส่ายหน้ากล่าวว่า “คิดดูสิ ข้าหวงเย่าซือมีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ พูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะกับหวังฉงหยาง โอวหยางเฟิง ต้วนจื้อซิง หงชี แต่กลับนึกไม่ถึงว่าคนที่รู้จักข้าดีที่สุดจะเป็นมือปราบเล็กๆ ไร้ประสบการณ์คนหนึ่ง! น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ!”

“วิชา ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ ของข้าไปตกอยู่ในมือเจ้าเด็กที่น่าสนใจเช่นนี้ คงไม่ทำลายชื่อเสียงของมารบูรพาอย่างข้าหรอก”

เมื่อได้ยินหวงเย่าซือพึมพำกับตัวเอง ชวีหลิงเฟิงที่ตกใจจนลืมความโกรธแค้นก่อนหน้านี้ของตัวเองก็ถามว่า “ท่านอาจารย์ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

หวงเย่าซือได้ยินแล้วแสยะยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าเป็นบ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ”

ชวีหลิงเฟิงรีบก้มหน้า “ศิษย์มิบังอาจ”

เมื่อเห็นชวีหลิงเฟิงมีท่าทางเฉลียวฉลาดขนาดนี้ หวงเย่าซือก็พลันถามว่า “เจ้าปัญญาอ่อน เจ้ารู้หรือเปล่าว่าลูกสาวของเจ้าตกอยู่ในมือของสำนักมือปราบเทพแล้ว”

ชวีหลิงเฟิงได้ยินแล้วตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เยี่ยเว่ยหมิงพูดก่อนหน้านี้จะเป็นความจริง!

ตอนนี้หวงเย่าซือส่ายหน้าน้อยๆ “เจ้ามือปราบนั่นทำงานได้รอบคอบไร้ช่องโหว่ ย่อมไม่ลืมเตรียมแผนสำรองหากสู้ไม่ชนะเจ้าอยู่แล้ว ที่จริงโหยวจิ้นแห่งสำนักมือปราบเทพก็วางกับดักแหฟ้าตาข่ายดินไว้รอเจ้าแล้ว ตอนให้ตอนแรกเจ้าสู้ชนะ แต่ก็เลี่ยงชะตากรรมที่จะถูกจับกุมได้ยาก”

ชวีหลิงเฟิงได้ยินแล้วตกใจมาก แต่กลับได้ยินหวงเย่าซือพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากับสหายหวงแห่งสำนักมือปราบเทพทำข้อตกลงกัน ตอนนี้ลูกสาวเจ้าถูกส่งตัวไปรอพวกเราอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแล้ว”

เมื่อได้ยินหวงเย่าซือพูดเช่นนี้ ชวีหลิงเฟิงมีหรือที่จะยังคิดไม่ได้ว่าอาจารย์ของเขาได้จ่ายราคาสมน้ำสมเนื้อเพื่อสิ่งนี้ ถึงขั้นว่าสิ่งที่จ่ายไปไม่ใช่เพียง ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ วิชาเดียวด้วย

พอนึกถึงจุดนี้ ชายชาตรีคนหนึ่งก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ “ศิษย์ทำให้อาจารย์ลำบากแล้ว!”

“อย่ามัวพูดมากเป็นยายแก่” หวงเย่าซือยื่นมือออกมาคว้าเอวของชวีหลิงเฟิงแล้วหิ้วขึ้นมาเสียเลย “โรงเตี๊ยมอะไรนั่นของเจ้า ไม่ต้องทำแล้ว อีกประเดี๋ยวหากรับตัวลูกสาวเจ้ามาแล้ว ก็กลับไปเกาะดอกท้อด้วยกันกับข้า”

“ท่านอาจารย์!” ┭┮﹏┭┮

(ชั่วพริบตาเดียว ฉากก็ราวกับเปลี่ยนเป็นอาทิตย์ยามอัสดง มหาสมุทร โขดหินโสโครก…แค่กๆ ขออภัย ออกนอกบทแล้ว)

……

อีกด้านหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงที่อารมณ์ดีสุดๆ เพราะได้ด่าหวงเย่าซือแบบจัดหนัก ตอนนี้กำลังก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาและว่องไว มุ่งหน้าไปทางวัดถู่ตี้อย่างลำพองใจแล้ว

ที่นั่นก็คือสถานที่นัดพบชั่วคราวของคนในทีม

และตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงไปถึงที่นั่น กลับไม่ได้พบกับดักของโหยวจิ้นเหมือนที่ภารกิจบอกไว้เลย

เขาถึงขั้นไม่เห็นแม้แต่โหยวจิ้นด้วยซ้ำ!

หน้าวัดถู่ตี้ มีเพียงเพื่อนในทีมสี่คนของเขากับชายหนุ่มหน้าคุ้นคนหนึ่งกำลังนั่งจับกลุ่มสองสามคน ต่างคนต่างทำธุระของตัวเอง

อืม……

ที่บอกว่า ‘นั่งจับกลุ่มสองสามคน’ ไม่ใช่เพียงคำคุณศัพท์เท่านั้น แต่เป็นคำบรรยายที่ถูกต้องทีเดียว

ซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อย สองสาวนั่งหลบแยกตัวอยู่อีกด้าน กำลังพูดคุยหัวข้อสนทนาของผู้หญิง

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฟยอวี๋ ถังซานไฉ่ก็กำลังนั่งล้อมวงกับชายหนุ่มที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกคุ้นหน้า ปากกำลังพูดสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย

“หนึ่งคู่สาม!”

“หนึ่งคู่หก!”

“จรวด[1]!”

“ฮ่าๆ ข้าเหลือไพ่เพียงใบเดียวแล้ว!”

เนื่องจากชายหนุ่มที่ดูคุ้นตาคนนั้นนั่งหันหลังให้เยี่ยเว่ยหมิงพอดี ชั่วขณะนั้นเยี่ยเว่ยหมิงจึงตัดสินฐานะตัวตนของอีกฝ่ายไม่ได้ เขาเดินเข้าไปด้วยความสงสัย แล้วถามอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมพวกเจ้ายังเล่นกันได้อีก พวกโหยวจิ้นไปไหนล่ะ แล้วลูกสาวของชวีหลิงเฟิงไปไหนแล้ว”

เมื่อได้ยินคำถาม ชายหนุ่มสามคนที่กำลังตั้งวงเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดก็หันกลับมาพร้อมกัน ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงเห็นพวกเขาชัดเจน ก็แทบจะสำลักตรงนั้น

เฟยอวี๋ยังคงเป็นเฟยอวี๋คนเดิม ถังซานไฉ่ก็เป็นถังซานไฉ่คนเดิมเช่นกัน เพียงแต่บนใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วย…กระดาษเส้นยาว!

ส่วนผู้ที่กำลังเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดกับพวกเขา บนใบหน้าก็ติดกระดาษเส้นยาวไว้เต็มเช่นกัน ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้แน่ใจตัวตนของอีกฝ่าย

ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็น…

“ลู่ติ่งกง!”

เจ้าเป็นขุนนางบรรดาศักดิ์กงขั้นหนึ่งของราชสำนัก แต่มาเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดอยู่กับพวกผู้เล่นในสถานที่เช่นนี้เนี่ยนะ

มาดาเจ้าเถอะ ยังมาเล่นติดกระดาษเส้นยาวอะไรกันอีก!

ช่างร่วมทุกข์ร่วมสุขกับราษฎรจริงๆ!

“สหายเยี่ย ข้าเคยบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้ว อย่าเรียกข้าว่าลู่ติ่งกง เรียกข้าว่าเสี่ยวเป่าก็พอแล้ว” หลังจากแก้ไขคำเรียกของเยี่ยเว่ยหมิงไปแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เหวยเสี่ยวเป่าก็อธิบายว่า “ได้ยินว่าพวกเจ้าทำภารกิจสำเร็จด้วยตัวเองแล้ว พี่ใหญ่โหยวจิ้นก็เพิ่งพาลูกสาวของชวีหลิงเฟิงไปแล้วด้วย เพียงแต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วแปลกใจนิดหน่อย “เช่นนั้นประเด็นสำคัญคืออะไร”

ตอนนี้เหวยเสี่ยวเป่าดึงกระดาษเส้นยาวบนใบหน้าออกหมดแล้ว ยิ้มแห้งแล้วกล่าวว่า “หลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้น ก็ย่อมต้องแจกรางวัลภารกิจแล้ว พวกเจ้าทำภารกิจสำเร็จได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ มีการเพิ่มรางวัลด้วยนะ!”

[1] จรวด 王炸 การเรียงไพ่ชุดที่ใหญ่ที่สุดในเกมไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+