ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 422 เจ้าอ้วนชนะฟ้า

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 422 เจ้าอ้วนชนะฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 422 เจ้าอ้วนชนะฟ้า

ผู้ที่มามีทั้งหมดสี่คน แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงคิดไม่ถึงก็คือ สองคนในนั้นเป็นคนที่เขาเคยรู้จักมาก่อน ยังมีอีกคนที่กึ่งสนิทกึ่งไม่สนิท

คนที่เดินอยู่ข้างหน้าสุดของทีมก็คือคนที่เยี่ยเว่ยหมิงกึ่งสนิทกึ่งไม่สนิท อีกฝ่ายคือผู้เล่นสกุลต้วนต้าหลี่ที่เคยใช้ดรรชนีเอกสุริยันลอบโจมตีเยี่ยเว่ยหมิง แล้วตอนหลังก็ถูกเยี่ยเว่ยหมิงใช้ ‘ตราบชั่วฟ้าดินแทงไต’ แทงตาย เหตุการณ์เกิดขึ้นที่วัดร้างอู๋เจียนเมืองต้าตู เมื่อนึกเชื่อมโยงกับภารกิจที่หลิวอวิ๋นคุยให้เขาฟังก่อนหน้านี้ โดยทั่วไปก็แน่ใจได้แล้วว่าอีกฝ่ายคือเจ้าหมอนั่นที่ชื่อว่าต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียง

สองคนที่เดินตามหลังต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียง ก็เป็นคนรู้จักเก่าที่เคยพบกับเยี่ยเว่ยหมิงในวัดร้างอู๋เจียนเมืองต้าตูเช่นกัน ได้แก่ขุนเขาลำธารย่อมพานพบแห่งสำนักภูเขาหิมะ เซียนสาวน้อยนักกินแห่งสำนักวิหคทอง ตอนนั้นเหมือนพวกเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเยี่ยเว่ยหมิงทั้งหมด

เมื่อเจอกันอีกครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงก็พบว่าสหายเก่าสามคนนี้เหมือนจะอยู่ดีกินดีใช้ได้เลย ดูแค่อุปกรณ์ที่อยู่บนตัวอย่างเดียวก็หรูหราว่าก่อนหน้านี้ตั้งเยอะแล้ว

อธิบายตามลักษณะพิเศษของเกมออนไลน์ ส่วนใหญ่อุปกรณ์ที่แสดงถึงรูปลักษณ์ภายนอกล้วนแปรผันตรงกับค่าสเตตัสของคนใส่

อย่างไรเสียก็ไม่มีนักออกแบบเกมคนไหนที่ว่างจนเอาเวลาไปทุ่มกำลังความคิดกับเสื้อผ้าชุดเดียวที่ไม่มีค่าสเตตัสอย่างอื่นนอกจากป้องกัน +1

ว่ากันว่าคนพึ่งเสื้อผ้า ม้าพึ่งอาน สามคนที่เป็นอุปกรณ์ใหม่ทั้งตัว ดูแล้วเหมือนจอมยุทธ์ชายหญิงในยุทธภพมากกว่าเมื่อก่อน ไม่เหมือนพวกตัวประกอบแล้ว

เรื่องนี้ก็เข้าใจได้เช่นกัน ถึงอย่างไรสำนักเล็กๆ อย่างสำนักภูเขาหิมะและสำนักวิหคทอง ตอนที่เริ่มเล่นเกมก็มีความได้เปรียบมากอยู่แล้ว

สำนักใหญ่ๆ อย่างเส้าหลินกับอู่ตัง มีวิทยายุทธ์สำนักหลายระดับให้เลือกเป็นกอง ถ้าอยากเรียนวิทยายุทธ์ระดับสูงหรือสุดยอดวิชาของสำนัก ก็จะต้องผ่านขั้นตอนอันยาวนานแน่นอน เมื่ออยู่ในสถานการณ์ทั่วไป NPC สำนักไม่สอนวิทยายุทธ์ระดับกลางและระดับสูงให้เจ้าแน่นอน

แต่สำนักเล็กๆ อย่างสำนักภูเขาหิมะและสำนักวิหคทอง แม้ทั้งสำนักอาจจะมีสุดยอดวิชาแค่วิชาเดียว ถึงขั้นไม่มีแม้แต่ทักษะยุทธ์ระดับต้น มีเพียงวิทยายุทธ์สองวิชาเพื่อคุมสำนัก แต่ก็เป็นเพราะทักษะยุทธ์มีจำนวนน้อยเกินไป พอเข้าสำนักมาก็มักจะได้เริ่มเรียนทักษะยุทธ์ระดับกลางและระดับสูงเลย เมื่อเทียบกับผู้เล่นระดับต่ำของสำนักใหญ่ๆ แล้ว พวกเขากลับมีความได้เปรียบโดยธรรมชาติมากกว่า

ส่วนจุดด้อยของสำนักเล็กๆ เหล่านั้น ก็แค่ไม่มีสุดยอดวิชาของสำนักที่ใช้คุมสถานการณ์ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางชดเชยจุดด้อยนี้เลย ถ้าอยากจะชดเชยจุดนี้ ก็ต้องแสดงจุดแข็งของสำนักเล็กออกมาให้เต็มที่ในช่วงแรกของเกม จากนั้นค่อยอาศัยความสามารถและวาสนาของตัวเองเพื่อไปช่วงชิงสุดยอดวิชาของยุทธภพที่ได้ยากกว่าสุดยอดวิชาของสำนักมาเป็นของตัวเอง

เพียงแต่ผู้เล่นที่ทำได้ถึงขั้นนี้มีน้อยมาก เท่าที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้มา ตัวเขาเองก็นับเป็นคนหนึ่ง น้องดาบก็คนหนึ่ง…ส่วนคนที่สาม ตอนนี้ยังหาไม่เจอ!

สายตามองข้ามคนคุ้นหน้าทั้งสามที่อยู่ข้างหน้า สุดท้ายมองไปที่คนหลังสุดของทีม เป็นชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวที่หน้าตาดูสงบนิ่งเหมือนเมฆต้องสายลมโชย

ดูแล้วน่าจะอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปด ผิวขาวหมดจด ดูสุภาพนุ่มนวล ดูสงบเสงี่ยมกว่าผู้หญิงวัยเดียวกันเล็กน้อย มองไม่เห็นความกระฉับกระเฉงอย่างที่คนหนุ่มสาวควรจะมีเลยสักนิด

ตอนที่เห็นหนุ่มน้อยคนนี้ ในหัวเยี่ยเว่ยหมิงมีภาพเฉลียวฉลาดซุกซนของน้องดาบปรากฏขึ้นมาในหัวโดยไม่รู้ตัว

สองคนนี้แม้จะหน้าตาไม่เหมือนกันมาก แต่พวกเขากลับเป็นสองขั้วที่แตกต่างกัน น้องดาบจัดเป็นประเภทสาวงามบ้าพลังที่ทำให้ชายอกสามศอกฟันร่วงได้ แต่หนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้า กลับดูเหมือนสงบเสงี่ยมกว่าผู้หญิงทั่วไปเสียอีก…ชายหนุ่มมหัศจรรย์?

คนแบบนี้ ขอเพียงได้เห็นหน้าสักหน่อยก็ยากจะลืมเลือน แต่ในหัวเยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่มีความทรงจำใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนคนนี้เลย เช่นนั้นคำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลก็คือ เขาไม่เคยพบอีกฝ่ายมาก่อน

เมื่อเทียบกับเยี่ยเว่ยหมิงที่ประหลาดใจเงียบๆ เท่านั้น ตอนสามคนที่อยู่ตรงหน้าเห็นเยี่ยเว่ยหมิง กลับแทบจะหยุดเดินพร้อมกัน ไม่ปิดบังสีหน้าที่เตรียมพร้อมป้องกันเลยสักนิด แทบจะชักอาวุธออกมาและตั้งท่าต่อสู้กันตรงนั้น

จะว่าไปแล้ว สาเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดสถานการณ์อย่างตรงหน้านี้ ไม่ใช่เพราะทั้งสามมีความสามารถด้อยกว่าเยี่ยเว่ยหมิงเยอะมาก

แต่เป็นเพราะเยี่ยเว่ยหมิงมั่นใจว่าอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเอาชนะสามคนที่เข้ามาพร้อมกันได้ ถึงได้แสดงความมั่นใจออกมาเต็มที่ ส่วนอีกฝ่าย…ตอนที่เจอคู่อริที่เอาชนะไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ใจเย็นเหมือนเยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ทั้งนั้น

เมื่อเห็นสีหน้าสุดตึงเครียดของอีกฝ่าย เยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ทั้งสามไม่ต้องเครียด ครั้งก่อนทุกคนลงมือก็เพราะทำภารกิจชนกัน ไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวอะไร วันนี้ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ควรจะละทิ้งอดีต ร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าด่านยากที่อยู่ตรงหน้าถึงจะถูก”

อย่างแรกที่เยี่ยเว่ยหมิงทำคือแสดงท่าทีว่าตนไม่ต้องการจะคิดบัญชีเก่ากับพวกเขา จากนั้นกล่าวพร้อมรอยยิ้มเปิดเผย “ก่อนอื่นข้าขอแนะนำตัวสักหน่อย ข้าเยี่ยเว่ยหมิงจากสำนักมือปราบเทพได้รับภารกิจจากจักรพรรดิแคว้นต้าหลี่ต้วนเจิ้งหมิงเช่นกัน มาที่หุบเขาว่านเจี๋ยเพื่อสืบข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ต้วนอวี้ เชื้อพระวงศ์ของต้าหลี่ถูกผู้ร้ายจับตัวไป”

“ข้าซานเย่ว์จากสำนักมือปราบเทพ” คำตอบของซานเย่ว์เรียบง่ายกว่ามาก แค่เก้าพยางค์ง่ายๆ นอกจากแสดงฐานะของตัวเองออกมาแล้ว ยังแสดงให้เห็นด้วยว่าสถานการณ์อย่างอื่นเหมือนกับเยี่ยเว่ยหมิงหมด รวมทั้งให้เยี่ยเว่ยหมิงเป็นผู้นำ

เมื่อเยี่ยเว่ยหมิงเป็นฝ่ายแสดงมิตรภาพก่อน บรรยากาศที่เดิมทีตึงเครียดก็คลี่คลายลงแล้ว ส่วนสี่คนที่อยู่ตรงหน้าก็แนะนำตัวเองอย่างง่ายๆ เช่นกัน ขุนเขาลำธารย่อมพานพบกับเซียนสาวน้อยนักกินก็ย่อมไม่ต้องพูดเยอะ ส่วนคนที่อยู่หน้าสุดท่ามกลางสี่คนนี้ ก็คงเป็นอย่างที่เยี่ยเว่ยหมิงเดา เป็นต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงที่หลิวอวิ๋นเอ่ยถึง พวกหลิวอวิ๋นล้วนรับภารกิจเนื้อเรื่องนี้ผ่านเขา

สิ่งที่ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงตกตะลึงจริงๆ กลับเป็นฐานะของหนุ่มน้อยแปลกหน้าคนนั้น

หลังจากคนอื่นพากันแนะนำตัวเองอย่างง่ายๆ เขาเป็นคนสุดท้ายที่ก้าวขึ้นมา แล้วพูดกับเยี่ยเว่ยหมิงพร้อมสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ข้าชื่อเจ้าอ้วนชนะฟ้า”

เจ้าอ้วนชนะฟ้า?

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอดประหลาดใจไม่ได้ “เหมือนข้าเคยได้ยินยคนเอ่ยถึงชื่อเจ้ามาก่อนนะ”

“เจ้าเดาไม่ผิดหรอก” เจ้าอ้วนชนะฟ้าตรงไปตรงมา ยอมรับฐานะของตัวเองอย่างไม่เกรงกลัวเลยสักนิด “ข้าก็คือพี่ชายของหนึ่งดาบสามเฉือน เคยได้ยินยัยเด็กแสบนั่นพูดถึงเจ้าเหมือนกัน จะว่าไปแล้ว ยัยเด็กแสบนั่นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยกลัวฟ้ากลัวดิน เจ้าเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้นางคิดถึงไม่หยุด”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลอกตามองบน “ยัยเด็กแสบนั่นเอาแต่คิดว่าจะล้างแค้นข้าอย่างไร ใครต้องการความคิดถึงแบบนั้นกัน”

ขณะที่พูดก็โบกมือแล้วเข้าประเด็นหลักเสียเลย “ในเมื่อมากันครบแล้ว ข้าก็แนะนำให้พวกเราตั้งทีมกัน แล้วไปท้าสู้ ‘โฉดชั่วบาปหนัก’ ที่แม้แต่ราชวงศ์ต้าหลี่ก็ยังเกรงกลัวกันเถอะ จะว่าไปแล้ว ฉายาของเจ้าสี่คนนั้นก็สี่พยางค์หมด ถ้าไม่จำให้ละเอียดก็ปนกันได้ง่ายๆ เลยนะ”

“ไม่ปนกันหรอก” เจ้าอ้วนชนะฟ้าพูดต่อ “โฉดชั่วบาปหนัก จอมโฉดบาปหนา อสูรโฉดชั่ว สุดเหี้ยมชั่วโฉด ขอแค่จำตำแหน่งคำว่า ‘โฉด’ ในฉายาของพวกเขาให้ได้ก็พพอ คำว่า ‘โฉด’ โผล่อยู่ตำแหน่งไหนของฉายา ก็แสดงถึงลำดับอาวุโสของสี่คนโฉด”

มีกลไกลับแบบนี้อยู่ด้วย?

ชั่วขณะนั้น ทุกคนก็เริ่มนับถือเจ้าหนุ่มที่ดูผมอบางอ่อนแอตรงหน้านี้แล้ว

นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะเป็น…แฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับเหมือนกัน?

ในเมื่อจะตั้งทีมใหม่ เช่นนั้นก็ต้องปรึกษากันเรื่องตั้งหัวหน้าทีมใหม่ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงคุมคนไม่ไหว เยี่ยเว่ยหมิงเองก็ไม่คิดจะทำตัวเป็นแขกแย่งตำแหน่งเจ้าภาพที่ต่างแดนเช่นกัน สุดท้าย ภายใต้คำแนะนำของเจ้าอ้วนชนะฟ้า จึงเลือกจิตแพทย์หลวงจีนหลิวอวิ๋นที่ ‘เป็นที่ยอมรับจากทุกคนที่สุด’ ที่สุดเป็นหัวหน้าทีม เจ็ดคนนี้จึงตั้งทีมใหม่ แล้วเดินต่อไปยังจุดลึกของเขตลับหุบเขาว่านเจี๋ย

กลยุทธ์ที่พวกเขาวางไว้เรียบง่ายและบุ่มบ่ามมาก เยี่ยเว่ยหมิงรับหน้าที่แข่งหมากล้อมกับโฉดชั่วบาปหนักบนกระดานหมากหิน ส่วนเจ้าอ้วนชนะฟ้ารับหน้าที่ออกหัวคิดอยู่เบื้องหลัง

อิงตามที่หลิวอวิ๋นบอก ก่อนหน้านี้เขาเคยถามต้วนเหยียนชิ่งตรงๆ แล้ว ได้คำตอบว่าเกมอนุญาตให้ทำแบบนี้ได้

ถนนเริ่มมีทางเปิดตรงป่าสนทึบ ตอนแรกถนนแคบ เดินได้คนเดียว พอเดินไปหลายสิบก้าว จู่ๆ หนทางก็กว้างและสว่างขึ้น

หลังจากเข้ามาถึงตรงกลางลานกว้างที่สามของเขตลับ ตรงนั้นมีหินสูงเมตรกว่าวางไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ ส่วนยอดของหินก้อนนั้นถูกตัดไปครึ่งหนึ่ง หน้าตัดถูกขัดจนเงาเหมือนกระจก บนนั้นมีเส้นแนวขวางและแนวตรงตัดกันสามสิบแปดเส้น มีเส้นแนวนอนกับเส้นแนวตั้งอย่างละครึ่ง แต่ร่องรอยของเส้นเหล่านี้ดูหยาบกว่าเยอะ ไม่เหมือนฝนขึ้นมา เหมือนเป็นรอยที่คนใช้อาวุธไร้คมกรีดบนนั้นมากกว่า

อีกฝั่งหนึ่งของกระดานหมากล้อม มีชายชราชุดเขียวที่ถือไม้เท้าคู่คนหนึ่ง คนผู้นี้เครายาวถึงหนาอก หน้าดำตาโต ดูแววตาเป็นประกาย

ไม่ต้องสื่อสารใดๆ กันก่อน เหนือศีรษะของชายคนนี้มีข้อมูลค่าสเตตัส BOSS เผยออกมาแล้ว

[โฉดชั่วบาปหนัก]

หัวโจกของสี่คนโฉด

เลเวล: ???

พลังชีวิต: ???/???

กำลังภายใน: ???/???

……

ถ้าเป็นอย่างที่หลิวอวิ๋นบอกไว้ก่อนหน้านี้ เจ้า ‘โฉดชั่วบาปหนัก’ นี่ก็คงเป็นผู้แข็งแกร่งที่ผู้เล่นปัจจุบันมองเลเวลไม่ออกเลย ลึกลับเกินคาดเดา!

อืม…

ในภาพความทรงจำของเยี่ยเว่ยหมิง ขอเพียงเป็น BOSS ที่เห็นเลเวลกับค่าสเตตัสได้ ก็หาผู้ช่วยเก่งๆ มาทดสอบฝีมือได้อยู่แล้ว แต่ประเภทที่เห็นแค่เครื่องหมายคำถามแบบนี้ กลับเป็นประเภทที่ปะทะด้วยซึ่งหน้าไม่ไหว

ต้องใช้สติปัญญาเท่านั้น ใช้แรงสู้ไม่ไหว!

ตอนนี้ในช่องทีมมีข้อความส่งมาจากเจ้าอ้วนชนะฟ้า [พี่ใหญ่ของสี่คนโฉด โฉดชั่วบาปหนัก ต้วนเหยียนชิ่ง เดิมทีเป็นองค์รัชทายาทของต้าหลี่ ตอนหลังเป็นเพราะความขัดแย้งภายในของต้าหลี่ จึงถูกขุนนางชั่วหยางอี้เจินวางแผนให้ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ข้างนอก ช่วงที่กำลังลี้ภัย ฐานะของเขาทำให้ถูกตามฆ่าจากหลายฝ่าย หลังจากผ่านศึกโหดหลายครั้ง แม้จะหนีเอาชีวิตรอดมาได้ แต่บนตัวกลับมีรอยแผลนับไม่ถ้วน ไม่เพียงแค่ทั้งใบหน้าถูกทำลาย สองขาก็พิการ แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ได้ ตอนนี้ฐานะของเขาไม่ใช่แค่พี่ใหญ่ของสี่คนโฉดเท่านั้น ทั้งยังเป็นยอดฝีมือขั้นหนึ่งของเซี่ยตะวันตกด้วย”

หลังจากได้เห็นข้อความ ทุกคนนอกจากตกตะลึงในชีวิตรันทดของต้วนเหยียนชิ่งแล้ว ยังตกตะลึงเรื่องที่เจ้าอ้วนชนะฟ้าบอกข้อมูลที่ทุกคนไม่รู้ออกมาได้อย่างคล่องปากด้วย

หากก่อนหน้านี้แค่สงสัย เช่นนั้นตอนนี้ก็แน่ใจได้แล้วว่าเจ้าอ้วนชนะฟ้าเป็นเหมือนอินปู้คุยแน่นอน เป็นแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับเดิมแน่นอน

ตอนนี้เอง เซียนสาวน้อยนักกินก็ถามในช่องทีมอย่างประหลาดใจ [ในเมื่อพี่อ้วนชนะฟ้ารู้ความลับทุกอย่าง พวกเรายังจะฝ่าด่านไปทำไม กลับไปรายงานผลภารกิจเสียเลยไม่ดีหรอกหรือ]

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด