ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 382 สังเกตเห็นปัญหา แก้ไขปัญหา

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 382 สังเกตเห็นปัญหา แก้ไขปัญหา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 382 สังเกตเห็นปัญหา แก้ไขปัญหา

หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงเข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องราวพอสมควรแล้วก็ส่งจดหมายหาอินปู้คุยทันที หลังจากทำความเข้าใจแต่ละประเด็นที่น้องดาบเองก็ไม่ได้เข้าใจแจ่มแจ้ง ในที่สุดก็เอ่ยถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยมานาน “อิงตามที่เจ้าเล่ามา ตั้งแต่เริ่มเรื่อง เหมยเนี่ยนเซิงคนนั้นก็เป็นเหมือนตัวละครประกอบฉาก เป็นคนตายตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วเจ้าไปติดต่อกับเขาได้อย่างไร”

น้องดาบได้ยินแล้วกลุ้มใจนิดหน่อย หลังจากลังเลครู่หนึ่งก็ตอบตามความจริงว่า “หลังจากข้าเข้าสำนักดาบโลหิต ปรมาจารย์ดาบโลหิตที่เป็นเจ้าสำนักก็แจกภารกิจ ยอดฝีมือผู้เล่นในทีมตั้งทีมกันไปหาเบาะแสสมบัติที่หลุมศพของเหมยเนี่ยนเซิง ข้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เข้าร่วมภารกิจนี้”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วยกนิ้วหัวแม่มือให้นาง “ขนาดเรื่องชั่วๆ อย่างการขุดสุสานเจ้าก็ยังทำได้ ช่างเป็นสตรีที่ไม่ยอมเป็นรองบุรุษจริงๆ!”

น้องดาบถลึงดวงตางาม “อย่ามามัวมาแขวะข้าเลย รีบคิดหาทางเถอะ ข้าจ่ายเงินไปแล้วนะ!”

“ก็ได้ ก็ได้…” เยี่ยเว่ยหมิงรีบยกมือยอมแพ้ “เจ้าจ่ายเงิน เจ้าเจ๋งมาก วิธีการที่เจ้าอยากได้ ข้ามีหมดนั่นแหละ ท่วงท่าที่เจ้าต้องการ ข้าก็ทำเป็นหมดเหมือนกัน”

น้องดาบโมโห แต่โน้มน้าวตัวเองว่าห้ามโมโหไม่หยุด ตอนนี้ยังต้องหวังพึ่งให้เจ้าหมอนี่แก้ไขปัญหาให้

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ข้าสู้เขาไม่ไหว!

เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้ตัวว่าไม่ควรล้อเล่นเกินขอบเขต จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนาทันที “ก็แค่ช่วยติงเตี่ยนออกมาจากคุกไม่ใช่หรือ เรื่องนี้ไม่ยากหรอก”

“เกรงว่าแค่ฟังอย่างเดียวเหมือนจะไม่ยากน่ะสิ” ตอนนี้ฉางซิงอวี่กลับขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะว่าเจ้าฟังไม่ออก จุดที่ยากจริงๆ ของภารกิจนี้ไม่ได้อยู่ที่การแหกคุก แต่ต้องทำให้ติงเตี่ยนยอมออกจากคุกกับพวกเราด้วยความเต็มใจต่างหาก…

…อีกทั้งแม่นางดาบก็เพิ่งบอกไป ว่าตราบใดที่หลิงซวงหวายังอยู่ ติงเตี่ยนก็จะไม่ยอมออกไป ไม่อย่างนั้นด้วยทักษะยุทธ์ของเขา คงหนีออกไปได้ง่ายๆ ตั้งนานแล้ว”

“ที่จริงแล้ว ขอเพียงสังเกตเห็นปัญหา จากนั้นแก้ปัญหา เราก็จะจัดการทุกปัญหาได้แล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ “ในเมื่อเจ้าสังเกตเห็นปัญหาแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็แค่หาวิธีแก้ตามปัญหานี้ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ”

ฉางซิงอวี่ได้ยินก็กลอกตา “พอข้าเอ่ยถึงปัญหาแล้ว สหายเยี่ยก็เจอวิธีแก้ปัญหาทันทีอย่างนั้นหรือ”

“ก็แน่อยู่แล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงไม่ใส่ใจเลย “ในเมื่อติงเตี่ยนกับหลิงซวงหวาชายยินยอมหญิงพร้อมใจ เมื่อดับไฟตะเกียง…แค่กๆ ข้ากำลังจะบอกว่า ก็พาหลิงซวงหวาออกไปด้วยกันสิ ให้พวกเขาสองคนไปด้วยกัน โบยบินหนีไปด้วยกันก็สิ้นเรื่องแล้ว”

ฉางซิงอวี่ได้ยินแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง แล้วชี้ให้เห็นถึงปัญหาอีก “เกรงว่าหลิงทุ่ยซือนั่นจะไม่ตอบตกลงน่ะสิ”

“ข้าโน้มน้าวเขาได้” เยี่ยเว่ยหมิงเสนอวิธีแก้ปัญหาอีก

ฉางซิงอวี่เกือบนึกว่าตัวเองฟังผิดไป “เขาจะฟังพวกเราโน้มน้าวได้อย่างไร”

น้องดาบร่วมงานกับเยี่ยเว่ยหมิงมาหลายครั้ง พอจะเข้าใจสไตล์การทำงานของเขาอยู่บ้าง จึงบอกว่า “วิธีการของเจ้าใช่ว่าจะไม่ได้ผล ตามต้นฉบับเดิม เป่าเซี่ยงแห่งสำนักดาบโลหิตเคยคิดจะโน้มน้าวหลิงทุ่ยซือว่าไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แต่หลิงซวงหวานั่นทนเห็นพ่อตายอนาถไม่ได้ พอถึงเวลาสำคัญไปขอร้องติงเตี่ยน แต่เจ้าติงเตี่ยนนั่นหูเบา ได้ยินคำขอร้องของหญิงในดวงใจก็ลงมือโจมตีจนเป่าเซี่ยงถอยไป แล้วช่วยหลิงทุ่ยซือกลับมาได้”

พอพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักนิดหน่อย แล้วเสริมอีกว่า “ด้วยฝีมือของติงเตี่ยนตอนนี้ คาดคะเนแบบเผื่อไว้ก็น่าจะเลเวลเกินร้อยสามสิบ ไม่ใช่คนที่พวกเราต้านไหวแน่นอน”

กระทั่งตอนนี้ ในที่สุดฉางซิงอวี่ก็เข้าใจแล้วว่า ‘โน้มน้าว’ หลิงทุ่ยซือที่เยี่ยเว่ยหมิงบอกหมายถึงอะไรกันแน่

แล้วตอนนี้เขากลับไม่มีอารมณ์มาแขวะเยี่ยเว่ยหมิงเกี่ยวกับวิธีการกลับดำเป็นขาว กลับขาวเป็นดำ เพราะสิ่งที่ทำให้เขากลุ้มใจมากกว่าในภารกิจนี้ก็คือ “ภารกิจของพวกเราคือต้องช่วยชีวิตติงเตี่ยน แต่อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในภารกิจก็ดันเป็นติงเตี่ยน ยังมีเรื่องที่น่าบ่นว่าฟัคยูกว่านี้อีกไหม”

“เลิกบ่นได้แล้ว บ่นไปก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายนิ้วชี้แล้วกล่าวอย่างสงบใจว่า “อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ เสนอปัญหา แก้ไขปัญหา…

…ปัญหาตอนนี้ก็คือ ติงเตี่ยนนั่นเชื่อฟังหลิงซวงหวา แม้ลึกๆ แล้วเขาจะจิตใจงดงามจนดูเป็นเป็นเครื่องบินรบโง่ดักดานในสายตาพวกเรา แต่หลังจากหลิงซวงหวาเอ่ยปากขอร้อง ถึงได้ยื่นมือช่วยเจ้าคนชั่วหลิงทุ่ยซือที่ทำร้ายเขาอย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้”

เยี่ยเว่ยหมิงพูดสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์ต่อ “ดังนั้น กุญแจสำคัญของปัญหานี้เริ่มย้ายไปที่ตัวหลิงซวงหวาแล้ว ขอเพียงพวกเราพุ่งเป้าไปที่กุญแจสำคัญนี้ ทำให้หลิงซวงหวาไม่ไปขอร้องติงเตี่ยนแทนหลิงทุ่ยซือเหมือนต้นฉบับเดิม พวกเราก็โน้มน้าวหลิงทุ่ยซือให้ไม่ต้องยุ่งกับอะไรทั้งนั้นสำเร็จแล้ว”

“เจ้าก็พูดเหมือนง่าย”

พอทั้งสองได้ยินการวิเคราะห์ที่ ‘เป็นเหตุเป็นผล’ ของเยี่ยเว่ยหมิง ก็รู้สึกอยากแขวะขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ยังเป็นน้องดาบที่เข้าใจเรื่องราวเบื้องหลังมากกว่า นางพูดถึงประเด็นที่ในใจทั้งสองอยากนำมาแขวะ “ลักษณะตัวละครของหลิงซวงหวาเป็นผู้หญิงประหลาด ที่อ่อนโยนจิตใจงาม อ่อนนอกแข็งใน บวกกับความรักหนักแน่นที่มีต่อติงเตี่ยน ขอเพียงนางรู้ว่าพ่อตัวเองมีอันตราย จะต้องเอ่ยปากขอให้ติงเตี่ยนช่วยแน่นอน เพราะคาแรคเตอร์ของนางกำหนดไว้แล้วว่านางไม่มีทางนิ่งดูดายเมื่อพ่อมีอันตรายได้”

ขณะที่พูด น้องดาบก็ยักไหล่อย่างจนใจ “วิเคราะห์จากคาแรคเตอร์ตัวละคร นี่คือปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไขได้เลย พวกเราเล่นเกมนี้มาครึ่งปีแล้ว น่าจะรู้นะว่าคนออกแบบเกมอาจวางกับดักบางอย่างในเนื้อเรื่อง แต่จะไม่แตะต้องคาแรคเตอร์ตามต้นฉบับเดิมเด็ดขาด”

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงกลับยกจอกสุราขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน จิบสุราดอกสาลี่ขวดละสิบเหรียญทองอย่างดื่มด่ำ ความรู้สึกนั้นไม่ต่างอะไรกับเติมน้ำลงในเหล้าขาวแต่ยังเผ็ดร้อน ไม่อร่อยดื่มง่ายเหมือนน้ำชา น้ำผลไม้ น้ำแกงบ๊วยเปรี้ยวเลย

ท่าทางผ่อนคลายไม่สะทกสะท้านของเขาทำให้น้องดาบโมโหจนตาลุกเป็นไฟ แม้แต่ฉางซิงอวี่ก็เผยสีหน้าจนใจเช่นกัน แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

พอสัมผัสได้กับสายตาเผ็ดร้อนของทั้งสอง เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้วางจอกสุราลงช้าๆ แล้วอมยิ้มมองน้องดาบแวบหนึ่งก่อนจะถามกลับ “ถ้าเป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้จริงๆ เจ้ายังจะจ่ายเงินมากขนาดนี้เพื่อให้ข้าช่วยอีกหรือ”

น้องดาบได้ยินแล้วตาเป็นประกาย “เจ้ามีวิธีจริงหรือ”

ฉางซิงอวี่ก็กำลังครุ่นคิดถึงแผนการเช่นกัน หลังจากครุ่นคิดอย่างหนักแต่ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ก็อดกล่าวเสียงต่ำไม่ได้ว่า “ยังจะมีหนทางอะไรอีก มันคือวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีทางแก้ไขได้ชัดๆ” หลังจากพบว่าอีกสองคนกำลังสนใจตนอยู่ก็กล่าวต่อเสียเลยว่า “จากที่ข้าเห็น นอกเสียจากเจ้าจะพิสูจน์ได้ว่าหลิงทุ่ยซือนั่นไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของหลิงซวงหวา ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางหาจุดทะลวงวงจรอุบาทว์นี้ได้หรอก”

ก๊อกๆ! เยี่ยเว่ยหมิงเคาะนิ้วแล้วยกนิ้วหัวแม่มือให้ฉางซิงอวี่ “ยินดีด้วย เจ้าเรียนรู้การแย่งตอบได้แล้ว!”

“หมายความว่าอะไร” ฉางซิงอวี่งง

“ความหมายตรงตัวเลย” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ

น้องดาบมองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างสงสัย “เจ้ามือปราบหน้าเหม็น ไม่ใช่ว่าเจ้ามีวิธีพิสูจน์ว่าหลิงทุ่ยซือไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของหลิงซวงหวาหรอกใช่ไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงกลับยืนขึ้น จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วบอกว่า “รายละเอียดว่าทำอย่างไร พวกเจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก ข้ารับหน้าที่จัดการไม่ให้ติงเตี่ยนอออกมาป่วนสถานการณ์เอง พวกเจ้าแค่ต้องปรับสภาพร่างกายของตัวเองให้ดี เตรียมตัวทำศึกใหญ่ก็พอ”

“แต่เมื่อต้องการผลงานที่ดี ก็ต้องลับเครื่องมือให้คมก่อน ข้าต้องไขคดี ต้องกลับไปที่สำนักมือปราบเทพก่อนสักรอบ อ่านข้อมูลเกี่ยวกับพรรคทรายมังกรกับหลิงทุ่ยซือสักหน่อย”

“พวกเจ้ากินข้าวกันไปก่อน คอยติดตามข่าวจากข้าไว้”

พอพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่สนใจเจ้าโง่สองคนนี้อีก ผลักประตูเดินออกจากห้องเดี่ยวไปเลย

ขณะมองเยี่ยเว่ยหมิงออกไปแล้วประตูปิดอีกครั้ง จู่ๆ ฉางซิงอวี่ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ก่อนหน้านี้เจ้าติดอยู่ที่ภารกิจเนื้อเรื่อง ‘เคล็ดเทียมนครา’ เลยพยายามขยายเวลาเนื้อเรื่องไม่ใช่หรือ ทำไมจู่ๆ วันนี้เปลี่ยนใจ อยากจะผลักดันเนื้อเรื่องแล้วล่ะ”

น้องดาบกลับทอดสายตามองนอกหน้าต่าง เห็นเยี่ยเว่ยหมิงกำลังใช้ท่าร่างอันน่าทึ่งอยู่วิ่งท่ามกลางเมืองที่วุ่นวายพอดี เขากำลังวิ่งตรงไปยังจุดพักม้าอย่างลำพองใจสุดๆ นางมองไปพลางกล่าวว่า “หลังจากล้มเหลวมาสองครั้ง ข้าก็สรุปอะไรบางอย่างได้ หลังจากภารกิจเนื้อเรื่องถูกทำลายหลายครั้ง ระบบจะปรับปรุงให้สอดคล้องกัน เพิ่มระดับความยากให้ภารกิจที่ข้าค้างอยู่…

…แล้ว ‘ฉากการตายของติงเตี่ยน’ เดิมทีก็เป็นฉากใหญ่ที่ส่งผลให้ตัวละครที่ออกมามีเลเวลสูงและมีจำนวนเยอะอยู่แล้ว” หลังจากร่างของเยี่ยเว่ยหมิงหายลับจากสายตา น้องดาบถึงได้เก็บสายตากลับมา “ที่สำคัญกว่านั้น ข้าไม่มีทางลงมือทำลายเนื้อเรื่องนี้ได้ มีแต่ต้องยืมมือคนอื่น ถ้าจะให้ควบคุมเนื้อเรื่อง ก็ยากกว่าจุดเปลี่ยนของเนื้อเรื่องอื่นไม่รู้ตั้งเท่าไร ไม่คุ้มกันเลย!…

…ถ้าจะดึงดันกับเนื้อเรื่องนี้ต่อไป ไม่สู้ไปสนใจจุดเปลี่ยนของเนื้อเรื่องช่วงถัดไปดีกว่า” นางชะงักนิดหน่อยแล้วเผยรอยยิ้มสดใสออกมา “แล้วจุดเปลี่ยนของเนื้อเรื่องตอนนี้ ถ้าปล่อยให้ผู้เล่นคนอื่นทำลาย ไม่สู้ให้ข้าตักตวงผลประโยชน์จากในนั้น สะสมความสามารถเพื่อรอจุดเปลี่ยนเนื้อเรื่องสำคัญนั่นในอนาคตดีกว่า”

ฉางซิงอวี่ได้ยินแล้วพยักหน้า เขาเองก็เหมือนกับเยี่ยเว่ยหมิง ไม่ได้ถามว่าจุดเปลี่ยนของเนื้อเรื่องที่สำคัญนั่นคืออะไรกันแน่

เพราะเขารู้ดีว่าถ้าน้องดาบอยากบอก เมื่อครู่ก็คงบอกไปแล้ว ไม่ใช้คำมีความหมายคลุมเครืออย่าง ‘จุดเปลี่ยนของเนื้อเรื่องที่สำคัญนั่น’

เมื่อคลายความสงสัยในใจแล้ว ในที่สุดฉางซิงอวี่ก็เริ่มชิมอาหารบนโต๊ะ น้องดาบก็ไม่พูดอีกเช่นกัน เริ่มกินอาหารแล้ว

แล้วก็ผ่านไปอย่างนี้ ทั้งสองกินข้าวไปพักหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ยังเป็นฉางซิงอวี่ที่ทนบรรยากาศอึดอัดไม่ได้ เป็นฝ่ายถามอีก “เจ้าเชื่อจริงหรือว่าเยี่ยเว่ยหมิงมีวิธีพิสูจน์ว่าหลิงทุ่ยซือไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของหลิงซวงหวา”

น้องดาบได้ยินแล้วยักไหล่ “ถึงแม้ข้าไม่รู้รายละเอียดว่าเขาจะทำอย่างไร แต่ข้าเชื่อ ว่าขอเพียงเขาอยากทำ ก็ถึงขั้นหาวิธีมาพิสูจน์ได้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นพ่อแท้ๆ ของหลิงซวงหวา”

ฉางซิงอวี่ “…”

“กินข้าว!” วันนี้มี3ตอนนะ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด