ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 565 ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ!

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 565 ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 565 ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ!

เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของเยี่ยเว่ยหมิง เจ็ดคนในทีมก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน สังหาร BOSS เล็กๆ สิบคนตรงหน้าทางเข้าค่ายโรนิน

อีกด้านหนึ่ง ทีมเจ็ดคนของสำนักฉวนเจินก็เคลื่อนไหวอยู่ในดันเจี้ยนที่เหมือนกับดันเจี้ยนของพวกเยี่ยเว่ยหมิง

ดันเจี้ยนที่ BOSS คนสุดท้ายเลเวลแปดสิบ ไม่มีทางหยุดยั้งฝีเท้าของผู้เล่นระดับสูงในเกมเหล่านี้ได้ สิ่งที่พวกเขาต้องทำตอนนี้ก็คือวิ่งแข่งกับเวลา!

ขณะเดียวกัน ฉากในวิดีโอถ่ายทอดสดก็ถูกแบ่งจากหนึ่งเป็นสามตามการเคลื่อนไหวของกำลังพลสองกลุ่มเช่นกัน ตรงกลางคือพิธีกรเหวยเสี่ยวเป่าและผู้บรรยายหวังอวี่เยียน ฝั่งซ้ายและขวาคือภาพถ่ายทอดสดของสองทีมในดันเจี้ยน

ผู้เล่นที่ชมการประลองสามารถปรับขนาดและลำดับของภาพได้ตามอำเภอใจ อยากดูตรงไหนก็ดูตรงนั้น กล่าวได้ว่าสะดวกมาก

แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่กลับไม่ทำแบบนี้ พวกเขาดูการประลองจากฉากที่ระบบถ่ายทอดสดอัตโนมัติ เพราะฉากถ่ายทอดสดที่ระบบเตรียมไว้ให้อัตโนมัติสอดคล้องกับคำบรรยายของเหวยเสี่ยวเป่าและหวังอวี่เยียนอย่างสมบูรณ์แบบ แบบนี้จะได้รับประสบการณ์การรับชมที่ดีที่สุด

ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ เหวยเสี่ยวเป่าโบกมือขยายฉากถ่ายทอดสดตอนผู้เล่นสองทีมบุกด่านให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนฉากที่เขากับหวังอวี่เยียนบรรยายก็กินพื้นที่เล็กๆ ระหว่างทั้งสองคน ทำให้ผู้เล่นที่ดูการถ่ายทอดสดรู้ว่าพวกเขายังพยายามปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด แต่ประเด็นสำคัญกลับไม่ได้อยู่ที่ตัวพวกเขาเลย

“ทุกคนจะเห็นว่าผู้เข้าแข่งขันทั้งสองทีมต่างก็เข้าดันเจี้ยนของตัวเองไปแล้ว อีกทั้งต่างฝ่ายก็ต่างโจมตีศัตรูของตัวเองแล้วด้วย…

…คนของสำนักฉวนเจินเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ ส่วนฝ่ายเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานก็มียอดฝีมือระดับสูงอย่างเยี่ยเว่ยหมิงนำทีม ศักยภาพของเขาอยู่ระดับบนสุดของผู้เล่นปัจจุบันแน่นอน จัดเป็นผู้ปราดเปรื่องท่ามกลางผู้เล่นยอดฝีมือ! อย่าว่าแต่พูดเล่นเลย ต่อให้เป็น NPC ยอดฝีมือที่โด่งดังมานาน แต่พอเจอพี่ใหญ่เยี่ยคนนี้ ก็ปัสสาวะราดทุกราย!…

…ทุกท่านเคยได้ยินเรื่องที่เขาเอาชนะอสูรกระบี่ตู๋กูฉิวไป้หรือยัง…”艾琳小說

“เอ่อ คือ ขออภัยนะ พอขัดจังหวะสักหน่อย” ตามหลักแล้ว แม้หวังอวี่เยียนไม่คิดจะขัดจังหวะเหวยเสี่ยวเป่าเพื่อรักษาภาพพจน์สตรีเรียบร้อยของตัวเอง

แต่เจ้าหมอนี่พูดมากเกินไปแล้ว!

บทบรรยายการประลองที่สนุก พอไปถึงปากเขาก็เกือบจะกลายเป็นเพลงสรรเสริญเยี่ยเว่ยหมิงคนเดียวแล้ว หากนางไม่เอ่ยขัดจังหวะเขา แม้แต่กฎแห่งสวรรค์ก็แทบจะทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว…

หลังจากได้ฟังเหวยเสี่ยวเป่าพูดโอ้อวดอย่างไร้สมองไม่หยุด หวังอวี่เยียนก็เตือนด้วยความหวังดีว่า “ในฐานะพิธีกรและผู้บรรยายการประลองสนามนี้ ควรยืนอยู่ตรงกลางความยุติธรรมเพื่อบรรยายการประลองครั้งนี้ ดังนั้น ใต้เท้าเหวย ข้ารู้สึกว่าท่านควรจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้สักหน่อย”

“ก็ใช่นะ ฮ่าๆ…” เหวยเสี่ยวเป่าหัวเราะลั่น จากนั้นก็อธิบายอย่างเก้อเขินเล็กน้อย “ก็ช่วยไม่ได้ นิสัยข้าเป็นแบบนี้ พี่ใหญ่เยี่ยกับข้าเป็นสหายที่ดีต่อกัน ทั้งเขายังเคยช่วยข้ามาหลายครั้งแล้ว ขอเพียงเขาออกหน้าให้ ก็ไม่มีเรื่องไหนหรือศัตรูคนไหนที่จัดการไม่ได้ ดังนั้น แม้ข้าจะฮึกเหิมไปบ้าง แต่ที่พูดไปก็เป็นความจริงทั้งนั้น…”

“ที่จริงข้ากับสหายเยี่ยก็นับว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ตอนอยู่หมู่บ้านภูเขาม่านถัวกับเรือนหอมริมน้ำก่อนหน้านี้ เขาก็ช่วยเหลือข้าเช่นกัน” ตอนนี้หวังอวี่เยียนส่ายหน้าเล็กน้อย พูดต่อจากเหวยเสี่ยวเป่าว่า “แต่ในฐานะผู้บรรยายมืออาชีพ ข้าจะไม่เอนเอียงไปทางเขาเพราะเรื่องนี้…

…ยิ่งไปกว่านั้น การที่พวกเราชมเขาอยู่ตรงนี้ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเขาได้จริงๆ เลยไม่ใช่หรอกหรือ”

พอได้ยินเหวยเสี่ยวเป่ากับหวังอวี่เยียนคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อย ก็ยิ่งทำให้ผู้เล่นที่กำลังชมการประลองเกิดความสนใจในตัวเยี่ยเว่ยหมิงเพิ่มขึ้น

จะว่าไปแล้ว NPC สองคนที่ถูกส่งตัวมาเป็นพิธีกรและผู้บรรยายตั้งแต่ระบบเริ่มถ่ายทอดสดได้ ความสามารถของพวกเขาก็ย่อมไม่มีอะไรให้สงสัยอยู่แล้ว อีกทั้งดูจากที่พวกเขาแนะนำตัวเองก่อนหน้านี้ก็จะรู้ คนหนึ่งเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งของราชสำนัก อีกคนเป็นสารานุกรมวิทยายุทธ์ร่างมนุษย์ที่รู้จักทักษะยุทธ์มากมายในใต้หล้า

ทำให้ NPC สองคนกล่าวชมไม่หยุดปากแบบนี้ได้ เยี่ยเว่ยหมิงเป็นปราชญ์เทพจากแห่งหนใดกันแน่

ท่ามกลางความสงสัยของผู้เล่น เหวยเสี่ยวเป่ากล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้าดูสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าพี่ใหญ่เยี่ยเจ๋งมาก มีเขาเป็นผู้นำทีม ต่อให้เจอศัตรูเป็นมอนสเตอร์อีลิทเลเวลเดียวกันในดันเจี้ยน ก็ทำได้ถึงขั้นสังหารแบบตัวเองได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียว ศัตรูชุดแรกสิบห้าคน ระหว่างที่พวกเราคุยกัน เขาฆ่าตายไปเกินครึ่งแล้ว”

“ที่จริงแล้ว ศัตรูของพวกเขาต่างหากที่เจ๋งกว่า” ตอนนี้เอง ในที่สุดหวังอวี่เยียนก็เอ่ยว่า “ผู้เข้าแข่งขันเจ็ดคนของสำนักฉวนเจิน ตอนนี้กำจัดศัตรูชุดแรกสิบห้าคนตายเกลี้ยงแล้ว พวกเขาเข้าไปในป่าที่ลึกกว่าเดิมแล้ว”

“จะเป็นไปได้อย่างไร” เหวยเสี่ยวเป่าที่ก่อนหน้านี้จ้องฝ่ายเยี่ยเว่ยหมิงมาตลอด ตอนนี้มองที่สนามต่อสู้อีกครั้ง จู่ๆ ก็ได้ยินว่าทางฝั่งสำนักฉวนเจินทำสิ่งที่เหนือความคาดหมาย จึงหันกล้องไปทางนั้นอย่างมีจรรยาบรรณในวิชาชีพทันที “ตอนนี้พวกเราฉายกันใหม่อีกรอบ มาดูว่าบรรดาผู้เข้าแข่งขันของสำนักฉวนเจินใช้วิธีการอะไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะกำจัดคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้เร็วขนาดนี้”

ตามการบรรยายของเหวยเสี่ยวเป่า ความสนใจของผู้เล่นทุกคนไปรวมอยู่ทางหน้าจอฝั่งสำนักฉวนเจินแล้ว

กลับเห็นผู้เข้าแข่งขันหกชายหนึ่งหญิงทางฝั่งนั้นรีบปรับตำแหน่งยืนของตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะประมือกับศัตรู

จากนั้นก็ใช้กระบี่ยาวเจ็ดเล่มพร้อมกัน ทันใดนั้นการโจมตีของทั้งเจ็ดคนก็เต็มไปด้วยจังหวะ ราวกับพวกเขาฝึกจนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!

แม้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีเยอะกว่าฝ่ายตัวเองหนึ่งเท่า แต่ระหว่างที่ประมือกัน โรนินทุกคนก็ต้องเผชิญหน้ากับการขนาบโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามอย่างน้อยสองคน แม้จะได้เปรียบด้านจำนวนคน แต่กลับเหมือนความได้เปรียบนี้ถูกทั้งเจ็ดคนโอบล้อมไว้แล้ว!

ส่วนการโจมตีของนินจาและซามูไรพวกนี้ กลับสร้างภัยคุกคามที่แท้จริงต่อผู้เข้าแข่งขันฝ่ายสำนักฉวนเจินได้ยากมาก

ตอนนี้คนเจ็ดคนและกระบี่เจ็ดเล่มราวกับกลายเป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกำลังควบคุมสถานการณ์ภาพรวมผ่านมุมมองของพระเจ้าไอรีนโนเวล

ตอนที่ศัตรูต้องการจะโจมตีใครบางคนในทีมก็มักจะโจมตีได้ครึ่งเดียว แล้วก็ถูกกระบี่จากด้านข้างโจมตีเสียก่อน ตอนที่ทำให้เขาบาดเจ็บ ก็ขัดจังหวะการโจมตีของเขาเช่นเดียวกัน!

ตอนนี้ทั้งเจ็ดคนราวกับกลายเป็นเครื่องบดเนื้อขนาดใหญ่ที่เกิดจากอะไหล่เจ็ดชิ้น บดขยี้ยามสิบห้าคนของค่ายโรนินราวกับดันรถผ่านในแนวราบ บดศัตรูตรงหน้าให้เป็นกากโดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย!

นี่คืองานศิลปะชนิดหนึ่งจริงๆ เป็นงานศิลปะที่เกิดจากความร่วมมือของทีม!

“นี่มัน…”

เมื่อได้เห็นฉากนี้ เหวยเสี่ยวเป่าก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง กล่าวอย่างงงงวยว่า “เจ้าพวกนี้โหดกันขนาดนี้เชียวหรือ พลังโจมตีแข็งแกร่งขนาดนี้เชียว?…

…ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาสักคนก็ถือว่ายากแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าสำนักฉวนเจินจะมีโผล่มารวดเดียวตั้งเจ็ดคน!…

…ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาทุกคนจะมีความสามารถอย่างนี้ได้ พวกเขาต้องใช้วิธีการพิเศษอะไรแน่นอน!”

แต่หวังอวี่เยียนที่อยู่ข้างกันกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นี่ก็คืออานุภาพของค่ายกลฟ้าดาวเหนือ”

เหวยเสี่ยวเป่า “ค่ายกลฟ้าดาวเหนือ?”

หวังอวี่เยียนพยักหน้า “ท่านสังเกตตำแหน่งยืนของพวกเขาเจ็ดคนก็จะรู้ พวกเขายืนตามการเรียงตัวของเจ็ดดาวเหนือตลอด ในระหว่างนั้นแม้จะมีเปลี่ยนแปลงกระบวนทัพที่หลากหลายและซับซ้อน แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร สุดท้ายก็กลับไปยืนตำแหน่งเจ็ดดาวเหนืออย่างมั่นคง กล่าวได้ว่าแม้เปลี่ยนแปลงพันหมื่น แต่เนื้อแท้ยังคงเดิม”

เมื่อหวังอวี่เยียนอธิบาย กล้องที่อยู่ในภาพก็เปลี่ยนจากมุมแนวราบที่เหมาะกับการชมการต่อสู้ไปเป็นมุมมองที่เฉียงลงจากด้านบนแล้ว มองจากมุมนี้จะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัพของพวกเขาได้อย่างตรงไปตรงมายิ่งขึ้น

ระบบราวกับต้องการเสริมความน่าเชื่อถือให้คำพูดของหวังอวี่เยียน ขณะที่เปลี่ยนมุมกล้อง ที่มุมหนึ่งของหน้าจอก็มีภาพเจ็ดดาวเหนือปรากฏขึ้นมา เมื่อนำสองภาพมาเทียบกันแล้ว บรรดาผู้เล่นย่อมค้นพบได้โดยตรงยิ่งขึ้นว่าหวังอวี่เยียนพูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย!

“ค่ายกลฟ้าดาวเหนือไม่เพียงแต่ทำให้ทั้งเจ็ดคนนี้ร่วมมือกันได้อย่างแนบเนียนไร้รอยตะเข็บ ทำให้ทั้งเจ็ดกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งยังทำให้พวกเขาเชื่อมต่อปราณแท้ระหว่างกันได้ด้วย ทำให้พลังโจมตีและพลังป้องกันของแต่ละคนเพิ่มขึ้น…

…นี่ก็คือสาเหตุแท้จริงว่าทำไมก่อนหน้านี้ท่านถึงเห็นว่าพลังต่อสู้ของพวกเขาทุกคนแข็งแกร่งขึ้นมากเกินไป”

พอได้ยินคำอธิบายของหวังอวี่เยียน เหวยเสี่ยวเป่าก็อดเดาะลิ้นอย่างตกตะลึงไม่ได้ “ค่ายกลฟ้าดาวเหนือของสำนักฉวนเจิน ไม่น่าเชื่อว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้”

“จะไม่ร้ายกาจได้อย่างไรเล่า” หวังอวี่เยียนอธิบายพร้อมสีหน้าจริงจัง “ค่ายกลชุดนี้ถูกสร้างโดยผู้นำของห้ายอดฝีมือแห่งใต้หล้าที่โด่งดังที่สุดในยุทธภพ ท่านนักพรตหวังชงหยาง บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักฉวนเจิน เป็นวิธีการที่ทิ้งไว้ให้เจ็ดศิษย์แห่งสำนักฉวนเจินต่อต้านพิษประจิมโอวหยางเฟิง กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในไพ่ลับที่ใหญ่ที่สุดของสำนักฉวนเจิน มีไว้ให้ใช้ท้าสู้ข้ามเลเวลอยู่แล้ว”

ขณะที่พูด หวังอวี่เยียนก็ส่ายหน้าเบาๆ “พอทีมของสำนักฉวนเจินปรากฏตัว ก็งัดไม้เด็ดอย่างค่ายกลฟ้าดาวเหนือขึ้นมาเลย การประลองสนามแรกของพวกสหายเยี่ย เกรงว่าคงแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”

“ก็ไม่แน่หรอกนะ” เหวยเสี่ยวเป่าที่มีความเชื่อมั่นในตัวเยี่ยเว่ยหมิงเต็มร้อย ยังคงรักษาจุดยืนเดิมของตัวเองไว้ “ข้ากลับรู้สึกว่ายิ่งเจอกับช่วงเวลากดดันมากเช่นนี้ ก็ยิ่งแผยความโดดเด่นของพี่ใหญ่เยี่ย ข้าเชื่อว่าเขาต้อง…”

ตอนที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ภาพถ่ายทอดสดฝั่งสำนักฉวนเจินก็จบลงแล้ว เหวยเสี่ยวเป่าย้ายสายตากลับไปบนสนามรบฝั่งเยี่ยเว่ยหมิงอีกครั้ง แต่กลับเบิกตากว้างทันที “นี่มัน… พี่ใหญ่เยี่ยกับผู้เข้าแข่งขันที่ชื่อโหยวโหยวขี่สัตว์พาหนะบินขึ้นมาแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากทีมแล้ว กำลังคิดจะทำอะไร”

หลังจากจัดการยามสิบห้าคนนั้นแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวก็ไม่ได้บุกไปข้างหน้าพร้อมทีมอีก พวกเขากระโดดขึ้นฟ้าพร้อมกัน จากนั้นก็ต่างคนต่างเรียกสัตว์เลี้ยงบินได้ของตัวเอง

คนหนึ่งนั่งบนหลังเสี่ยวไป๋ คนหนึ่งจับข้อเท้าสองข้างของเจ้าแดง บินออกห่างจากเพื่อนคนอื่นในทีม บินไปยังป่าทึบที่ลึกกว่าเดิม

เมื่อเห็นฉากนี้ อย่าว่าแต่เหวยเสี่ยวเป่าที่ตะลึงค้าง แม้แต่หวังอวี่เยียนก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วเช่นกัน

แม้นางจะรอบรู้ทักษะยุทธ์ในใต้หล้า แต่วิธีการควบคุมนกบินของพวกเยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้อยู่บนตำราลับทักษะยุทธ์เล่มไหน!

ผ่านไปไม่นาน กลุ่มของสำนักฉวนเจินที่กำจัดศัตรูชุดแรกนำหน้าไปหนึ่งก้าวก็ประมือกับศัตรูที่ด่านหน้าของค่ายโรนินแล้ว พวกเขาใช้ค่ายกลฟ้าดาวเหนือบดขยี้ศัตรูตลอดทางเหมือนเดิม!

หลังจากนั้นครึ่งวินาที เยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวก็มาถึงด่านหน้าของค่ายโรนินแล้วเช่นกัน แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ พวกเขาไม่มีท่าทีว่าจะประมือกับทัพด่านหน้าเลย แต่บินผ่านบนฟ้าเหนือด่านหน้าไปยังจุดที่ลึกกว่าของค่ายโรนินอย่างไม่อาลัยอาวรณ์

เมื่อเห็นฉากนี้ หวังอวี่เยียนในฐานะของผู้บรรยายครั้งก็นี้ปลุกใจตนเองให้ฮึกเหิมทันที จากนั้นกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว! พวกสหายเยี่ยต้องการเปลี่ยนกลยุทธ์ ต้องการใช้วิธีการแยกดันห้าสองเพื่อเร่งความเร็วในการยึดดันเจี้ยนนี้!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด