ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 309 ฟ้าดินไร้เมตตา ทุกสรรพสิ่งคือสุนัขขี้ประจบ

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 309 ฟ้าดินไร้เมตตา ทุกสรรพสิ่งคือสุนัขขี้ประจบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 309 ฟ้าดินไร้เมตตา ทุกสรรพสิ่งคือสุนัขขี้ประจบ

ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ การแบ่งไอเทมดรอปของเถียนปั๋วกวงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว

ทำไมต้องพูดถึงเรื่องพื้นฐานล่ะ

เพราะตอนที่เขาว่าง เขาก็อยากมีตัวตนเหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่น หลังจากเฟยอวี๋ได้ตำราลับ ‘เดินเดี่ยวหมื่นลี้’ เล่มนั้นแล้วแสดงทักษะของมันในช่องทีม เขาก็จะขออนุญาตอีกฝ่าย แล้วจับภาพส่งผ่านพิราบสื่อสารไปให้น้องดาบ

[เดินเดี่ยวหมื่นลี้]

วิชาตัวเบาเฉพาะของเถียนปั๋วกวง สอดคล้องวิชาดาบ

เลเวล: 1

ค่าประสบการณ์: 0/3000

ท่าร่าง +50

ความเร็วใช้ดาบ +2%

……

ไม่อย่างนั้นจะพูดได้อย่างไรว่าวิชาตัวเบากับวิชาดาบมีความสอดคล้องกันมาก

ตามที่เฟยอวี๋บอก การฝึกวิชาตัวเบานี้จะฝึกควบกับเส้นชีพจรบางเส้นในแขนได้ จึงทำให้ผู้ที่ฝึกเคลื่อนไหวได้ไหลลื่นขึ้นตอนที่ควงดาบฟัน

หลังจากนั้นหนึ่งนาที น้องดาบถึงได้ตอบข้อความกลับอย่างเสียใจ

[ถ้าวิชาตัวเบานี้อยู่ในมือเจ้า ก็ถือว่าสิ้นเปลืองจริงๆ!]…น้องดาบ

พอในหัวมีภาพของน้องดาบทำท่าทางอิจฉาริษยาลอยขึ้นมา เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกผ่อนคลายสุดๆ

……

หลังจากแบ่งของกันเสร็จแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงกับอินปู้คุยก็บอกลาเฟยอวี๋ แล้วเดินทางไปยังโรงหมอสังหารด้วยกัน

ขณะที่เดินทาง ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็อดถามสิ่งที่ตัวเองสงสัยไม่ได้ “เฟยอวี๋ไม่ต้องการ ‘ดาบเร็วพายุ’ ข้าก็พอเข้าใจได้ อย่างไรเสียหากพูดถึงความเยี่ยมยอดของวิชาดาบ ‘ดาบเร็วพายุ’ ก็อาจเทียบกับ ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ ของเขาไม่ได้ ยิ่งถ้าฝึกควบกันแล้วเปลืองแต้มค่าตบะ ไม่สู้นำไปขายเอาเงินดีกว่า จะได้ชดเชยเงินส่วนนั้นให้เจ้าได้…

…แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ ทำไมเจ้าทำท่าเหมือนต้องได้ยาแรงเยอะยี่สิบเม็ดนี้ให้ได้”

อินปู้คุยยิ้มแห้ง แล้วอธิบายเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “อิงตามการดำเนินเนื้อเรื่อง ตอนที่อาจารย์ของข้าแต่งงาน เขาก็ถือเป็นชายวัยกลางคนแล้ว คนเราเมื่อถึงวัยกลางคน เจ้าน่าจะเข้าใจนะ…”

“ข้าไม่เข้าใจ”

“สักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจ”

“ไม่ ข้าไม่มีวันเข้าใจ!”

……

ขณะที่พูดคุยกัน ทั้งสองก็กลับมาถึงโรงหมอสังหารอีกครั้ง

ศีรษะใหญ่ๆ ของผิงอี้จื่อยังคงแสดงท่าทีปกติต่อพวกเขา ท่าทีไม่ได้เปลี่ยนไปเพียงเพราะพวกเขาสร้างวีรกรรมสังหารเถียนปั๋วกวงตาย

อย่างไรเสีย ในโลกของชาวยุทธ์ เดิมทีฐานะของหมอเทวดาก็สูงกว่าคนส่วนใหญ่อยู่แล้ว

ผิงอี้จื่อเป็นเช่นนี้ หูชิงหนิวเป็นเช่นนี้ เซวียมู่หวาก็เป็นเช่นนี้

เพราะในโลกทัศน์ของพวกเขา ขอเพียงพวกเขายอมเอ่ยปาก ก็ย่อมมีชาวยุทธ์เป็นโขยงยินดีช่วยพวกเขาจัดการธุระอยู่แล้ว เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วเช่นกัน ชาวยุทธ์ต่างหากที่มักจะมาขอความช่วยเหลือจากพวกเขา ไม่ใช่พวกเขาที่ไปขอความช่วยเหลือชาวยุทธ์

พอเวลาผ่านไป ก็ย่อมบ่มเพาะให้พวกเขากลายเป็นคนนิสัยหยิ่งผยองอยู่แล้ว

แต่สำหรับผู้เล่น นอกจากทำภารกิจแล้ว พวกเขาก็ขอร้องอะไรผิงอี้จื่อคนนี้ไม่ได้เลยจริงๆ ดังนั้นสำหรับความหยิ่งผยองของผิงอี้จื่อ เยี่ยเว่ยหมิงเองก็ไม่ได้คิดว่าต้องเอาใจเขา ในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ถูกชะตากัน เช่นนั้นก็แค่ไม่ต้องมอง

หลังจากนำศพของเถียนปั๋วกวงออกมาพิสูจน์ว่าตัวเองทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็พาผิงอี้จื่อขึ้นไปที่เขาอู่ตังตามหน้าที่

ในระหว่างนั้นเยี่ยเว่ยหมิงพูดคุยยิ้มแย้มกับอินปู้คุยเท่านั้น ไม่ได้หวังจะพูดคุยกับเจ้าคนหยิ่งผยองคนนี้เลย

ผิงอี้จื่อเงียบงันตลอดทาง หลังจากถึงเขาอู่ตังแล้ว ก็รักษาอาการบาดเจ็บให้อวี๋ไต้เหยียนตามที่สัญญากันไว้ตอนแรกทันที

แน่นอน เขารับหน้าที่ใช้ทักษะทางการแพทย์เท่านั้น ส่วนวัตถุดิบยากับลูกมืออะไรพวกนั้น ฝั่งคนไข้ต้องเตรียมเอง

เช่นขี้ผึ้งหยกดำต่อกระดูกของเยี่ยเว่ยหมิง ตอนที่รักษาอวี๋ไต้เหยียน โอกาสใช้งานก็จะถูกใช้ไปแล้วสี่ครั้ง แล้วทางฝั่งอู่ตังก็ต้องส่งคนที่มีความรู้เฉพาะทางมาด้วยเช่นกัน ตีกระดูกงอกใหม่ที่คดงอของอวี๋ไต้เหยียนให้แตกและดัดให้ตรง นี่คืองานของเจ็ดจอมยุทธ์แห่งอู่ตัง ส่วนการรักษานิ้ว ทางที่ดีควรให้อวี๋เหลียนโจวรับหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง

ในระหว่างการรักษาครั้งนี้ เยี่ยเว่ยหมิงกับอินปู้คุยเห็นทุกกระบวนการ ทำให้ได้รับค่าประสบการณ์ทักษะวิชาแพทย์จำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ เยี่ยเว่ยหมิงถามอินปู้คุยในช่องทีม [ปู้คุย ความสามารถของตู๋กูฉิวไป้อยู่ในเลเวลไหน]

[เลเวลสองร้อย!] อินปู้คุยตอบ

[เอาอะไรมาแน่ใจขนาดนั้น] เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอึ้ง

[แน่ใจมากเลย] อินปู้คุยตอบอย่างเฉียบขาด ไม่ลังเลเลยสักนิด [ในเนื้อเรื่องที่ข้ารู้มา ผู้แข็งแกร่งเลเวลสองร้อยน่าจะมีอยู่ไม่กี่คน เช่นอาจารย์ปู่ของข้า หลวงจีนเฒ่าไร้นามผู้หนึ่งที่เร้นกายอยู่ในเส้าหลิน หวงฉางผู้เขียนคัมภีร์เก้าอิม แต่เห็นได้ชัดว่าประวัติของคนเหล่านี้ล้วนมีข้อเสีย หรือไม่ก็จุดด่างพร้อย อย่างเช่นหวงฉางที่ไร้เรื่องราวการต่อสู้ที่ตรวจสอบได้ หลวงจีนเฒ่าไร้นามก็เคยบาดเจ็บเพราะอาจารย์ปู่ของข้า]

[มีเพียงตู๋กูฉิวไป้ ทั้งชีวิตไม่เคยแพ้ใคร ไม่มีจุดด่างพร้อย!…

…ถ้าจะให้ใช้คำพูดน้ำเน่ามาบรรยาย ตู๋กูฉิวไป้ก็คือนักกระบี่ที่เข้าใกล้คำว่าเทพมากที่สุด!]

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วมองเงินในบัญชีที่เหลืออยู่ของตัวเองเงียบๆ ก่อนจะก็ล้มเลิกความคิดที่จะออกเดินทางไปยังลานกระดูกของตู๋กูฉิวไป้ทันทีที่จบภารกิจนี้

ดูท่าแล้ว คงต้องรอให้จบการประมูลขายประกาศิตสร้างพรรคก่อนแล้วค่อยไปที่นั่น

ตอนนี้ การรักษาของผิงอี้จื่อสิ้นสุดลงแล้ว

ในขั้นตอนการรักษาครั้งนี้ ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงได้รับรู้แล้วเช่นกันว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์ไม่ถูกเนื้อเรื่องจำกัด ความเร็วในการฟื้นตัวของ NPC นั้นทำได้วิปริตถึงขั้นไหน

ผิงอี้จื่อเพิ่งจะพันแผลให้อวี๋ไต้เหยียนเสร็จ อวี๋ไต้เหยียนก็บอกลารถเข็นและลุกขึ้นเดินก้าวเล็กๆ ได้แล้ว

ความเร็วในการฟื้นตัวแบบนี้ เทียบได้กับการฟื้นฟูพลังชีวิตของผู้เล่นเลย!

กลุ่มลูกศิษย์ของอู่ตังย่อมแสดงความขอบคุณต่อหมอเทวดาแห่งยุทธภพอย่างผิงอี้จื่อมากมายอยู่แล้ว สามในเจ็ดจอมยุทธ์แห่งอู่ตังถึงขั้นคุ้มกันส่งเขากลับเมืองหลวงเปี้ยนจิง

อีกด้านหนึ่ง จางซานเฟิงเรียกสองคนที่มีผลงานช่วยรักษาอวี๋ไต้เหยียนเข้าไปในวิหารเจินอู่

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้ว ขอเพียงพวกเจ้าช่วยตามหาหมอฝีมือดีและยาเทวดามารักษาอาการบาดเจ็บของไต้เหยียนได้ เจ้าก็จะได้เลือกหนึ่งในวิทยายุทธ์ระดับสูงของอู่ตัง” จางซานเฟิงยิ้มน้อยๆ แล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้พวกเจ้าทำภารกิจสำเร็จได้งดงามมาก ข้าก็ควรรักษาสัญญาที่ให้ไว้เช่นกัน ว่ามาเถอะ พวกเจ้าถูกใจเคล็ดวิชาไหนของข้า”

ครั้งนี้อินปู้คุยเหมือนจะคิดเตรียมไว้นานแล้ว ไม่รอให้เยี่ยเว่ยหมิงแสดงท่าทีเขาก็ชิงพูดแล้วว่า “ข้าเลือก ‘วิชาเก้าเอี๊ยงอู่ตัง’ ขอรับ”

จางซานเฟิงได้ยินแล้วเลิกคิ้ว “ปู้คุย เจ้าน่าจะรู้ว่าหลังจากข้าปรับแก้ ‘วิชาเก้าเอี๊ยงอู่ตัง’ แล้ว ข้าตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป จนสุดท้ายได้ ‘พลังเอี๊ยงบ้อเก๊ก’ มา มันย่อมดีกว่าก่อนปรับแก้อยู่แล้ว ระดับของมันก็ไม่เกินขีดจำกัดวิทยายุทธ์ระดับสูงด้วย เจ้าแน่ใจนะว่าจะเลือก ‘วิชาเก้าเอี๊ยงอู่ตัง’ ที่ข้ายังไม่ได้ปรับปรุง”

“ศิษย์แน่ใจขอรับ” อินปู้คุยพยักหน้าอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

จางซานเฟิงได้ยินแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามเยี่ยเว่ยหมิงอีก”จอมยุทธ์น้อยเยี่ย เจ้าเลือกอะไร”

เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มทันที ในที่สุดก็ได้พูดสิ่งที่ตัวเองอยากได้มานาน “ข้าอยากเรียนทะยานบันไดเมฆาขอรับ!”

“ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา”

จางซานเฟิงพูดพร้อมส่งตำราลับเล่มหนึ่งใหเเยี่ยเว่ยหมิง เป็นวิชาตัวเบาอันเลื่องชื่อของสำนักอู่ตัง ‘ทะยานบันไดเมฆา’

[ทะยานบันไดเมฆา] สุดยอดวิชาตัวเบาของสำนักอู่ตัง ไม่ใช่การเปลี่ยนฝีเท้าทำให้คู่ต่อสู้สับสน หลักๆ ใช้วิชาตัวเบา ขึ้นลงรุกถอยได้อย่างอิสระ

เงื่อนไขการฝึก:

ท่าร่าง: 200

กำลังภายในสูงสุด: 1000

……

เมื่อได้เห็นข้อมูล ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็เผยยิ้มอย่างพึงพอใจ สุดท้ายก็ถึงวันบอกลาท่าวิ่ง ‘หัวเข่าเคาะหน้าอก ส้นเท้าเตะแก้มก้น’ แล้ว!

พอเห็นท่าทางปลื้มอกปลื้มใจของเยี่ยเว่ยหมิง จางซานเฟิงก็เผยรอยยิ้มปลาบปลื้มเช่นกัน

ของที่ตัวเองสร้างขึ้นมาได้รับการยอมรับจากคลื่นลูกใหม่ของยุทธภพ นี่คือเรื่องที่ทำให้ทั้งสองอารมณ์ดีอยู่แล้ว

“จอมยุทธ์น้อยเยี่ยมีพื้นฐานท่าร่างที่ดี เชื่อว่า ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ที่อยู่ในมือเจ้าจะต้องเปล่งประกายมากแน่นอน” หลังจากกล่าวพอเป็นพิธี จางซานเฟิงกลับเปลี่ยนประเด็นสนทนากะทันหัน “ข้ามีธุระบางอย่างต้องกำชับปู้คุยเป็นการส่วนตัว ขอส่งจอมยุทธ์น้อยเยี่ยตรงนี้”

นี่คือการส่งแขก

ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีธุระสำคัญอะไรกันแน่ ถึงต้องรีบกำชับอินปู้คุยแบบนี้

แต่ไม่ว่าจางซานเฟิงจะกำชับเรื่องอะไรกับอินปู้คุยก็ไม่เกี่ยวกับเยี่ยเว่ยหมิงอยู่แล้ว ตอนนี้เขาแค่ต้องหาสถานที่สงบเรียน ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ก็พอ แล้วก็ใช้งาน ‘ตระหนักรู้วิชาตัวเบา’ ที่ได้จากเถียนปั๋วกวง…

สมบูรณ์แบบ!

พอนึกถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันที กล่าวอำลาจางซานเฟิงแล้วหันตัวเดินออกจากวิหารเจินอู่ไป

หลังจากมองคล้อยหลังเยี่ยเว่ยหมิงเดินออกจากวิหารเจินอู่ สายตาของจางซานเฟิงก็ย้ายกลับมาที่อินปู้คุย แล้วพูดอย่างจริงจัง “ปู้คุย ถ้าเจ้าคิดจะเรียน ‘วิชาเก้าเอี๊ยงอู่ตัง’ ก็ไม่มีปัญหา เดิมทีก็เป็นรางวัลภารกิจที่เจ้าสมควรได้รับอยู่แล้ว แต่ด้วยพื้นฐานของเจ้า ถ้าคิดจะฝึกมันตอนนี้ เจ้ายังขาดกฎเต๋าอีกนิดหน่อย”

อินปู้คุยฟังคำพูดของจางซานเฟิงจนหน้าเหวอ

คนอื่นไม่รู้ว่า ‘วิชาเก้าเอี๊ยงอู่ตัง’ เป็นอย่างไร แต่แฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับอย่างอินปู้คุยจะไม่รู้เชียวหรือ

ถ้าจะพูดให้ชัด นี่ก็คือส่วนที่ดีที่สุดหนึ่งในสามของ ‘คัมภีร์เก้าเอี๊ยง’ และ ‘คัมภีร์เก้าเอี๊ยง’ ก็คือทักษะยุทธ์สายพุทธวิชาหนึ่งของเส้าหลิน จะต้องใช้กฎเต๋าไปทำไมกัน

หลังจากลังเลครู่หนึ่ง อินปู้คุยก็ยิ้มแห้งพร้อมเอ่ยว่า “อาจารย์ปู่ ข้ารู้สึกว่ากฎเต๋าของข้าก็ได้มาตรฐานพอสมควร นี่ยังไม่ใช่เงื่อนไขพื้นฐานสำหรับฝึก ‘วิชาเก้าเอี๊ยงอู่ตัง’ เชียวหรือ”

จางซานเฟิงได้ยินแล้วยิ้มบางๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าทดสอบความรู้พื้นฐานด้านกฎเต๋าของเจ้าสักหน่อยดีไหม หากเจ้าตอบได้ ข้าก็จะถ่ายทอดวิชาให้เจ้าทันที”

“อาจารย์ปู่เชิญถามได้เลย!” อินปู้คุยฮึกเหิม

“‘ฟ้าดินไร้เมตตา ทุกสรรพสิ่งคือสุนัขขี้ประจบ[1]’ หมายความว่าอย่างไร” จางซานเฟิงถาม

อินปู้คุยได้ยินแล้วงง

ฟ้าดินไร้เมตตา ทุกสรรพสิ่งคือสุนัขขี้ประจบ?

สุนัขขี้ประจบอะไรกัน!

แต่หลังจากเขาเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของจางซานเฟิง นอกจากแอบด่าเยี่ยเว่ยหมิงในใจว่าวางกับดักสหายร่วมทีมแล้ว เขายังจะพูดอะไรได้อีก

เขาได้แต่ยกมือยอมแพ้แต่โดยดี “ศิษย์ยอมรับโทษ”

“ดีมาก” จางซานเฟิงพยักหน้ายิ้ม “เจ้าไปคัดลอกคัมภีร์เต๋าสิบเล่มที่หอเก็บคัมภีร์ น่าจะเติมเต็มเงื่อนไขพื้นฐานสำหรับฝึก ‘วิชาเก้าเอี๊ยงอู่ตัง’ ได้แล้ว”

“ขอบคุณอาจารย์ปู่ที่ชี้แนะ!” อินปู้คุยยิ้มรับ

เพียงแต่รอยยิ้มของเขาตอนนี้น่าเกลียดกว่าตอนร้องไห้เสียอีก

[1] คำกล่าวเดิมคือ ฟ้าดินไร้เมตตา ทุกสรรพสิ่งคือสุนัขบูชายัญ 天地不仁,以万物为刍 มาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง หมายถึงโลกนี้ไม่เมตตาปรานีใคร ทุกสิ่งในโลกถูกสละได้หมดเพื่อผลประโยชน์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด