ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 523 ‘วิชามือคว้าจับสกุลติง’

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 523 'วิชามือคว้าจับสกุลติง' at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 523 ‘วิชามือคว้าจับสกุลติง’

[ติ๊ง! คุณค้นพบแผนที่ใหม่เกาะควันม่วง ได้รับค่าประสบการณ์ 100 แต้ม!]

……

หลังจากพวกเยี่ยเว่ยหมิงขึ้นเกาะแล้ว คนพายเรือก็เริ่มขอร้องทันที ต้องการจะพายเรือออกไปจากที่นี่ก่อน เห็นได้ชัดว่าคนธรรมดาอย่างเขาไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในยุทธภพ

NPC สามคนบนเรือล้วนเป็นคนดี เห็นเขาพูดได้น่าสงสารมาก ทั้งยังนึกขึ้นได้ว่าพวกนางฝึกวิชาจนธาตุไฟเข้าแทรก ภายในเวลาสั้นๆ นี้ยังไม่มีทางออกจากเกาะได้ จึงจ่ายค่าเรือแล้วให้เขาพายเรือออกไปก่อนเสียเลย

เดิมทีขุนเขาลำธารย่อมพานพบอยากจะโน้มน้าวให้อยู่ต่อ แต่กลับถูกเยี่ยเว่ยหมิงห้ามไว้ “อิงจากการดำเนินเรื่อง ช่วงต่อไปบนเกาะควันม่วงแห่งนี้ก็จะคึกคักมาก หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะไม่มีเรือออกไป คนขับเรืออยากจะไปก็ให้เขาไปเถอะ สร้างความประทับใจที่ดีให้ NPC ของสำนักสำคัญกว่าอีก”

ขุนเขาลำธารย่อมพานพบได้ยินแล้วพยักหน้า ตอนนี้ถึงได้เลิกคิดจะโน้มน้าว

ตอนนี้เห็นเรือน้อยของติงปู๋ซื่อแล่นมาตั้งแต่ไกลๆ สื่อผัวผั่วเอ่ยปากพูดคนแรก “ตาแก่ติงหนังเหนียวนั่นทักษะยุทธ์สูงส่ง ทั้งยังโหดเหี้ยมด้วย อาศัยแค่เด็กๆ รุ่นพวกเจ้า เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

ขณะที่พูดก็ย้ายสายตาไปบนตัวอาจ่ง “เจ้าหนู ตามธรรมเนียมแล้ว อีกประเดี๋ยวคงจะเป็นขุนเขาลำธาร สาวน้อยนักกินและน้องชายคนนั้นเริ่มสู้กับพวกผู้ช่วยที่ติงปู๋ซื่อพามาก่อน ตอนที่พวกเขาลงมือ เจ้าต้องดูอย่างจริงจังนะ เรียนรู้ได้มากเท่าไรก็เท่านั้น จากนั้นก็นำกระบวนท่าที่เจ้าได้เรียนแสดงออกมาพร้อมกับกำลังภายในอันน่าทึ่งของเจ้า สกัดตาเฒ่าพิลึกติงนั่นไว้สักพักหนึ่ง…

…พวกเราจะรอดชีวิตหรือไม่ ก็ต้องดูเจ้าแล้ว!”

อาจ่งได้ยินแล้วพยักหน้า “ขอรับ ข้าจะตั้งใจดู ตั้งใจเรียน!”

เป็นอย่างที่คาดไว้ เกาะควันม่วงแห่งนี้เดิมทีก็เป็นวาสนาของอาจ่งอยู่แล้ว ต่อให้มีผู้เล่นเข้าร่วมด้วย แต่ก็ไม่มีทางขัดขวางไม่ให้เขาได้รับผลประโยชน์ที่ควรได้อยู่ดี

ขณะที่ใจกำลังคิดแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงกลับกำชับสหายร่วมทีมทั้งสองคนว่า “อีกประเดี๋ยวถ้าลงมือ พวกเราใช้กลยุทธ์แยกดันสองหนึ่ง”

เซียนสาวน้อยนักกินงงทันที รีบถามว่า “อะไรคือแยกดันสองหนึ่ง”

เยี่ยเว่ยหมิงอธิบายว่า “ก็คือพวกเจ้าสองคนคือหนึ่งกลุ่ม ข้าคนเดียวคือหนึ่งกลุ่ม ในบรรดาสามคนฝ่ายตรงข้าม มีคนหนึ่งใช้ปืน นางคือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของสำนักถังเหมิน โหยวโหยว นางเป็นสหายที่ดีของข้า ข้าไม่อยากลงมือกับนาง พวกเจ้ารับหน้าที่สกัดนางไว้ก็พอ พยายามอย่าสังหาร…

…รอให้ข้ากำจัดอีกสองคนเรียบร้อยแล้ว ข้าว่านางก็น่าจะรู้ว่ายากแล้วถอยไปเอง”

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงยังไม่รู้ว่าโหยวโหยวละทิ้งภารกิจแล้ว ดังนั้นตอนกำหนดกลยุทธ์จึงนับรวมนางไว้ด้วย ส่วนเรื่องที่ทำภารกิจชนกับโหยวโหยวครั้งนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังกลุ้มใจมาก

พอได้ยินว่าเยี่ยเว่ยหมิงทำภารกิจชนกับสหายรักของตัวเองเพื่อช่วยพวกเขา ขุนเขาลำธารย่อมพานพบกับเซียนสาวน้อยนักกินก็รู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง

ตอนที่พวกเขาชวนเยี่ยเว่ยหมิงมาเป็นผู้ช่วย ก็ไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ว่าจะสร้างความยุ่งยากแบบนี้ให้เขา

แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาทำได้เพียงปฏิบัติตามที่เยี่ยเว่ยหมิงบอก หลังจากพยักหน้าให้เยี่ยเว่ยหมิงแล้วก็หลับตาลงพร้อมกัน ใช้วิธีการปรับอารมณ์ความคิดตามที่พวกเขาสองคนเคยชิน

หลับตาลงก่อนทำศึกตัดสิน ทำใจให้ว่างเปล่า ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่คิดอะไรเช่นกัน พยายามทำให้ภายในใจตัวเองสงบไร้คลื่น เพื่อรับประกันต่อในการต่อสู้ต่อไปนี้จะไม่ทำพลาด

ระดับของเยี่ยเว่ยหมิงสูงกว่าพวกเขาเล็กน้อย ไม่ต้องกังวลถึงปัญหาสภาพจิตใจของตัวเองเลย เขาเพียงมองผิวแม่น้ำตรงหน้าอย่างเงียบๆ “ฮณ๊ฯดฯฌซ,

หลังจากนั้นพักหนึ่ง เรือน้อยที่ติงปู๋ซื่อนั่งมาก็เข้าใกล้ฝั่งแล้วเทียบเรือ

จากนั้นติงปู๋ซื่อและผู้เล่นชายทั้งสองก็กระโดดขึ้นฝั่งก่อน ติงปู๋ซื่อหรี่ดวงตาแก่ๆ มองบนตัวสื่อเสี่ยวชุ่ย แล้วกล่าวพร้อมใบหน้าทะเล้น “เสี่ยวชุ่ย เจ้าอยากเอาชนะข้าในด้านทักษะยุทธ์มาตลอดไม่ใช่หรอกหรือ ตอนนี้ข้ามาแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ลงมือล่ะ”

สื่อผัวผั่วได้ยินแล้วทำเสียงฮึดฮัด ก่อนจะกล่าวอย่างเหยียดหยาม “ตาเฒ่าพิลึกอย่างเจ้า ไม่มีทาง…” เพิ่งพูดได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็รู้สึกหายใจไม่สะดวก คำพูดต่อจากนั้นก็ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาอย่างไร

ติงปู๋ซื่อเห็นแล้วตกใจมาก “เสี่ยวชุ่ย เจ้าเป็นอะไรไป” ระหว่างที่พูดก็กระโดดมาข้างหน้าแล้วตรวจดูอาการให้สื่อผัวผั่ว

เยี่ยเว่ยหมิงมีหรือที่จะยอมให้เขาเข้าใกล้ NPC ของฝ่ายตนที่เสียพลังต่อสู้ไปแล้ว

เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ถลันตัวมาขวางตรงหน้า แล้วโบกมือสร้างกำแพงกำลังภายในที่แข็งแรงขึ้นมาแนวหนึ่งทันที ปิดตายทางที่ติงปู๋ซื่อจะก้าวมาข้างหน้าไว้แล้ว

ติงปู๋ซื่อเห็นแล้วยื่นมือผลัก แต่กลับคาดไม่ถึงว่ากำแพงกำลังภายในที่สร้างจาก ‘มังกรผงาดกลางทุ่ง’ ของเยี่ยเว่ยหมิงจะแข็งแรงสุดๆ ทั้งยังมีแรงสะท้อนด้วย เมื่อไม่ตรวจสอบดูก่อน กลับถูกทำให้สะเทือนถอยหลังไปครึ่งก้าว

ตอนนี้เอง สื่อผัวผั่วเริ่มหายใจออกบ้างแล้ว นางกล่าวเสียงเย็น “เจ้าคิดจะเอาชนะข้ามาตลอด ตอนนี้ข้าธาตุไฟเข้าแทรก สมปรารถนาเจ้าพอดีเลยล่ะสิ แต่ถ้าเจ้าคิดว่าจะควบคุมข้าได้เพราะข้าเป็นแบบนี้ กลับเป็นเรื่องเพ้อฝันปัญญาอ่อน!”

พอพูดจบ นางก็หันตัวไปบอกอาจ่ง “เด็กน้อย เจ้าจำสิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้เอาไว้”

อาจ่งออกแรงพยักหน้า สื่อว่าตัวเองจดจำไว้แล้ว

ตอนนี้สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงไปหยุดอยู่บนเรือน้อยที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ แต่กลับเห็นว่าบนเรือลำนั้น นอกจากคนพายเรือแล้วก็ไม่มีใครเลย จึงอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ “โหยวโหยวล่ะ?”

“นางละทิ้งภารกิจไปแล้ว” ในบรรดาสองผู้เล่นตรงหน้า เจ้าหัวโล้นสวมหมวกสักหลาดตอบว่า “ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าหนุ่มหน้าขาวอย่างเจ้าก็เก่งเหมือนกันนะ ไม่น่าเชื่อว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ของสำนักถังเหมินจะละทิ้งภารกิจเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของเจ้า เป็นยอดฝีมือด้านการจีบสาวจริงๆ เป็นไอดอลของข้าเลย”

ในใจเยี่ยเว่ยหมิงรู้ดีว่าตนกับโหยวโหยวเป็นเพียงมิตรสหาย แต่พอจะเอ่ยปากอธิบายกลับรู้สึกอยากประลองฝีปากสักหน่อย จึงเอ่ยออกไปว่า “จีบสาวน่ะหรือ ฝีมือเป็นเรื่องรอง เรื่องหลักยังเป็นหน้าตา”

สำหรับคำพูดไร้ยางอายของเยี่ยเว่ยหมิง ผู้เล่นสองคนตรงหน้าย่อมดูถูก เจ้าผีพรายน้ำนั่นยิ่งยิ้มเยาะ “อาศัยหน้าตาอย่างเจ้า คงไม่คิดว่าตัวเองเป็นหน้าตาของวง[1]จริงๆ หรอกใช่ไหม”

“ดังนั้น หน้าตาของข้าน่ะ มีแต่สาวๆ ที่เข้าใจชื่นชมเท่านั้น ใครหวังให้ผู้ชายอย่างพวกเจ้ามาดูว่าหล่อหรือไม่หล่อ” เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดจาเหลวไหลเช่นกัน พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้ลงมือให้รู้แพ้รู้ชนะตอนนี้เลยเป็นอย่างไร คนชนะเป็นหน้าตาของวง คนแพ้เป็นตัวตลก”

เจ้าโล้นหมวกสักหลาดสีหน้าไร้ความหวาดกลัว ส่งสายตาท้าทายเยี่ยเว่ยหมิงพร้อมกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ได้สิ ผู้น้อยเซี่ยวเฉิน (ยิ้มเยาะโลกโลกีย์) แห่งเส้าหลิน”

ส่วนเจ้าผีพรายน้ำก็พูดตามมาติดๆ “สำนักกระบี่หนึ่งปัญญา ตู๋กูฉิวเพี่ยว (โดดเดี่ยวแสวงตั๋ว)!”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยชื่อตัวเองอย่างใจเย็น “สำนักมือปราบเทพ เยี่ยเว่ยหมิง ขอคำชี้แนะด้วย”

“ซี้ด!…”

เมื่อได้ยินชื่อ ‘สำนักมือปราบเทพ เยี่ยเว่ยหมิง’ สองคนที่อยู่ตรงก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งด้วยความตะลึง

กระทั่งตอนนี้ พวกเขาถึงได้เชื่อว่าสิ่งที่โหยวโหยวพูดก่อนหน้านี้ พลังฝีมือของเยี่ยเว่ยหมิงอาจจะไม่เป็นรองติงปู๋ซื่อก็ได้

ต้องทราบไว้ว่าภารกิจ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ เพิ่งจบลงเมื่อไม่กี่วันนี้เอง

แม้บนช่องเวิลด์ไวด์จะมีประกาศออกมาไม่หยุด มีเสียงดังขึ้นเป็นระยะ แต่พวกผู้เล่นก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดาตั้งนานแล้ว แต่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสุดยอดวิชา กลับยังดึงดูดความสนใจของคนได้มากกว่าอยู่ดี

ในภารกิจครั้งนั้น พวกเขาสองคนก็เคยเข้าไปร่วมสนุกที่ต้าหลี่เช่นกัน ทำความเข้าใจรายละเอียดมากมายในภารกิจมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าถ้าอยากได้ตำรากระบี่สักเล่ม ก็ต้องกำจัด BOSS ที่เป็นพระทิเบตเลเวลเก้าสิบก่อน!

ซึ่งในบรรดาตำราลับที่มีเพียงหกเล่มพวกนั้น ก็มีหนึ่งเล่มที่ตกอยู่ในมือของมือปราบที่ชื่อว่าเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว!

ตอนนี้พวกเขาได้แต่หวังว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะไม่เคยสู้ตัวต่อตัวกับพระทิเบตเลเวลเก้าสิบ แต่ตั้งทีมเล็กๆ ไปจัดการ BOSS ด้วยกัน

ไม่อย่างนั้น ครั้งนี้คงจะสู้กันไม่ได้ได้แล้ว!

ตอนนี้ขุนเขาลำธารย่อมพานพบกับเซียนสาวน้อยนักกินก็เอ่ยชื่อและสำนักของตัวเองตามมารยาทเช่นกัน แต่เนื่องจากชื่อของเยี่ยเว่ยหมิงทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกตะลึงมากเกินไป อีกฝ่ายจึงไม่ได้สนใจพวกเขาสองคนเลย

“ช้าก่อน!” การต่อสู้ระหว่างผู้เล่นกำลังจะเกิดขึ้นอยู่รอมร่อ แต่กลับเห็นติงปู๋ซื่อถลันตัวมาอยู่ตรงกลางระหว่างเยี่ยเว่ยหมิงกับผู้เล่นสองคนตรงหน้าเขา

หลังจากห้ามศึกที่กำลังจะปะทุ ติงปู๋ซื่อก็หันไปบอกสื่อผัวผั่วว่า “ในเมื่อตอนนี้เจ้าธาตุไฟเข้าแทรก ขยับตัวไม่ได้ ข้าก็จะไม่รังแกเด็กน้อยเช่นกัน พวกเราเปลี่ยนวิธีการประลองเป็นอย่างไร”

“เปลี่ยนอย่างไร” สื่อผัวผั่วถามเสียงเย็น

ติงปู๋ซื่อที่เตรียมตัวมานานแล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ข้าจะไม่สู้กับเจ้าหนุ่มนี่โดยตรง เจ้าให้พวกผู้ช่วยที่เจ้าหามาสู้กับข้าสิ แล้วค่อยให้เจ้าเด็กเปรตนั่นมาประลองกับผู้ช่วยที่ข้าหามา…

…ดูว่าผู้ช่วยฝั่งไหนจะทนไม่ไหวก่อน ก็จะถือว่าฝั่งนั้นแพ้”

พอพูดถึงตรงนี้ ติงปู๋ซื่อก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสริมอย่างภาคภูมิใจอีกว่า “แบบนี้คู่ต่อสู้ของข้าก็มีสามคน ส่วนคู่ต่อสู้ของเจ้าเด็กนั่นก็มีสองคน รู้ไปถึงไหนจะได้ไม่มีคนว่าข้าติงปู๋ซื่อรังแกเด็ก เสี่ยวชุ่ย เจ้าคิดว่าข้อเสนอของข้าเป็นอย่างไร”

“เอ่อ…”

สื่อผัวผั่วได้ยินแล้วลังเลนิดหน่อย ตอนนี้กลับได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพลันเอ่ยว่า “ข้าว่าข้อเสนอนี้ดีมาก พวกเรามาประลองกันตามวิธีที่ตาเฒ่าพิลึกคนนี้บอกเถอะ”

เยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยออกมาแล้ว สหายร่วมทีมทั้งสองย่อมไม่แสดงความเห็นขัดแย้ง สื่อผัวผั่วเห็นพวกเขามีความมั่นใจขนาดนี้ ทั้งยังไม่เห็นว่าการประลองนี้ไม่เหมาะสมตรงไหน จึงตอบรับไปเสียเลย

ดังนั้น การต่อสู้ที่ผู้เล่นสู้กับผู้เล่น NPC สู้กับ NPC ก็กลายเป็นผู้เล่นสู้กับ NPC อย่างนี้แล้ว

หลังจากเซี่ยวเฉินกับตู๋กูฉิวเพี่ยวได้ยินข่าวนี้ หัวใจที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายทันที พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง มองเห็นความรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกในแววตาของกันและกัน

อย่างไรเสีย หากเทียบกับเยี่ยเว่ยหมิง คนโหดที่ได้เด็ดลูกท้อ[2]ในภารกิจใหญ่อย่าง ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ แล้ว พวกเขารู้สึกว่าคนที่ใสซื่อขี้ขลาด มองปราดเดียวก็รู้ว่ารังแกง่ายอย่างอาจ่งรับมือได้ง่ายกว่า

ซึ่งตอนนี้เอง สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงกลับกวาดมองบนตัวพวกเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ มองจนทั้งสองรู้สึกไม่สบายตัวมาก

จะว่าไปแล้ว เจ้าเผยแววตาเหมือนเป็นห่วงคนปัญญาอ่อนแบบนี้มันคืออะไรกัน

แต่ก็ไม่ง่ายเลยกว่าจะเปลี่ยนคู่ต่อสู้ของตัวเองจากเยี่ยเว่ยหมิงให้กลายเป็นอาจ่งได้ เวลานี้พวกเขาย่อมไม่ยั่วโมโหดาวอริในชะตาอยู่แล้ว ทำเหมือนไม่เห็นสายตาน่ารำคาญของเยี่ยเว่ยหมิงเสียเลย หลังจากบอกในช่องทีมแล้วก็พุ่งเข้าไปหาอาจ่งพร้อมกัน

ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ก็เรียกกระบี่หยดโลหิตอาทิตย์อัสดงออกมาแล้วชี้ไปยังติงปู๋ซื่อตั้งแต่ไกลๆ มือซ้ายงอนิ้วคำนวณ พร้อมบอกสหายร่วมทีมทั้งสองว่า “ข้ารับหน้าที่สู้กับตาเฒ่าประหลาดนี่ซึ่งหน้าเอง พวกเจ้าคอยคุ้มครองข้า แล้วทักทายที่จุดสำคัญบนตัวเขาแบบไม่ให้ตั้งตัวก็พอ”

เขาเงียบไปครู่เดียว แล้วเสริมในช่องทีมอีก [อีกประเดี๋ยวหลังจากดรอปของตาตาเฒ่าประหลาดนี่แล้ว ข้าต้องการตำราลับ ‘วิชามือคว้าจับสกุลติง’!]

[1] หน้าตาของวง 颜值担当 ศัพท์แสลงในวงการไอดอลเกาหลี หมายถึง สมาชิกที่ถือว่าหน้าตาดีที่สุด หรือมีเสน่ห์มากที่สุดในวง

[2] เด็ดลูกท้อ 摘到桃子 หมายถึงได้เก็บเกี่ยวดอกผลจากสิ่งที่ลงแรงไป

*******************

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด