ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 500 สะพานสวรรค์น้อย: ข้าจะร่วมงานราตรีฉลองตรุษจีน!

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 500 สะพานสวรรค์น้อย: ข้าจะร่วมงานราตรีฉลองตรุษจีน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 500 สะพานสวรรค์น้อย: ข้าจะร่วมงานราตรีฉลองตรุษจีน!

เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงแก้ตัว หมิ่นโหรวก็โมโหหนักกว่าเดิม

เจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้านี้น่ารังเกียจเดินไปจริงๆ นอกจากฆ่าลูกสุดที่รักของนางแล้ว ยังทำลายความบริสุทธิ์ของคนตายโดยไม่มีหลักฐานด้วย

สือชิงสงบนิ่งมากกว่าเมื่อเทียบกับภรรยา เมื่อได้ยินคำตอบแล้ว เขาก็เพียงมองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างใจเย็น แล้วกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ลูกชายข้าถูกส่งไปร่ำเรียนวิชาที่สำนักภูเขาหิมะตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้ก็ไม่ได้เจอกันสิบกกว่าปีแล้ว…

…แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไม่เชื่อว่าอวี้เอ๋อร์จะแย่ขนาดนั้นจริงๆ…

…ในเมื่อจอมยุทธ์น้อยเยี่ยบอกว่าลูกชายข้ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ทราบว่ามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือหรือไม่”

ความหมายที่เขาจะสื่อก็คือ หากเยี่ยเว่ยหมิงไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ เช่นนั้นก็คุยกันไม่ได้แล้ว แก้ตัวไม่ขึ้นแล้ว

เจ้าเยี่ยเว่ยหมิงแม้จะมีฉายาปราชญ์จอมยุทธ์ แต่เมื่ออยู่ในยุทธภพก็ไม่อาจปิดท้องฟ้าด้วยฝ่ามือเดียวได้

สังหารลูกชายของสือชิง หากหาคำอธิบายดีๆ ไม่ได้ วันนี้ต่อให้ข้าสังหารเจ้าที่นี่ ก็จะไม่มีชาวยุทธ์ที่ไหนตำหนิว่าข้าสือชิงทำผิด!

ฟังจากประโยคที่เรียบง่ายพวกนี้ก็รู้แล้ว ว่าแม้สือชิงจะสุขุมกว่าภรรยา แต่ก็รับมือยากกว่าเช่นกัน

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่หวาดกลัวเลยสักนิด

ประการแรกเป็นเพราะเขามีเหตุผลที่ฟังขึ้น ประการที่สองแม้ในทางกายภาพเขาจะสู้จอมกระบี่ขาวดำที่ร่วมมือกันโจมตีไม่ไหว แต่กลับมั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้ทุกเมื่อ

ดังนั้น เขาจึงสบตากับสือชิงอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าเยี่ยเว่ยหมิงในฐานะที่เป็นคนของทางการ ไม่ว่าจะทำอะไรก็เน้นหลักฐานอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมของลูกชายท่าน….”

พอพูดถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดต่อด้วยสีหน้าจนใจ “ระหว่างที่เขารับตำแหน่งประมุขพรรคสุขนิรันดร์ก็รังแกบุรุษข่มเหงสตรีอยู่ในเมืองเจิ้นเจียง ไม่มีเรื่องชั่วเรื่องไหนที่ไม่ทำ เขาถึงขั้นไม่ปิดบังพฤติกรรมชั่วร้ายของตัวเองเลยสักนิด แม้แต่กางเกงในตัวเองก็ขี้คร้านจะใส่ปิดบังไว้ หลักฐานมีอยู่ทั่วทั้งถนน…

…คนชั่วน่ะข้าเจอมาเยอะแล้ว แต่คนไร้ยางอายเช่นนี้ ข้ากลับเจอไม่บ่อย…

…หากทั้งสองท่านไม่เชื่อ ก็ไปสืบดูที่เมืองเจิ้นเจียงได้ ผลงานน่าสรรเสริญที่ลูกชายท่านทิ้งไว้ในเมืองเจิ้นเจียง คนเขารู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง พากันถ่มน้ำลายใส่หมดแล้ว! คนที่ไม่รู้มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น”

พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพูดสิ่งที่น่าเชื่อถือเหมือนคำสาบาน สือชิงกับภรรยาก็เริ่มสีหน้าย่ำแย่ขึ้นมาทันที

แม้พวกเขาจะไม่อยากเชื่อคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิง แต่ก็ไม่คิดว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะโง่ถึงขั้นพูดจาโกหกที่อาจจะถูกเปิดโปงได้ทุกเมื่อต่อหน้าพวกเขาเช่นกัน

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ยังตัดสินใจทำตามที่เยี่ยเว่ยหมิงบอก นั่นก็คือไปสืบข่าวด้วยตัวเอง

ดังนั้นทั้งสองจึงจับแขนซ้ายขวาของเยี่ยเว่ยหมิง แล้วใช้ท่าร่างวิ่งไปทางเมืองเจิ้นเจียง

……

พรรคสุขนิรันดร์สาขาใหญ่ นอกหน้าต่างห้องนอนของประมุขพรรค เงาร่างสีแดงแฉลบผ่านทหารยามอย่างชำนาญ มาปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ

หลังจากน้องดาบรู้ที่อยู่ของอาจ่งแล้ว ก็แฝงตัวเข้ามาที่แท่นบูชารวมของพรรคสุขนิรันดร์โดยตรง

เดิมที หลังจากรู้ว่าเป้าหมายภารกิจกลายเป็นประมุขของพรรคสุขนิรันดร์ ความคิดแรกของนางก็คือเข้าประตูมาเยี่ยมเยียนตามธรรมเนียม

ผลปรากฏว่าพรรคสุขนิรันดร์ไม่ไว้หน้าศิษย์พี่หญิงใหญ่แห่งสำนักดาบโลหิตอย่างนางเลย ปฏิเสธนางอย่างไร้เยื่อใย

ที่นางแฝงตัวเข้ามา ก็เป็นเพราะไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน

ไม่ถึงขั้นบอกว่าสาขาใหญ่ของพรรคสุขนิรันดร์เป็นกำแพงเหล็กผนังทองแดง แม้จะเป็นเรื่องเพ้อฝันหากมีคนธรรมดาอยากจะแฝงตัวเข้ามาเงียบๆ แต่สำหรับยอดฝีมือที่ใช้วิชาตัวเบาได้ ก็คล้ายๆ กับบุกเข้ามาในเขตแดนที่ไม่มีคนเฝ้า

ตามต้นฉบับเดิม ติงตังไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ น้องดาบก็ย่อมทำได้เช่นกัน

ตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน หน้าต่างของห้องนอนย่อมเปิดอยู่

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นพบพิรุธ น้องดาบแนบตัวชิดอยู่บนกำแพงแล้วค่อยๆ ขยับย้ายไปทางหน้าต่าง

การเคลื่อนไหวของนางไม่ได้ช้า ทุกครั้งที่ย่ำเท้าเบาเหมือนไร้วัตถุ ไม่เกิดเสียงเลยสักนิด

นางเคลื่อนที่เงียบๆ มาจนถึงขอบหน้าต่าง แล้วก็ยื่นศีรษะเข้าไปในห้อง

ทว่าจะไม่ให้กังวลก็ไม่ได้ พอมองเข้าไปแล้วนางตกใจทันที!

ตอนที่นางเพิ่งยื่นศีรษะออกมาได้ครึ่งเดียว เตรียมจะดูว่าข้างในเป็นอย่างไร กลับเห็นแสงกระบี่สีทองสายหนึ่งเข้ามาต้อนรับตรงหน้า แทงตรงมายังหว่างคิ้วของนาง

ข้าโดบจับได้แล้วเหรอ

น้องดาบเห็นแล้วตกใจมาก อยากจะรีบถอยหลัง แต่จู่ๆ กลับรู้สึกว่าข้างหลังมีอันตราย ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะมีคนลอบโจมตีนางอยู่ข้างหลัง!

อาศัยการตอบสนองโดยสัญชาตญาณของผู้ฝึกยุทธ์ ตอนที่น้องดาบรู้สึกได้ว่าข้างหลังมีคนลอบโจมตี นางก็ชักดาบจันทราหิมะเงินมาถือไว้ในมือ จากนั้นหมุนตัวกวาดดาบออกมาในแนวขวาง ชนกับคมดาบของผู้ลอบโจมตีพอดี

แกร๊ง!

เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังเหมือนเสียงฟ้าผ่าบนพื้นราบ

สิ่งที่ทำให้น้องดาบคาดไม่ถึงก็คือ ภายใต้การโจมตีที่เกือบเรียกได้ว่าใส่สุดกำลัง ไม่น่าเชื่อว่านางจะถูกอีกฝ่ายทำให้สะเทือนจนถอยหลังไปสองก้าว แต่ผู้ลอบโจมตีถอยหลังเพียงครึ่งก้าวก็ต้านแรงสะเทือนได้แล้ว

ช่างเป็นพลังที่น่าทึ่ง!

เมื่อเทียบกับพลังอันน่าทึ่งของคนคนนี้ เจ้าของพลังนี้ทำให้นางตกใจยิ่งกว่า

คนผู้นี้สวมชุดสีขาว ผิวขาวหน้าตางดงาม ผมยาวพลิ้วไหวประบนบ่าอ่อนนุ่ม ทำให้ดูน่ารักน่าสงสารเป็นพิเศษ

ผู้ที่ลอบโจมตี ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็น….สาวน้อยที่ดูน่ารักไร้เดียงสาคนหนึ่ง!

ในมือสาวน้อยคนนี้กลับถือกระบี่ใหญ่สีทองเล่มหนึ่งที่ไม่เหมาะกับรูปร่างของนาง ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก น่าจะหนักประมาณสามสิบถึงห้าสิบจิน (1 จิน = 0.5 กิโลกรัม)

เป็นกระบี่ล้ำค่าขนาดใหญ่ที่แม้แต่ผู้ชายก็อาจใช้มือข้างเดียวถือไม่ไหว แต่เมื่ออยู่ในมือของนางกลับดูเหมือนไร้น้ำหนัก กระบี่ถูกนางยกขึ้นตรงหน้าอย่างผ่อนคลาย ปลายกระบี่ที่กำลังชี้น้องดาบไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

จินตนาการได้ยากจริงๆ ในร่างกายของสาวน้อยที่น่ารักจิ้มลิ้มคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะซ่อนพลังที่น่าหวาดกลัวเหมือนไดโนเสาร์กินเนื้อเอาไว้!

น้องดาบเห็นแล้วขมวดคิ้ว รู้สึกเพียงว่าน้องกระบี่ใหญ่คนนี้หน้าคุ้นๆ นางรีบหันไปมอง แต่กลับเห็นเงาร่างสีขาวอีกเงากระโดดออกมาจากหน้าต่าง มาขวางข้างหลังนางไว้ กระบี่ล้ำค่าสองเล่มในมือก็คือกระบี่มังกรคำรามและกระบี่จินสยา

ถ้าจะบอกว่าสาวน้อยกระบี่ใหญ่ตรงหน้าค่อนข้างคุ้นหน้า เช่นนั้นคนที่อยู่ข้างหลัง น้องดาบก็จำไม่ผิดแน่นอน

หลังจากอึ้งไปครู่เดียว นางก็อดถามอย่างประหลาดใจไม่ได้ “สะพานสวรรค์น้อย ทำไมเจ้ามาโผล่อยู่ที่นี่ได้”

สะพานสวรรค์น้อยก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอน้องดาบที่นี่

ก่อนหน้านี้นางกำลังฝึกวิชากันผึ้ง กำลังจัดคนมายืนเฝ้าผึ้งข้างนอก

แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะพบผู้บุกรุก อีกทั้งผู้บุกรุกคนนี้ยังเป็นคนคุ้นเคยกับตนด้วย

พอเก็บกระบี่คู่แล้ว สะพานสวรรค์น้อยกล่าวเสียงเรียบ “มั่วหร่าน อย่าตกใจ เป็นคนกันเอง”

“หนึ่งดาบสามเฉือนเหรอ” ตอนนี้สาวดาบใหญ่มั่วหร่านที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็เก็บกระบี่ใหญ่สีทองเช่นกัน นางหัวเราะคิกคักพร้อมบอกว่า “ข้าจำได้ว่าในกิจกรรมวันสารทจีนก่อนหน้านี้ พี่ดาบแสดงฝีมือได้ยอดเยี่ยมมาก เมื่อครู่เห็นข้างหลังข้าจำไม่ได้ พี่ดาบอย่าโกรธน้องเลยนะ”

สำหรับสองสาวสำนักสุสานโบราณคู่นี้ ความประทับใจแรกที่น้องดาบมีต่อพวกนางก็ไม่ได้แย่ นางจึงโบกมืออย่างใจกว้างเพื่อสื่อว่าไม่เป็นไร แล้วบอกว่า “ข้ามาหา NPC คนหนึ่งที่ชื่อว่าโก่วจ๋าจ่ง แต่ได้ยินว่าหลังจากเขามาที่พรรคสุขนิรันดร์ เขาก็เปลี่ยนชื่อเป็นสือพั่วเทียนแล้ว”

สะพานสวรรค์น้อยยักไหล่ “ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่พรรคสุขนิรันดร์แล้ว วันนี้ตอนเช้าตรู่ เขาเพิ่งถูกคนของสำนักภูเขาหิมะจับตัวไป ตอนนี้เหมือนมีคนกำลังตามหาเขาอยู่ไม่น้อยเลย แต่ภารกิจของข้ากับมั่วหร่านไม่เกี่ยวกับเขา ข้าจึงไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหนกันแน่”

พอได้ยินสะพานสวรรค์น้อยพูดแบบนี้ น้องดาบก็ถูกดึงดูดความสนใจทันที ถามต่อโดยสัญชาตญาณว่า “พวกเจ้ากำลังทำภารกิจอะไรกันอยู่”

“เป็นการแสดงขนาดใหญ่ที่มีรางวัลท่วมท้นเลยละ”

“ใหญ่ขนาดไหน” น้องดาบอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิม

สะพานสวรรค์น้อยยิ้มบางๆ ตอบว่า “งานราตรีฉลองตรุษจีน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด