ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 351 มีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 351 มีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 351 มีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น

[ติ๊ง! ทีมของคุณสังหารโอวหยางเค่อ BOSS เลเวล 75 ได้รับค่าประสบการณ์ 650000 แต้ม ค่าตบะ 200000 แต้ม!]

ขณะที่ดึงมีดสั้นกัวจิ้งออกจากศพโอวหยางเค่อ จู่ๆ ในหัวเยี่ยเว่ยหมิงก็เกิดความคิดอย่างนี้ขึ้น

ตามกลยุทธ์ของอินปู้คุย เหมือนโอวหยางเค่อจะตายแบบนี้เหมือนกัน

การสังหารด้วยมีดนี้ ถือว่าคงต้นฉบับเดิมไว้ได้แล้ว!

กดไลก์ให้ตัวเองหนึ่งที!

เยี่ยเว่ยหมิงกดไลก์ให้ตัวเองอย่างถ่อมตัว ทางฝั่งระบบกลับประกาศหกครั้งต่อเนื่องอย่างไม่ตระหนี่

ประกาศระบบ: ผู้เล่นสำนักมือปราบเทพ เยี่ยเว่ยหมิง ผู้เล่นสำนักดาบโลหิต หนึ่งดาบสามเฉือน ผู้เล่นสำนักสุสานโบราณ สะพานสวรรค์คริสตัล…สังหารเหมยเชาเฟิง BOSS เลเวล 85 ได้รับรางวัลเฟิร์สคิล…

ประกาศระบบ: ผู้เล่นสำนักมือปราบเทพ เยี่ยเว่ยหมิง ผู้เล่นสำนักดาบโลหิต หนึ่งดาบสามเฉือน ผู้เล่นสำนักสุสานโบราณ สะพานสวรรค์คริสตัล…สังหารโอวหยางเค่อ BOSS เลเวล 75 ได้รับรางวัลเฟิร์สคิล…

ทุกประกาศรีเฟรชใหม่สามรอบ สองคูณสามเป็นหก ถือเป็นประกาศหกรอบพอดี หลังจากในหัวได้รับตัวเลขที่แม่นยำอย่างรวดเร็ว เยี่ยเว่ยหมิงก็อดกดไลก์ให้ตัวเองอีกครั้งไม่ได้

เขารู้สึกว่า ระดับตัวเลขที่สูงทะลุขอบฟ้าของตัวเอง ไม่มีใครทำได้เหมือนเขาแล้ว!

พอดูค่าตบะและผลตอบแทนที่ตัวเองได้รับแวบหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงรู้ก็สึกว่าการมาจวนอ๋องจ้าวครั้งนี้ได้อะไรกลับไปแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ

หลังจากเหมยเชาเฟิงกับโอวหยางเค่อทยอยตาย ในที่สุดอินปู้คุยที่รับหน้าที่ใช้คลื่นเสียงโจมตีก็เก็บเสียงแล้ว พร้อมทั้งกล่าวถึงเยี่ยเว่ยหมิงในช่องทีมและส่งอิโมติคอนรูปนิ้วหัวแม่มือให้

[สหายเยี่ย เจ้านี่เจ๋งจริงๆ ตามเนื้อเรื่องในต้นฉบับเดิม หวงหรงก็เคยคิดอาศัยจุดอ่อนที่เหมยเชาเฟิงตาบอดแล้วให้กัวจิ้งที่อ่อนแอกว่าใช้วิชาฝ่ามือไร้เสียงสู้เช่นกัน แต่เจ้ากลับทำตรงกันข้าม เหมือนผลลัพธ์ที่ได้จะดีกว่าวิธีของนางอีกนะ]

แม้ตอนนี้จะไม่กังวลแล้วว่าคนอื่นจะได้ยินอะไร แต่สหายหน้าเลือดคนนี้ก็เจ็บคอ ไม่อยากพูดอะไรแล้ว

พอเอ่ยถึงฉากต่อสู้ตามต้นฉบับเดิม เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้เช่นกัน เพราะในกลยุทธ์ที่ให้มา เขาเคยเน้นบรรยายตรงฉากต่อสู้นั้น ตอนหลังหวงเย่าซือลงมือเอง ใช้ ‘วิชาดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ นำทางให้เหมยเชาเฟิง ถึงได้ทำให้กัวจิ้งพบความยุ่งยากอีกครั้ง

แต่ตอนหลังเนื่องจากหวงหรงกระโดดออกมาทำให้สถานการณ์ปั่นป่วน สุดท้ายการต่อสู้นั้นจึงทำให้เรื่องที่ยังไม่จบต้องจบลง

เมื่อเทียบกันแล้ว วิธีการใช้เสียงที่ดังกว่ากลบเสียงอื่นแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเหลือเชื่อกว่านิดหน่อย ต่อให้อยู่ตรงหน้ามารเฒ่าหวง แต่ตราบใดที่เขาไม่ลงมือด้วยตัวเอง ไม่ว่าคำชี้แนะใดก็เอาชนะ ‘วิชาราชสีห์คำราม’ ของอินปู้คุยไม่ได้

เยี่ยเว่ยหมิงหัวเราะแห้ง ตอนที่กำลังจะกล่าวถ่อมตัวอย่างจอมปลอมประมาณว่า ‘เป็นเรื่องพื้นฐานเท่านั้น ไม่ต้องตื่นตกใจ’ ผลปรากฏว่ายังไม่ทันพูด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหลายคนดังขึ้นแล้ว

ที่แท้ศึกใหญ่ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินสนามนี้ ก็ดึงดูดให้ทหารองครักษ์ของจวนท่านอ๋องจ้าวออกมาแล้ว

ตอนนี้เอง เสียงของระบบก็ดังขึ้นข้างหูของทั้งสามคนเช่นกัน

[ติ๊ง! การกระทำของพวกคุณสะเทือนไปถึงทหารองครักษ์ของจวนท่านอ๋อง แต่กัวจิ้งกับหวงหรงต้องปกป้องหยางเถี่ยซินกับแม่นางมู่เนี่ยนฉือ พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายกว่าพวกคุณ]

[กรุณาก่อกวนทหารองครักษ์อย่างสุดความสามารถ โดยต้องรับประกันได้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ปลอดภัย เพื่อถ่วงเวลารอกัวจิ้งและหวงหรงกลับมา]

[ระยะเวลาที่คุณถ่วงไว้ จะส่งผลกับการตัดสินระดับภารกิจครั้งนี้ในตอนสุดท้ายโดยตรง]

เมื่อได้ยินเสียงของประกาศระบบ สายตาของทุกคนก็หยุดอยู่บนตัวเยี่ยเว่ยหมิง กลับเห็นเขายิ้มบางๆ ด้วยความมั่นใจ จากนั้นนำโลงไม้หนานมู่ออกมาสองใบ แล้วเก็บศพเหมยเชาเฟิงกับโอวหยางเค่อต่อไป

ได้รับ ‘ตระหนักรู้วิชาดรรชนี’ ×1!

ได้รับ ‘ตระหนักรู้วิชาหมัดฝ่ามือ’ ×1!

ได้รับ ‘ตระหนักรู้อาวุธอ่อน’ ×1!

……

ได้รับ ‘ตระหนักรู้กำลังภายใน’ ×1!

ได้รับ ‘ตระหนักรู้วิชาตัวเบา’ ×1!

ได้รับ ‘ตระหนักรู้วิชาหมัดฝ่ามือง’ ×1!

……

ด้านบนก็คือตำราลับตระหนักรู้ที่เยี่ยเว่ยหมิงได้จากการเก็บศพเหมยเชาเฟิงกับโอวหยางเค่อ

การรับผลตอบแทนครั้งนี้ ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงค้นพบกฎบางอย่างแล้วเช่นกัน

นั่นก็คือ ตอนที่ระบบตัดสินตำราลับตระหนักรู้ เห็นได้ชัดว่าใช้มาตรฐานการพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันของ BOSS

ยกตัวอย่างเช่นการปรากฏตัวของเหมยเชาเฟิงครั้งนี้ นางนำ ‘คัมภีร์เก้าอิม’ เล่มท้ายไปฝึก ผลปรากฏว่าฝึกจนผิดพลาด เส้นชีพจรของขาสองข้างอุดตันจนเดินไม่ได้ หลังจากเก็บศพแล้ว ตำราลับตระหนักรู้ที่ได้จากนางจึงไม่มี ‘ตระหนักรู้วิชาตัวเบา’

ในกลยุทธ์ที่อินปู้คุยให้มาก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าก่อนที่เหมยเชาเฟิงจะขโมยคัมภีร์หนีออกจากเกาะ นางก็เป็นหนึ่งในห้าศิษย์ใหญ่ของหวงเย่าซือเช่นกัน ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากเกาะดอกท้ออย่างลึกซึ้ง แม้วิชาตัวเบาของนางจะไม่ใช่วิชาที่โดดเด่นมีชื่อเสียง แต่ท่าร่างของนางก็ไม่ได้แย่แน่นอน

เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงนำโลงศพสองใบมาบรรจุศพ น้องดาบที่อยู่ข้างๆ ก็อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ว่า “เจ้ามือปราบหน้าเหม็น ขั้นต่อไปของภารกิจนี้ เจ้ามีความเห็นอย่างไร”

เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “จะคิดเห็นอย่างไรได้อีก ทำตามที่ระบบขอก็สิ้นเรื่อง”

ตอนนี้ทหารแคว้นจินที่รวมกลุ่มกันบุกมาถึงนอกประตูลานบ้าน หลังจากเห็นพวกเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว กลับจัดกระบวนทัพอย่างเป็นระเบียบ ทหารที่ถือโล่และดาบอยู่หน้าสุด ทหารที่ถือทวนยาวอยู่ตรงกลาง ส่วนด้านหลังก็เป็นพลธนูหลายร้อยที่ตั้งคันศรแล้ว พวกเขายิงพร้อมกันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

เมื่อเห็นดังนั้น น้องดาบก็ตะโกนเสียงดังทันที “ทุกคนถอยเข้าไปอยู่ในบ้าน!”

พูดพลางนางก็ถลันตัวหลบ ถอยเข้าไปในบ้านที่เคยใช้ขังหยางเถี่ยซินกับบุตรสาวก่อนหน้านี้

เมื่อมีบ้านกำบัง ตอนที่ถูกคนเผชิญหน้ากับการยิงรอบแรกของทหารแคว้นจินจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

น้องดาบมองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างประหลาดใจ “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าให้ทำตามวิธีการที่ระบบแนะนำ ก็คือให้พวกเราปะทะกับทหารแคว้นจินพวกนี้ซึ่งๆ หน้าไม่ใช่หรอกหรือ”

ที่จริงแล้ว ถ้ามีทหารเพียงสองร้อยกว่าคนที่ปรากฏตัวตอนนี้ เพื่อศักยภาพของผู้เล่นห้าคนนี้ พวกเขาก็อาจไม่ใส่ใจเลย

แต่ที่นี่คือรังของศัตรู ใครจะไปรู้ว่าตอนหลังจะมีกองหนุนของศัตรูเพิ่มมาอีกเท่าไร หากตกอยู่ในวงล้อมแล้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือบู๊ลิ้มที่เก่งกว่าพวกเขาก็ต้องติดอยู่ที่นี่อยู่ดี

เยี่ยเว่ยหมิงได้แต่ดูแผนที่ของจวนท่านอ๋องเงียบๆ ดูไม่ร้อนใจเลยสักนิด

ตอนนี้ สุดยอดแฟนพันธุ์แท้นิยายต้นฉบับอย่างอินปู้คุยเดินมาถึงริมหน้าต่างแล้ว เขาหลบอยู่ด้านหลังของปีกหน้าต่างก่อน จากนั้นใช้นิ้วชี้ของมือขวาแตะน้ำลายที่ลิ้นนิดหน่อย แล้วเจาะกระดาษหน้าต่างเพื่อแอบดูสถานการณ์ข้างนอก

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!… ลูกธนูสิบกว่าดอกยิงมาจากนอกหน้าต่าง ยิงจนหน้าต่างบานนั้นแตกกระจาย อินปู้คุยตกใจจนร้องอุทานออกมา จากเดิมที่ยื่นตัวออกไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้รีบหลบอีกครั้งแล้ว “แม่งเอ๊ย ไม่เหมือนที่เขียนในนิยายนี่หว่า!”

“ในนิยายที่เจ้าอ่าน คนเขาอยากจะมองเข้ามาจากข้างนอก ถึงได้เจาะกระดาษหน้าต่างสินะ” พอเห็นสถานการณ์ดังนั้น น้องดาบที่อยู่ข้างๆ ก็อดบ่นไม่ได้ “ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ในห้องมีโคมไฟ ทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าสะท้อนเป็นเงาชัดเจนอยู่บนหน้าต่าง ทำผิดทิศทางตั้งแต่แรกแล้ว อาศัยแค่ความระวังตัวจะมีประโยชน์อะไร”

เอ่อ…

พอรู้ว่าการกระทำของตัวเองก่อนหน้านี้ทำให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะ อินปู้คุยก็อายจนหน้าแดงทันที ตอนนี้ก้มหน้าไม่พูดอะไรแล้ว

เซียวเหยาถอนใจที่อยู่ข้างๆ มองออกไปข้างนอกผ่านรูหน้าต่างที่อีกฝ่ายยิงทะลุแล้วกล่าวอย่างกระวนกระวายทันที “อีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นธนูไฟแล้ว ท่าทางคงอยากจะเผาบ้าน เผาให้พวกเราตายอยู่ในนี้ทั้งเป็น ทำอย่างไรดี”

“วางเพลิงเหรอ” เยี่ยเว่ยหมิงยกมุมปากยิ้มอย่างมีเลศนัย ตอนที่พูดก็เดินมาถึงข้างกำแพงด้านหลังของบ้านแล้ว เขาใช้ฝ่ามือมังกรซ่อนกบดานตบบนผนังจนเกิดรูใหญ่ที่คนสองคนลอดพร้อมกันได้ “ไปที่ห้องเก็บของ ที่นั่นมีน้ำมัน พวกเราควรจะมีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยพวกเขาสักครั้งเถอะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด