ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 154 เซิงกวนฟาไฉ

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 154 เซิงกวนฟาไฉ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 154 เซิงกวนฟาไฉ

ซานเย่ว์กับเฟยอวี๋เหยียดหยามคำพูดอวดดีของหลินผิงจือ แต่เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลับตาเป็นประกาย

หลังจากได้ฟังอินปู้คุยเล่าเรื่อง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้ว่าเจ้าหมอนี่หลังจากได้ควงดาบแล้วดุร้ายขนาดไหน

และดูจากการแต่งกายของหลินผิงจือตอนนี้ ฟังจากเสียงพูดของเขาที่มีเฉพาะในละครแนวพระราชวัง เยี่ยเว่ยหมิงแทบจะแน่ใจได้ว่าหลินผิงจืออาจจะตัดสิ่งนั้นออกแล้วจริงๆ

ตอนนี้ หวงโส่วจุนที่นั่งอยู่บนตำแหน่งหลักก็เอ่ยปากแล้วเช่นกัน “ทักษะยุทธ์ของหลินผิงจือตอนนี้แตกต่างกับตอนแรกราวกับเป็นคนละคน จุดนี้ข้ารับประกันแทนเขาได้ ตอนที่ประลองเดี่ยวกัน หลินผิงจือไม่แพ้ให้อวี๋ชางไห่แน่นอน”

เขานิ่งไปครู่หนึ่งก็กล่าวเสริมอีกว่า “ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงอวี๋ชางไห่ที่สภาพอ่อนแอเมื่ออยู่ในโหมดภารกิจ แต่เป็นตอนอยู่ในสถานะปกติ!”

เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ แม้แต่เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ก็มองหลินผิงจือด้วยสายตาตกตะลึง

ผู้เล่นสามคนของสำนักมือปราบเทพ ไม่มีใครสงสัยหวงโส่วจุนทั้งนั้น พวกเขาเพียงตกตะลึงว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ขยะหลินผิงจือเปลี่ยนเป็นเก่งกาจขนาดนั้นได้ภายในเวลาอันสั้น

ที่จริงแล้ว ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ไม่ถือว่าร้ายกาจขนาดนั้นในบรรดาสุดยอดวิชาทั้งหมด จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดของมันก็คือทำให้ประสบความสำเร็จได้เร็ว ทำให้คนที่มีทักษะยุทธ์ธรรมดาคนหนึ่งเพิ่มความสามารถขึ้นไปถึงอีกระดับหนึ่งภายในเวลาอันสั้นได้

ยิ่งไปกว่านั้น ท่ากระบี่ของ ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ หลินผิงจือก็กล่าวได้ว่าฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจนโต ทำให้เขาเชี่ยวชาญมาก ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือวิชาโชคชะตาที่อยู่ในนั้น หลังจากตัดอวัยวะตัวแทนความเป็นชายทิ้ง และเติมเต็มข้อบกพร่องเล็กน้อยของเคล็ดวิชานี้ได้ ก็ย่อมก้าวหน้าได้ไวราวกับเทพแล้ว

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ปกติ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ความสามารถของเขาจะก้าวหน้าได้รวดเร็วขนาดนี้

อย่างไรเสีย ตั้งแต่ตระกูลหลินถูกสังหารล้างครัวจนกระทั่งตอนนี้ เวลาก็ยังผ่านไปไม่นานเท่าไรเลย

เวลาน้อยนิดเท่านี้ อย่าว่าแต่ฝึกกระบี่ บาดแผลที่อวัยวะนั้นจะสมานตัวดีหรือยังก็ยังเป็นปัญหา

เพียงแต่นี่ก็เป็นเกมเท่านั้น ทุกอย่างย่อมอิงตามผู้เล่นเป็นหลัก

บทละครจะดำเนินไปถึงระดับไหน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใช้เวลาคำนวณได้ แต่ต้องดูว่าผู้เล่นจะทำภารกิจตามเนื้อเรื่องไปได้ถึงขั้นไหนต่างหาก

ตัวละครหลักที่อยู่ในบทละคร ตั้งแต่เกิดจนเติบโตอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปี แต่การออกแบบในเกมส่วนใหญ่จะเป็นภารกิจตามเนื้อเรื่องที่ตายตัว ประสบความสำเร็จภายในอายุไม่กี่ปีก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก

ส่วนทางฝั่งหลินผิงจือ เนื่องจากมีผู้เล่นมาเข้าร่วมจนเกิดการบิดเบือนของบทละคร แต่แนวโน้มภาพรวมกลับไม่เปลี่ยนแปลง

เยี่ยเว่ยหมิงช่วยพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกออกมาแล้ว ส่วนผู้เล่นสำนักชิงเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ปลดล็อกและทำภารกิจสังหารหลินเจิ้นหนานกับฮูหยินสำเร็จ

หลังจากได้ข่าวนี้มา โหยวจิ้นก็ไปหาหลินผิงจือ แล้วมอบ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ คืนให้เขาพร้อมแจ้งข่าวร้าย หลินผิงจือจึงยกดาบเฉือน…ฉับ!

และหลังจากนั้น พวกเยี่ยเว่ยหมิงก็ทำภารกิจไขคดีสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ผลักบทละครให้ดำเนินมาจนถึงตอนนี้

หากคำนวณตามเวลาในโลกแห่งความเป็นจริง หากจะทำภารกิจตามโครงเรื่องที่ซับซ้อนเหล่านี้ให้สำเร็จ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน หรือถึงขั้นมากกว่านั้น และความก้าวหน้าอันรวดเร็วของหลินผิงจือก็ถูกคำนวณตามเส้นเวลาอย่างนี้ ตอนนี้เพียงทำให้เขาได้เลื่อนระดับล่วงหน้าก็เท่านั้นเอง

ตามที่อินปู้คุยบอก ยังมีตัวละครหลักของละครอีกเรื่องหนึ่ง เป็นบุตรชายของจางชุ่ยซานกับอินซู่ซู่ หากอิงตามเส้นเวลา เกรงว่าหลังจากเรือไปถึงจุดหมายปลายทาง ตัวละครหลักในละครเรื่องนั้นคงยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่!

เยี่ยเว่ยหมิงที่เข้าใจเรื่องราวแล้วหันหน้ามาถามหลินผิงจือว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่า เจ้ายอมจ่ายทุกอย่างเพื่อล้างแค้น แล้วถ้าสิ่งที่เจ้าต้องจ่ายคือการมอบ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ของตัวเองล่ะ”

หลินผิงจือได้ยินแล้วก็อึ้งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะเรียกร้องสิ่งนี้ แต่เขาก็พยักหน้า กล่าวสองพยางค์ราบเรียบว่า “ก็ได้!”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า จากนั้นหันไปบอกหวงโส่วจุนว่า “ข้าไม่มีคำถามแล้ว”

จากนั้น หวงโส่วจุนก็มองเฟยอวี๋กับซานเย่ว์ปราดหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่มีคำถาม ก็ประกาศทันทีว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็กลับไปเตรียมตัวเถอะ พรุ่งนี้เช้าพวกเจ้าก็ส่งแผนปฏิบัติการให้ข้า”

หลังจากประชุมจบแล้ว ทุกคนก็ปรึกษาเรื่องที่เป็นการเป็นงาน หรือไม่ก็แยกย้ายกันเดินออกไป ไม่ได้มีฉากโอ้อวด หรือหักหน้ากันเหมือนอย่างที่ท่านผู้ชมชอบดู

สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยเว่ยหมิงเองก็กลุ้มใจมากเช่นกัน

เมื่อก่อนเวลาอ่านนิยายอะไรพวกนั้น ไม่ว่าตัวละครหลักจะทำอะไรก็ล้วนมีคนมาหาเรื่อง มีโอกาสให้อวดเก่งหักหน้ากันนับครั้งไม่ถ้วน ทำไมตัวเองไม่มีฉากแบบนั้นบ้างเลยล่ะ

หลังจากออกจากห้องประชุมแล้ว ซานเย่ว์ก็ดึงเยี่ยเว่ยหมิงไว้แล้วถามทันทีว่า “อาหมิง ข้าว่าเจ้าเหมือนจะสนใจภารกิจหนึ่งดาวที่ให้เขียนร่างแผนปฏิบัติการนี้มากเลยนะ อย่าบอกนะว่าภารกิจนี้ยังมีรางวัลลับอะไรที่ข้าไม่รู้มาก่อน”

“รางวัลเขียนไว้ในนั้นชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ ค่าประสบการณ์หนึ่งร้อยแต้มนั่นอย่างไร” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ บอกว่า “ถ้าพูดถึงรางวัลภารกิจเพิ่มเติม ก็คงต้องดูว่าแผนปฏิบัติการที่ส่งไปดีหรือไม่ดี จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภารกิจในขั้นต่อไปหรือไม่ ถึงขั้นว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อรางวัลตอนสุดท้ายของภารกิจด้วย”

ขณะที่พูด เขาก็หันไปมองเฟยอวี๋ที่เพิ่งเดินผ่านพวกเขาสองคนไป แล้วบอกว่า “สงสัยเฟยอวี๋จะมองออกถึงจุดนี้แล้ว คงกำลังเตรียมตัวร่างแผนปฏิบัติการอันยอดเยี่ยมมาข่มข้าล่ะสิ ทำให้ดีนะ นี่เป็นโอกาสดีที่หาได้ยาก”

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าทำได้” ทิ้งท้ายประโยคอันไร้สาระไว้ เฟยอวี๋ก็หันตัวเดินไปทางห้องพักของสำนักมือปราบเทพทันที

เยี่ยเว่ยหมิงยกนิ้วหัวแม่มือให้ซานเย่ว์ แล้วบอกว่า “สู้ๆ นะ!” จากนั้นก็เดินตามเฟยอวี๋ไปทางเดียวกัน

ไม่ใช่ว่าเขามีธุระต้องไปหาเฟยอวี๋ แต่ห้องส่วนตัวของผู้เล่นสำนักมือปราบเทพล้วนตั้งอยู่ในแถวเดียวกัน

เมื่อกลับมาถึงที่พักของตัวเองแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่รีบเขียนร่างแผนการ

อย่างไรเสียก็ส่งฉบับร่างพรุ่งนี้เช้า เขาไม่รีบร้อนทำตอนนี้

เขานำน้ำชาที่ซื้อกลับมาจากโรงน้ำชาออกมาอย่างไม่รีบร้อน หลังจากรินให้ตัวเองและดื่มอึกหนึ่งแล้ว ก็เริ่มนับสิ่งที่ได้จากการสังหารอ๋าวป้ายครั้งที่สอง

อย่างแรกคือเกราะอ่อนลวดทองแดงกับรองเท้าราชสำนัก ไม่ต้องกล่างถึงอุปกรณ์สองชิ้นนี้มากนัก เขาสวมใส่มันเสียเลย ทำให้พลังป้องกัน พลังชีวิต กำลังภายในสูงสุดและค่าสเตตัสต่างๆ เพิ่มขึ้นไม่น้อยทันที

จากนั้นก็เป็นตำราลับตระหนักรู้สองเล่มที่ได้จากการบรรจุศพอ๋าวป้าย

[ตระหนักรู้กำลังภายใน: บันทึกการฝึกกำลังภายในของอ๋าวป้าย เมื่อใช้กำลังภายในที่กำหนด จะเพิ่มค่าประสบการณ์ 6000 แต้ม!]

หลังจากตั้งใจอ่านอย่างจริงจังรอบหนึ่ง เขาก็ได้รับค่าประสบการณ์กำลังภายใน 9000 แต้ม

หลังจากลังเลระหว่าง ‘เคล็ดวิชาจักรวาล’ กับ ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ สามวินาที สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงก็เลือกอย่างแรก

เพิ่มค่าประสบการณ์เหล่านี้ไปบน ‘เคล็ดวิชาจักรวาล’ ก็ย่อมอัปหนึ่งเลเวลให้วิชานี้ทันที แต่ถ้าเพิ่มไปบน ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ แม้ยังขาดอีกนิดหน่อย แต่ค่าตบะจากการสังหารอ๋าวป้ายและจากรางวัลผ่านดันเจี้ยน ก็เพียงพอที่จะชดเชยแล้ว

และถ้าอยากอัปเลเวลวิชาใดวิชาหนึ่งในนั้นต่ออีกสักสองเลเวล ค่าประสบการณ์เหล่านี้และค่าตบะที่เขามีในปัจจุบันล้วนไม่เพียงพอ ทำได้เพียงเลือกวิชาเดียว

อิงตามความคิดเดิมของเขา ปูรากฐานในปัจจุบันให้มั่นคงจะดีกว่า เขาย่อมพิจารณาอัปเลเวลของ ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ ก่อนอยู่แล้ว เพราะวิชานี้มีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของเขาในอนาคต

แต่เมื่อพิจารณาว่าศึกใหญ่กำลังจะมาถึง เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าเพิ่มพลังต่อสู้ของตัวเองก่อนจะสอดคล้องกับความจริงมากกว่า

ดังนั้น…

[เคล็ดวิชาจักรวาล (ระดับสูง)]

เลเวล: 5

ค่าประสบการณ์: 4500/32000

หัตถ์อัสนีบาตจักรวาล สุดยอดวิชาอันโด่งดังของเฉิงคุน

พลังชีวิต +1000

กำลังภายใน +2500

ความแข็งแกร่ง +150

พละกำลัง +150

ท่าร่าง +150

ความว่องไว +150

เอฟเฟ็กต์พิเศษ: ชำระปราณ

[ ตระหนักรู้วิชาดรรชนี: วิชาดรรชนีที่อ๋าวป้ายฝึก เมื่อใช้วิชาดรรชนีที่กำหนด จะเพิ่มค่าประสบการณ์ 6000 แต้ม!]

บวกกับสัดส่วนที่ได้หลังจากอ่านศึกษา เยี่ยเว่ยหมิงได้ค่าประสบการณ์ของวิชาดรรชนีเพิ่มรวม 9000 แต้มเช่นเดียวกัน

ไม่มีอะไรให้ลังเลแล้ว

เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกอื่น เขาทำได้เพียงเพิ่มไปบนทักษะวิชาดรรชนีที่อยู่ใน ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ แม้ค่าประสบการณ์ 9000 แต้มจะไม่เพียงพอให้อัปเลเวลเคล็ดวิชานี้ก็ตาม

หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงก็กวาดมองทีละทักษะของตัวเอง จากนั้นก็ใช้ค่าตบะที่เพิ่งได้มาอัปเลเวลท่าร่าง ‘แปดก้าวไล่ทันคางคก’ หนึ่งเลเวล ค่าสเตตัสของท่าร่างเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบแต้ม

ตอนนี้เขาถึงได้ปิดหน้าต่างค่าสเตตัสอย่างพึงพอใจ

ส่งพิราบสื่อสารให้โหยวโหยว

[[ปืนไฟ] ดูว่าถูกใจอุปกรณ์นี้หรือเปล่า]…เยี่ยเว่ยหมิง

ปืนไฟดูเหมือนมีประสิทธิภาพไม่เลว แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนใช้งาน หากไม่มีทักษะที่สอดคล้องกัน ประสิทธิภาพการใช้งานก็มีจำกัด

ยกตัวอย่างเช่นหากเยี่ยเว่ยหมิงใช้งานเอง ประสิทธิภาพตอนยิงกระสุนออกไปก็จะไม่มากเท่าตอนที่เขาใช้นิ้วดีดออกไปแน่นอน ถือเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์มากนัก แต่จะทิ้งก็เสียดาย

ปืนกระบอกนี้ให้ความรู้สึกว่าเป็นอาวุธอีกหนึ่งเวอร์ชั่นของหน้าไม้สำนักถังเหมิน ค่าสเตตัสแต่ละรายการไม่แตกต่างกับค่าสเตตัสของหน้าไม้สำนักถังเหมินมากนัก บางทีนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกกับกระสุนที่ใช้ นี่ก็คือหน้าไม้คันหนึ่งอย่างนั้นหรือ

เพื่อนที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้จักในเกมนี้ไม่มาก ในจำนวนนั้นคนที่ใช้หน้าไม้ก็มีเพียงโหยวโหยว

อีกทั้งคนที่มีพื้นเพมาจากกองทัพอย่างนาง ท่าทางตอนใช้หน้าไม้ก็คงเหมือนตอนจับปืน เห็นได้ชัดว่าถ้าให้ปืนกระบอกนี้กับนาง ก็จะถนัดมือมากกว่าใช้หน้าไม้ตั้งเยอะ

หลังจากผ่านไปหลายวินาที นกพิราบขาวก็บินกลับมาแล้ว

[700 เหรียญทอง? ตอนนี้บนข้าเหลือเงินแค่นี้]…โหยวโหยว

พูดไม่ออกเลย ไม่เจอกันช่วงหนึ่ง แม่สาวน้อยคนนี้กลายเป็นคนร่ำรวยขนาดนี้แล้วหรือ

เงินเยอะขนาดนี้ ถ้าตกมาอยู่ในมือเยี่ยเว่ยหมิง ก็คงพอให้เขาซื้อโลงไม้หวงฮว่าดีๆ ได้หลายใบ

คงเป็นเพราะทักษะอาชีพ คนบางคนแถวนี้พอได้เห็นเงิน ปฏิกิริยาแรกก็คือคิดว่าจะซื้อโลงศพแบบใดได้บ้าง

เขียนเครื่องหมายเท่ากับไว้ตรงกลางระหว่างเงินกับโลงศพ ไม่มีใครทำอย่างเขาอีกแล้ว

แบบนี้นับว่า…เซิงกวนฟาไฉ[1]ได้หรือเปล่า

หลังจากส่ายหน้าโยนความคิดไร้สาระทิ้งไป เยี่ยเว่ยหมิงก็ตอบข้อความโหยวโหยวอีก

[500 เหรียญทองก็ขายให้เจ้าแล้ว บนตัวผู้หญิงต้องเหลือเงินติดตัวไว้ใช้ยามจำเป็นสักหน่อย ที่ข้ายังมีธุระออกไปไหนไม่ได้ อาจจะยุ่งอีกสักระยะหนึ่ง ถ้าเจ้ามีเวลา พรุ่งนี้ก็มาหาข้าที่สำนักมือปราบเทพ มาซื้อขายกันต่อหน้า]…เยี่ยเว่ยหมิง

ที่จริงแล้ว ต่อให้นำของสิ่งนี้ไปประมูลขาย แต่ราคาตกลงซื้อขายตอนสุดท้ายก็แค่ประมาณห้าร้อยเหรียญทองเท่านั้น ที่โหยวโหยวเสนอราคาสูงขนาดนั้น สาเหตุส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะนางหมกมุ่นกับปืนมาก

เยี่ยเว่ยหมิงแม้จะหน้าด้านใจดำ แต่ก็ไม่ถึงกับเอาเปรียบเพื่อนเพราะผลประโยชน์เล็กน้อยแค่นี้

เมื่อพูดคุยผ่านจดหมายกันเสร็จแล้ว ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็จิตใจสงบเต็มที่แล้ว รู้สึกว่าอุณหภูมิของน้ำชาในแก้วกำลังดี จึงดื่มหมดในรวดเดียวเสียเลย จากนั้นนำพู่กันออกมาจุ่มหมึก แล้วเขียนอักษรตัวใหญ่ลงบนกระดาษขาวที่หวงโส่วจุนแจกให้

ขับเสือไปกินสุนัขป่า!

[1] เซิงกวนฟาไฉ 升官发财 แปลว่าเลื่อนขั้นแล้วร่ำรวย หากนำคำพ้องเสียงกวนไฉ 棺材 ที่แปลว่าโลงศพมาใส่แทน ก็จะแปลว่า โลงศพเพิ่มพูน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 154 เซิงกวนฟาไฉ

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 154 เซิงกวนฟาไฉ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 154 เซิงกวนฟาไฉ

ซานเย่ว์กับเฟยอวี๋เหยียดหยามคำพูดอวดดีของหลินผิงจือ แต่เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลับตาเป็นประกาย

หลังจากได้ฟังอินปู้คุยเล่าเรื่อง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้ว่าเจ้าหมอนี่หลังจากได้ควงดาบแล้วดุร้ายขนาดไหน

และดูจากการแต่งกายของหลินผิงจือตอนนี้ ฟังจากเสียงพูดของเขาที่มีเฉพาะในละครแนวพระราชวัง เยี่ยเว่ยหมิงแทบจะแน่ใจได้ว่าหลินผิงจืออาจจะตัดสิ่งนั้นออกแล้วจริงๆ

ตอนนี้ หวงโส่วจุนที่นั่งอยู่บนตำแหน่งหลักก็เอ่ยปากแล้วเช่นกัน “ทักษะยุทธ์ของหลินผิงจือตอนนี้แตกต่างกับตอนแรกราวกับเป็นคนละคน จุดนี้ข้ารับประกันแทนเขาได้ ตอนที่ประลองเดี่ยวกัน หลินผิงจือไม่แพ้ให้อวี๋ชางไห่แน่นอน”

เขานิ่งไปครู่หนึ่งก็กล่าวเสริมอีกว่า “ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงอวี๋ชางไห่ที่สภาพอ่อนแอเมื่ออยู่ในโหมดภารกิจ แต่เป็นตอนอยู่ในสถานะปกติ!”

เมื่อกล่าวออกมาเช่นนี้ แม้แต่เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ก็มองหลินผิงจือด้วยสายตาตกตะลึง

ผู้เล่นสามคนของสำนักมือปราบเทพ ไม่มีใครสงสัยหวงโส่วจุนทั้งนั้น พวกเขาเพียงตกตะลึงว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้ขยะหลินผิงจือเปลี่ยนเป็นเก่งกาจขนาดนั้นได้ภายในเวลาอันสั้น

ที่จริงแล้ว ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ไม่ถือว่าร้ายกาจขนาดนั้นในบรรดาสุดยอดวิชาทั้งหมด จุดเด่นที่ใหญ่ที่สุดของมันก็คือทำให้ประสบความสำเร็จได้เร็ว ทำให้คนที่มีทักษะยุทธ์ธรรมดาคนหนึ่งเพิ่มความสามารถขึ้นไปถึงอีกระดับหนึ่งภายในเวลาอันสั้นได้

ยิ่งไปกว่านั้น ท่ากระบี่ของ ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’ หลินผิงจือก็กล่าวได้ว่าฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจนโต ทำให้เขาเชี่ยวชาญมาก ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือวิชาโชคชะตาที่อยู่ในนั้น หลังจากตัดอวัยวะตัวแทนความเป็นชายทิ้ง และเติมเต็มข้อบกพร่องเล็กน้อยของเคล็ดวิชานี้ได้ ก็ย่อมก้าวหน้าได้ไวราวกับเทพแล้ว

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ปกติ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ความสามารถของเขาจะก้าวหน้าได้รวดเร็วขนาดนี้

อย่างไรเสีย ตั้งแต่ตระกูลหลินถูกสังหารล้างครัวจนกระทั่งตอนนี้ เวลาก็ยังผ่านไปไม่นานเท่าไรเลย

เวลาน้อยนิดเท่านี้ อย่าว่าแต่ฝึกกระบี่ บาดแผลที่อวัยวะนั้นจะสมานตัวดีหรือยังก็ยังเป็นปัญหา

เพียงแต่นี่ก็เป็นเกมเท่านั้น ทุกอย่างย่อมอิงตามผู้เล่นเป็นหลัก

บทละครจะดำเนินไปถึงระดับไหน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใช้เวลาคำนวณได้ แต่ต้องดูว่าผู้เล่นจะทำภารกิจตามเนื้อเรื่องไปได้ถึงขั้นไหนต่างหาก

ตัวละครหลักที่อยู่ในบทละคร ตั้งแต่เกิดจนเติบโตอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปี แต่การออกแบบในเกมส่วนใหญ่จะเป็นภารกิจตามเนื้อเรื่องที่ตายตัว ประสบความสำเร็จภายในอายุไม่กี่ปีก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก

ส่วนทางฝั่งหลินผิงจือ เนื่องจากมีผู้เล่นมาเข้าร่วมจนเกิดการบิดเบือนของบทละคร แต่แนวโน้มภาพรวมกลับไม่เปลี่ยนแปลง

เยี่ยเว่ยหมิงช่วยพวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกออกมาแล้ว ส่วนผู้เล่นสำนักชิงเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ปลดล็อกและทำภารกิจสังหารหลินเจิ้นหนานกับฮูหยินสำเร็จ

หลังจากได้ข่าวนี้มา โหยวจิ้นก็ไปหาหลินผิงจือ แล้วมอบ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ คืนให้เขาพร้อมแจ้งข่าวร้าย หลินผิงจือจึงยกดาบเฉือน…ฉับ!

และหลังจากนั้น พวกเยี่ยเว่ยหมิงก็ทำภารกิจไขคดีสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ผลักบทละครให้ดำเนินมาจนถึงตอนนี้

หากคำนวณตามเวลาในโลกแห่งความเป็นจริง หากจะทำภารกิจตามโครงเรื่องที่ซับซ้อนเหล่านี้ให้สำเร็จ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน หรือถึงขั้นมากกว่านั้น และความก้าวหน้าอันรวดเร็วของหลินผิงจือก็ถูกคำนวณตามเส้นเวลาอย่างนี้ ตอนนี้เพียงทำให้เขาได้เลื่อนระดับล่วงหน้าก็เท่านั้นเอง

ตามที่อินปู้คุยบอก ยังมีตัวละครหลักของละครอีกเรื่องหนึ่ง เป็นบุตรชายของจางชุ่ยซานกับอินซู่ซู่ หากอิงตามเส้นเวลา เกรงว่าหลังจากเรือไปถึงจุดหมายปลายทาง ตัวละครหลักในละครเรื่องนั้นคงยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่!

เยี่ยเว่ยหมิงที่เข้าใจเรื่องราวแล้วหันหน้ามาถามหลินผิงจือว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่า เจ้ายอมจ่ายทุกอย่างเพื่อล้างแค้น แล้วถ้าสิ่งที่เจ้าต้องจ่ายคือการมอบ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ของตัวเองล่ะ”

หลินผิงจือได้ยินแล้วก็อึ้งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะเรียกร้องสิ่งนี้ แต่เขาก็พยักหน้า กล่าวสองพยางค์ราบเรียบว่า “ก็ได้!”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า จากนั้นหันไปบอกหวงโส่วจุนว่า “ข้าไม่มีคำถามแล้ว”

จากนั้น หวงโส่วจุนก็มองเฟยอวี๋กับซานเย่ว์ปราดหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่มีคำถาม ก็ประกาศทันทีว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็กลับไปเตรียมตัวเถอะ พรุ่งนี้เช้าพวกเจ้าก็ส่งแผนปฏิบัติการให้ข้า”

หลังจากประชุมจบแล้ว ทุกคนก็ปรึกษาเรื่องที่เป็นการเป็นงาน หรือไม่ก็แยกย้ายกันเดินออกไป ไม่ได้มีฉากโอ้อวด หรือหักหน้ากันเหมือนอย่างที่ท่านผู้ชมชอบดู

สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยเว่ยหมิงเองก็กลุ้มใจมากเช่นกัน

เมื่อก่อนเวลาอ่านนิยายอะไรพวกนั้น ไม่ว่าตัวละครหลักจะทำอะไรก็ล้วนมีคนมาหาเรื่อง มีโอกาสให้อวดเก่งหักหน้ากันนับครั้งไม่ถ้วน ทำไมตัวเองไม่มีฉากแบบนั้นบ้างเลยล่ะ

หลังจากออกจากห้องประชุมแล้ว ซานเย่ว์ก็ดึงเยี่ยเว่ยหมิงไว้แล้วถามทันทีว่า “อาหมิง ข้าว่าเจ้าเหมือนจะสนใจภารกิจหนึ่งดาวที่ให้เขียนร่างแผนปฏิบัติการนี้มากเลยนะ อย่าบอกนะว่าภารกิจนี้ยังมีรางวัลลับอะไรที่ข้าไม่รู้มาก่อน”

“รางวัลเขียนไว้ในนั้นชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ ค่าประสบการณ์หนึ่งร้อยแต้มนั่นอย่างไร” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ บอกว่า “ถ้าพูดถึงรางวัลภารกิจเพิ่มเติม ก็คงต้องดูว่าแผนปฏิบัติการที่ส่งไปดีหรือไม่ดี จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภารกิจในขั้นต่อไปหรือไม่ ถึงขั้นว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อรางวัลตอนสุดท้ายของภารกิจด้วย”

ขณะที่พูด เขาก็หันไปมองเฟยอวี๋ที่เพิ่งเดินผ่านพวกเขาสองคนไป แล้วบอกว่า “สงสัยเฟยอวี๋จะมองออกถึงจุดนี้แล้ว คงกำลังเตรียมตัวร่างแผนปฏิบัติการอันยอดเยี่ยมมาข่มข้าล่ะสิ ทำให้ดีนะ นี่เป็นโอกาสดีที่หาได้ยาก”

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าทำได้” ทิ้งท้ายประโยคอันไร้สาระไว้ เฟยอวี๋ก็หันตัวเดินไปทางห้องพักของสำนักมือปราบเทพทันที

เยี่ยเว่ยหมิงยกนิ้วหัวแม่มือให้ซานเย่ว์ แล้วบอกว่า “สู้ๆ นะ!” จากนั้นก็เดินตามเฟยอวี๋ไปทางเดียวกัน

ไม่ใช่ว่าเขามีธุระต้องไปหาเฟยอวี๋ แต่ห้องส่วนตัวของผู้เล่นสำนักมือปราบเทพล้วนตั้งอยู่ในแถวเดียวกัน

เมื่อกลับมาถึงที่พักของตัวเองแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่รีบเขียนร่างแผนการ

อย่างไรเสียก็ส่งฉบับร่างพรุ่งนี้เช้า เขาไม่รีบร้อนทำตอนนี้

เขานำน้ำชาที่ซื้อกลับมาจากโรงน้ำชาออกมาอย่างไม่รีบร้อน หลังจากรินให้ตัวเองและดื่มอึกหนึ่งแล้ว ก็เริ่มนับสิ่งที่ได้จากการสังหารอ๋าวป้ายครั้งที่สอง

อย่างแรกคือเกราะอ่อนลวดทองแดงกับรองเท้าราชสำนัก ไม่ต้องกล่างถึงอุปกรณ์สองชิ้นนี้มากนัก เขาสวมใส่มันเสียเลย ทำให้พลังป้องกัน พลังชีวิต กำลังภายในสูงสุดและค่าสเตตัสต่างๆ เพิ่มขึ้นไม่น้อยทันที

จากนั้นก็เป็นตำราลับตระหนักรู้สองเล่มที่ได้จากการบรรจุศพอ๋าวป้าย

[ตระหนักรู้กำลังภายใน: บันทึกการฝึกกำลังภายในของอ๋าวป้าย เมื่อใช้กำลังภายในที่กำหนด จะเพิ่มค่าประสบการณ์ 6000 แต้ม!]

หลังจากตั้งใจอ่านอย่างจริงจังรอบหนึ่ง เขาก็ได้รับค่าประสบการณ์กำลังภายใน 9000 แต้ม

หลังจากลังเลระหว่าง ‘เคล็ดวิชาจักรวาล’ กับ ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ สามวินาที สุดท้ายเยี่ยเว่ยหมิงก็เลือกอย่างแรก

เพิ่มค่าประสบการณ์เหล่านี้ไปบน ‘เคล็ดวิชาจักรวาล’ ก็ย่อมอัปหนึ่งเลเวลให้วิชานี้ทันที แต่ถ้าเพิ่มไปบน ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ แม้ยังขาดอีกนิดหน่อย แต่ค่าตบะจากการสังหารอ๋าวป้ายและจากรางวัลผ่านดันเจี้ยน ก็เพียงพอที่จะชดเชยแล้ว

และถ้าอยากอัปเลเวลวิชาใดวิชาหนึ่งในนั้นต่ออีกสักสองเลเวล ค่าประสบการณ์เหล่านี้และค่าตบะที่เขามีในปัจจุบันล้วนไม่เพียงพอ ทำได้เพียงเลือกวิชาเดียว

อิงตามความคิดเดิมของเขา ปูรากฐานในปัจจุบันให้มั่นคงจะดีกว่า เขาย่อมพิจารณาอัปเลเวลของ ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ ก่อนอยู่แล้ว เพราะวิชานี้มีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของเขาในอนาคต

แต่เมื่อพิจารณาว่าศึกใหญ่กำลังจะมาถึง เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าเพิ่มพลังต่อสู้ของตัวเองก่อนจะสอดคล้องกับความจริงมากกว่า

ดังนั้น…

[เคล็ดวิชาจักรวาล (ระดับสูง)]

เลเวล: 5

ค่าประสบการณ์: 4500/32000

หัตถ์อัสนีบาตจักรวาล สุดยอดวิชาอันโด่งดังของเฉิงคุน

พลังชีวิต +1000

กำลังภายใน +2500

ความแข็งแกร่ง +150

พละกำลัง +150

ท่าร่าง +150

ความว่องไว +150

เอฟเฟ็กต์พิเศษ: ชำระปราณ

[ ตระหนักรู้วิชาดรรชนี: วิชาดรรชนีที่อ๋าวป้ายฝึก เมื่อใช้วิชาดรรชนีที่กำหนด จะเพิ่มค่าประสบการณ์ 6000 แต้ม!]

บวกกับสัดส่วนที่ได้หลังจากอ่านศึกษา เยี่ยเว่ยหมิงได้ค่าประสบการณ์ของวิชาดรรชนีเพิ่มรวม 9000 แต้มเช่นเดียวกัน

ไม่มีอะไรให้ลังเลแล้ว

เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกอื่น เขาทำได้เพียงเพิ่มไปบนทักษะวิชาดรรชนีที่อยู่ใน ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ แม้ค่าประสบการณ์ 9000 แต้มจะไม่เพียงพอให้อัปเลเวลเคล็ดวิชานี้ก็ตาม

หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงก็กวาดมองทีละทักษะของตัวเอง จากนั้นก็ใช้ค่าตบะที่เพิ่งได้มาอัปเลเวลท่าร่าง ‘แปดก้าวไล่ทันคางคก’ หนึ่งเลเวล ค่าสเตตัสของท่าร่างเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบแต้ม

ตอนนี้เขาถึงได้ปิดหน้าต่างค่าสเตตัสอย่างพึงพอใจ

ส่งพิราบสื่อสารให้โหยวโหยว

[[ปืนไฟ] ดูว่าถูกใจอุปกรณ์นี้หรือเปล่า]…เยี่ยเว่ยหมิง

ปืนไฟดูเหมือนมีประสิทธิภาพไม่เลว แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนใช้งาน หากไม่มีทักษะที่สอดคล้องกัน ประสิทธิภาพการใช้งานก็มีจำกัด

ยกตัวอย่างเช่นหากเยี่ยเว่ยหมิงใช้งานเอง ประสิทธิภาพตอนยิงกระสุนออกไปก็จะไม่มากเท่าตอนที่เขาใช้นิ้วดีดออกไปแน่นอน ถือเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์มากนัก แต่จะทิ้งก็เสียดาย

ปืนกระบอกนี้ให้ความรู้สึกว่าเป็นอาวุธอีกหนึ่งเวอร์ชั่นของหน้าไม้สำนักถังเหมิน ค่าสเตตัสแต่ละรายการไม่แตกต่างกับค่าสเตตัสของหน้าไม้สำนักถังเหมินมากนัก บางทีนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกกับกระสุนที่ใช้ นี่ก็คือหน้าไม้คันหนึ่งอย่างนั้นหรือ

เพื่อนที่เยี่ยเว่ยหมิงรู้จักในเกมนี้ไม่มาก ในจำนวนนั้นคนที่ใช้หน้าไม้ก็มีเพียงโหยวโหยว

อีกทั้งคนที่มีพื้นเพมาจากกองทัพอย่างนาง ท่าทางตอนใช้หน้าไม้ก็คงเหมือนตอนจับปืน เห็นได้ชัดว่าถ้าให้ปืนกระบอกนี้กับนาง ก็จะถนัดมือมากกว่าใช้หน้าไม้ตั้งเยอะ

หลังจากผ่านไปหลายวินาที นกพิราบขาวก็บินกลับมาแล้ว

[700 เหรียญทอง? ตอนนี้บนข้าเหลือเงินแค่นี้]…โหยวโหยว

พูดไม่ออกเลย ไม่เจอกันช่วงหนึ่ง แม่สาวน้อยคนนี้กลายเป็นคนร่ำรวยขนาดนี้แล้วหรือ

เงินเยอะขนาดนี้ ถ้าตกมาอยู่ในมือเยี่ยเว่ยหมิง ก็คงพอให้เขาซื้อโลงไม้หวงฮว่าดีๆ ได้หลายใบ

คงเป็นเพราะทักษะอาชีพ คนบางคนแถวนี้พอได้เห็นเงิน ปฏิกิริยาแรกก็คือคิดว่าจะซื้อโลงศพแบบใดได้บ้าง

เขียนเครื่องหมายเท่ากับไว้ตรงกลางระหว่างเงินกับโลงศพ ไม่มีใครทำอย่างเขาอีกแล้ว

แบบนี้นับว่า…เซิงกวนฟาไฉ[1]ได้หรือเปล่า

หลังจากส่ายหน้าโยนความคิดไร้สาระทิ้งไป เยี่ยเว่ยหมิงก็ตอบข้อความโหยวโหยวอีก

[500 เหรียญทองก็ขายให้เจ้าแล้ว บนตัวผู้หญิงต้องเหลือเงินติดตัวไว้ใช้ยามจำเป็นสักหน่อย ที่ข้ายังมีธุระออกไปไหนไม่ได้ อาจจะยุ่งอีกสักระยะหนึ่ง ถ้าเจ้ามีเวลา พรุ่งนี้ก็มาหาข้าที่สำนักมือปราบเทพ มาซื้อขายกันต่อหน้า]…เยี่ยเว่ยหมิง

ที่จริงแล้ว ต่อให้นำของสิ่งนี้ไปประมูลขาย แต่ราคาตกลงซื้อขายตอนสุดท้ายก็แค่ประมาณห้าร้อยเหรียญทองเท่านั้น ที่โหยวโหยวเสนอราคาสูงขนาดนั้น สาเหตุส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะนางหมกมุ่นกับปืนมาก

เยี่ยเว่ยหมิงแม้จะหน้าด้านใจดำ แต่ก็ไม่ถึงกับเอาเปรียบเพื่อนเพราะผลประโยชน์เล็กน้อยแค่นี้

เมื่อพูดคุยผ่านจดหมายกันเสร็จแล้ว ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็จิตใจสงบเต็มที่แล้ว รู้สึกว่าอุณหภูมิของน้ำชาในแก้วกำลังดี จึงดื่มหมดในรวดเดียวเสียเลย จากนั้นนำพู่กันออกมาจุ่มหมึก แล้วเขียนอักษรตัวใหญ่ลงบนกระดาษขาวที่หวงโส่วจุนแจกให้

ขับเสือไปกินสุนัขป่า!

[1] เซิงกวนฟาไฉ 升官发财 แปลว่าเลื่อนขั้นแล้วร่ำรวย หากนำคำพ้องเสียงกวนไฉ 棺材 ที่แปลว่าโลงศพมาใส่แทน ก็จะแปลว่า โลงศพเพิ่มพูน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด