ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 457 สู้กับอาตมามาได้อย่างสูสี…

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 457 สู้กับอาตมามาได้อย่างสูสี... at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 457 สู้กับอาตมามาได้อย่างสูสี…

เมื่อโจมตีหนึ่งครั้งสำเร็จ เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่หยุดแม้เพียงชั่วครู่ เขาฉวยโอกาสตอนที่จิวหมัวจื้อถูกกำลังภายในของตัวเองย้อนทำร้ายจนรวบรวมพลังไม่ได้ พุ่งตัวตามกระบี่ออกไป แล้วใช้ ‘ท่าปลุกปั่นกระบี่’ แทงตรงไปยังหัวใจของอีกฝ่าย

ในการต่อสู้ครั้งก่อนๆ ท่าปลุกปั่นกระบี่ของเยี่ยเว่ยหมิงแทบจะเป็นท่าไม้ตายที่ใช้ได้ราบรื่นทุกครั้ง นอกจากเชิญร่ำสุราที่มีสุดยอดวิชาเหมือนกันและใช้การโจมตีฝืนต้านได้หลายกระบวนท่า ต่อให้เป็น BOSS พิเศษที่เลเวลแปดสิบอย่างวานรแขนยักษ์ แต่ก็ถูกท่าไม้ตายนี้โจมตีอยู่ดี!

ทว่าจิวหมัวจื้อคนนี้ถึงอย่างไรก็เป็นยอดฝีมือแห่งยุค แม้จะอยู่ในสภาวะที่แย่ที่สุดเพราะถูกกำลังภายในย้อนทำร้าย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเยี่ยเว่ยหมิงการปะทุพลังซ้อนกันของ ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ กับ ‘หยกแหลกลาญทะลวงเขาคุนหลุน’ ก็ยังรับมือได้เหมือนที่ยอดฝีมือควรทำอยู่ดี

เห็นเขาถอยหลังเพียงครึ่งก้าวก็หลบกระบี่ท่าไม้ตายของเยี่ยเว่ยหมิงได้อย่างแยบยล เท่านี้ก็เห็นความแตกต่างทางฝีมือระหว่างทั้งสองแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่การปะทุพลังสองชั้นจะกลบได้แน่นอน

ทว่า ในเมื่อเยี่ยเว่ยหมิงเปิดใช้งาน ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ แล้ว ทุกอย่างก็ย่อมอยู่ในการคำนวณของเขาเช่นกัน กระบี่ที่แทงเข้าไปครึ่งเดียวพลันบิดหมุน แล้วแทงต่อไปยังหัวใจของจิวหมัวจื้อ

การเปลี่ยนท่ากระบี่เป็นธรรมชาติขนาดนั้น ราวกับว่าเดิมทีควรจะเป็นท่านี้อยู่แล้ว ไม่ใช่การเปลี่ยนท่ากลางคันเพื่อรับมือเหตุการณ์เฉพาะหน้า!

พอจิวหมัวจื้อเห็นแบบนี้ก็ถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างไม่ลนลาน แต่คาดไม่ถึงว่ามือซ้ายของเยี่ยเว่ยหมิงจะดีดลมดรรชนีออกมาอย่างเงียบเชียบ ถูกตรงจุดจิงเหมินเสวียใต้ชายโครงของเขาก่อนที่เขาจะรวบรวมเกราะปราณแท้ขึ้นมาอีกครั้ง

-49147

การโจมตีครั้งนี้ของเยี่ยเว่ยหมิงเห็นได้ชัดว่าไม่ได้สร้างดาเมจรุนแรงต่อจิวหมัวจื้อเท่าไรนัก

และตอนนี้เอง ในที่สุดกำลังภายในของจิวหมัวจื้อก็กลับมาโคจรได้ปกติแล้วเช่นกัน มือขวารับกับฝ่ามือของเยี่ยเว่ยหมิงที่ฟันออกมา พลังดาบไร้รูปอันร้อนแรงแทบจะฟันเยี่ยเว่ยหมิงให้ขาดเป็นสองท่อนเสียตรงนั้น!

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ถึงตายของจิวหมัวจื้อ เยี่ยเว่ยหมิงกลับรีบนำกระบี่แสงทองออกมาขวางตรงหน้า ต้านดาบเปลวอัคคีที่มีอานุภาพน่าตกใจได้อย่างหวุดหวิด!

เยี่ยเว่ยหมิงใช้กระบวนท่าป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองตอนนี้…มังกรร่อนล่อหงส์!

ทว่า…

แกร๊ง!

-31675

สาหัส!

หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงเปิดใช้งาน ‘หยกแหลกลาญทะลวงเขาคุนหลุน’ แล้ว ไม่เพียงแค่ค่าสเตตัสป้องกันที่เพิ่มขึ้นเยอะมาก แม้แต่พลังชีวิตก็เพิ่มขึ้นตามค่าสเตตัสความแข็งแกร่งด้วย

ก่อนหน้านี้ 28990 ตอนนี้กลายเป็น 35775

เพิ่มขึ้นเกือบ 7000 แต้ม!

บวกกับค่าสเตตัสโจมตีที่เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าจากแอคทิฟสกิล ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’

ใช้ ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ ลดดาเมจกำลังภายในและกำลังภายในห้าสิบเปอร์เซ็นต์

แล้วก็มีกระบี่แสงทองช่วยเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของเกราะปราณแท้อีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์…

กล่าวได้ว่าสถานะของเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ พลังป้องกันแข็งแกร่งถึงระดับโรคจิตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว!

ทว่าตอนที่ฝืนรับพลังดาบของจิวหมัวจื้อ ก็ยังเกิดดาเมจสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน!

ภายใต้ดาบเดียว พลังชีวิตของเยี่ยเว่ยหมิงหายไปประมาณเก้าส่วนในชั่วพริบตาเดียว แถบค่าพลังชีวิตเต็มกลายเป็นสีแดงแล้ว

ซ้ำค่าตัวเลขนี้ยังเห็นได้ชัดว่าเหนือขีดจำกัดพลังชีวิตปกติของเยี่ยเว่ยหมิง!

ถ้าไม่มีโบนัสเอฟเฟ็กต์จากหยกแหลกลาญทะลวงเขาคุนหลุน อาศัยแค่ดาบนี้ดาบเดียว ต่อให้เขาต้านไว้ได้ แต่ก็ยังยากจะหนีชะตากรรมถูกปลิดชีพคาที่เพราะดาเมจสูง!

เอื้อ!

หลังจากกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ร่างของเยี่ยเว่ยหมิงที่ปะทะดาบเปลวอัคคีอันดุดันก็กระเด็นถอยหลังไปไกลถึงสามจั้ง หลังจากตกลงพื้นแล้ว ขณะที่สองเท้าแนบติดกับพื้น เขาก็ใช้กระบี่แสงทองในมือปักพื้นเพื่อผ่อนความเร็ว ในที่สุดก็ฝืนทรงตัวได้

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังไถลไปข้างหลังถึงสามฉื่อ บนพื้นเกิดเป็นรอยเท้ายาวสองรอยรวมกับรอยกระบี่ยาวอีกรอยถึงได้หยุดอยู่กับที่

ตอนนี้เอฟเฟ็ต์ของ ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ สิ้นสุดลงแล้ว แต่สถานะปะทุพลังของ ‘หยกแหลกลาญทะลวงเขาคุนหลุน’ กลับยังดำเนินอยู่

แต่เยี่ยเว่ยหมิงได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่มีแรงจะโจมตีอีกครั้งโดยแสดงพลังที่เหลืออีกไม่กี่วินาทีออกมาอย่างสมบูรณ์แบบได้

เพราะว่า…

[บาดเจ็บภายใน: คุณได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง พลังโจมตี ป้องกัน ท่าร่างลดลงจากสภาพเดิม20%!]

โจมตีแค่ครั้งเดียว แต่น่ากลัวได้ถึงขนาดนี้!

เมื่ออยู่ในสภาวะแบบนี้ อย่าว่าแต่จิวหมัวจื้อเลย สุ่มเลือกผู้เล่นธรรมดามาสักคนหนึ่ง ก็จับเยี่ยเว่ยหมิงกดพื้นแล้วบดขยี้ให้ตายได้

ทว่า ถึงแม้จะร่างกายจะตกอยู่ในสภาวะตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้เผยสีหน้าท้อใจเลยแม้แต่น้อย

ตรงกันข้าม บนมุมปากเขาเผยรอยยิ้มตื่นเต้นด้วยซ้ำ

เพราะเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว!

ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังฝืนต้านการบาดเจ็บจากดาบเปลวอัคคี จิวหมัวจื้อรวบรวมพลังเตรียมจะฟันเข้ามาอีกครั้ง ในบรรดาสี่ยอดฝีมือฝ่ายเยี่ยเว่ยหมิง ต้วนเจิ้งหมิงกับต้วนเหยียนชิ่งที่มีพลังฝีมือแกร่งกล้าที่สุดก็กลับมาโคจรกำลังภายในได้แล้ว คนหนึ่งใช้วิชาดรรชนี อีกคนยื่นไม้คฑาเหล็กไปข้างหน้า แต่กลับใช้ ‘ชี้แนะแผ่นดิน’ ซึ่งเป็นท่าไม้ตายของ ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ พร้อมกัน พลังดรรชนีแบ่งยิงไปยังหน้าอกฝั่งซ้ายและขวาของจิวหมัวจื้อ

จิวหมัวจื้อเห็นแล้วแสยะยิ้ม หมุนคมดาบเปลวอัคคีที่เดิมทีจะใช้ปาดคอสังหารเยี่ยเว่ยหมิง เพื่อเฉือนพลังดรรชนีที่สองคนนั้นโจมตีออกมา

แต่ตอนที่เขาเตรียมจะปล่อยพลังดาบในมือ จู่ๆ กลับรู้สึกปวดใต้ท้องน้อย ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกะทันหันแบบนี้ ถึงขั้นทำให้ดาบเปลวอัคคีที่เดิมทีเขาโคจรพลังใส่สิบส่วนตอนนี้พลังสลายไปแล้วเกินครึ่ง!

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจริงๆ แต่เขาไม่มีลางสังหรณ์ก่อนเลย แม้จะเป็นคนที่แข็งแกร่งมากอย่างจิวหมัวจื้อ แต่จู่ๆ เจอเรื่องแบบนี้ก็อดตื่นตกใจไม่ได้อยู่ดี

นี่เป็นสัญญาณแรกเริ่มของธาตุไฟเข้าแทรก!

ทว่าการประลองกับยอดฝีมือมีเรื่องราวพลิกผันเกิดขึ้นได้เสมอ ยังไม่ทันรอให้เขาคิดให้ละเอียดว่าร่างกายเกิดปัญหาอะไรกันแน่ ดาบเปลวอัคคีที่มีพลังห้าส่วนก็ปะทะพลัง ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ของสองยอดฝีมือสกุลต้วนแล้ว

พรึ่บ!

ครั้งนี้เนื่องจากต้วนเจิ้งหมิงกับต้วนเหยียนชิ่งเกรงกลัวพลังที่ดุดันของจิวหมัวจื้อจึงไม่กล้าประลองกำลังภายในกับจิวหมัวจื้อตอนที่สหายร่วมรบอีกสามคนยังไม่ได้เข้าร่วมด้วย

ส่วนจิวหมัวจื้อนั้น เนื่องจากสังเกตได้ล่วงหน้าว่ากำลังภายในของตัวเองเกิดความผิดพลาด ยิ่งไม่กล้าเข้าร่วมการประลองกำลังภายในในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้

ทั้งสามคนราวกับสื่อสารกันทางใจได้ หยุดปล่อยพลังทันที ต่างคนต่างถอยหลังไปเพราะพลังสะท้อน

สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ต้วนเจิ้งหมิงกับต้วนเหยียนชิ่งเพียงถอยหลังสามก้าวหลังจากโจมตีหนึ่งครั้ง จากนั้นก็กลับมาทรงตัวได้ เตรียมตัวรับศึกหนักกับฝ่ายตรงข้ามต่อได้แล้ว

แต่จิวหมัวจื้อกลับอาศัยแรงสะท้อนของการปะทะกำลังภายในครั้งนี้กางแขนสองข้าง ทำท่าทางเหมือนนกยักษ์ตัวหนึ่ง แล้วลอยถอยหลังออกไปห้าจั้ง ลอยไปเหยียบลงบนหลังคาห้องหินที่ใช้ขังต้วนอวี้กับมู่หว่านชิง จากนั้นประนมมือกล่าวนามพระพุทธเจ้าใส่พวกเยี่ยเว่ยหมิง

เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้ NPC ยอดฝีมือสี่คนข้างล่าง รวมทั้งเยี่ยเว่ยหมิงที่พลังอ่อนแอลงหลังจากใช้ ‘หยกแหลกลาญทะลวงเขาคุนหลุน’ เสร็จไปแล้วสิบวินาที พร้อมพูดอย่างเด็ดเดี่ยวทรงพลังว่า “ผู้ที่สู้กับอาตมาได้สูสี ในโลกนี้มีอยู่ไม่กี่คน…

…แม้พวกเจ้าจะสู้แบบห้าต่อหนึ่ง แต่ทำได้ถึงขั้นนี้ก็ถือว่าหาได้ยากแล้วจริงๆ…

…ที่อาตมาเข้ามาร่วมทำเรื่องนี้ด้วย ก็เพียงเพราะอยากจะรู้ว่า ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ของสกุลต้วนต้าหลี่มีจุดเด่นตรงไหน…

…แต่กลับไม่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เก็บเกี่ยวเกินกว่าที่เฝ้าคอย ไม่เพียงได้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของ ‘ดรรชนีเอกสุริยัน’ ทั้งยังได้รู้ถึงอานุภาพที่น่ากลัวของสุดยอดวิชาอื่นๆ อีก มาไม่เสียเที่ยวจริงๆ! ปลาบปลื้มนัก!”

พอพูดถึงตรงนี้ จิวหมัวจื้อก็มองเยี่ยเว่ยหมิงแวบหนึ่งด้วยแววตาที่สื่อความหมายล้ำลึก จากนั้นโค้งตัวให้พวกเขา “วันนี้อาตมาได้เก็บเกี่ยวเยอะมาก ถือว่าอิ่มบุญ ไม่สะดวกจะขัดขวางการช่วยคนแล้ว”

“อาตมาลาก่อน!”

พอพูดจบก็ออกแรงเท้าเล็กน้อย ร่างพลันลอยไปข้างหลัง ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปจากสายตาของทุกคน

เมื่อจิวหมัวจื้อไปแล้ว คุกห้องหินก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งมาเฝ้าอีก สี่ยอดฝีมือก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที จากนั้นก็ย้ายหินแกรนิตที่อุดประตูออก ปล่อยต้วนอวี้กับมู่หว่านชิงที่ถูกขังอยู่ในนั้นออกมา

เนื่องจากก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงยืมปากของต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงบอกวิธีถอนพิษให้พวกเขารู้ ตอนนี้แม้ทั้งสองจะดูสะบักสะบอม แต่กลับไม่มีเหตุการณ์ที่เสื้อผ้าหลุดรุ่ยเหมือนต้นฉบับเดิม

ทุกอย่างเหมือนที่ต้วนเหยียนชิ่งบอกไว้ตอนแรก วิธีการแบบนั้นแม้จะคลายฤทธิ์ยาของ ‘ผงชายหญิงสู่สม’ ไม่ได้ แต่กลับทำให้ผู้ที่ถูกพิษเข้าสู่โหมดผู้มีสติได้ชั่วคราว จึงควบคุมฤทธิ์ยาที่ส่งผลมีต่อสติสัมปชัญญะ

ดังนั้นตอนที่ทั้งสองเดินออกมาจากห้องหิน จึงอยู่ในสภาพเสื้อผ้าหน้าผมเรียบร้อยและสงบนิ่ง ทำให้จงว่านโฉวที่เดิมทีเตรียมจะหัวเราะเยาะเขาอดเริ่มสงสัยไม่ได้ว่ายาปลุกกำหนัดที่อวิ๋นจงเฮ่อให้มาเป็นสินค้ามีตำหนิที่หมดอายุแล้วหรือเปล่า

การต่อสู้สิ้นสุดลงตรงนี้ สายตาของทุกคนมองไปที่ต้วนอวี้กับมู่หว่านชิง เซียนสาวน้อยนักกินนำยาถอนพิษออกมาทันที ถือโอกาสเพิ่มระดับรางวัลของภารกิจครั้งนี้

ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงที่จมดิ่งอยู่ในสภาพอ่อนแอกลับอมยิ้มมองไปทางเชิญร่ำสุราที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง ขณะเดียวกันก็กำ ‘ยาลูกกลอนโชคลาภอมตะ’ ที่เหลือติดตัวอยู่เพียงเม็ดเดียวไว้ในมือ ขอเพียงเจ้าหมอนี่เคลื่อนไหวผิดปกติเพียงนิดเดียว เขาก็จะกลืนยาเพื่อสังหารกลับทันที

ทว่าเชิญร่ำสุรากลับมองตำแหน่งที่เขายืนอยู่เพียงปราดเดียว แล้วก็หันไปพูดกับสองคนที่อยู่ข้างหลังทันที “ตอนนี้เรื่องจบแล้ว พวกเรามีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ ไปกันเถอะ!”

เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น เมฆเคลื่อนเดียวดายกับข้ากำลังหาของก็มองเยี่ยเว่ยหมิงที่กำลังอ่อนแออย่างสงสัยเล็กน้อย

กลับคาดไม่ถึงว่าตอนนี้เอง จู่ๆ แสงสีขาวสายหนึ่งก็เปล่งออกมาจากตัวเขา เป็นค่าประสบการณ์จำนวนมากที่ได้เป็นรางวัลหลังจากทำสองภารกิจสำเร็จ ทำให้เลเวลของเยี่ยเว่ยหมิงกระโดดพรวดถึงสี่สิบเก้าแล้ว!

ซึ่งเมื่อเลเวลเพิ่มขึ้น สภาวะด้านลบทั้งหมดก็หายไปในชั่วพริบตาเดียว พลังชีวิตกลับมาเต็มแล้วเช่นกัน

เยี่ยเว่ยหมิงกำลังบาดเจ็บสาหัสจนสู้กับผู้เล่นธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ใช้เวลาไม่ถึงศูนย์จุดหนึ่งวินาทีก็กลับมาเป็นผู้ช่ำชองแนวทางกระบี่ที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดท่ามกลางผู้เล่นแล้ว!

พอเห็นฉากนี้ เมฆเคลื่อนเดียวดายกับข้ากำลังหาของแม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำได้เพียงทอดถอนใจ คิดว่าลิขิตสวรรค์ก็เป็นแบบนี้ แล้วก็ตามเชิญร่ำสุราออกไปจาก ‘สนามรบ’ ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาอีกแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด