ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 121 เหมียวเหรินเฟิ่ง

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 121 เหมียวเหรินเฟิ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ มีหมู่บ้านหลากหลายรูปแบบ เช่นหมู่บ้านตู้คัง หมู่บ้านหลงจิ่ง หมู่บ้านโบตั๋น หมู่บ้านหนิวเจีย…และอีกมากมาย ในหมู่บ้านที่ดูเหมือนธรรมดาเหล่านี้ มักจะมีภารกิจลับและเรื่องราวที่เราไม่รู้ซ่อนอยู่เสมอ

และสำหรับผู้เล่นในเกม ก็ยังมีอีกหนึ่งหมู่บ้านที่มีชื่อเดียวกัน…หมู่บ้านมือใหม่!

หลังจากทั้งสามคนที่นำโดยเยี่ยเว่ยหมิงสังหารเหยียนจีแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ในอดีตเคยถูกเรียกว่าหมู่บ้านมือใหม่

หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านแปะก๊วย

เป็นหมู่บ้านมือใหม่ที่อยู่ใกล้กับบ้านมุงฟางที่เหยียนจีซ่อนตัวที่สุด และเป็นจุดสำคัญของบริเวณนี้เช่นกัน

ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ถังซานไฉ่ที่ลงหลุมกับ BOSS ก่อนหน้านี้ ก็มาคืนชีพอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้เช่นกัน

กลางหมู่บ้านแปะก๊วยมีต้นแปะก๊วยต้นหนึ่งที่สูงถึงสามสิบเมตร ลำต้นใหญ่จนสามคนโอบไม่มิด ชาวบ้านในหมู่บ้านยกย่องว่าต้นไม้ต้นนี้คือต้นไม้เทพ ทุกเทศกาลคนในหมู่บ้านจะมาสักการะต้นไม้ต้นนี้ ดังนั้นในวันปกติจะเห็นเชือกป่านมัดอยู่บนลำต้น และบนเชือกก็จะมีผ้าสีแดงที่เขียนขอพรห้อยเอาไว้หลายเส้น

ตอนนี้ถังซานไฉ่ยืนอยู่ใต้ต้นแปะก๊วยศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ราวกับเป็นหินจ้องสามี[1] จ้องไปทางทางเข้าหมู่บ้านเงียบๆ ไม่ขยับไปไหน

ทันใดนั้น ถังซานไฉ่ก็ตาเป็นประกาย

เขาเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยของสามคนกำลังวิ่งมาหาเขาโดยที่ด้านหลังเป็นฉากแสงอาทิตย์ยามเย็น

เป็นเพราะมุมและแสง ทำให้ถังซานไฉ่มองไม่เห็นหน้าตาของสามคนนั้นชัดเจน เห็นเพียงเงาร่างที่อยู่ภายแสงอาทิตย์ยามเย็นเท่านั้น เงาทั้งสามทอดยาวอยู่บนพื้น

เงาร่างตรงเหมือนกระบี่!

เมื่อเห็นสหายของตัวเองปรากฏตัวด้วยวิธีการสุดคูลเช่นนี้ ในหัวของถังซานไฉ่ก็นึกถึงดนตรีประกอบฉากที่ร้องว่า ‘ใคร ใครกัน!’ ขึ้นมา บนใบหน้าเผยรอยยิ้มตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้

ความรู้สึกจูนิเบียวแบบนี้ มันก็ไม่เลวเลยจริงๆ!

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พวกเยี่ยเว่ยหมิงที่วิ่งมาท่ามกลางแสงแดดยามเย็นก็เข้ามาในหมู่บ้านแปะก๊วยแล้ว

เมื่อมาถึงตรงหน้าถังซานไฉ่ที่กำลังชะเง้อรอ เฟยอวี๋ก็ก้าวเข้ามากอดอย่างซาบซึ้ง “สหายถัง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะมอบอุปกรณ์ที่เป็นของเจ้าให้กับข้า อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง สหายคนนี้จดจำไว้แล้ว!”

“อย่ามามุกนี้เลย” ถังซานไฉ่ผลักเฟยอวี๋ออก แล้วด่าไปยิ้มไป “อย่ามัวมาซาบซึ้งอยู่ตรงนี้ ทำอย่างกับเป็นผู้หญิง หากเจ้าทิ้งดาบมาใช้กระบี่ กำจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ข้าก็พิจารณาที่จะฝืนรับเจ้าไว้ได้”

“จริงหรือ”

“ไสหัวไป!”

……

ท่ามกลางเสียงคุยเล่นหยอกล้อ กลับทำให้ความกลุ้มใจที่ถังซานไฉ่ต้องลงหลุมศพเป็นเพื่อนบอสก่อนหน้านี้สลายหายไปราวกับเมฆหมอกแล้ว

ในตอนนี้ จู่ๆ ถังซานไฉ่ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ว่ากันว่าต้นไม้เทพของหมู่บ้านแปะก๊วยต้นนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก ขอเพียงใช้แค่หนึ่งเหรียญทอง ก็จะซื้อผ้าแดงขอพรไปผูกไว้บนนั้นได้แล้ว จะได้รับพรจากเทพประจำต้นไม้ พวกเจ้าอยากลองดูหน่อยไหม”

เมื่อถังซานไฉ่กล่าวเช่นนี้ออกมา ก็ทำให้อีกสามคนมองมาด้วยสายตาแปลกๆ

จะว่าไปแล้ว ฉากหลังของเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ ก็เป็นละครยอดยุทธ์คุณธรรม ไม่ใช่ละครเทพเซียน เหตุใดจึงคิดเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องประเภทนี้ไปได้

เยี่ยเว่ยหมิงที่ไวต่อความรู้สึกนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เป็นฝ่ายถามว่า “สหายถัง เจ้าคงไม่ได้ไปซื้อผ้าผ้าแดงขอพรมาแล้วหรอกใช่ไหม คงไม่ได้ขอพรกับเทพประจำต้นไม้แล้วหรอกนะ”

ถังซานไฉ่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้ารู้นะว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไร ที่จริงข้าไม่ได้เชื่อในโชคชะตาหรอก ข้าเชื่อมาตลอดว่าชะตาของข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับฟ้า จะเป็นมังกรหรือหนอน ข้าก็เป็นคนตัดสินใจเอง”

พูดไปพูดมาก็ส่ายหน้าบอกอีกว่า “แต่หลังจากผ่านประสบการณ์น่าอนาถที่ต้องลงหลุมศพเป็นเพื่อน BOSS ต่อเนื่องสามครั้ง ก็ทำให้ข้าต้องพิจารณาเรื่องการใช้วิชาลึกลับมาช่วยชีวิตตัวเองสักหน่อย”

เมื่อเห็นเขามีท่าทางแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ตบบ่าเขาเพื่อแสดงความเห็นใจ การกระทำนี้ทำให้เฟยอวี๋ที่นั่งดูอยู่ข้างๆ หนังตากระตุก กลัวว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะเหมือนเขาตอนก่อนหน้านี้ ที่ตบบ่าไปตบบ่ามาก็ทำให้ถังซานไฉ่กลายเป็นแสงสีขาวหายไป

เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าถังซานไฉ่ก็ไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์ปกติ แค่ลงหลุมศพตอนอยู่ในภารกิจครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว

นี่เป็นการพูดโดยอิงจากประสบการณ์

ดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงจึงตบบ่าอย่างไม่พะว้าพะวง ขณะเดียวกัน ปากก็ไม่ลืมหยอกว่า “ที่จริงข้ารู้สึกว่า เมื่อเทียบกับการขอพรที่นี่ เจ้าเปลี่ยนชื่อดูสักครั้งก็อาจจะได้ผลชัดเจนกว่านะ”

คาดไม่ถึงว่าพอถังซานไฉ่ได้ยินแล้วจะถามด้วยรอยยิ้มเจื่อน “เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยคิดจะทำอย่างนี้หรือ”

ทั้งสามคนได้ยินแล้วอึ้ง แต่กลับได้ยินถังซานไฉ่พูดต่อไปว่า “ข้าไม่ใช่แค่คิดเท่านั้นนะ ถึงขั้นใช้ความพยายามไปมากมายเพื่อสืบข่าวจาก NPC ที่รู้เรื่องด้วย”

พูดไปเรื่อยๆ ก็ยักไหล่ “สุดท้ายก็ได้รับคำตอบว่า วิธีการเปลี่ยนชื่อในเกมนั้นมีจริงๆ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เล่นในปัจจุบันทำสำเร็จได้แน่นอน”

“ตอนนี้ไม่มีทางทำให้สำเร็จได้ ก็แสดงว่าในภายหลังต้องมีหนทางแน่นอน” เยี่ยเว่ยหมิงถนัดเรื่องจับประเด็นสำคัญของปัญหา พูดจบแล้วก็ตบบ่าถังซานไฉ่ต่อ “เช่นนั้นก็รอให้เลเวลของพวกเราเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย เมื่อแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เราจะร่วมทำภารกิจเป็นเพื่อนเจ้า”

“เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณไว้ตรงนี้เลย” ขณะที่พูด ถังซานไฉ่ก็ปลุกใจให้ฮึกเหิม “เวลาก็ผ่านมานานแล้ว พวกเรารีบไปหาเหมียวเหรินเฟิ่งนั่นเพื่อรับรางวัลภารกิจเถอะ ค่ำคืนยาวนาน กลัวว่าความฝันจะเยอะเกินไป ข้าไม่อยากตายอีกรอบ”

เมื่อพูดจบ ทั้งสี่คนก็นั่งรถม้าที่หมู่บ้านแปะก๊วยไปยังเมืองเทียนอิน แล้วก็นั่งเรือจากเมืองเทียนอินไปที่เขาเล่อซาน ก่อนจะเดินตามเส้นทางภูเขาไปเรื่อยๆ จนถึงนอกถ้ำหลิงอวิ๋น

เส้นทางเดียวกัน จุดหมายปลายทางเดียวกัน แต่ตอนแรกกับตอนหลังที่มาถึงที่นี่ ให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ครั้งก่อนที่มา เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าแม้จะมีอันตรายก็จะต้องมาให้ได้ ลมโชยชายฝั่งแม่น้ำอี้จนหนาวเหน็บ[2]

แต่ในครั้งนี้ เขากลับรู้สึกว่า เหมียวเหรินเฟิ่ง นึกไม่ถึงสินะว่าข้า เยี่ยเว่ยหมิง จะทำภารกิจสำเร็จแล้วกลับมาได้!

……

พวกเขามาพร้อมความรู้สึกเบิกบานใจ พอมาถึงปากถ้ำหลิงอวิ๋นก็เห็นว่าพระหน้าทองมารออยู่นานแล้ว

เมื่อเห็นสี่คนนี้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตัวเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ใบหน้าที่มีความแค้นล้ำลึกของเหมียวเหรินเฟิ่งก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างที่เห็นไม่บ่อย “ดูจากท่าทางของจอมยุทธ์น้อยทั้งสี่ อย่าบอกนะว่าเหยียนจีถูกประหารชีวิตแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงโบกมือเท่านั้น โลงศพที่บรรจุร่างของเหยียนจีตกลงบนพื้น ทำให้ฝุ่นตลบขึ้นมา “ศพของเหยียนจีอยู่ที่นี่แล้ว เชิญจอมยุทธ์เหมียวดูได้”

“ไม่ต้องยุ่งยากหรอก ข้าเชื่อใจจอมยุทธ์น้อยทั้งสี่” ในเวลานี้ เหมียวเหรินเฟิ่งกลับแสดงออกอย่างไม่ธรรมดา กวาดสายมองบนตัวทั้งสี่คน “เช่นนั้นตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่เหมียวผู้นี้จะต้องทำตามสัญญาแล้ว จอมยุทธ์น้อยทุกท่านอยากจะให้ข้าชี้แนะเคล็ดกระบี่หรือวิชาดาบอะไร ก็จงสาธิตให้ดูตรงนี้สักรอบ”

ถือว่าที่ไหนให้ดูตรงนี้จริงๆ

ทั้งสี่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ก่อนที่เฟยอวี๋จะก้าวออกมาเป็นคนแรก “ให้ข้าก่อนก็แล้วกัน”

ขณะที่พูด เฟยอวี๋ก็เรียกดาบเหยียนหลัวที่ดรอปจากเหยียนจีออกมา แล้วสาธิต ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ ของเขาให้ดูตรงนั้นหนึ่งรอบ

สิ่งที่ควรค่าให้เอ่ยถึงก็คือ หลังจากได้วิชาดาบสองหน้านั้นจากเหยียนจีมาแล้ว ตอนนี้ ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ ของเขาก็ถูกเลื่อนขึ้นเป็นวิทยายุทธ์ระดับสูงได้อย่างราบรื่นแล้ว แม้ว่าในรายการแนะนำสกิลจะเสริมด้วยประโยคที่ทำให้เขาหงุดหงิดอยู่บ้างก็ตาม (ได้รับโชคดีของตัวเอก วิชาดาบนี้กลายเป็นวิชาระดับสูงโดยกรณีพิเศษ)

เมื่อเหมียวเหรินเฟิ่งเห็นเฟยอวี๋แสดงเคล็ดดาบตระกูลหูฉบับสมบูรณ์ ก็อดพยักหน้าซ้ำๆ ไม่ได้ “‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ นี้ ข้าคุ้นเคยที่สุดแล้ว จุดที่ยอดเยี่ยมของมันก็อยู่ตรงที่ความจริงและภาพลวงตา เดี๋ยวก็เป็นของจริงเดี๋ยวก็เป็นภาพลวงตา และตอนที่เจ้าใช้มันก่อนหน้านี้…ดาบเอ๋ยดาบ ดาบเอ๋ยดาบ…”

หลังจากผ่านไปประมาณสิบห้านาที เฟยอวี๋ก็เก็บดาบวิเศษอย่างพึงพอใจ พร้อมจับภาพส่งไปในในช่องทีม

[ติ๊ง! ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ ของคุณได้รับคำชี้แนะจากเหมียวเหรินเฟิ่ง เลเวลเพิ่มเป็น…]

เจ้าหมอนี่ยังคงทำตัวไม่สุภาพเรียบร้อยเหมือนอย่างเคย จับภาพหน้าจอมาก็ไม่สมบูรณ์ เหมือนกลัวว่าคนอื่นจะรู้ความลับของตัวเอง

เมื่อมีตัวอย่างของเฟยอวี๋ก่อนแล้ว คนที่เหลือก็เริ่มกระโดดออกมาแล้วเช่นกัน

คนที่ออกมาคนที่สองก็คือถังซานไฉ่ ‘เคล็ดกระบี่ลมสน’ ของเจ้าหมอนี่เป็นวิชาขั้นต้น เหมียวเหรินเฟิ่งชี้แนะอย่างผ่อนคลายขึ้นหลายเท่า พูดแค่สองสามประโยคก็อัปหนึ่งเลเวลแล้ว

หลัวจากนั้น สะพานสวรรค์น้อยก็ลงสนามอีก

เพียงแต่น้องสะพานสวรรค์น้อยใช้ความพยายามกับ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ที่สำนักสุสานโบราณไปมาก ถังซานไฉ่เทียบไม่ติดเลย กอปรกับเหมียวเหรินเฟิ่งไม่ได้คุ้นเคยกับ ‘เคล็ดกระบี่ดรุณีหยก’ เหมือนที่คุ้นเคยกับ ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ เวลาชี้แนะขึ้นมาก็เปลืองแรงนิดหน่อย ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงได้ทำภารกิจนี้เสร็จสิ้นอย่างยากลำบาก

สุดท้ายก็เป็นเยี่ยเว่ยหมิง

ยามเผชิญหน้ากับทางเลือกระหว่าง 1. ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ที่ต้องใช้ค่าประสบการณ์สี่หมื่นแต้มเพื่อเพิ่มเลเวล 2. ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ที่ต้องใช้ค่าประสบการณ์สามแสนแต้มเพื่อเพิ่มเลเวล เยี่ยเว่ยหมิงเลือกอย่างหลังโดยไม่ลังเล

หลังจากแสดง ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เลเวลเก้าของเขาออกมา เหมียวเหรินเฟิ่งกลับพูดตรงๆ เลยว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย เคล็ดกระบี่ชุดนี้ของเจ้าเลเวลสูงเกินไป ขออภัยที่เหมียวไร้ความสามารถ”

อะไรนะ

เมื่อได้ยินเหมียวเหรินเฟิ่งพูดเช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ้มไม่ออกทันที “วิชาดาบระดับสูงกับเคล็ดกระบี่ระดับกลางของของพวกเขาสามคน จอมยุทธ์เหมียวก็ยังชี้แนะได้เลย ทำไมพอถึงเคล็ดกระบี่ที่ไม่เข้าขั้นของข้า ท่านกลับไร้ความสามารถเสียแล้ว”

“จอมยุทธ์เหมียว ท่านคงไม่ได้คิดจะฮุบรางวัลภารกิจของข้าหรอกใช่ไหม”

[1] หินจ้องสามี 望夫石 หินที่มีรูปร่างเหมือนกำลังรอคอยสามี ตามตำนานเล่าว่าภรรยาของชาวประมงมาเฝ้ารอสามีที่จมน้ำตายไป จนสุดท้ายขอพรให้ตัวเองกลายเป็นหินเพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสามี

[2] ลมโชยชายฝั่งแม่น้ำอี้จนหนาวเหน็บ ท่อนต่อไปคือ ผู้กล้าไปแล้วไม่หวนกลับ เป็นท่อนหนึ่งของกลอนสั้นที่แต่งโดย จิงเคอ หนึ่งในมือสังหารผู้โด่งดังในประวัติศาสตร์จีน ผู้ลอบสังหารฉินอ๋องเจิ้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 121 เหมียวเหรินเฟิ่ง

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 121 เหมียวเหรินเฟิ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ มีหมู่บ้านหลากหลายรูปแบบ เช่นหมู่บ้านตู้คัง หมู่บ้านหลงจิ่ง หมู่บ้านโบตั๋น หมู่บ้านหนิวเจีย…และอีกมากมาย ในหมู่บ้านที่ดูเหมือนธรรมดาเหล่านี้ มักจะมีภารกิจลับและเรื่องราวที่เราไม่รู้ซ่อนอยู่เสมอ

และสำหรับผู้เล่นในเกม ก็ยังมีอีกหนึ่งหมู่บ้านที่มีชื่อเดียวกัน…หมู่บ้านมือใหม่!

หลังจากทั้งสามคนที่นำโดยเยี่ยเว่ยหมิงสังหารเหยียนจีแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ในอดีตเคยถูกเรียกว่าหมู่บ้านมือใหม่

หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านแปะก๊วย

เป็นหมู่บ้านมือใหม่ที่อยู่ใกล้กับบ้านมุงฟางที่เหยียนจีซ่อนตัวที่สุด และเป็นจุดสำคัญของบริเวณนี้เช่นกัน

ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ถังซานไฉ่ที่ลงหลุมกับ BOSS ก่อนหน้านี้ ก็มาคืนชีพอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้เช่นกัน

กลางหมู่บ้านแปะก๊วยมีต้นแปะก๊วยต้นหนึ่งที่สูงถึงสามสิบเมตร ลำต้นใหญ่จนสามคนโอบไม่มิด ชาวบ้านในหมู่บ้านยกย่องว่าต้นไม้ต้นนี้คือต้นไม้เทพ ทุกเทศกาลคนในหมู่บ้านจะมาสักการะต้นไม้ต้นนี้ ดังนั้นในวันปกติจะเห็นเชือกป่านมัดอยู่บนลำต้น และบนเชือกก็จะมีผ้าสีแดงที่เขียนขอพรห้อยเอาไว้หลายเส้น

ตอนนี้ถังซานไฉ่ยืนอยู่ใต้ต้นแปะก๊วยศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ราวกับเป็นหินจ้องสามี[1] จ้องไปทางทางเข้าหมู่บ้านเงียบๆ ไม่ขยับไปไหน

ทันใดนั้น ถังซานไฉ่ก็ตาเป็นประกาย

เขาเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยของสามคนกำลังวิ่งมาหาเขาโดยที่ด้านหลังเป็นฉากแสงอาทิตย์ยามเย็น

เป็นเพราะมุมและแสง ทำให้ถังซานไฉ่มองไม่เห็นหน้าตาของสามคนนั้นชัดเจน เห็นเพียงเงาร่างที่อยู่ภายแสงอาทิตย์ยามเย็นเท่านั้น เงาทั้งสามทอดยาวอยู่บนพื้น

เงาร่างตรงเหมือนกระบี่!

เมื่อเห็นสหายของตัวเองปรากฏตัวด้วยวิธีการสุดคูลเช่นนี้ ในหัวของถังซานไฉ่ก็นึกถึงดนตรีประกอบฉากที่ร้องว่า ‘ใคร ใครกัน!’ ขึ้นมา บนใบหน้าเผยรอยยิ้มตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้

ความรู้สึกจูนิเบียวแบบนี้ มันก็ไม่เลวเลยจริงๆ!

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พวกเยี่ยเว่ยหมิงที่วิ่งมาท่ามกลางแสงแดดยามเย็นก็เข้ามาในหมู่บ้านแปะก๊วยแล้ว

เมื่อมาถึงตรงหน้าถังซานไฉ่ที่กำลังชะเง้อรอ เฟยอวี๋ก็ก้าวเข้ามากอดอย่างซาบซึ้ง “สหายถัง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะมอบอุปกรณ์ที่เป็นของเจ้าให้กับข้า อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง สหายคนนี้จดจำไว้แล้ว!”

“อย่ามามุกนี้เลย” ถังซานไฉ่ผลักเฟยอวี๋ออก แล้วด่าไปยิ้มไป “อย่ามัวมาซาบซึ้งอยู่ตรงนี้ ทำอย่างกับเป็นผู้หญิง หากเจ้าทิ้งดาบมาใช้กระบี่ กำจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ข้าก็พิจารณาที่จะฝืนรับเจ้าไว้ได้”

“จริงหรือ”

“ไสหัวไป!”

……

ท่ามกลางเสียงคุยเล่นหยอกล้อ กลับทำให้ความกลุ้มใจที่ถังซานไฉ่ต้องลงหลุมศพเป็นเพื่อนบอสก่อนหน้านี้สลายหายไปราวกับเมฆหมอกแล้ว

ในตอนนี้ จู่ๆ ถังซานไฉ่ก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ว่ากันว่าต้นไม้เทพของหมู่บ้านแปะก๊วยต้นนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก ขอเพียงใช้แค่หนึ่งเหรียญทอง ก็จะซื้อผ้าแดงขอพรไปผูกไว้บนนั้นได้แล้ว จะได้รับพรจากเทพประจำต้นไม้ พวกเจ้าอยากลองดูหน่อยไหม”

เมื่อถังซานไฉ่กล่าวเช่นนี้ออกมา ก็ทำให้อีกสามคนมองมาด้วยสายตาแปลกๆ

จะว่าไปแล้ว ฉากหลังของเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ ก็เป็นละครยอดยุทธ์คุณธรรม ไม่ใช่ละครเทพเซียน เหตุใดจึงคิดเป็นจริงเป็นจังกับเรื่องประเภทนี้ไปได้

เยี่ยเว่ยหมิงที่ไวต่อความรู้สึกนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เป็นฝ่ายถามว่า “สหายถัง เจ้าคงไม่ได้ไปซื้อผ้าผ้าแดงขอพรมาแล้วหรอกใช่ไหม คงไม่ได้ขอพรกับเทพประจำต้นไม้แล้วหรอกนะ”

ถังซานไฉ่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้ารู้นะว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไร ที่จริงข้าไม่ได้เชื่อในโชคชะตาหรอก ข้าเชื่อมาตลอดว่าชะตาของข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับฟ้า จะเป็นมังกรหรือหนอน ข้าก็เป็นคนตัดสินใจเอง”

พูดไปพูดมาก็ส่ายหน้าบอกอีกว่า “แต่หลังจากผ่านประสบการณ์น่าอนาถที่ต้องลงหลุมศพเป็นเพื่อน BOSS ต่อเนื่องสามครั้ง ก็ทำให้ข้าต้องพิจารณาเรื่องการใช้วิชาลึกลับมาช่วยชีวิตตัวเองสักหน่อย”

เมื่อเห็นเขามีท่าทางแบบนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ตบบ่าเขาเพื่อแสดงความเห็นใจ การกระทำนี้ทำให้เฟยอวี๋ที่นั่งดูอยู่ข้างๆ หนังตากระตุก กลัวว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะเหมือนเขาตอนก่อนหน้านี้ ที่ตบบ่าไปตบบ่ามาก็ทำให้ถังซานไฉ่กลายเป็นแสงสีขาวหายไป

เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าถังซานไฉ่ก็ไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์ปกติ แค่ลงหลุมศพตอนอยู่ในภารกิจครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว

นี่เป็นการพูดโดยอิงจากประสบการณ์

ดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงจึงตบบ่าอย่างไม่พะว้าพะวง ขณะเดียวกัน ปากก็ไม่ลืมหยอกว่า “ที่จริงข้ารู้สึกว่า เมื่อเทียบกับการขอพรที่นี่ เจ้าเปลี่ยนชื่อดูสักครั้งก็อาจจะได้ผลชัดเจนกว่านะ”

คาดไม่ถึงว่าพอถังซานไฉ่ได้ยินแล้วจะถามด้วยรอยยิ้มเจื่อน “เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยคิดจะทำอย่างนี้หรือ”

ทั้งสามคนได้ยินแล้วอึ้ง แต่กลับได้ยินถังซานไฉ่พูดต่อไปว่า “ข้าไม่ใช่แค่คิดเท่านั้นนะ ถึงขั้นใช้ความพยายามไปมากมายเพื่อสืบข่าวจาก NPC ที่รู้เรื่องด้วย”

พูดไปเรื่อยๆ ก็ยักไหล่ “สุดท้ายก็ได้รับคำตอบว่า วิธีการเปลี่ยนชื่อในเกมนั้นมีจริงๆ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เล่นในปัจจุบันทำสำเร็จได้แน่นอน”

“ตอนนี้ไม่มีทางทำให้สำเร็จได้ ก็แสดงว่าในภายหลังต้องมีหนทางแน่นอน” เยี่ยเว่ยหมิงถนัดเรื่องจับประเด็นสำคัญของปัญหา พูดจบแล้วก็ตบบ่าถังซานไฉ่ต่อ “เช่นนั้นก็รอให้เลเวลของพวกเราเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย เมื่อแข็งแกร่งขึ้นแล้ว เราจะร่วมทำภารกิจเป็นเพื่อนเจ้า”

“เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณไว้ตรงนี้เลย” ขณะที่พูด ถังซานไฉ่ก็ปลุกใจให้ฮึกเหิม “เวลาก็ผ่านมานานแล้ว พวกเรารีบไปหาเหมียวเหรินเฟิ่งนั่นเพื่อรับรางวัลภารกิจเถอะ ค่ำคืนยาวนาน กลัวว่าความฝันจะเยอะเกินไป ข้าไม่อยากตายอีกรอบ”

เมื่อพูดจบ ทั้งสี่คนก็นั่งรถม้าที่หมู่บ้านแปะก๊วยไปยังเมืองเทียนอิน แล้วก็นั่งเรือจากเมืองเทียนอินไปที่เขาเล่อซาน ก่อนจะเดินตามเส้นทางภูเขาไปเรื่อยๆ จนถึงนอกถ้ำหลิงอวิ๋น

เส้นทางเดียวกัน จุดหมายปลายทางเดียวกัน แต่ตอนแรกกับตอนหลังที่มาถึงที่นี่ ให้ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ครั้งก่อนที่มา เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าแม้จะมีอันตรายก็จะต้องมาให้ได้ ลมโชยชายฝั่งแม่น้ำอี้จนหนาวเหน็บ[2]

แต่ในครั้งนี้ เขากลับรู้สึกว่า เหมียวเหรินเฟิ่ง นึกไม่ถึงสินะว่าข้า เยี่ยเว่ยหมิง จะทำภารกิจสำเร็จแล้วกลับมาได้!

……

พวกเขามาพร้อมความรู้สึกเบิกบานใจ พอมาถึงปากถ้ำหลิงอวิ๋นก็เห็นว่าพระหน้าทองมารออยู่นานแล้ว

เมื่อเห็นสี่คนนี้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตัวเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ใบหน้าที่มีความแค้นล้ำลึกของเหมียวเหรินเฟิ่งก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างที่เห็นไม่บ่อย “ดูจากท่าทางของจอมยุทธ์น้อยทั้งสี่ อย่าบอกนะว่าเหยียนจีถูกประหารชีวิตแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงโบกมือเท่านั้น โลงศพที่บรรจุร่างของเหยียนจีตกลงบนพื้น ทำให้ฝุ่นตลบขึ้นมา “ศพของเหยียนจีอยู่ที่นี่แล้ว เชิญจอมยุทธ์เหมียวดูได้”

“ไม่ต้องยุ่งยากหรอก ข้าเชื่อใจจอมยุทธ์น้อยทั้งสี่” ในเวลานี้ เหมียวเหรินเฟิ่งกลับแสดงออกอย่างไม่ธรรมดา กวาดสายมองบนตัวทั้งสี่คน “เช่นนั้นตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่เหมียวผู้นี้จะต้องทำตามสัญญาแล้ว จอมยุทธ์น้อยทุกท่านอยากจะให้ข้าชี้แนะเคล็ดกระบี่หรือวิชาดาบอะไร ก็จงสาธิตให้ดูตรงนี้สักรอบ”

ถือว่าที่ไหนให้ดูตรงนี้จริงๆ

ทั้งสี่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ก่อนที่เฟยอวี๋จะก้าวออกมาเป็นคนแรก “ให้ข้าก่อนก็แล้วกัน”

ขณะที่พูด เฟยอวี๋ก็เรียกดาบเหยียนหลัวที่ดรอปจากเหยียนจีออกมา แล้วสาธิต ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ ของเขาให้ดูตรงนั้นหนึ่งรอบ

สิ่งที่ควรค่าให้เอ่ยถึงก็คือ หลังจากได้วิชาดาบสองหน้านั้นจากเหยียนจีมาแล้ว ตอนนี้ ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ ของเขาก็ถูกเลื่อนขึ้นเป็นวิทยายุทธ์ระดับสูงได้อย่างราบรื่นแล้ว แม้ว่าในรายการแนะนำสกิลจะเสริมด้วยประโยคที่ทำให้เขาหงุดหงิดอยู่บ้างก็ตาม (ได้รับโชคดีของตัวเอก วิชาดาบนี้กลายเป็นวิชาระดับสูงโดยกรณีพิเศษ)

เมื่อเหมียวเหรินเฟิ่งเห็นเฟยอวี๋แสดงเคล็ดดาบตระกูลหูฉบับสมบูรณ์ ก็อดพยักหน้าซ้ำๆ ไม่ได้ “‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ นี้ ข้าคุ้นเคยที่สุดแล้ว จุดที่ยอดเยี่ยมของมันก็อยู่ตรงที่ความจริงและภาพลวงตา เดี๋ยวก็เป็นของจริงเดี๋ยวก็เป็นภาพลวงตา และตอนที่เจ้าใช้มันก่อนหน้านี้…ดาบเอ๋ยดาบ ดาบเอ๋ยดาบ…”

หลังจากผ่านไปประมาณสิบห้านาที เฟยอวี๋ก็เก็บดาบวิเศษอย่างพึงพอใจ พร้อมจับภาพส่งไปในในช่องทีม

[ติ๊ง! ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ ของคุณได้รับคำชี้แนะจากเหมียวเหรินเฟิ่ง เลเวลเพิ่มเป็น…]

เจ้าหมอนี่ยังคงทำตัวไม่สุภาพเรียบร้อยเหมือนอย่างเคย จับภาพหน้าจอมาก็ไม่สมบูรณ์ เหมือนกลัวว่าคนอื่นจะรู้ความลับของตัวเอง

เมื่อมีตัวอย่างของเฟยอวี๋ก่อนแล้ว คนที่เหลือก็เริ่มกระโดดออกมาแล้วเช่นกัน

คนที่ออกมาคนที่สองก็คือถังซานไฉ่ ‘เคล็ดกระบี่ลมสน’ ของเจ้าหมอนี่เป็นวิชาขั้นต้น เหมียวเหรินเฟิ่งชี้แนะอย่างผ่อนคลายขึ้นหลายเท่า พูดแค่สองสามประโยคก็อัปหนึ่งเลเวลแล้ว

หลัวจากนั้น สะพานสวรรค์น้อยก็ลงสนามอีก

เพียงแต่น้องสะพานสวรรค์น้อยใช้ความพยายามกับ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ที่สำนักสุสานโบราณไปมาก ถังซานไฉ่เทียบไม่ติดเลย กอปรกับเหมียวเหรินเฟิ่งไม่ได้คุ้นเคยกับ ‘เคล็ดกระบี่ดรุณีหยก’ เหมือนที่คุ้นเคยกับ ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ เวลาชี้แนะขึ้นมาก็เปลืองแรงนิดหน่อย ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงได้ทำภารกิจนี้เสร็จสิ้นอย่างยากลำบาก

สุดท้ายก็เป็นเยี่ยเว่ยหมิง

ยามเผชิญหน้ากับทางเลือกระหว่าง 1. ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ที่ต้องใช้ค่าประสบการณ์สี่หมื่นแต้มเพื่อเพิ่มเลเวล 2. ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ที่ต้องใช้ค่าประสบการณ์สามแสนแต้มเพื่อเพิ่มเลเวล เยี่ยเว่ยหมิงเลือกอย่างหลังโดยไม่ลังเล

หลังจากแสดง ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เลเวลเก้าของเขาออกมา เหมียวเหรินเฟิ่งกลับพูดตรงๆ เลยว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย เคล็ดกระบี่ชุดนี้ของเจ้าเลเวลสูงเกินไป ขออภัยที่เหมียวไร้ความสามารถ”

อะไรนะ

เมื่อได้ยินเหมียวเหรินเฟิ่งพูดเช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ้มไม่ออกทันที “วิชาดาบระดับสูงกับเคล็ดกระบี่ระดับกลางของของพวกเขาสามคน จอมยุทธ์เหมียวก็ยังชี้แนะได้เลย ทำไมพอถึงเคล็ดกระบี่ที่ไม่เข้าขั้นของข้า ท่านกลับไร้ความสามารถเสียแล้ว”

“จอมยุทธ์เหมียว ท่านคงไม่ได้คิดจะฮุบรางวัลภารกิจของข้าหรอกใช่ไหม”

[1] หินจ้องสามี 望夫石 หินที่มีรูปร่างเหมือนกำลังรอคอยสามี ตามตำนานเล่าว่าภรรยาของชาวประมงมาเฝ้ารอสามีที่จมน้ำตายไป จนสุดท้ายขอพรให้ตัวเองกลายเป็นหินเพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสามี

[2] ลมโชยชายฝั่งแม่น้ำอี้จนหนาวเหน็บ ท่อนต่อไปคือ ผู้กล้าไปแล้วไม่หวนกลับ เป็นท่อนหนึ่งของกลอนสั้นที่แต่งโดย จิงเคอ หนึ่งในมือสังหารผู้โด่งดังในประวัติศาสตร์จีน ผู้ลอบสังหารฉินอ๋องเจิ้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+