ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 403 แนวทางกระบี่ก็เป็นหลักการเหมือนกัน!

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 403 แนวทางกระบี่ก็เป็นหลักการเหมือนกัน! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 403 แนวทางกระบี่ก็เป็นหลักการเหมือนกัน!

“โผล่มาแล้ว!”

เมื่อเห็นบนเกมถกหลักการสร้างสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง จู่ๆ เสียงอันตื่นเต้นของอินปู้คุยก็ดังขึ้น “กระบวนทัพทวนขย่มฟ้า! นี่ก็คือวิธีการที่เก่งกาจที่สุดของฉางซิงอวี่ตอนเล่น ‘เกมถกหลักการสร้างสถานการณ์’ เมื่อเจอกับวิธีการนี้ของเขา ต่อให้เป็นศิษย์พี่ใหญ่อวิ๋นเหมี่ยนก็ไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ ต้องใช้กลยุทธ์ยอกย้อน ใช้ประโยชน์จุดแข็งของตัวเองวางแผนจัดการ”

ตอนนี้เอง เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างๆ กลับอดถามไม่ได้ว่า “เกมถกหลักการสร้างสถานการณ์นี่คิดอะไรก็จะมีอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าลองจินตนาการว่ามีกองทหารสวมเกราะออกมาล่ะ ก็จะฆ่าทหารม้าของเขาให้ตายหมดได้ง่ายๆ ใช่หรือเปล่า”

“มีเรื่องง่ายขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน” อินปู้คุยส่ายหน้าอธิบาย “เกมถกหลักการสร้างสถานการณ์นี้ พูดให้ชัดก็คือเป็นการเปลี่ยนจินตนาการให้เป็นจริงโดยอาศัยเจตจำนงส่วนตัว แม้ของที่อยู่บนนั้นจะออกมาโดยอาศัยจินตนาการ แต่ไม่ใช่ว่าคิดอะไรแล้วได้อย่างนั้นตามที่เจ้าบอกแน่นอน ฉางซิงอวี่หลงใหลทวนมากกว่าที่ผู้เล่นทั่วไปจินตนาการไว้ เขาถึงได้สร้างกระบวนทัพทวนแบบนี้ขึ้นมาจากจินตนาการได้…

…นอกจากนี้ ของที่จินตนาการออกมาจะอ่อนแอหรือเข้มแข็ง ก็ขึ้นอยู่กับขอบเขตกฎเต๋าและเจตจำนงของแต่ละบุคคลโดยตรง เลเวลกฎเต๋ายิ่งสูงก็ยิ่งแกร่ง ของที่จินตนาการออกมาได้ก็จะยิ่งทรงพลัง ดังนั้นต่อให้มีคนจินตนาการกองทหารสวมเกราะออกมาได้จริงๆ แต่ก็ใช่ว่าจะสู้กระบวนทัพทวนขย่มฟ้าได้…

…ข้าถึงได้บอกไงว่าเกมนี้ยังมีหวัง!”

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าอีกครั้ง พร้อมส่งข้อความในช่องทีมว่า [พวกเจ้าอย่าลืมนะว่าแนวทางกระบี่ก็เป็นหลักการเหมือนกัน!]

ประโยคนี้ของเขาราวกับเป็นน้ำเย็นที่สาดหัวใจเพื่อนๆ ที่กำลังมีไฟแห่งความหวังลุก

มีเพียงสะพานสวรรค์น้อยที่มองจุดเริ่มต้นของปัญหาแตกต่างจากคนอื่น [พี่ใหญ่เยี่ย ทำไมเจ้าต้องพูดประโยคนี้ในช่องทีม กลัวว่าตู๋กูฉิวไป้จะได้ยินหรือ]

[ก็ใช่น่ะสิ!] เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล [ถึงจะมีความเป็นไปได้น้อย แต่ถ้าตู๋กูฉิวไป้นึกไม่ถึงจุดนี้ล่ะ เช่นนั้นถ้าข้าพูดประโยคนี้ออกไป จะไม่เป็นการช่วยเหลือศัตรูหรอกหรือ]

[เรื่องช่วยเหลือศัตรู เป็นสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด!]

แต่คำว่า ‘ถ้า’ ก็หมายถึงมีโอกาสเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์ว่าจะไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น

เมื่อเห็นกำลังพลหลักพันหลักหมื่นบุกมาทางตน ตู๋กูฉิวไป้กลับพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “หลักการของข้า ก็คือแนวทางกระบี่!”

หลังจากตู๋กูฉิวไป้พูดออกมา จู่ๆ บนกระดานหมากถกหลักการสร้างสถานการณ์ก็มีแสงกระบี่แวววาวปรากฏขึ้นมา

ตอนที่แสงกระบี่นี้ปรากฏขึ้นมา มันมีขนาดเท่าเม็ดข้าวสารเท่านั้น เมื่อเทียบกับทหารม้านับหมื่นของฝั่งฉางซิงอวี่ ก็เล็กจนนับเป็นมดไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังจากตู๋กูฉิวไป้พูดแล้ว แสงกระบี่สายนี้กลับขยายใหญ่ขึ้น แล้วชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นกระบี่เทพที่ทรงพลังทั้งบนฟ้าและบนดิน!

“นักกระบี่ อาวุธคมแห่งใต้หล้า อานุภาพเกรียงไกร ฟันแม่ทัพ สังหารศัตรู ล้างเมือง กวาดดินแดน ฟันภูเขา ตัดขุนเขา แยกแผ่นดิน เบิกฟ้า!”

หลังจากตู๋กูฉิวไป้พูดคำสุดท้ายว่า ‘ฟ้า’ ปริมาตรของกระบี่เทพเล่มนั้นก็ขยายจนถึงขีดสุด จากนั้นแสงกระบี่ที่มีอานุภาพเกรียงไกรก็ปะทุออกมาจากตัวกระบี่ ทำให้ทั้งเกมถกหลักการสร้างสถานการณ์ระเบิดกระจุย

เหลือเพียงกระบี่เทพจากจินตนาการเล่มหนึ่ง มันยังลอยอยู่กลางอากาศระหว่างทั้งสอง ผ่านไปนานก็ยังไม่หายไป!

ด้วยการอวดเก่งอย่างมีระดับและขอบเขตกระบี่อันทรงพลังของของตู๋กูฉิวไป้ ไม่น่าเชื่อว่าจะดูแคลนการเผชิญหน้ากับ ‘กระบวนทัพทวนขย่มฟ้า’ ของฉางซิงอวี่ แต่ลงมือกับกระดานหมากที่แบกรับทุกอย่างเอาไว้โดยตรง ทำให้ที่อาศัยของ ‘กระบวนทัพทวนขย่มฟ้า’ แตกกระจุย ดังนั้น ‘กระบวนทัพทวนขย่มฟ้า’ ที่วางอยู่บนนั้นก็ย่อมพังทลายลงไปด้วย ไม่มีทางเหลือให้ดิ้นรนเลยสักนิด!

วินาทีที่กระดานหมากถกหลักการสร้างสถานการณ์แตก ฉางซิงอวี่ก็ตกใจจนกระเด็นถอยหลังหลายก้าว สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

จะไม่กลัวไหวหรือ

ตอนนี้ตู๋กูฉิวไป้เริ่มโจมตีหลายมิติแล้ว!?

ผ่านไปนานกว่าฉางซิงอวี่จะดึงสติกลับมาได้ เขากล่าวอย่างเศร้าใจเล็กน้อยว่า “แนวทางกระบี่ของผู้อาวุโสตู๋กูทรงพลังมาก ตั้งแต่เกิดมาผู้น้อยเพิ่งเคยพบเห็น ผู้น้อยแพ้แล้ว ยอมแพ้จากใจจริง”

ตู๋กูฉิวไป้พยักหน้าอย่างพอใจแล้วบอกว่า “อย่าเศร้าใจขนาดนั้น เจ้าแพ้อย่างยุติธรรมแล้ว อีกทั้งทวนยาวของเจ้ายังพกพาไม่สะดวก ไม่ค่อยได้รับความสำคัญจากชาวยุทธ์ เจตจำนงในแนวทางทวนของเจ้าแรงกล้าขนาดนี้ ในอนาคตต้องไม่ธรรมดาแน่ ถือเป็นวาสนาของยุทธภพ…

…ลองคิดให้ดีสิ ที่จริงแนวทางของข้ากับเจ้ามีจุดร่วมที่เหมือนกัน ความพ่ายแพ้ไม่น่ากลัว นำส่วนที่ดีไปเติมเต็มจุดอ่อน ถึงจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างกล้าหาญ!”

ฉางซิงอวี่ได้ยินแล้วฮึกเหิมทันที อารมณ์เศร้าโศกสลายไปราวกับเมฆในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นกุมหมัดคารวะตู๋กูฉิวไป้ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยให้สมปรารถนา!”

ตู๋กูฉิวไป้พยักหน้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันพึงพอใจ โบกมือบอกใบ้ให้เขาถอยไป จากนั้นย้ายสายตาไปที่พวกเยี่ยเว่ยหมิง แล้วถามอย่างเนิบช้า “คนต่อไป ใครจะท้าสู้กับข้า”

“ให้ข้าแล้วกัน” เหนือความคาดหมายของทุกคน คนที่สามที่ก้าวออกมากลับเป็นซานเย่ว์ สมาชิกที่ไม่ได้เก่งที่สุดในทีม พอเดินมาตรงหน้าตู๋กูฉิวไป้ ซานเย่ว์ก็กุมหมัดคารวะอย่างมีมารยาทก่อนแล้วบอกว่า “ผู้น้อยรู้สึกว่า ที่จริงในการต่อสู้ นอกจากความสามารถของตัวเองแล้ว การรู้เขารู้เรานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า…

…ดังนั้น ผู้น้อยอยากจะแข่งวิธีการที่ทำให้รู้เขารู้เรากับผู้อาวุโสสักหน่อย”

“อ้อ?” ประโยคนี้ของซานเย่ว์ทำให้ตู๋กูฉิวไป้เกิดความสนใจทันที ถึงอย่างไร ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ ของเขาก็สร้างขึ้นมาจากพื้นฐานหลักการนี้ พอได้ยินว่าซานเย่ว์ต้องการแข่งเรื่องนี้ เขาก็ถามต่อทันที “แม่นางน้อยจะใช้วิธีการแข่งอย่างไร”

ในช่องทีมตอนนี้

เฟยอวี๋ [วันนี้ซานเย่ว์แสดงความสามารถเกินระดับนิดหน่อยนะ เยี่ยเว่ยหมิง เจ้าเป็นคนสอนนางพูดอะไรพวกนี้ใช่ไหม]

เยี่ยเว่ยหมิง [เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ]

เฟยอวี๋นึกเสียใจทีหลังที่ตัวเองเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน แต่ตอนไปขอความช่วยเหลืออีกฝ่ายก่อนหน้านี้ได้ให้สัญญาไว้แล้ว จึงได้แต่เปลี่ยนคำเรียกแต่โดยดี “…ศิษย์พี่ใหญ่”

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้พยักหน้าอย่างพอใจ [เจ้าเดาไม่ผิดหรอก คำพูดพวกนี้ข้าสอนนางเอง]

หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งเขาก็เสริมว่า [ถ้าอยากเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างตู๋กูฉิวไป้ ก็ต้องเน้นจุดแข็ง เลี่ยงจุดอ่อน แต่ในคำแนะนำภารกิจก่อนหน้านี้บอกไว้แล้วว่าแม้พวกเราจะเลือกวิธีการท้าสู้ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับตู๋กูฉิวไป้ว่าจะตอบรับหรือไม่ ดังนั้นแม้จะเป็นเงื่อนไขเดียวกัน แต่กุญแจสำคัญก็คือจะพูดเสนอเงื่อนไขอย่างไร]

ในเมื่อดึงดูดความสนใจตู๋กูฉิวไป้สำเร็จแล้ว การท้าสู้ของซานเย่ว์ก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง นางจึงเอ่ยทันทีว่า “ผู้น้อยอยากจะแข่งเล่นเกมพูดความจริงกับผู้อาวุโส ก็คือท่านพูดมาประโยคหนึ่ง แล้วก็ดูว่าข้าจะเดาได้หรือไม่ว่าจริงหรือเท็จ จากนั้นข้าก็พูดประโยคหนึ่ง แล้วให้ท่านเดาบ้าง เป็นอย่างไร ผู้อาวุโสกล้าเดิมพันหรือไม่”

ตู๋กูฉิวไป้พยักหน้าอย่างสงบนิ่ง “ได้สิ”

พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ เพื่อนที่คุยกันอยู่ในช่องทีมก็แทบจะโห่ร้องดีใจออกมา

ซานเย่ว์เป็นใครกัน

นางเป็นเครื่องจับโกหกในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ เชียวนะ!

ไม่น่าเชื่อว่าตู๋กูฉิวไป้จะกล้าแข่งเรื่องนี้กับนาง ช่างไม่รู้จริงๆ ว่าคำว่าตายเขียนว่าอย่างไร

แต่เมื่อเทียบกับซานเย่ว์แล้ว ทุกคนมองเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาที่ชื่นชมมากกว่า

เป็นอย่างที่คิดไว้ ต้องคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างเจ้าหมอนี่สิ ถึงจะคิดวิธีการวางหลอกลวงคนอื่นแบบนี้ได้ ทั้งยังหลอกตู๋กูฉิวไป้ให้รับปากได้ด้วย นี่ต่างหากที่ร้ายกาจที่สุด!

สถานการณ์มั่นคงแล้ว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด