ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 202 สำนักซงซานมีแต่คนมากพรสวรรค์

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 202 สำนักซงซานมีแต่คนมากพรสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 202 สำนักซงซานมีแต่คนมากพรสวรรค์

ถูกตะคอกถามถึงสองครั้งภายในเวลาสั้นๆ อวี๋ชางไห่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม

ถ้าจะบอกว่าสำนักมือปราบเทพพุ่งเป้ามาที่ตนเพราะเรื่องของหลินผิงจือ อวี๋ชางไห่ก็ยังพยายามทำความเข้าใจได้ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาก็เคยทำตัวอันธพาลอยู่ที่เขตเมืองฝูโจว ไม่เห็นขุนนางอยู่ในสายตาเช่นกัน

แต่ฟ้าดินเป็นพยานได้ เขาไม่เคยล่วงเกินดาวร้ายอย่างจั่วเหลิ่งฉานมาก่อนเลย!

ด้วยฐานะในยุทธภพของอวี๋ชางไห่ ต่อให้เผชิญหน้ากับเจ้าสำนักห้าขุนเขากระบี่ที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างเย่ว์ปู้ฉวิน เขาก็ยังไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเลย นับประสาอะไรกับประมุขห้าขุนเขากระบี่ที่เผด็จการโอ้อวดอย่างจั่วเหลิ่งฉาน

แม้ก่อนหน้านี้ชีชีจะเคยบอกเขาไว้แล้วว่าสำนักซงซานกำลังรวบรวมหลักฐานที่เขาสมคบกับพรรคฝ่ายมาร

แต่ติดที่กติกาของเกม เมื่อไม่ได้อยู่ระหว่างทำภารกิจ ต่อให้ระหว่างผู้เล่นกับ NPC จะมีค่าความรู้สึกดีสูงขนาดไหน แต่ NPC ก็ไม่อาจเชื่อคำพูดทุกอย่างของอีกฝ่ายโดยไร้เงื่อนไข

ไม่อย่างนั้น แฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับอย่างอินปู้คุยคงไปหาจางซานเฟิงเพื่อสปอยล์เนื้อเรื่อง ‘บันทึกกระบี่อิงฟ้าดาบฆ่ามังกร’ โดยตรง แล้วเนื้อเรื่องหลังจากนั้นก็ดำเนินต่อไปไม่ได้แล้ว

ตอนนี้เมื่อได้ยินจั่วเหลิ่งฉานถามต่อหน้าฝูงชนว่าตนรู้ถึงความผิดของตัวเองหรือไม่ อวี๋ชางไห่ก็ทำได้เพียงแข็งใจตอบว่า “ประมุขพรรคจั่ว เจ้าไม่ควรถูกคนต่ำช้าปลุกปั่น…”

“คนต่ำช้าปลุกปั่น?” จั่วเหลิ่งฉานไม่ทันรอให้อวี๋ชางไห่พูดจบ ก็ตัดบทอีกครั้งอย่างไม่ไว้หน้า “ข่าวได้ยินคนรายงานขึ้นมาไม่น้อย ว่าเจ้ากับลูกศิษย์สายตัวเองมีพฤติกรรมสมคบกับพรรคฝ่ายมาร หลักฐานอยู่ที่นี่หมดแล้ว เจ้าไปดูเอาเองเถอะ”

ขณะที่พูด จงเจิ้น ฉายากระบี่เก้าเพลงก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า โยนกล่องไม้บุผ้าแพรไปข้างเท้าของอวี๋ชางไห่ กล่องไม้กระแทกพื้นจนแตก เผยจดหมายกองใหญ่ที่อยู่ข้างใน

มีไม่ต่ำกว่าร้อยฉบับ!

อวี๋ชางไห่สุ่มหยิบขึ้นมาสองสามฉบับ พอเปิดดูก็พบว่าข้างในเป็นจดหมายที่เขา หรือไม่ก็ศิษย์สำนักเขาส่งโต้ตอบกับคนพรรคสุริยันจันทราและพรรคจรัส ในจำนวนนั้นมีเนื้อหาหลายอย่าง

มีคุยเล่นเรื่อยเปื่อย คุยเรื่องไร้สาระ ถกกันเรื่องแนวโน้มสถานการณ์ในยุทธภพ…ไม่ได้คุยแค่เรื่องเดียว

เมื่อได้เห็นฉากนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยกมุมปากเผยยิ้มทะเล้น แล้วบอกในช่องทีมวว่า [จั่วเหลิ่งฉานคนนี้ เล่นเก่งจริงๆ!]

จากกลยุทธ์ที่ทางอินปู้คุยให้มา เยี่ยเว่ยหมิงย่อมรู้ว่าอวี๋ชางไห่กับพรรคสุริยันจันทราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน

ส่วนพรรคจรัสก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

แต่จั่วเหลิ่งฉานกลับอาศัยภารกิจสำนักนี้ ทำให้ศิษย์ในสำนักตัวเองรวบรวมจดหมายที่อวี๋ชางไห่ใช้สมคบกับพรรคฝ่ายมาร ต้องบอกเลยว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง

ส่วนถ้าจะถามว่าจดหมายพวกนี้มาจากไหน

ก่อนหน้านี้เฟยอวี๋เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า NPC ที่คัดลอกลายมือได้ตามเมืองใหญ่แต่ละแห่งงานยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้แล้ว!

ในจำนวนนั้นมีจดหมายบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวละครเล็กๆ ของพรรคฝ่ายมาร ไม่ต้องลอกเลียนแบบลายมือด้วยซ้ำ ขอเพียงผู้เล่นกล้าส่ง จั่วเหลิ่งฉานก็กล้ารับ เพียงแต่ถ้าลอกเลียนแบบได้ดี รางวัลก็จะเยอะหน่อย ถ้าลอกเลียนแบบลวกๆ รางวัลก็จะน้อยลงเท่านั้นเอง

ในสถานการณ์อย่างนี้ ยังกลัวจะหาหลักฐานได้ไม่เพียงพออีกหรือ

“สหายเฟยอวี๋” ตอนที่ศิษย์สามคนของสำนักมือปราบเทพกำลังดูการแสดงของจั่วเหลิ่งฉานเงียบๆ ศิษย์ซงซานคนหนึ่งที่หน้าเหมือนตุ๊กตากลับเดินออกจากทีมของสำนักซงซาน เดินเข้ามาทางพวกเขาแล้วทักทายเฟยอวี๋ก่อน จากนั้นหันไปพูดกับเยี่ยเว่ยหมิงและซานเย่ว์ว่า “พวกเจ้าสองคนคงจะเป็นสหายเยี่ยเว่ยหมิงกับแม่นางซานเย่ว์สินะ น้องชายชื่อดาบฟันรองเท้าแตะ มาเพิ่มเพื่อนกันหน่อยเป็นอย่างไร”

ขณะที่พูด เขาก็รอทั้งสองแสดงท่าทีเช่นกัน ตัวเองส่งคำขอเป็นเพื่อนให้เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์แล้ว

หลังจากส่งคำขอเป็นเพื่อนเรียบร้อยแล้ว เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างกันก็เลยฝากแนะนำตัว “น้องรองเท้าแตะคนนี้ ตอนนี้เป็นหนึ่งในยอดฝีมือระดับสูงของสำนักซงซาน มีทักษะโดดเด่นมากในภารกิจครั้งนี้ ได้รางวัลจากจั่วเหลิ่งฉานเป็นตำราลับ ‘มือต้าซงหยาง’ รอให้เขาอัปเลเวลเคล็ดฝ่ามือมือระดับสูงวิชานี้ได้เมื่อไร ศักยภาพต้องสูงขึ้นอีกระดับแน่นอน ศักยภาพแฝงไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ซานเย่ว์ก็อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “เจ้าชื่อดาบฟันรองเท้าแตะ แต่กลับเข้ามาอยู่ในสำนักกระบี่ซงซาน ผลปรากฏว่าทักษะยุทธ์ระดับสูงดันเป็นเคล็ดฝ่ามือ เปลี่ยนสไตล์เร็วไปหน่อยหรือเปล่า”

ดาบฟันรองเท้าแตะได้ยินแล้วหัวเราะแห้ง “แบบนี้เรียกว่าจู่โจมตอนเผลอ แม่นางซานเย่ว์ลองจินตนาการดูสิ ปฏิกิริยาแรกที่คนอื่นได้ยินชื่อข้า จะต้องคิดว่าข้าใช้ดาบแน่นอน ผลปรากฏว่าข้ากลับเป็นศิษย์สำนักกระบี่ แค่นี้ก็เหนือความคาดหมายแล้วใช่ไหมล่ะ ผลปรากฏว่าพอลงมือ จู่ๆ ข้าก็ใช้เคล็ดฝ่ามือที่ร้ายกาจ แบบนั้นเหนือความคาดหมายยิ่งกว่าใช่ไหม…

…ความรู้สึกแบบนั้น ประหลาดใจหรือเปล่า เหนือความคาดหมายหรือไม่”

เหอะๆ!

เมื่ออยู่ในสถานการณ์พิเศษบางอย่าง วิธีการแบบนี้ทำให้ได้เปรียบนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่กลับเผยนิสัยเจ้าเล่ห์ของตัวเองแล้ว ทำแบบนี้ฉลาดจริงหรือ

“เจ้ามีความสุขก็ดีแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าว

ซานเย่ว์พูดอีกครั้ง “นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ศิษย์สำนักซงซานจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ สร้าง ‘หลักฐาน’ ออกมามากมายขนาดนี้ในคราวเดียว เกรงว่าต่อให้อวี๋ชางไห่มีร้อยปากก็แก้ตัวไม่ได้”

“จะนับเป็นอะไรได้” ดาบฟันรองเท้าแตะเบะปากเหยียดหยาม “หลักฐานพวกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ปลอมออกมา ทำให้เป็นของจริงไม่ได้ อยู่ในระดับที่ยกขึ้นมาโอ้อวดไม่ได้มากที่สุด”

ครั้งนี้แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิงเองก็สีหน้าเปลี่ยนแล้ว “พวกเจ้ายังหาหลักฐานจริงได้ด้วยหรือ”

“เจ้าก็คอยดูเอาเถอะ”

ในงาน หลังจากอวี๋ชางไห่อ่านจดหมายไปหลายฉบับ ก็เถียงกลับทันที “ประมุขพรรคจั่ว จดหมายพวกนี้ล้วนเป็นของปลอม! ก็แค่มีคนเลียนแบบลายมือของสำนักชิงเฉิง หรือไม่ก็เป็นพรรคฝ่ายมารจงใจสร้างหลักฐานใส่ร้าย เจ้าต้องมีสายตาเฉียบแหลม อย่าทำเรื่องทำร้ายคนใกล้ชิด แต่ศัตรูได้ประโยชน์!”

ใบหน้าเขามีแต่ความเศร้าโศก ท่าทางเหมือนน้ำตาจะไหล เสียงพูดปนเสียงสะอื้น ราวกับได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวง

จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้เหมือนเขาจะได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวงแล้วจริงๆ

ไว้อาลัยให้เขาหนึ่งวินาที

“ไม่ยอมรับหรือ” หลังจากไว้อาลัยหนึ่งวินาทีเสร็จแล้ว จั่วเหลิ่งฉานได้ยินแล้วแสยะยิ้มพักหนึ่ง จากนั้นหยิบจดหมายห้าฉบับออกมาจากหน้าอก แล้วโยนให้อวี๋ชางไห่เสียเลย “เช่นนั้นเจ้าก็ดูจดหมายพวกนี้อีกสักหน่อย”

อวี๋ชางไห่รับจดหมายมาแล้วเริ่มพลิกอ่าน พออ่านไปอ่านมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที

ตอนนี้กลับได้ยินดาบฟันรองเท้าแตะบอกว่า “จดหมายไม่กี่ฉบับนี้ถือว่าเป็นของจริงที่มีน้ำหนัก ได้มาเพราะพวกศิษย์เจ้าแผนการในสำนักผนึกกำลังกับผู้เล่นพรรคจรัสและพรรคสุริยันจันทรา เพื่อวางกับดัก NPC สำนักชิงเฉิงที่ออกไปข้างนอก ทำให้พวกเขาต้องลงนามว่ายืนยันว่าจดหมายพวกนี้เป็นของจริง”

“บนนั้นไม่ได้มีเพียงสี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงและ NPC สำนักชิงเฉิง แถวนี้ก็ยิ่งมีพยานรู้เห็นอยู่ไม่น้อย ไม่มีทางแก้ตัวเอาสีข้างเข้าแถได้เลย”

ชั่วขณะนั้น สายตาของทุกคนในงานก็ไปรวมอยู่บนตัวอวี๋ชางไห่พร้อมกัน เตรียมดูว่าเขาจะแก้ตัวอย่างไร

ทว่า สิ่งที่ทำให้นึกไม่ถึงก็คือ

หลังจากอวี๋ชางไห่อ่านจดหมายพวกนั้นแล้ว ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะลงมือกะทันหันโดยไม่พูดอะไรสักคำ สังหาร NPC สำนักชิงเฉิงที่ไม่ได้ระวังตัวตายคาที่ตรงนั้นทันที!

การลงมือของเขาครั้งนี้ ไม่เพียงแค่ทำให้ศิษย์ชิงเฉิงสองคนที่ถูกฆ่าไม่มีโอกาสป้องกันตัว ถึงขั้นว่าแม้แต่พวกจั่วเหลิ่งฉานก็ถูกโจมตีจนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน!

แม้แต่เขาเองก็ยังคาดไม่ถึงว่ายามที่อวี๋ชางไห่เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ก็ยังโหดและเด็ดขาดได้ถึงเพียงนี้!

จั่วเหลิ่งฉานในตอนนี้ถึงขั้นเกิดความคิดชื่นชมอวี๋ชางไห่ที่กำลังจะเดินเข้าสู่เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยขึ้นมาบ้างแล้ว

หลังจากอวี๋ชางไห่ฆ่าคนติดต่อกันสองคนแล้ว จู่ๆ ก็หันตัวกลับมา กุมหมัดคารวะจั่วเหลิ่งฉาน “ประมุขพรรคจั่วพูดถูกที่สุด นึกไม่ถึงว่าข้าจะหละหลวมไปชั่วขณะ นึกไม่ถึงว่าคนใต้สังกัดจะกล้าทำเรื่องที่สมคบกับพรรคฝ่ายมารได้ เป็นความผิดของชิงเฉิงจริงๆ! ก่อนหน้านี้สี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงตายไปแล้ว ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็ถูกข้าเก็บกวาดเหมือนเป็นขยะในบ้านแล้ว”

“ขอบคุณประมุขพรรคจั่วมากที่มีสายตาเฉียบแหลม ทำให้อวี๋ผู้นี้ไม่ถึงขั้นกลายเป็นคนบาปของฝ่ายธรรมะในยุทธภพ!”

ครั้งนี้แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิง เย่ว์ปู้ฉวินและจั่วเหลิ่งฉานก็ยังต้องยอมรับว่าอวี๋ชางไห่ใช้วิธีการเสียเรือเพื่อรักษาขุนได้งดงามมาก

เมื่อได้เห็นฉากนี้ เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ก็เริ่มขมวดคิ้ว ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็ถามดาบฟันรองเท้าแตะอย่างสนใจว่า “สหายรองเท้าแตะมีหลักฐานที่บดขยี้เหล่าวีรบุรุษได้ คาดว่าคงไม่ใช่หนึ่งในจดหมายห้าฉบับนั่นหรอกใช่ไหม”

“แน่นอนอยู่แล้ว” ดาบฟันรองเท้าแตะได้ยินแล้วเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจออกมา “หลักฐานของข้ากำลังจะมาถึงแล้ว เพื่อหลักฐานชิ้นนี้ ข้าจ่ายไปหนึ่งพันเหรียญทองเต็มๆ เลยนะ ทั้งยังเป็นราคามิตรภาพระหว่างสหายด้วย”

“ครั้งนี้ข้ารับรองว่าต่อให้อวี๋ชางไห่อยากจะสละเรือเพื่อรักษาขุน[1]ก็ทำไม่ได้ พวกเจ้าคอยดูเถอะ!”

[1] สละเรือเพื่อรักษาขุน 弃车保帅 หมายถึง สละสิ่งที่สำคัญน้อยเพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 202 สำนักซงซานมีแต่คนมากพรสวรรค์

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 202 สำนักซงซานมีแต่คนมากพรสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 202 สำนักซงซานมีแต่คนมากพรสวรรค์

ถูกตะคอกถามถึงสองครั้งภายในเวลาสั้นๆ อวี๋ชางไห่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม

ถ้าจะบอกว่าสำนักมือปราบเทพพุ่งเป้ามาที่ตนเพราะเรื่องของหลินผิงจือ อวี๋ชางไห่ก็ยังพยายามทำความเข้าใจได้ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาก็เคยทำตัวอันธพาลอยู่ที่เขตเมืองฝูโจว ไม่เห็นขุนนางอยู่ในสายตาเช่นกัน

แต่ฟ้าดินเป็นพยานได้ เขาไม่เคยล่วงเกินดาวร้ายอย่างจั่วเหลิ่งฉานมาก่อนเลย!

ด้วยฐานะในยุทธภพของอวี๋ชางไห่ ต่อให้เผชิญหน้ากับเจ้าสำนักห้าขุนเขากระบี่ที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างเย่ว์ปู้ฉวิน เขาก็ยังไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเลย นับประสาอะไรกับประมุขห้าขุนเขากระบี่ที่เผด็จการโอ้อวดอย่างจั่วเหลิ่งฉาน

แม้ก่อนหน้านี้ชีชีจะเคยบอกเขาไว้แล้วว่าสำนักซงซานกำลังรวบรวมหลักฐานที่เขาสมคบกับพรรคฝ่ายมาร

แต่ติดที่กติกาของเกม เมื่อไม่ได้อยู่ระหว่างทำภารกิจ ต่อให้ระหว่างผู้เล่นกับ NPC จะมีค่าความรู้สึกดีสูงขนาดไหน แต่ NPC ก็ไม่อาจเชื่อคำพูดทุกอย่างของอีกฝ่ายโดยไร้เงื่อนไข

ไม่อย่างนั้น แฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับอย่างอินปู้คุยคงไปหาจางซานเฟิงเพื่อสปอยล์เนื้อเรื่อง ‘บันทึกกระบี่อิงฟ้าดาบฆ่ามังกร’ โดยตรง แล้วเนื้อเรื่องหลังจากนั้นก็ดำเนินต่อไปไม่ได้แล้ว

ตอนนี้เมื่อได้ยินจั่วเหลิ่งฉานถามต่อหน้าฝูงชนว่าตนรู้ถึงความผิดของตัวเองหรือไม่ อวี๋ชางไห่ก็ทำได้เพียงแข็งใจตอบว่า “ประมุขพรรคจั่ว เจ้าไม่ควรถูกคนต่ำช้าปลุกปั่น…”

“คนต่ำช้าปลุกปั่น?” จั่วเหลิ่งฉานไม่ทันรอให้อวี๋ชางไห่พูดจบ ก็ตัดบทอีกครั้งอย่างไม่ไว้หน้า “ข่าวได้ยินคนรายงานขึ้นมาไม่น้อย ว่าเจ้ากับลูกศิษย์สายตัวเองมีพฤติกรรมสมคบกับพรรคฝ่ายมาร หลักฐานอยู่ที่นี่หมดแล้ว เจ้าไปดูเอาเองเถอะ”

ขณะที่พูด จงเจิ้น ฉายากระบี่เก้าเพลงก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า โยนกล่องไม้บุผ้าแพรไปข้างเท้าของอวี๋ชางไห่ กล่องไม้กระแทกพื้นจนแตก เผยจดหมายกองใหญ่ที่อยู่ข้างใน

มีไม่ต่ำกว่าร้อยฉบับ!

อวี๋ชางไห่สุ่มหยิบขึ้นมาสองสามฉบับ พอเปิดดูก็พบว่าข้างในเป็นจดหมายที่เขา หรือไม่ก็ศิษย์สำนักเขาส่งโต้ตอบกับคนพรรคสุริยันจันทราและพรรคจรัส ในจำนวนนั้นมีเนื้อหาหลายอย่าง

มีคุยเล่นเรื่อยเปื่อย คุยเรื่องไร้สาระ ถกกันเรื่องแนวโน้มสถานการณ์ในยุทธภพ…ไม่ได้คุยแค่เรื่องเดียว

เมื่อได้เห็นฉากนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็ยกมุมปากเผยยิ้มทะเล้น แล้วบอกในช่องทีมวว่า [จั่วเหลิ่งฉานคนนี้ เล่นเก่งจริงๆ!]

จากกลยุทธ์ที่ทางอินปู้คุยให้มา เยี่ยเว่ยหมิงย่อมรู้ว่าอวี๋ชางไห่กับพรรคสุริยันจันทราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน

ส่วนพรรคจรัสก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

แต่จั่วเหลิ่งฉานกลับอาศัยภารกิจสำนักนี้ ทำให้ศิษย์ในสำนักตัวเองรวบรวมจดหมายที่อวี๋ชางไห่ใช้สมคบกับพรรคฝ่ายมาร ต้องบอกเลยว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง

ส่วนถ้าจะถามว่าจดหมายพวกนี้มาจากไหน

ก่อนหน้านี้เฟยอวี๋เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า NPC ที่คัดลอกลายมือได้ตามเมืองใหญ่แต่ละแห่งงานยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้แล้ว!

ในจำนวนนั้นมีจดหมายบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวละครเล็กๆ ของพรรคฝ่ายมาร ไม่ต้องลอกเลียนแบบลายมือด้วยซ้ำ ขอเพียงผู้เล่นกล้าส่ง จั่วเหลิ่งฉานก็กล้ารับ เพียงแต่ถ้าลอกเลียนแบบได้ดี รางวัลก็จะเยอะหน่อย ถ้าลอกเลียนแบบลวกๆ รางวัลก็จะน้อยลงเท่านั้นเอง

ในสถานการณ์อย่างนี้ ยังกลัวจะหาหลักฐานได้ไม่เพียงพออีกหรือ

“สหายเฟยอวี๋” ตอนที่ศิษย์สามคนของสำนักมือปราบเทพกำลังดูการแสดงของจั่วเหลิ่งฉานเงียบๆ ศิษย์ซงซานคนหนึ่งที่หน้าเหมือนตุ๊กตากลับเดินออกจากทีมของสำนักซงซาน เดินเข้ามาทางพวกเขาแล้วทักทายเฟยอวี๋ก่อน จากนั้นหันไปพูดกับเยี่ยเว่ยหมิงและซานเย่ว์ว่า “พวกเจ้าสองคนคงจะเป็นสหายเยี่ยเว่ยหมิงกับแม่นางซานเย่ว์สินะ น้องชายชื่อดาบฟันรองเท้าแตะ มาเพิ่มเพื่อนกันหน่อยเป็นอย่างไร”

ขณะที่พูด เขาก็รอทั้งสองแสดงท่าทีเช่นกัน ตัวเองส่งคำขอเป็นเพื่อนให้เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์แล้ว

หลังจากส่งคำขอเป็นเพื่อนเรียบร้อยแล้ว เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างกันก็เลยฝากแนะนำตัว “น้องรองเท้าแตะคนนี้ ตอนนี้เป็นหนึ่งในยอดฝีมือระดับสูงของสำนักซงซาน มีทักษะโดดเด่นมากในภารกิจครั้งนี้ ได้รางวัลจากจั่วเหลิ่งฉานเป็นตำราลับ ‘มือต้าซงหยาง’ รอให้เขาอัปเลเวลเคล็ดฝ่ามือมือระดับสูงวิชานี้ได้เมื่อไร ศักยภาพต้องสูงขึ้นอีกระดับแน่นอน ศักยภาพแฝงไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ซานเย่ว์ก็อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “เจ้าชื่อดาบฟันรองเท้าแตะ แต่กลับเข้ามาอยู่ในสำนักกระบี่ซงซาน ผลปรากฏว่าทักษะยุทธ์ระดับสูงดันเป็นเคล็ดฝ่ามือ เปลี่ยนสไตล์เร็วไปหน่อยหรือเปล่า”

ดาบฟันรองเท้าแตะได้ยินแล้วหัวเราะแห้ง “แบบนี้เรียกว่าจู่โจมตอนเผลอ แม่นางซานเย่ว์ลองจินตนาการดูสิ ปฏิกิริยาแรกที่คนอื่นได้ยินชื่อข้า จะต้องคิดว่าข้าใช้ดาบแน่นอน ผลปรากฏว่าข้ากลับเป็นศิษย์สำนักกระบี่ แค่นี้ก็เหนือความคาดหมายแล้วใช่ไหมล่ะ ผลปรากฏว่าพอลงมือ จู่ๆ ข้าก็ใช้เคล็ดฝ่ามือที่ร้ายกาจ แบบนั้นเหนือความคาดหมายยิ่งกว่าใช่ไหม…

…ความรู้สึกแบบนั้น ประหลาดใจหรือเปล่า เหนือความคาดหมายหรือไม่”

เหอะๆ!

เมื่ออยู่ในสถานการณ์พิเศษบางอย่าง วิธีการแบบนี้ทำให้ได้เปรียบนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่กลับเผยนิสัยเจ้าเล่ห์ของตัวเองแล้ว ทำแบบนี้ฉลาดจริงหรือ

“เจ้ามีความสุขก็ดีแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงกล่าว

ซานเย่ว์พูดอีกครั้ง “นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ศิษย์สำนักซงซานจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ สร้าง ‘หลักฐาน’ ออกมามากมายขนาดนี้ในคราวเดียว เกรงว่าต่อให้อวี๋ชางไห่มีร้อยปากก็แก้ตัวไม่ได้”

“จะนับเป็นอะไรได้” ดาบฟันรองเท้าแตะเบะปากเหยียดหยาม “หลักฐานพวกนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ปลอมออกมา ทำให้เป็นของจริงไม่ได้ อยู่ในระดับที่ยกขึ้นมาโอ้อวดไม่ได้มากที่สุด”

ครั้งนี้แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิงเองก็สีหน้าเปลี่ยนแล้ว “พวกเจ้ายังหาหลักฐานจริงได้ด้วยหรือ”

“เจ้าก็คอยดูเอาเถอะ”

ในงาน หลังจากอวี๋ชางไห่อ่านจดหมายไปหลายฉบับ ก็เถียงกลับทันที “ประมุขพรรคจั่ว จดหมายพวกนี้ล้วนเป็นของปลอม! ก็แค่มีคนเลียนแบบลายมือของสำนักชิงเฉิง หรือไม่ก็เป็นพรรคฝ่ายมารจงใจสร้างหลักฐานใส่ร้าย เจ้าต้องมีสายตาเฉียบแหลม อย่าทำเรื่องทำร้ายคนใกล้ชิด แต่ศัตรูได้ประโยชน์!”

ใบหน้าเขามีแต่ความเศร้าโศก ท่าทางเหมือนน้ำตาจะไหล เสียงพูดปนเสียงสะอื้น ราวกับได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวง

จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้เหมือนเขาจะได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวงแล้วจริงๆ

ไว้อาลัยให้เขาหนึ่งวินาที

“ไม่ยอมรับหรือ” หลังจากไว้อาลัยหนึ่งวินาทีเสร็จแล้ว จั่วเหลิ่งฉานได้ยินแล้วแสยะยิ้มพักหนึ่ง จากนั้นหยิบจดหมายห้าฉบับออกมาจากหน้าอก แล้วโยนให้อวี๋ชางไห่เสียเลย “เช่นนั้นเจ้าก็ดูจดหมายพวกนี้อีกสักหน่อย”

อวี๋ชางไห่รับจดหมายมาแล้วเริ่มพลิกอ่าน พออ่านไปอ่านมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที

ตอนนี้กลับได้ยินดาบฟันรองเท้าแตะบอกว่า “จดหมายไม่กี่ฉบับนี้ถือว่าเป็นของจริงที่มีน้ำหนัก ได้มาเพราะพวกศิษย์เจ้าแผนการในสำนักผนึกกำลังกับผู้เล่นพรรคจรัสและพรรคสุริยันจันทรา เพื่อวางกับดัก NPC สำนักชิงเฉิงที่ออกไปข้างนอก ทำให้พวกเขาต้องลงนามว่ายืนยันว่าจดหมายพวกนี้เป็นของจริง”

“บนนั้นไม่ได้มีเพียงสี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงและ NPC สำนักชิงเฉิง แถวนี้ก็ยิ่งมีพยานรู้เห็นอยู่ไม่น้อย ไม่มีทางแก้ตัวเอาสีข้างเข้าแถได้เลย”

ชั่วขณะนั้น สายตาของทุกคนในงานก็ไปรวมอยู่บนตัวอวี๋ชางไห่พร้อมกัน เตรียมดูว่าเขาจะแก้ตัวอย่างไร

ทว่า สิ่งที่ทำให้นึกไม่ถึงก็คือ

หลังจากอวี๋ชางไห่อ่านจดหมายพวกนั้นแล้ว ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะลงมือกะทันหันโดยไม่พูดอะไรสักคำ สังหาร NPC สำนักชิงเฉิงที่ไม่ได้ระวังตัวตายคาที่ตรงนั้นทันที!

การลงมือของเขาครั้งนี้ ไม่เพียงแค่ทำให้ศิษย์ชิงเฉิงสองคนที่ถูกฆ่าไม่มีโอกาสป้องกันตัว ถึงขั้นว่าแม้แต่พวกจั่วเหลิ่งฉานก็ถูกโจมตีจนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน!

แม้แต่เขาเองก็ยังคาดไม่ถึงว่ายามที่อวี๋ชางไห่เผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ก็ยังโหดและเด็ดขาดได้ถึงเพียงนี้!

จั่วเหลิ่งฉานในตอนนี้ถึงขั้นเกิดความคิดชื่นชมอวี๋ชางไห่ที่กำลังจะเดินเข้าสู่เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยขึ้นมาบ้างแล้ว

หลังจากอวี๋ชางไห่ฆ่าคนติดต่อกันสองคนแล้ว จู่ๆ ก็หันตัวกลับมา กุมหมัดคารวะจั่วเหลิ่งฉาน “ประมุขพรรคจั่วพูดถูกที่สุด นึกไม่ถึงว่าข้าจะหละหลวมไปชั่วขณะ นึกไม่ถึงว่าคนใต้สังกัดจะกล้าทำเรื่องที่สมคบกับพรรคฝ่ายมารได้ เป็นความผิดของชิงเฉิงจริงๆ! ก่อนหน้านี้สี่ปัญญาชนแห่งชิงเฉิงตายไปแล้ว ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็ถูกข้าเก็บกวาดเหมือนเป็นขยะในบ้านแล้ว”

“ขอบคุณประมุขพรรคจั่วมากที่มีสายตาเฉียบแหลม ทำให้อวี๋ผู้นี้ไม่ถึงขั้นกลายเป็นคนบาปของฝ่ายธรรมะในยุทธภพ!”

ครั้งนี้แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิง เย่ว์ปู้ฉวินและจั่วเหลิ่งฉานก็ยังต้องยอมรับว่าอวี๋ชางไห่ใช้วิธีการเสียเรือเพื่อรักษาขุนได้งดงามมาก

เมื่อได้เห็นฉากนี้ เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ก็เริ่มขมวดคิ้ว ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็ถามดาบฟันรองเท้าแตะอย่างสนใจว่า “สหายรองเท้าแตะมีหลักฐานที่บดขยี้เหล่าวีรบุรุษได้ คาดว่าคงไม่ใช่หนึ่งในจดหมายห้าฉบับนั่นหรอกใช่ไหม”

“แน่นอนอยู่แล้ว” ดาบฟันรองเท้าแตะได้ยินแล้วเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจออกมา “หลักฐานของข้ากำลังจะมาถึงแล้ว เพื่อหลักฐานชิ้นนี้ ข้าจ่ายไปหนึ่งพันเหรียญทองเต็มๆ เลยนะ ทั้งยังเป็นราคามิตรภาพระหว่างสหายด้วย”

“ครั้งนี้ข้ารับรองว่าต่อให้อวี๋ชางไห่อยากจะสละเรือเพื่อรักษาขุน[1]ก็ทำไม่ได้ พวกเจ้าคอยดูเถอะ!”

[1] สละเรือเพื่อรักษาขุน 弃车保帅 หมายถึง สละสิ่งที่สำคัญน้อยเพื่อรักษาสิ่งที่สำคัญกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด