ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 501 ภารกิจระดับเจ็ดดาว: เคราะห์ตายของซื่อเจี้ยน

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 501 ภารกิจระดับเจ็ดดาว: เคราะห์ตายของซื่อเจี้ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 501 ภารกิจระดับเจ็ดดาว: เคราะห์ตายของซื่อเจี้ยน

ที่แท้เกมสำหรับการเคลื่อนย้ายประชากรระหว่างดวงดาวอย่าง ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ ก็ให้ความสำคัญกับกิจกรรมสันทนาการยามว่างของผู้เล่นเช่นกัน

นอกจากกิจกรรมตามเทศกาลที่จัดเป็นช่วงๆ ยังมีรายการงานเลี้ยงราตรีฉลองตรุษจีนด้วย

อีกทั้งงานราตรีฉลองตรุษจีนในเกมก็เหมือนกับในชีวิตจริงทุกอย่าง ต้องใช้เวลาเตรียมตัวหลายเดือน

สะพานสวรรค์น้อยกับมั่วหร่านนับว่าค่อนข้างโชคดี เพิ่งครึ่งปีแรกก็ได้รับภารกิจที่เกี่ยวข้องแล้ว หากทำสำเร็จได้ด้วยดี ก็จะมีโอกาสขึ้นแสดงบนเวทีในงานราตรีฉลองตรุษจีน

อีกทั้งยังมีรางวัลมากมายด้วย เพียงพอที่จะทำให้ผู้เล่นทุกคนใจเต้น

ว่ากันว่าในการคัดเลือกรายการงานราตรีฉลองตรุษจีนของเทศกาลโคมไฟ ผู้เล่นที่ได้อันดับหนึ่งในรายการประเภทเดียวกันจะได้รับรางวัลเป็นสุดยอดวิชาฉบับสมบูรณ์!

เพื่อรับประกันคุณภาพของรายการ นักแสดงหลักของรายการส่วนใหญ่แทบทั้งหมดเป็น NPC ที่กำหนดขึ้นมารับหน้าที่โดยเฉพาะ

สะพานสวรรค์น้อยกับมั่วหร่านได้รับภารกิจประเภทเต้นระบำ ตำแหน่งเซนเตอร์วงคือ NPC ซื่อเจี้ยน แต่ตำแหน่งของพวกนางสองคนก็ไม่ได้แย่เช่นกัน ได้ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของซื่อเจี้ยน ร่วมระบำในตำแหน่งสำคัญกับนาง

แต่ตำแหน่งแบบนี้ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ

หลังจากพวกนางสองคนทำภารกิจย่อยสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็ได้เจอด่านที่โหดมาก…เคราะห์ตายของซื่อเจี้ยน!

จากที่สะพานสวรรค์น้อยบรรยายมา หลังจากซื่อเจี้ยนถูกสือพั่วเทียนลักพาตัวไป ก็เคยพาพวกนางไปจุดธูปขอพรที่วัดในเมืองครั้งหนึ่ง

ครั้งนั้นเจอซินแสดูดวงให้ บอกว่าปีนี้ซื่อเจี้ยนจะเผชิญเคราะห์ตายหนึ่งครั้ง

หากผ่านไปได้ ทุกอย่างก็ย่อมราบรื่น

หากผ่านไปไม่ได้ ซื่อเจี้ยนก็ย่อมกลายเป็นเหมือนหยกแหลกลาญ รายการแสดงที่งานราตรีฉลองตรุษจีนของพวกสะพานสวรรค์น้อย ก็จะขาดตำแหน่งนักแสดงหลักไปโดยสิ้นเชิง

ตอนนี้พวกนางกำลังกังวลเรื่องนี้อยู่!

เมื่อได้ยินสะพานสวรรค์น้อยเล่า น้องดาบก็เอ่ยทันทีว่า “อย่างพวกเจ้าเรียกว่ากังวลเกินเหตุ คำพูดของหมอดูในยุทธภพเชื่อได้เสียที่ไหนกัน”

สะพานสวรรค์น้อยได้แต่ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน จากนั้นจับภาพภารกิจส่งให้น้องดาบผ่านข้อความส่วนตัว

[เคราะห์ตายของซื่อเจี้ยน]

ปีนี้ซื่อเจี้ยนจะประสบเคราะห์ตายหนึ่งครั้ง ในฐานะสหายที่ดีของนาง คุณควรช่วยนางให้พ้นเคราะห์นี้อย่างสุดความสามารถ

ระดับภารกิจ: 7 ดาว

รางวัลภารกิจ: ยืนยันรายชื่อการแสดง พร้อมรับรางวัลเป็นค่าประสบการณ์และค่าตบะจำนวนมาก

บทลงโทษภารกิจล้มเหลว: ภารกิจยายทั้งหมดจะล้มเหลว เสียโอกาสเข้าร่วมงานราตรีฉลองตรุษจีนครั้งนี้โดยสิ้นเชิง

ระยะเวลาภารกิจ: ก่อนซื่อเจี้ยนตาย

……

เมื่อเห็นภารกิจที่ระบบให้มา ในที่สุดน้องดาบก็เชื่อหมดใจแล้ว

ถ้าจะบอกว่าคำพูดของซินแสไม่น่าเชื่อ เช่นนั้นภารกิจที่ระบบให้มาก็ไม่ใช่ของปลอมแน่นอน!

น้องดาบขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วอดถามต่อไม่ได้ว่า “ภารกิจก็คือ…ประเด็นก็คือเนื้อหาที่ระบบให้มาคลุมเครือเกินไป มีข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้หน่อยไหม”

“มีสิ!” ตอนนี้มั่วหร่านก้าวขึ้นมาแล้วเช่นกัน นางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา “พวกเราจ่ายเงินไปไม่น้อยกว่าจะได้สิ่งนี้มา เกี่ยวกับเคราะห์ตายของซื่อเจี้ยน ซินแสท่านนั้นส่งกระดาษแผ่นนี้มาแผ่นเดียว”

ผลปรากฏว่าพอน้องดาบเห็น ก็อ่านออกเสียงโดยจิตใต้สำนึก “ลมพัดกระดิ่งดัง?…

…หมายความว่าอย่างไร…

…ให้ตายเถอะ ข้าเกลียดเกมปริศนาคำทายที่สุดเลย!”

…..

เมืองเจิ้นเจียง โรงเตี๊ยมเย่ว์ไหล

เยี่ยเว่ยหมิงหลับตานั่งสมาธิอยู่บนเตียงนอน สือชิงที่สวมชุดดำทั้งตัวยืนอยู่ตรงหน้าต่าง กำลังทอดสายตามองทิวทัศน์ที่อยู่ไกลๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและเหม่อลอย

พวกเขาเช่าห้องหนึ่งห้องที่โรงเตี๊ยม สือชิงรับหน้าที่เฝ้าเยี่ยเว่ยหมิง ส่วนหมิ่นโหรวที่นิสัยค่อนข้างวู่วามออกไปสืบข่าว

สือชิงแบ่งงานให้แบบนี้ก็เพราะกังวลที่ภรรยาตัวเองวู่วามเกินไป ก่อนที่ตัวเองจะสืบข่าวกลับมา เขากลัวนางอดใจไม่ไหวลงมือกับเยี่ยเว่ยหมิง

ขณะเดียวกัน เขาก็กังวลยิ่งกว่าที่ต้องรอหมิ่นโหรวกลับมา เพราะนางจะกลับมาพร้อมข่าวที่เขาไม่อยากเผชิญหน้า

ซึ่งความกังวลแบบนี้ย่อมรุนแรงขึ้นไม่เรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านไป

ตอนนี้เขาแยกกับภรรยาได้หนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว

หมิ่นโหรวออกไปสืบข่าวข้างนอก ทำไมตอนนี้ยังไม่กลับมาอีก

สือชิงยิ่งรอก็ยิ่งกระวนกระวาย

ตอนแรกเริ่ม จิตใต้สำนึกของเขาถึงขั้นกังวลว่าภรรยาจะนำข่าวที่ไม่ดีกลับมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขากลับยิ่งหวังให้ภรรยากลับมาโดยเร็ว ไม่ว่าจะนำข่าวอะไรกลับมาก็ตาม

อย่างน้อยก็ขอให้นางกลับมาอย่างปลอดภัย!

รอไปอีกพักหนึ่งก็ยังไม่เห็นเงาของภรรยา เขาหันหน้ากลับมาอย่างอดทนรอไม่ไหว มองเยี่ยเว่ยหมิงที่นั่งสง่าอยู่ตรงหัวเตียงแล้วขมวดคิ้วถามว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย พวกเราเชื่อในความประพฤติของท่าน คิดว่าท่านคงไม่โกหกง่ายๆ ถึงได้ให้ท่านมาสืบความจริงที่เมืองเจิ้นเจียงด้วยกัน แต่ตอนนี้หมิ่นโหรวยังไม่กลับมา คงไม่ใช่ว่าจอมยุทธ์น้อยเยี่ยเตรียมการอะไรไว้ที่นี่ล่วงหน้าหรอกใช่ไหม”

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วลืมตา ตอบด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เมืองเจิ้นเจียงเป็นเขตแดนของพรรคสุขนิรันดร์ ไม่ใช่อาณาเขตของเยี่ยเว่ยหมิง หรือสำนักมือปราบเทพ ข้าจะเตรียมการอะไรไว้ได้…

…หากเจ้าบ้านสือไม่ไว้วางใจ ก็ออกไปหาเองได้เลย หรือไม่อย่างนั้น จะพาข้าออกไปหาด้วยก็ได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ขัดขืนไม่ได้อยู่แล้ว…

…ถ้ากลัวว่าจะอวดฉลาดแล้วทำพลาด ฮูหยินของท่านกลับมาแล้วไม่พบท่าน ก็รออยู่ที่นี่แต่โดยดีเถอะ”

พอพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็นั่งอยู่บนหัวเตียง พร้อมเริ่มวาดท่าดรรชนีกระบี่กลางอากาศ

เขากำลังทำงานที่ยังค้างคา สรุปกระบวนท่าของเคล็ดกระบี่มากมายที่เคยเรียนมา กำจัดส่วนที่ไร้ประโยชน์และเก็บส่วนที่ดีเอาไว้ กลั่นกรองกระบวนท่าที่เหมาะกับการควบคุมกระบี่

สือชิงเห็นเยี่ยเว่ยหมิงยังมีอารมณ์ศึกษากระบวนท่ากระบี่ แม้ในใจจะหงุดหงิด แต่ก็ทำได้เพียงหันไปมองนอกหน้าต่าง กวาดตามองบนถนนใหญ่ข้างนอก หาเงาของภรรยาตัวเองอย่างร้อนใจ

การแอบเรียนวิชาแบบครูพักลักจำถือเป็นข้อห้ามร้ายแรงในยุทธภพ เยี่ยเว่ยหมิงที่เป็นผู้เล่นจะไม่ถือก็ได้ แต่สือชิงก็เลือกที่จะไม่มองอย่างมีจิตสำนึก

เยี่ยเว่ยหมิงออกเดินทางแต่เช้าตรู่ นั่งรถมาจากซูโจวมาเจิ้นเจียง นัดเจอกับโหยวโหยวแบบรีบร้อน จากนั้นเขากับน้องดาบก็ไปที่หน้าผาหมัวเทียนด้วยกัน ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ตั้งแต่เจอเซี่ยเยียนเค่อ ประเมินกันจนถูกจอมกระบี่ขาวดำจับตัวไป ในระหว่างนั้นใช้เวลาไม่เกินห้านาที

ตอนหลังก็เลี้ยวกลับมาอีก รออยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ตลอด ตอนนี้เลยเวลาอาหารเที่ยงไปแล้ว

เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกได้ว่าท้องหิว จึงกินยาปี้กู่ที่หลอมจากสมุนไพร ‘หญ้าจู้อวี๋’ ซึ่งมีเฉพาะที่เสินหนงจย้า จากนั้นก็ศึกษาท่ากระบี่ต่อไป

ส่วนสือชิงก็กำลังเป็นห่วงภรรยา ไม่มีกะจิตกะใจจะกินข้าว

แล้วก็ผ่านไปอย่างนี้ คนหนึ่งกำลังนั่งศึกษาท่ากระบี่อยู่บนเตียง คนหนึ่งกำลังเหม่อมองบนถนนนอกหน้าต่าง

เวลาผ่านไปเร็วมาก เมื่อถนนที่คึกคักค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเงียบเหงา แสงแดดเจิดจรัสที่สาดส่องอยู่บนพื้นเริ่มขมุกขมัว ส่องสะท้อนสีแดงเข้มขึ้นหลายส่วน

ฟ้ามืดแล้ว!

เห็นสือชิงพี่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างกำหมัดขวาแน่นแล้วก็คลายออก พอคลายออกแล้วก็กำหมัดแน่นอีกครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงแทบจะสัมผัสได้ถึงความกระวนกระวายที่อยู่ในใจเขา

หลังจากศึกษาท่าจิบสุราแล้วเก็บดรรชนีกระบี่ เยี่ยเว่ยหมิงก็นำยาออกมานิดหน่อย “คนคือเหล็ก ข้าวคือโลหะ ต่อให้เจ้าบ้านสือเป็นกังวลแค่ไหน แต่ก็จะปล่อยให้ท้องว่างไม่ได้ใช่ไหม หากไม่มีอารมณ์กินข้าว ที่ข้ามี ‘ยาปี้กู่’ ที่หลอมเองอยู่หนึ่งเม็ด กินแล้วจะแก้หิวได้สามวันสามคืน เม็ดละหนึ่งร้อยตำลึง เจ้าบ้านสือคิดว่าราคานี้สมเหตุสมผลไหม”

สือชิงนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะมาคิดวนเวียนเรื่องนิสัยของเยี่ยเว่ยหมิง จึงกล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ย ตอนนี้ข้าจะคลายจุดบนขาให้เจ้า แล้วพาเจ้าไปตามหาหมิ่นโหรวด้วยกัน…

…แต่ก่อนที่จะสืบรู้ความจริงชัดเจน หวังว่าจอมยุทธ์น้อยเยี่ยจะควบคุมตัวเองได้ อย่าทำอะไรที่ทำให้ข้าลำบากใจ”

เมื่อเห็นท้องฟ้ากำลังจะมืด ในที่สุดสือชิงก็แสดงออกว่าตัวเองนั่งรอต่อไปไม่ไหวแล้ว

คาดไม่ถึง เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอก”

ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็บิดขี้เกียจ จากนั้นกระโดดลงจากเตียงอย่างคล่องตัว ท่าทางที่เคลื่อนไหวได้ตามอำเภอใจแบบนั้น เหมือนคนที่โดนจี้สกัดจุดจนเคลื่อนไหวไม่สะดวกเสียที่ไหนกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด