ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 101 ศึกเลี้ยงแมลงพิษ[1]

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 101 ศึกเลี้ยงแมลงพิษ[1] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 101 ศึกเลี้ยงแมลงพิษ[1]

ในเมื่อระบบแจ้งมาแบบนี้แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่บ่นอะไรอีก สะบัดผมเผยหลังศีรษะสุดเท่ให้กงเหย่เฉียน แล้วพาซานเย่ว์หามุมสงบนั่งลงเสียเลย

ซานเย่ว์ที่เพิ่งได้รับชัยชนะก็ย่อมไม่ลืมที่จะโอ้อวดความเก่งกาจต่อเยี่ยเว่ยหมิง ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงที่กำลังอารมณ์ดีมากก็ส่งคำชมให้แบบไม่กั๊กสักนิด

ในมุมมองของเขา การชมทักษะยุทธ์ของซานเย่ว์ที่จริงก็เป็นเรื่องที่สบายมาก อย่างน้อยเขาก็พูดชมได้อย่างเป็นมืออาชีพ ง่ายกว่าการตอบคำถามว่า ‘ปิ่นมุกที่ข้าปักสวยหรือเปล่า’ ตั้งหลายเท่า

เพราะคำตอบที่ว่าสวยหรือไม่สวย มักจะตามด้วยคำถามต่อไปที่น่าปวดหัว

สวยตรงไหน

เยี่ยเว่ยหมิงคิดในใจว่า แม่งเอ๊ย ฉันจะไปรู้เหรอว่าสวยตรงไหน ฉันก็แค่ดูว่าค่าสเตตัสมันดีหรือแย่เท่านั้นแหละ!

แต่ถ้าบอกว่าไม่สวยน่ะเหรอ

ขอร้องล่ะ!

เวลาจะขอร้องคนอื่น ควรพูดจาแบบนี้เหรอ

เพียงแต่ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็ไม่มีอารมณ์มาพูดคุยหัวเราะกันแล้ว

เนื่องจากการประลองบนสังเวียนก่อนหน้านี้ ผู้เล่นทุกคนที่อยู่ในสนามล้วนอยู่ในฐานะผู้ชม การต่อสู้อยู่ในสายตาของพวกเขาหมดแล้ว

ถึงแม้ตอนอยู่ในทีมของสำนักมือปราบเทพ ความสามารถของซานเย่ว์เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นอันดับโหล่ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้เล่นนับพันหมื่น นางก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือเหนือยอดฝีมือแน่นอน

แค่ดูจากฝ่ามืออัสนีบาตที่เลเวลไม่ใช่ต่ำๆ ตอนนางใช้กับจ้างเย่ว์ก่อนหน้านี้ ก็ทำให้คนมากมายรู้สึกทึ่งแล้ว

ในสายตาบางคนที่ช่างประจบ นางหนูคนนี้วิวัฒนาการกลายเป็นเทพสตรีสำเร็จแล้ว

ประมาณมองได้จากที่ไกลๆ เท่านั้น มิอาจเข้ามาล่วงเกินได้!

แน่นอน ถ้าหากล่วงเกินได้ล่ะก็…หึหึ!

และเมื่อเทียบกันแล้ว ประโยคสุดท้ายของเยี่ยเว่ยหมิงที่บอกว่า ‘โจมตีจุดซานจงเสว์ของเขา!’ แม้คนมากมายจะมองข้ามไป แต่ถ้าเป็นผู้เล่นที่สังเกตการต่อสู้สนามนี้สักหน่อย คนที่ไม่ถูกค่าสเตตัสขั้นเทพของซานเย่ว์บังตา ก็ล้วนจดจำเจ้าหนุ่มที่สายตาสุดโหดคนนี้เอาไว้ในใจอย่างเหนียวแน่นแล้ว

ในสายตาของคนเหล่านี้ เยี่ยเว่ยหมิงร้ายกาจกว่าหวังอวี่เยียนตั้งเยอะ

อย่างไรเสียเรื่องที่หวังอวี่เยียนพูดมาตั้งนานแล้วก็ยังทำไม่ได้ แต่เขาพูดประโยคเดียวก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว

มีความแตกต่างกันมากจริงๆ!

ต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ตอนที่ทุกคนกำลังรอให้การประลองเริ่ม ก็มักจะมองมาที่พวกเขาเป็นระยะ

แต่เมื่อถูกมองเยอะๆ ไม่ว่าใครก็รู้สึกอึดอัดทั้งนั้น

อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ใช่ศิลปินที่ทำการแสดง ไม่ได้มีภูมิคุ้มกันมากขนาดนั้น

หลังจากนั้นพักหนึ่ง จ้างเย่ว์ก็เลี้ยวกลับมาอีกครั้ง การสู้บนสังเวียนคือภารกิจชั่วคราวแบบพิเศษ นอกจากจะไม่ถูกลงโทษใดๆ แล้ว ถึงขั้นว่าแม้แต่ภารกิจก่อนหน้านี้ก็ไม่ถูกขัดจังหวะด้วย

ทำให้เขาได้ประโยชน์จริงๆ!

เพียงแต่หลังจากผ่านไปอีกพักหนึ่ง การประลองคัดเลือกก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เยี่ยเว่ยหมิงรวมทั้งผู้เล่นทุกคนที่อยู่ตรงนั้นถูกส่งเข้าไปในแผนที่พิเศษท่ามกลางแสงสว่างวาบ สนามประลองยุทธ์ที่เดิมทีเสียงดังเอะอะ ชั่วพริบตาเดียวก็เหลือเพียงกงเหย่เฉียนคนเดียว ยืนโดดเดี่ยวอยู่ใต้สังเวียน

……

หลังจากแสงสีขาวหายไป ฉากก็เปลี่ยนแล้ว

เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกได้ทันทีว่ามีคลื่นความร้อนโผเข้าปะทะหน้า แต่นั่นกลับเป็นทรายที่มาพร้อมกับพายุหมุน ทรายบาดผิวหนังจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย

“โอ๊ะ โอ๊ย!”

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจ พอหันไปมอง กลับเห็นซานเย่ว์ถูกลมทรายพัดเข้าตาจนตามัว ตอนนี้กำลังนั่งยองๆ ขยี้ตา

“อย่าขยี้ นั่นจะทำร้ายดวงตา”

หลังจากเตือนสหายตัวเองแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็อดขำไม่ได้ ในเกมนี้ หลังออกจากการต่อสู้แล้ว แม้แต่แขนหกขาหักก็ยังฟื้นฟูไวมาก จะมาถูกทรายทำร้ายดวงตาได้อย่างไร

ต้องโทษที่เกมนี้สมจริงเกินไป ทำให้คนแยกออกได้ยากว่าเป็นเกม หรือเป็นความจริง

ที่จริงแล้วคนที่เมามายไปกับเกมจะมีแค่เยี่ยเว่ยหมิงคนเดียวอย่างนั้นหรือ

หลังจากได้ยินเสียงเตือนของเขา ซานเย่ว์ก็ตกใจเช่นกัน มือนางหยุดเคลื่อนไหวโดยจิตใต้สำนึก ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่กล้าขยี้ตาต่อแล้ว

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงนำน้ำสะอาดกาหนึ่งออกมาจากตัว แล้วยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย พร้อมกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ใช้น้ำสะอาดล้างสักหน่อย ดูท่าแล้ว ผู้เข้าร่วมประลองทุกคนคงถูกส่งไปยังจุดที่แตกต่างกันบนแผนที่โดยอิงตามกลุ่ม”

“พวกเราก็ต้องรีบเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ใช้แรงไปเยอะเพื่อคว้าโอกาสนี้มา ถ้าไม่ฉวยผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงพวกนี้ จะไม่รู้สึกผิดต่อความพยายามก่อนหน้านี้หรอกหรือ”

หลังจากรับน้ำสะอาดมาแล้ว ซานเย่ว์ก็นำมาล้างตาทันที หายเคืองตาอย่างรวดเร็วจริงๆ ด้วย

เมื่อลุกขึ้นยืน คืนน้ำสะอาดครึ่งกาที่เหลือให้เยี่ยเว่ยหมิง ซานเย่ว์ถึงได้เดินออกไปสำรวจทิวทัศน์โดยรอบ แต่กลับพบว่าพวกเขากำลังอยู่ในทะเลทรายที่รกร้างแห่งหนึ่ง ใต้เท้าเป็นทรายสีเหลือง รอบข้างกลับเป็นหินประหลาดซ้อนกันตะปุ่มตะป่ำ สายตาถูกหินประหลาดเหล่านี้บดบังให้มองเห็นในขอบเขตที่จำกัดมาก

ดูแล้วเหมือนจะเป็นเขาวงกตธรรมชาติ…ที่รกร้าง?

“จะว่าไปแล้ว กติกาการประลองครั้งนี้เป็นอย่างไรกันแน่”

เยี่ยเว่ยหมิงกลับเหาะขึ้นไปบนก้อนหินสีขาวขนาดใหญ่ที่สูงเกือบสามเมตรแล้ว ขณะที่ทอดสายตามองไปไกล ปากก็พูดว่า “ผู้เล่นทั้งหมดถูกสุ่มส่งมายังตำแหน่งรอบนอกของที่ราบพายุทรายที่กินพื้นที่สิบกิโลเมตร เป็นขอบเขตที่หินประหลาดพวกนั้นปกคลุมนั่นแหละ พอออกไปแล้ว ก็จะถูกตัดสินว่าสละสิทธิ์โดยอัตโนมัติ…

…บนที่ราบพายุทรายนี้มีหมาป่าทะเลทรายอาศัยอยู่เยอะมาก ฆ่าแล้วจะได้รับคะแนนสะสม และหลังจากจบการประลอง คะแนนสะสมที่ได้รับก็นำมาแลกเป็นรางวัลตามที่ NPC กำหนดได้…

…ในระหว่างการประลอง หากผู้เล่นเข่นฆ่ากันเองก็จะได้รับคะแนนสะสมทั้งหมดบนตัวผู้เล่นที่ถูกฆ่าตาย…

…เช่นเดียวกัน ในหมู่ผู้เล่นตั้งทีมได้ แต่ทุกทีมจะต้องมีสมาชิกไม่เกินเจ็ดคน…

…และนี่ก็คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในการประลอง เป็นมนุษย์กลสิบตัวที่รีเฟรชอยู่ตามจุดต่างๆ บนที่ราบพายุทราย ถ้าฆ่ามันได้ ก็จะได้รับป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูของตระกูลมู่หรง…

…ป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูเป็นไอเทมที่ดรอปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ของแผนที่ภารกิจนี้ ดังนั้นผู้ที่ได้ป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูไม่ได้ถือว่าเป็นผู้ชนะ ตรงกันข้าม นี่เป็นเพียงก้าวแรกในการท้าสู้เท่านั้น…

…ต่อไปยังต้องถูกผู้เล่นคนอื่นไล่ฆ่าอีก ต้องนำของไปยังค่ายส่งตัวตรงกลางที่ราบพายุทราย และหลุดออกจากการต่อสู้เป็นเวลาสิบวินาทีขึ้นไป ถึงจะถูกส่งกลับไปยังหมู่บ้านชื่อสยาได้ แล้วตอนนั้นก็จะได้สิ่งของเหล่านั้นอย่างแท้จริง…

…แน่นอน หากมีความมั่นใจในตัวเองจริงๆ หลังจากได้ป้ายอาญาสิทธิ์มาแล้วก็ไม่ต้องรีบกลับก็ได้ อยู่รับคะแนนสะสมที่นี่ต่อไปก็ได้…

…ส่วนผลประโยชน์จากภารกิจนี้ ก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ได้คารวะอาจารย์เข้าสำนักลับของตระกูลมู่หรง หากผู้เล่นได้ป้ายเข้าประตูมาแล้วไม่เข้าตระกูลมู่หรง ก็จะได้รับรางวัลชดเชยในด้านอื่นเช่นกัน ไม่จำกัดแค่ตำราลับทักษะยุทธ์กับอุปกรณ์”

เมื่อได้ฟังเยี่ยเว่ยหมิงอธิบายกติกาของภารกิจอย่างชัดเจนคล่องแคล่วราวกับนับสมบัติอยู่ในบ้านตัวเอง ซานเย่ว์ก็ถามอย่างสงสัย “เจ้าไปรู้ชัดเจนขนาดนี้ได้อย่างไรกัน”

“ดูที่หน้าอินเตอร์เฟสของระบบ มีแนะนำอยู่ในแถบภารกิจ”

ซานเย่ว์พูดไม่ออก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ นายยังจะมาทำเป็นเก่งอยู่ทำไม บอกฉันว่ามีอธิบายในแถบภารกิจ ให้ฉันดูเองก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ

ในตอนนี้ ซานเย่ว์ก็พลันรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามืดลง นางเงยหน้ามองอย่างตกใจ แต่กลับพบว่าเยี่ยเว่ยหมิงกระโดดลงมาจากบนก้อนหินแล้ว ไม่รู้ว่าในมือมีพลั่วเหล็กด้ามหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร

“แล้วเจ้าจะทำอะไรอีก”

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงโบกพลั่วเหล็กขุดทรายบนผิวดินแล้ว “ก่อนหน้านี้ข้าสังหาร BOSS ที่ชื่อว่าอ๋าวป้ายตาย ไม่มีเวลาฝังเลย ข้าว่าฮวงจุ้ยที่นี่ก็ไม่เลวนะ ฝังก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะได้ไม่กินพื้นที่ว่างห่อสัมภาระอันล้ำค่าของข้า”

ฮวงจุ้ยไม่เลว?

เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิง ซานเย่ว์ก็รู้สึกเพียงว่ามีขีดดำขึ้นเต็มใบหน้า

ลมที่นี่แรงมาก แต่มีน้ำด้วยหรือ

ดินแดนที่มีลม[2]แต่ไร้น้ำ แม้แต่อีกายังไม่บินมาขี้ใส่ นายมองยังไงว่าฮวงจุ้ยไม่เลว

ฮวงจุ้ยของนายนี่ซ่งฉือสอนมาเหรอ

ในใจแขวะไม่หยุด แต่ตัวก็ยังหยิบพลั่วเหล็กออกจากห่อสัมภาระแต่โดยดี ช่วยเยี่ยเว่ยหมิงขุดทรายขึ้นมา

พลั่วเหล็กนี้จะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างมีประวัติความเป็นมา เพื่อสิ่งนี้ ซานเย่ว์เคยไปต่อรองราคากับช่างเหล็กที่หมู่บ้านตู้คังตั้งครึ่งชั่วโมง นางมองเยี่ยเว่ยหมิงที่เหนื่อยล้าอ่อนเพลียอยู่ข้างๆ ดูเหนื่อยกว่าวิดพื้นครึ่งชั่วโมงอีก

ได้มาแบบลำบากยากเข็ญจริงๆ!

หลังจากกลบฝังศพของอ๋าวป้ายอย่างลวกๆ แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ก็เดินไปทางค่ายส่งตัวกลางที่ราบพายุทรายด้วยกัน ระหว่างทางเจอหมาป่าในภารกิจจำนวนหนึ่ง จึงถือโอกาสกำจัดพวกมันไปด้วย

สำหรับบรรดาผู้เล่นในปัจจุบันนี้ หมาป่าก็แค่ร้ายกาจกว่ามอนสเตอร์ทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้น เวลาเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์รับมือกับพวกมันก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

ไม่มีความยากเลยสักนิด!

หมาป่าแต่ละตัวที่ฆ่าไป ทั้งสองจะได้รับคะแนนสะสมภารกิจคนละห้าแต้มต่อหนึ่งตัว ทั้งยังได้ค่าประสบการณ์แยกอีกจำนวนหนึ่ง แม้จะไม่มีไอเทมดรอป แต่กลับคุ้มกว่าการฆ่ามอนสเตอร์ตรงจุดอัปเลเวลเสียอีก

กอดความคิดที่ว่าออกไปก็รออย่างเสียเวลาเปล่า เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์จึงตระเวนไปทั่วแผนที่ดันเจี้ยนนี้เสียเลย กลายเป็นทริปตระเวนฆ่ามอนสเตอร์โดยไม่มีจุดหมายแน่ชัด

นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า

ทะเลทรายพายุคลั่ง คมดาบขาวสังหารหมาป่า

ชายหญิงเคียงคู่กัน ทำอะไรก็ไม่เหนื่อย

ทั้งสองฆ่าจนติดลม ทำให้ลืมว่าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขอเพียงเป็นหมาป่าที่ปรากฏตัวอยู่ในสายตาของพวกเขา ก็เรียกได้ว่าเจอหนึ่งตัวฆ่าหนึ่งตัว จากนั้นก็ค่อยหาตัวต่อไป ประสิทธิภาพของความเร็วนี้ ทำให้พวกเขาที่มาทีหลังเบียดขึ้นไปอยู่หนึ่งในสิบอันดับแรกของคะแนนสะสมภารกิจแล้ว

จะว่าไปทำแค่ภารกิจนี้ก็พอแล้วเช่นกัน

ภารกิจขนาดเล็กที่มีคนเข้าร่วมเพียงสามร้อยคน ไม่น่าเชื่อว่าตั้งค่าอันดับเรียลไทม์ไว้ด้วย ทำอย่างกับเป็นภารกิจขนาดใหญ่ที่เล่นกันทั้งเซิร์ฟเวอร์

เพียงชั่วพริบตาเดียว ทั้งสองก็ต่อสู้อยู่ในดันเจี้ยนภารกิจนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว

ทันใดนั้น เสียงขลุ่ยแสบแก้วหูก็ดังขึ้น เสียงสูงจนบาดหู ราวกับเสียงหวูดรถไฟ ไม่ไพเราะเอาเสียเลย

ขณะที่ซานเย่ว์กำลังพัวพันต่อสู้กับหมาป่าตัวหนึ่ง ก็ตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน เกือบจะพลาดถูกหมาป่าขย้ำ หลังจากหลบเขี้ยวของหมาป่าได้อย่างหวาดเสียว นางก็ตกใจกระโดดขึ้นมาแล้วตบหลังเอวหมาป่าตัวนี้ ทำให้สัตว์เดรัจฉานที่เดิมทีก็ค่าพลังชีวิตน้อยอยู่แล้วตายทันที แล้วบ่นกับเยี่ยเว่ยหมิงที่อยู่ไม่ไกลว่า “เสียงบ้าอะไรเนี่ย บาดหูมาก!”

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงก็จัดการหมาป่าของตัวเองเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เขาสะบัดกระบี่ชิงจู๋ในมืออย่างสง่างาม แล้วตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ถ้าข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเสียงของมนุษย์กลที่ดรอปป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูนะ…

…เพราะดูจากสถานการณ์ที่พวกเรารู้ตอนนี้ ก็มีเพียงคำอธิบายนี้เท่านั้นที่ฟังขึ้น”

[1] เลี้ยงแมลงพิษ 养蛊 เปรียบเปรยถึงการปล่อยให้มีการเข่นฆ่ากันเองเพื่อเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุด เหมือนเลี้ยงแมลงพิษไว้ด้วยกัน ตัวไหนรอดก็คือตัวที่มีพิษร้ายที่สุด

[2] ลมน้ำ มาจากเฟิงสุ่ย 风水 ที่แปลว่าฮวงจุ้ย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 101 ศึกเลี้ยงแมลงพิษ[1]

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 101 ศึกเลี้ยงแมลงพิษ[1] at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 101 ศึกเลี้ยงแมลงพิษ[1]

ในเมื่อระบบแจ้งมาแบบนี้แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่บ่นอะไรอีก สะบัดผมเผยหลังศีรษะสุดเท่ให้กงเหย่เฉียน แล้วพาซานเย่ว์หามุมสงบนั่งลงเสียเลย

ซานเย่ว์ที่เพิ่งได้รับชัยชนะก็ย่อมไม่ลืมที่จะโอ้อวดความเก่งกาจต่อเยี่ยเว่ยหมิง ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงที่กำลังอารมณ์ดีมากก็ส่งคำชมให้แบบไม่กั๊กสักนิด

ในมุมมองของเขา การชมทักษะยุทธ์ของซานเย่ว์ที่จริงก็เป็นเรื่องที่สบายมาก อย่างน้อยเขาก็พูดชมได้อย่างเป็นมืออาชีพ ง่ายกว่าการตอบคำถามว่า ‘ปิ่นมุกที่ข้าปักสวยหรือเปล่า’ ตั้งหลายเท่า

เพราะคำตอบที่ว่าสวยหรือไม่สวย มักจะตามด้วยคำถามต่อไปที่น่าปวดหัว

สวยตรงไหน

เยี่ยเว่ยหมิงคิดในใจว่า แม่งเอ๊ย ฉันจะไปรู้เหรอว่าสวยตรงไหน ฉันก็แค่ดูว่าค่าสเตตัสมันดีหรือแย่เท่านั้นแหละ!

แต่ถ้าบอกว่าไม่สวยน่ะเหรอ

ขอร้องล่ะ!

เวลาจะขอร้องคนอื่น ควรพูดจาแบบนี้เหรอ

เพียงแต่ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็ไม่มีอารมณ์มาพูดคุยหัวเราะกันแล้ว

เนื่องจากการประลองบนสังเวียนก่อนหน้านี้ ผู้เล่นทุกคนที่อยู่ในสนามล้วนอยู่ในฐานะผู้ชม การต่อสู้อยู่ในสายตาของพวกเขาหมดแล้ว

ถึงแม้ตอนอยู่ในทีมของสำนักมือปราบเทพ ความสามารถของซานเย่ว์เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นอันดับโหล่ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้เล่นนับพันหมื่น นางก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือเหนือยอดฝีมือแน่นอน

แค่ดูจากฝ่ามืออัสนีบาตที่เลเวลไม่ใช่ต่ำๆ ตอนนางใช้กับจ้างเย่ว์ก่อนหน้านี้ ก็ทำให้คนมากมายรู้สึกทึ่งแล้ว

ในสายตาบางคนที่ช่างประจบ นางหนูคนนี้วิวัฒนาการกลายเป็นเทพสตรีสำเร็จแล้ว

ประมาณมองได้จากที่ไกลๆ เท่านั้น มิอาจเข้ามาล่วงเกินได้!

แน่นอน ถ้าหากล่วงเกินได้ล่ะก็…หึหึ!

และเมื่อเทียบกันแล้ว ประโยคสุดท้ายของเยี่ยเว่ยหมิงที่บอกว่า ‘โจมตีจุดซานจงเสว์ของเขา!’ แม้คนมากมายจะมองข้ามไป แต่ถ้าเป็นผู้เล่นที่สังเกตการต่อสู้สนามนี้สักหน่อย คนที่ไม่ถูกค่าสเตตัสขั้นเทพของซานเย่ว์บังตา ก็ล้วนจดจำเจ้าหนุ่มที่สายตาสุดโหดคนนี้เอาไว้ในใจอย่างเหนียวแน่นแล้ว

ในสายตาของคนเหล่านี้ เยี่ยเว่ยหมิงร้ายกาจกว่าหวังอวี่เยียนตั้งเยอะ

อย่างไรเสียเรื่องที่หวังอวี่เยียนพูดมาตั้งนานแล้วก็ยังทำไม่ได้ แต่เขาพูดประโยคเดียวก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว

มีความแตกต่างกันมากจริงๆ!

ต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ตอนที่ทุกคนกำลังรอให้การประลองเริ่ม ก็มักจะมองมาที่พวกเขาเป็นระยะ

แต่เมื่อถูกมองเยอะๆ ไม่ว่าใครก็รู้สึกอึดอัดทั้งนั้น

อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ใช่ศิลปินที่ทำการแสดง ไม่ได้มีภูมิคุ้มกันมากขนาดนั้น

หลังจากนั้นพักหนึ่ง จ้างเย่ว์ก็เลี้ยวกลับมาอีกครั้ง การสู้บนสังเวียนคือภารกิจชั่วคราวแบบพิเศษ นอกจากจะไม่ถูกลงโทษใดๆ แล้ว ถึงขั้นว่าแม้แต่ภารกิจก่อนหน้านี้ก็ไม่ถูกขัดจังหวะด้วย

ทำให้เขาได้ประโยชน์จริงๆ!

เพียงแต่หลังจากผ่านไปอีกพักหนึ่ง การประลองคัดเลือกก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เยี่ยเว่ยหมิงรวมทั้งผู้เล่นทุกคนที่อยู่ตรงนั้นถูกส่งเข้าไปในแผนที่พิเศษท่ามกลางแสงสว่างวาบ สนามประลองยุทธ์ที่เดิมทีเสียงดังเอะอะ ชั่วพริบตาเดียวก็เหลือเพียงกงเหย่เฉียนคนเดียว ยืนโดดเดี่ยวอยู่ใต้สังเวียน

……

หลังจากแสงสีขาวหายไป ฉากก็เปลี่ยนแล้ว

เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกได้ทันทีว่ามีคลื่นความร้อนโผเข้าปะทะหน้า แต่นั่นกลับเป็นทรายที่มาพร้อมกับพายุหมุน ทรายบาดผิวหนังจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย

“โอ๊ะ โอ๊ย!”

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องตกใจ พอหันไปมอง กลับเห็นซานเย่ว์ถูกลมทรายพัดเข้าตาจนตามัว ตอนนี้กำลังนั่งยองๆ ขยี้ตา

“อย่าขยี้ นั่นจะทำร้ายดวงตา”

หลังจากเตือนสหายตัวเองแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็อดขำไม่ได้ ในเกมนี้ หลังออกจากการต่อสู้แล้ว แม้แต่แขนหกขาหักก็ยังฟื้นฟูไวมาก จะมาถูกทรายทำร้ายดวงตาได้อย่างไร

ต้องโทษที่เกมนี้สมจริงเกินไป ทำให้คนแยกออกได้ยากว่าเป็นเกม หรือเป็นความจริง

ที่จริงแล้วคนที่เมามายไปกับเกมจะมีแค่เยี่ยเว่ยหมิงคนเดียวอย่างนั้นหรือ

หลังจากได้ยินเสียงเตือนของเขา ซานเย่ว์ก็ตกใจเช่นกัน มือนางหยุดเคลื่อนไหวโดยจิตใต้สำนึก ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่กล้าขยี้ตาต่อแล้ว

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงนำน้ำสะอาดกาหนึ่งออกมาจากตัว แล้วยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย พร้อมกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ใช้น้ำสะอาดล้างสักหน่อย ดูท่าแล้ว ผู้เข้าร่วมประลองทุกคนคงถูกส่งไปยังจุดที่แตกต่างกันบนแผนที่โดยอิงตามกลุ่ม”

“พวกเราก็ต้องรีบเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน ถึงอย่างไรเจ้าก็ใช้แรงไปเยอะเพื่อคว้าโอกาสนี้มา ถ้าไม่ฉวยผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงพวกนี้ จะไม่รู้สึกผิดต่อความพยายามก่อนหน้านี้หรอกหรือ”

หลังจากรับน้ำสะอาดมาแล้ว ซานเย่ว์ก็นำมาล้างตาทันที หายเคืองตาอย่างรวดเร็วจริงๆ ด้วย

เมื่อลุกขึ้นยืน คืนน้ำสะอาดครึ่งกาที่เหลือให้เยี่ยเว่ยหมิง ซานเย่ว์ถึงได้เดินออกไปสำรวจทิวทัศน์โดยรอบ แต่กลับพบว่าพวกเขากำลังอยู่ในทะเลทรายที่รกร้างแห่งหนึ่ง ใต้เท้าเป็นทรายสีเหลือง รอบข้างกลับเป็นหินประหลาดซ้อนกันตะปุ่มตะป่ำ สายตาถูกหินประหลาดเหล่านี้บดบังให้มองเห็นในขอบเขตที่จำกัดมาก

ดูแล้วเหมือนจะเป็นเขาวงกตธรรมชาติ…ที่รกร้าง?

“จะว่าไปแล้ว กติกาการประลองครั้งนี้เป็นอย่างไรกันแน่”

เยี่ยเว่ยหมิงกลับเหาะขึ้นไปบนก้อนหินสีขาวขนาดใหญ่ที่สูงเกือบสามเมตรแล้ว ขณะที่ทอดสายตามองไปไกล ปากก็พูดว่า “ผู้เล่นทั้งหมดถูกสุ่มส่งมายังตำแหน่งรอบนอกของที่ราบพายุทรายที่กินพื้นที่สิบกิโลเมตร เป็นขอบเขตที่หินประหลาดพวกนั้นปกคลุมนั่นแหละ พอออกไปแล้ว ก็จะถูกตัดสินว่าสละสิทธิ์โดยอัตโนมัติ…

…บนที่ราบพายุทรายนี้มีหมาป่าทะเลทรายอาศัยอยู่เยอะมาก ฆ่าแล้วจะได้รับคะแนนสะสม และหลังจากจบการประลอง คะแนนสะสมที่ได้รับก็นำมาแลกเป็นรางวัลตามที่ NPC กำหนดได้…

…ในระหว่างการประลอง หากผู้เล่นเข่นฆ่ากันเองก็จะได้รับคะแนนสะสมทั้งหมดบนตัวผู้เล่นที่ถูกฆ่าตาย…

…เช่นเดียวกัน ในหมู่ผู้เล่นตั้งทีมได้ แต่ทุกทีมจะต้องมีสมาชิกไม่เกินเจ็ดคน…

…และนี่ก็คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในการประลอง เป็นมนุษย์กลสิบตัวที่รีเฟรชอยู่ตามจุดต่างๆ บนที่ราบพายุทราย ถ้าฆ่ามันได้ ก็จะได้รับป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูของตระกูลมู่หรง…

…ป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูเป็นไอเทมที่ดรอปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ของแผนที่ภารกิจนี้ ดังนั้นผู้ที่ได้ป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูไม่ได้ถือว่าเป็นผู้ชนะ ตรงกันข้าม นี่เป็นเพียงก้าวแรกในการท้าสู้เท่านั้น…

…ต่อไปยังต้องถูกผู้เล่นคนอื่นไล่ฆ่าอีก ต้องนำของไปยังค่ายส่งตัวตรงกลางที่ราบพายุทราย และหลุดออกจากการต่อสู้เป็นเวลาสิบวินาทีขึ้นไป ถึงจะถูกส่งกลับไปยังหมู่บ้านชื่อสยาได้ แล้วตอนนั้นก็จะได้สิ่งของเหล่านั้นอย่างแท้จริง…

…แน่นอน หากมีความมั่นใจในตัวเองจริงๆ หลังจากได้ป้ายอาญาสิทธิ์มาแล้วก็ไม่ต้องรีบกลับก็ได้ อยู่รับคะแนนสะสมที่นี่ต่อไปก็ได้…

…ส่วนผลประโยชน์จากภารกิจนี้ ก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ได้คารวะอาจารย์เข้าสำนักลับของตระกูลมู่หรง หากผู้เล่นได้ป้ายเข้าประตูมาแล้วไม่เข้าตระกูลมู่หรง ก็จะได้รับรางวัลชดเชยในด้านอื่นเช่นกัน ไม่จำกัดแค่ตำราลับทักษะยุทธ์กับอุปกรณ์”

เมื่อได้ฟังเยี่ยเว่ยหมิงอธิบายกติกาของภารกิจอย่างชัดเจนคล่องแคล่วราวกับนับสมบัติอยู่ในบ้านตัวเอง ซานเย่ว์ก็ถามอย่างสงสัย “เจ้าไปรู้ชัดเจนขนาดนี้ได้อย่างไรกัน”

“ดูที่หน้าอินเตอร์เฟสของระบบ มีแนะนำอยู่ในแถบภารกิจ”

ซานเย่ว์พูดไม่ออก ในเมื่อเป็นอย่างนี้ นายยังจะมาทำเป็นเก่งอยู่ทำไม บอกฉันว่ามีอธิบายในแถบภารกิจ ให้ฉันดูเองก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ

ในตอนนี้ ซานเย่ว์ก็พลันรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามืดลง นางเงยหน้ามองอย่างตกใจ แต่กลับพบว่าเยี่ยเว่ยหมิงกระโดดลงมาจากบนก้อนหินแล้ว ไม่รู้ว่าในมือมีพลั่วเหล็กด้ามหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร

“แล้วเจ้าจะทำอะไรอีก”

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงโบกพลั่วเหล็กขุดทรายบนผิวดินแล้ว “ก่อนหน้านี้ข้าสังหาร BOSS ที่ชื่อว่าอ๋าวป้ายตาย ไม่มีเวลาฝังเลย ข้าว่าฮวงจุ้ยที่นี่ก็ไม่เลวนะ ฝังก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะได้ไม่กินพื้นที่ว่างห่อสัมภาระอันล้ำค่าของข้า”

ฮวงจุ้ยไม่เลว?

เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเว่ยหมิง ซานเย่ว์ก็รู้สึกเพียงว่ามีขีดดำขึ้นเต็มใบหน้า

ลมที่นี่แรงมาก แต่มีน้ำด้วยหรือ

ดินแดนที่มีลม[2]แต่ไร้น้ำ แม้แต่อีกายังไม่บินมาขี้ใส่ นายมองยังไงว่าฮวงจุ้ยไม่เลว

ฮวงจุ้ยของนายนี่ซ่งฉือสอนมาเหรอ

ในใจแขวะไม่หยุด แต่ตัวก็ยังหยิบพลั่วเหล็กออกจากห่อสัมภาระแต่โดยดี ช่วยเยี่ยเว่ยหมิงขุดทรายขึ้นมา

พลั่วเหล็กนี้จะว่าไปแล้วก็ค่อนข้างมีประวัติความเป็นมา เพื่อสิ่งนี้ ซานเย่ว์เคยไปต่อรองราคากับช่างเหล็กที่หมู่บ้านตู้คังตั้งครึ่งชั่วโมง นางมองเยี่ยเว่ยหมิงที่เหนื่อยล้าอ่อนเพลียอยู่ข้างๆ ดูเหนื่อยกว่าวิดพื้นครึ่งชั่วโมงอีก

ได้มาแบบลำบากยากเข็ญจริงๆ!

หลังจากกลบฝังศพของอ๋าวป้ายอย่างลวกๆ แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ก็เดินไปทางค่ายส่งตัวกลางที่ราบพายุทรายด้วยกัน ระหว่างทางเจอหมาป่าในภารกิจจำนวนหนึ่ง จึงถือโอกาสกำจัดพวกมันไปด้วย

สำหรับบรรดาผู้เล่นในปัจจุบันนี้ หมาป่าก็แค่ร้ายกาจกว่ามอนสเตอร์ทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้น เวลาเยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์รับมือกับพวกมันก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

ไม่มีความยากเลยสักนิด!

หมาป่าแต่ละตัวที่ฆ่าไป ทั้งสองจะได้รับคะแนนสะสมภารกิจคนละห้าแต้มต่อหนึ่งตัว ทั้งยังได้ค่าประสบการณ์แยกอีกจำนวนหนึ่ง แม้จะไม่มีไอเทมดรอป แต่กลับคุ้มกว่าการฆ่ามอนสเตอร์ตรงจุดอัปเลเวลเสียอีก

กอดความคิดที่ว่าออกไปก็รออย่างเสียเวลาเปล่า เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์จึงตระเวนไปทั่วแผนที่ดันเจี้ยนนี้เสียเลย กลายเป็นทริปตระเวนฆ่ามอนสเตอร์โดยไม่มีจุดหมายแน่ชัด

นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า

ทะเลทรายพายุคลั่ง คมดาบขาวสังหารหมาป่า

ชายหญิงเคียงคู่กัน ทำอะไรก็ไม่เหนื่อย

ทั้งสองฆ่าจนติดลม ทำให้ลืมว่าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขอเพียงเป็นหมาป่าที่ปรากฏตัวอยู่ในสายตาของพวกเขา ก็เรียกได้ว่าเจอหนึ่งตัวฆ่าหนึ่งตัว จากนั้นก็ค่อยหาตัวต่อไป ประสิทธิภาพของความเร็วนี้ ทำให้พวกเขาที่มาทีหลังเบียดขึ้นไปอยู่หนึ่งในสิบอันดับแรกของคะแนนสะสมภารกิจแล้ว

จะว่าไปทำแค่ภารกิจนี้ก็พอแล้วเช่นกัน

ภารกิจขนาดเล็กที่มีคนเข้าร่วมเพียงสามร้อยคน ไม่น่าเชื่อว่าตั้งค่าอันดับเรียลไทม์ไว้ด้วย ทำอย่างกับเป็นภารกิจขนาดใหญ่ที่เล่นกันทั้งเซิร์ฟเวอร์

เพียงชั่วพริบตาเดียว ทั้งสองก็ต่อสู้อยู่ในดันเจี้ยนภารกิจนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว

ทันใดนั้น เสียงขลุ่ยแสบแก้วหูก็ดังขึ้น เสียงสูงจนบาดหู ราวกับเสียงหวูดรถไฟ ไม่ไพเราะเอาเสียเลย

ขณะที่ซานเย่ว์กำลังพัวพันต่อสู้กับหมาป่าตัวหนึ่ง ก็ตกใจกับเสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน เกือบจะพลาดถูกหมาป่าขย้ำ หลังจากหลบเขี้ยวของหมาป่าได้อย่างหวาดเสียว นางก็ตกใจกระโดดขึ้นมาแล้วตบหลังเอวหมาป่าตัวนี้ ทำให้สัตว์เดรัจฉานที่เดิมทีก็ค่าพลังชีวิตน้อยอยู่แล้วตายทันที แล้วบ่นกับเยี่ยเว่ยหมิงที่อยู่ไม่ไกลว่า “เสียงบ้าอะไรเนี่ย บาดหูมาก!”

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงก็จัดการหมาป่าของตัวเองเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เขาสะบัดกระบี่ชิงจู๋ในมืออย่างสง่างาม แล้วตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ถ้าข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเสียงของมนุษย์กลที่ดรอปป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูนะ…

…เพราะดูจากสถานการณ์ที่พวกเรารู้ตอนนี้ ก็มีเพียงคำอธิบายนี้เท่านั้นที่ฟังขึ้น”

[1] เลี้ยงแมลงพิษ 养蛊 เปรียบเปรยถึงการปล่อยให้มีการเข่นฆ่ากันเองเพื่อเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุด เหมือนเลี้ยงแมลงพิษไว้ด้วยกัน ตัวไหนรอดก็คือตัวที่มีพิษร้ายที่สุด

[2] ลมน้ำ มาจากเฟิงสุ่ย 风水 ที่แปลว่าฮวงจุ้ย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+