ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 162 เจ้าไม่ใช่บุตรแท้ๆ ใช่หรือไม่

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 162 เจ้าไม่ใช่บุตรแท้ๆ ใช่หรือไม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 162 เจ้าไม่ใช่บุตรแท้ๆ ใช่หรือไม่

เยี่ยเว่ยหมิงไม่ติดปัญหาอะไรกับการประลองยุทธ์ อย่างไรเสียละครเด็ดที่เขาเตรียมไว้ก็ต้องรอเวลาพิจารณาอีกสักระยะกว่าจะเริ่มโดดเด่นอย่างแท้จริง

ถึงอย่างไรก็ว่างแล้ว ถือโอกาสช่วงนี้เข้าร่วมการประลองยุทธ์ หารายได้พิเศษสักหน่อย ยกระดับความสามารถของตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน

แต่การเลือกคู่…

เรื่องนี้ยุ่งยากแล้ว เหมือนเป็นกับดัก

เห็นเยี่ยเว่ยหมิงขมวดคิ้วเหมือนไม่ดีใจ สะพานสวรรค์น้อยก็อดหลุดขำไม่ได้ แต่แทนที่จะตอบ นางกลับถามว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจริงๆ ว่าพอชนะการประลองยุทธ์สังเวียนนี้แล้ว ระบบจะมอบรางวัลเป็นเมียหนึ่งคนให้เจ้าจริงๆ”

เยี่ยเว่ยหมิงเดาะลิ้น ด้วยท่าทางเชยเฉิ่มของผู้ออกแบบระบบที่ไม่ให้แม้กระทั่งผู้เล่นถอดกระโปรง เหมือนจะมีความเป็นไปได้นั้นไม่มากนัก

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า แล้วอดถามไม่ได้ว่า “ในเมื่อไม่ใช่การเลือกคู่ แล้วใช้ป้ายนั้นทำไมกัน”

“ภารกิจเนื้อเรื่องอย่างไรล่ะ” สะพานสวรรค์น้อยยิ้มพลางอธิบาย “การประลองยุทธ์เลือกคู่ ต้องนำคำเหล่านี้มาทำความเข้าใจแบบแยกกัน เพราะสังเวียนนี้ไม่เพียงแค่ผู้เล่นที่เข้าร่วมได้ ที่จริง NPC ก็เข้าร่วมได้เช่นกัน…

…สำหรับผู้เล่นแล้ว นี่คือการประลองยุทธ์ล้วนๆ ที่มีรางวัลอุดมสมบูรณ์มาก มีเพียง NPC เท่านั้นถึงจะเข้าร่วมการเลือกคู่ได้…

…ดังนั้นแล้ว” สะพานสวรรค์น้อยขยิบตา “เมียสวยๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าแน่นอน เลิกฝันหวานไปได้เลย”

“นั่นก็ค่อยยังชั่วหน่อย”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วซักไซ้ต่อทันที “บอกข้ามา กติกาของการประลองสังเวียนนี้เป็นอย่างไรกันแน่”

“ข้าเองก็มาเป็นครั้งแรกเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้ได้ข่าวมาว่าต้องไปรับภารกิจจาก NPC คนหนึ่งที่ชื่อมู่อี้ แล้วไปถามกติกากับเขาที่นั่นได้” ขณะที่พูดก็ชี้ไปบนสังเวียน “นั่นไง ลุงวัยกลางคนที่หน้าตาดูกร้านโลกคนนั้นน่าจะใช่ พวกเรารีบไปลงชื่อสมัครกันเถอะ”

บนถนนใหญ่คึกคักมาก มุกตลกที่บอกว่าเป็นการประลองยุทธ์เลือกคู่ก็ดึงดูดให้ฝูงชนเข้ามาล้อมดูเช่นกัน เพียงแต่บรรดา NPC ที่เข้ามาล้อมดูล้วนมีคุณสมบัติค่อนข้างสูง ต่อให้จะเบียดกันสักเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงขั้นอุดทางให้ตัน ทั้งยังเหลือเส้นทางเล็กๆ ที่เพียงพอให้คนสองคนเดินเคียงกันได้เอาไว้ด้วย ทำให้ผู้เล่นที่ตั้งใจเข้าร่วมการประลองยุทธ์ไปหามู่อี้ได้โดยไร้อุปสรรค

กว้างเพียงสองคนเดินผ่านได้ย่อมเป็นขีดจำกัดสูงสุด หากมีสองคนเดินเคียงกันจริงๆ ก็จะทำให้เบียดมาก ดังนั้นเยี่ยเว่ยหมิงกับสะพานสวรรค์น้อยจึงเดินตามหลังกันไป โดยที่สะพานสวรรค์น้อยคอยเบิกทางอยู่ข้างหน้า ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็เดินตามหลัง

จนกระทั่งทั้งสองมาถึงตรงหน้ามู่อี้แล้ว ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นข้างหูของทั้งสองคน

[ติ๊ง! เข้าสู้ขอบเขตฉากภารกิจพิเศษ ‘การประลองยุทธ์เลือกคู่’ คุณจะเลือกเข้าร่วมสังเวียนประลองยุทธ์หรือไม่]

การประลองยุทธ์มีกติกาโดยละเอียดดังนี้

1. ขอเพียงผู้เล่นขึ้นสังเวียน ก็เท่ากับยอมรับโดยปริยายว่าเข้าร่วมการประลองยุทธ์ครั้งนี้

2. ในวันแรกของการประลองรอบคัดเลือก ผู้เล่นที่เข้าร่วมประลองจะต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ NPC ให้ได้สิบคน ถึงจะได้รับสิทธิ์เข้าประลองรอบตัดสิน

3. ไม่ว่าจะผ่านการประลองรอบคัดเลือกหรือไม่ หลังจากประลองแล้วล้วนได้รับรางวัลภารกิจที่ระบบแจก จำนวนรางวัลขึ้นอยู่กับการแสดงความสามารถในสังเวียนประลองยุทธ์

4. ผู้เล่นที่ผ่านการประลองรอบคัดเลือก พรุ่งนี้ยามเฉิน[1]ค่อยมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อเข้าร่วมการประลองรอบตัดสิน

5. ผู้เล่นที่ผ่านการประลองรอบคัดเลือก รับข้อมูลกติกาการประลองรอบตัดสินได้ที่หน้าภารกิจของระบบ

อืม หรือพูดได้อีกอย่างว่า

หากเจ้าไม่ผ่านแม้กระทั่งการประลองรอบคัดเลือก ยังจะถามถึงกติกาการประลองรอบตัดสินไปทำไมอีก

มองสังเวียนกว้างโล่งแวบหนึ่ง สะพานสวรรค์น้อยเอ่ยก่อนว่า “ดูท่าแล้ว NPC ที่มาท้ารบเหล่านั้นจะต้องรอให้ผู้เล่นขึ้นไปก่อนถึงจะปรากฏตัวได้ พี่ใหญ่เยี่ย เจ้าจะขึ้นไปก่อน หรือจะให้ข้าไปก่อน”

“ไม่รู้ว่าผู้เล่นจะได้เจอคู่ต่อสู้เหมือนกันหมดหรือเปล่า” เยี่ยเว่ยหมิงเอามือลูบคางครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกอีกว่า “ให้ข้าไปก่อนแล้วกัน แล้วเจ้าคอยสังเกตคู่ต่อสู้ของข้าอยู่ข้างล่าง บางทีอาจจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง”

เยี่ยเว่ยหมิงเสนอเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะห่วงสหาย ส่วนตัวเขาเองนั้น หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด แล้วสู้ไม่ได้แม้แต่การประลองรอบคัดเลือก…แบบนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร

ทว่า ยังไม่ทันรอให้เยี่ยเว่ยหมิงเคลื่อนไหวอะไร ทั้งสองก็เห็นเงาร่างสีแดงแฉลบผ่านข้างกายพวกเขาแล้ว อีกฝ่ายทะยานขึ้นไปบนสังเวียนทันที

ตอนที่พวกเขาหันกลับไปมอง เตรียมจะดูว่าใครกันแน่ที่ชอบแย่งซีนกันขนาดนี้ กลับพบว่าบนสังเวียนไม่มีใครอยู่สักคน มีเพียงเสียร้องเชียร์ของกลุ่มคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านข้างล่างเท่านั้น

ยอดเยี่ยม!

เหมือนสังเวียนของราชสีห์ขนทองที่เขาหวังผานอีกแล้ว จัดเป็นประเภทดันเจี้ยนที่แยกตัวเป็นอิสระ

เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่แล้วอดหลุดขำไม่ได้ “ดูท่าแล้ว ไม่ว่าจะมีคนเข้าร่วมประลองยุทธ์มากเท่าไร สังเวียนก็จุคนไหว แต่ศึกสังเวียนนี้ไม่อนุญาตให้จัดทีม ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว ขอขึ้นไปก่อนแล้วกัน”

เมื่อพูดจบแล้ว ปลายเท้าของเยี่ยเว่ยหมิงก็แตะบนพื้น ร่างกายทะยานขึ้นมากลางอากาศ แล้วไปเหยียบลงบนสังเวียน

เมื่อขึ้นมาบนสังเวียนแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้พบว่าทุกอย่างที่อยู่โดยรอบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

สังเวียนที่อยู่ใต้เท้า กลุ่มคนที่มามุงดู มู่อี้ที่นั่งอยู่ข้างสังเวียน รวมทั้งป้าย ‘การประลองยุทธ์เลือกคู่’ ที่แขวนอยู่เหนือสังเวียนก็เหมือนกับก่อนที่เขาจะขึ้นมาไม่มีผิด

สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ ตอนหันตัวกลับมา กลับมองไม่เห็นเงาของสะพานสวรรค์น้อยแล้ว แน่นอน บรรดาผู้เล่นที่มาล้อมดูเอาสนุกก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ไม่เห็นแล้วสักคนเหมือนกัน

เมื่อได้เห็นฉากนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดส่ายหน้าน้อยๆ ไม่ได้

ช่างเป็นมุกเดิมๆ!

ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเงาร่างสีเหลืองทะยานขึ้นมาบนสังเวียน พอหันกลับไปมอง กลับเห็นหลวงจีนจีวรเหลืองรูปหนึ่งที่เป็นผู้เล่นศิษย์เส้าหลิน หลังจากขึ้นสังเวียนมาแล้วก็ประนมมือสองข้าง ขณะโค้งตัวทักทายเยี่ยเว่ยหมิง ก็ยังไม่ลืมที่จะเอ่ยนามพระพุทธเจ้า “อมิตตาภพุทธ!”

เมื่อได้เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า ทั้งตัวเยี่ยเว่ยหมิงก็ตะลึงค้าง!

ก่อนหน้านี้บอกไว้แล้วไม่ใช่หรือ

การประลองยุทธ์เลือกคู่ สำหรับผู้เล่นก็คือการประลองยุทธ์ สำหรับ NPC ก็คือการเลือกคู่

และในกติกาการประลองก็ได้บอกไว้แล้ว ว่าคู่ต่อสู้ที่ผู้เล่นเจอในการประลองรอบคัดเลือกล้วนเป็น NPC

ตามที่กล่าวข้างต้น ตรงหน้าเขาคือหลวงจีนรูปหนึ่ง ต้องเป็น NPC ที่มีจุดประสงค์ที่จะเลือกคู่ครอง ถึงได้ขึ้นสังเวียนมาเพื่อประลองยุทธ์แน่ๆ!

แต่ปัญหาก็คือ

หลวงจีนหัวโล้นอย่างเจ้าถ่อขึ้นมาเลือกคู่ บรรพบุรุษบ้านเจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า

[ติ๊ง! ในระหว่างประลองยุทธ์บนสังเวียน คู่ต่อสู้ที่เป็น NPC ทั้งหมดจะถูกกำหนดให้เป็นมอนสเตอร์ธรรมดา หรือไม่ก็ BOSS สังหารแล้วผู้เล่นจะไม่ถูกหักค่าวีรบุรุษ!]

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วตาเป็นประกาย หรือพูดได้อีกอย่างว่า สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งเลยก็ได้อย่างนั้นหรือ

เพื่อให้ว่าที่ไต้ซือท่านนี้ละทิ้งชีวิตทางโลกได้ เยี่ยเว่ยหมิงชักกระบี่อาญาสิทธิ์ออกมาอย่างไม่ลังเล แล้วเริ่มด้วยท่าพเนจรสุดขอบฟ้า ต่อด้วยท่ากวาดหิมะต้มชา…

ฉึก!

จัดการหลวงจีนที่ยังไม่บรรลุ พรึ่บ!

จากนั้นศพก็หายไป

ศึกบนสังเวียนไม่มีไอเทมให้ดรอป ไม่ต้องมีขั้นตอนคลำศพที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้น รางวัลทั้งหมดรอนับทีเดียวหลังจากสู้เสร็จ

เมื่อสู้กับหลวงจีนเสร็จแล้ว สถานะทั้งหมดของเยี่ยเว่ยหมิงก็กลับมาเต็มอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว ในขณะเดียวกันนี้เอง คู่ต่อสู้คนที่สองก็กระโดดขึ้นมาบนสังเวียนแล้ว

เป็นชายชราร่างอ้วนคนหนึ่งที่ดูแก่กว่าเมื่อเทียบกับมู่อี้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา รอยยิ้มดูเจ้าเล่ห์เป็นพิเศษ ทำให้คนเห็นแล้วอดใจไม่ไหว อยากแทงสักกระบี่

ในเมื่ออดใจไม่ไหว เช่นนั้นก็ไม่ต้องอดใจรอแล้ว อย่างไรเสียหากอิงตามกติกาบนสังเวียน แทงให้ตายทันทีก็คือเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

จากนั้นก็เป็นคู่ต่อสู้คนที่สาม เป็นคนหลังค่อม…

คนที่สี่ เป็นผู้ที่หน้ามีรอยฝ้าเต็มไปหมด ชื่อหม่านเทียนซิง

คนที่ห้า…

เมื่อต่อสู้มาเรื่อยๆ ก็ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ไม่ใช่เพราะทักษะยุทธ์ของคนเหล่านี้มีจุดเด่นอะไร แต่เป็นเพราะหน้าตาของพวกเขาแต่ละคนล้วนมีจุดเด่น

หลังจากเขาจัดการชายตาเหล่คนที่เก้าตายแล้ว สุดท้ายก็มีคู่ต่อสู้ที่นับว่าความสามารถเข้าขั้นกระโดดขึ้นมา

อย่างน้อยเมื่อเทียบกับหลวงจีน คนแก่ที่พอได้ยินชื่อก็รู้ว่าตั้งชื่อไปเรื่อยเปื่อย ชายคนที่อยู่ตรงหน้าก็ยังมีชื่อและฉายาเป็นของตัวเอง

[เฉียนชิงเจี้ยน]

ฉายาขวานดาวร้าย เดิมทีเป็นโจรลำน้ำคาบสมุทร หลังจากยอมสวามิภักดิ์ต่อแคว้นจินแล้วได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่

เลเวล: 21

พลังชีวิต: 8300/8300

กำลังภายใน: 1300/1300

นี่คือ BOSS เฝ้าด่านหรือ เหมือนจะอ่อนด้อยฝีมือไปหน่อยนะ

พอใช้มือซ้ายงอนิ้วคำนวณ เฉียนชิงเจี้ยนก็ถือขวานพุ่งเข้ามาราวกับถูกกระตุ้นทันที ขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงถลันตัวหลบขวานของฝ่ายตรงข้าม กระบี่อาญาสิทธิ์ก็แทงออกมาในแนวเฉียง ถูกตรงคอหอยของอีกฝ่ายพอดี

พเนจรสุดขอบฟ้า!

ฉึก!

-4550!

ภายใต้กระบี่นี้ ทำให้พรากพลังชีวิตของ BOSS ไปแล้วเกินครึ่ง ทั้งยังโจมตีจนติดสถานะสถานะแช่แข็งด้วย

ชักกระบี่ ส่งกระบี่ ไซซีกุมดวงใจ!

ฉึก!

-4030!

เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างนี้ BOSS เลเวลยี่สิบเอ็ดคนหนึ่งถูกตัวละครเจ้าเสน่ห์สุดน่ารักตามต้นฉบับนิยายทะลุมิติโจมตีหายไปแล้ว

จนกระทั่งตอนนี้ ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็สังหารคู่ต่อสู้บนสังเวียนตายหมดสิบคนแล้ว

สังหารต่อเนื่องสิบครั้ง แข็งแกร่งมาก เพลงเดียวก็…

แค่กๆ…สงบเสงี่ยมหน่อย ลำพองใจไม่ได้

จะร้องเพลงซี้ซั้วไม่ได้!

หลังจากศพของเฉียนชิงเจี้ยนหายไปจากบนสังเวียน กลับเห็นสาวน้อยชุดแดงที่หน้าตางดงามคนหนึ่งทะยานขึ้นมาบนสังเวียนแล้ว หลังจากลอยลงมาเหยียบตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง นางก็ยิ้มบางๆ แล้วกุมหมัดคารวะเขา

เมื่อเห็นสาวน้อยชุดแดงคนนี้ปรากฏตัวกะทันหัน เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าตัวเองได้ปรับทัศนคติการมองโลกใหม่อีกครั้ง “ก่อนหน้านี้บอกไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าสู้สิบครั้ง เหตุใดสู้จบแล้วยังมีคนขึ้นมาท้าสู้อีก อีกทั้ง แม่นางคนนี้…ขออภัยที่พูดตรงๆ หากเจ้าต้องการจะการประลองยุทธ์เลือกคู่ เกรงว่าในด้านเพศสภาพนั้นจะไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก”

สาวน้อยชุดแดงได้ยินแล้วหน้าแดง จากนั้นอธิบายว่า “จอมยุทธ์น้อยท่านนี้เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มาเข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ ในทางกลับกัน นี่คือสังเวียนที่ข้าใช้เลือกคู่ ท่านพ่อของข้าตั้งขึ้นเพื่อข้า”

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ที่จริงแล้วต้องการเลือกคู่อย่างนั้นหรือ

เขาอดมองประเมินสาวน้อยชุดแดงที่อยู่ตรงหน้าหลายครั้งไม่ได้ หน้าตาบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดวงตาเป็นประกาย ฟันขาวเรียงตัวสวย จัดเป็นสาวงามคนหนึ่งจริงๆ มีสาวงามมาเลือกคู่เช่นนี้ หากพวกหน้าตาประหลาดก่อนหน้านี้ประลองชนะขึ้นมา ก็จะเกิดฉากที่สยองเกินไปแล้ว

หากถ่ายเป็นผลงานภาพยนตร์ เกรงว่าคงมีเพียงไฟล์วิดีโอรูปแบบ AVI ถึงจะรองรับได้

ดีลเลอร์กำลังแจกไพ่ออนไลน์…

ตอนที่ในหัวเยี่ยเว่ยหมิงกำลังเริ่มจินตนาการไม่หยุด สาวน้อยชุดแดงคนนั้นก็กุมหมัดคารวะเขาอีกครั้ง แล้วบอกว่า “ผู้น้อยมู่เนี่ยนฉือ มาเพื่อแสดงความยินดีกับจอมยุทธ์น้อยเยี่ยที่ผ่านรอบคัดเลือกของการประลองยุทธ์เลือกคู่ครั้งนี้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ก็จะแจ้งจอมยุทธ์น้อยด้วยว่าพรุ่งนี้อย่าลืมมาร่วมการประลองรอบตัดสินที่นี่ก่อนยามเฉิน”

หลังจากเสียของมู่เนี่ยนฉือเงียบลง เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นอย่างตรงเวลา

[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณประลองชนะสิบสังเวียนอย่างราบรื่น ได้รับรางวัล: ค่าประสบการณ์ 30000 แต้ม ค่าตบะ 3000 แต้ม เงิน 30 เหรียญทอง รวมทั้งสิทธิ์ในการเข้าร่วมการประลองรอบตัดสิน]

การประลองยุทธ์นี่ไม่เลวจริงๆ ด้วย แค่จัดการกับพวกขยะไปสิบคนเรื่อยเปื่อย ก็ได้รับค่าตบะสามพันแต้มแล้ว ต้องทราบไว้ว่าแม้จำนวนจะไม่สูง แต่ก็ไม่ธรรมดา!

นี่ยังเป็นเพียงการประลองรอบคัดเลือกเท่านั้น รอให้ถึงการประลองรอบตัดสินพรุ่งนี้ รางวัลจะต้องเจ๋งกว่านี้แน่นอน

หลังจากตรวจนับผลกำไรที่ได้รับจากศึกนี้เสร็จแล้ว จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็ถามสาวน้อยชุดแดงที่ชื่อมู่เนี่ยนฉือว่า “แม่นาง ผู้น้อยขอเสียมารยาทถามสักหน่อย มู่อี้ท่านนั้น คงจะไม่ใช่บิดาของท่านสินะ”

มู่เนี่ยนฉือได้ยินแล้วอึ้งทันที “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยทราบได้อย่างไร”

ถามอะไรเหลวไหล

ลองนึกถึงผู้ท้าชิงที่หน้าตาเหนือมนุษย์เหล่านั้นสิ พ่อแท้ๆ ที่ไหนจะวางกับดักลูกสาวสุดที่รักของตัวเองอย่างนี้

เพียงแต่ต่อให้เป็นบิดาบุญธรรม แต่ทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า

มู่อี้นั่นเป็นคนไร้คุณธรรม มารดาเจ้าเถอะ เปิดประตูให้คนไร้คุณธรรม คนไร้คุณธรรมบุกมาถึงบ้านแล้ว!

[1] ยามเฉิน 辰时 เวลา 07.00 – 08.59 น.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ 162 เจ้าไม่ใช่บุตรแท้ๆ ใช่หรือไม่

Now you are reading ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ Chapter 162 เจ้าไม่ใช่บุตรแท้ๆ ใช่หรือไม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 162 เจ้าไม่ใช่บุตรแท้ๆ ใช่หรือไม่

เยี่ยเว่ยหมิงไม่ติดปัญหาอะไรกับการประลองยุทธ์ อย่างไรเสียละครเด็ดที่เขาเตรียมไว้ก็ต้องรอเวลาพิจารณาอีกสักระยะกว่าจะเริ่มโดดเด่นอย่างแท้จริง

ถึงอย่างไรก็ว่างแล้ว ถือโอกาสช่วงนี้เข้าร่วมการประลองยุทธ์ หารายได้พิเศษสักหน่อย ยกระดับความสามารถของตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน

แต่การเลือกคู่…

เรื่องนี้ยุ่งยากแล้ว เหมือนเป็นกับดัก

เห็นเยี่ยเว่ยหมิงขมวดคิ้วเหมือนไม่ดีใจ สะพานสวรรค์น้อยก็อดหลุดขำไม่ได้ แต่แทนที่จะตอบ นางกลับถามว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจริงๆ ว่าพอชนะการประลองยุทธ์สังเวียนนี้แล้ว ระบบจะมอบรางวัลเป็นเมียหนึ่งคนให้เจ้าจริงๆ”

เยี่ยเว่ยหมิงเดาะลิ้น ด้วยท่าทางเชยเฉิ่มของผู้ออกแบบระบบที่ไม่ให้แม้กระทั่งผู้เล่นถอดกระโปรง เหมือนจะมีความเป็นไปได้นั้นไม่มากนัก

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า แล้วอดถามไม่ได้ว่า “ในเมื่อไม่ใช่การเลือกคู่ แล้วใช้ป้ายนั้นทำไมกัน”

“ภารกิจเนื้อเรื่องอย่างไรล่ะ” สะพานสวรรค์น้อยยิ้มพลางอธิบาย “การประลองยุทธ์เลือกคู่ ต้องนำคำเหล่านี้มาทำความเข้าใจแบบแยกกัน เพราะสังเวียนนี้ไม่เพียงแค่ผู้เล่นที่เข้าร่วมได้ ที่จริง NPC ก็เข้าร่วมได้เช่นกัน…

…สำหรับผู้เล่นแล้ว นี่คือการประลองยุทธ์ล้วนๆ ที่มีรางวัลอุดมสมบูรณ์มาก มีเพียง NPC เท่านั้นถึงจะเข้าร่วมการเลือกคู่ได้…

…ดังนั้นแล้ว” สะพานสวรรค์น้อยขยิบตา “เมียสวยๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าแน่นอน เลิกฝันหวานไปได้เลย”

“นั่นก็ค่อยยังชั่วหน่อย”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วซักไซ้ต่อทันที “บอกข้ามา กติกาของการประลองสังเวียนนี้เป็นอย่างไรกันแน่”

“ข้าเองก็มาเป็นครั้งแรกเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้ได้ข่าวมาว่าต้องไปรับภารกิจจาก NPC คนหนึ่งที่ชื่อมู่อี้ แล้วไปถามกติกากับเขาที่นั่นได้” ขณะที่พูดก็ชี้ไปบนสังเวียน “นั่นไง ลุงวัยกลางคนที่หน้าตาดูกร้านโลกคนนั้นน่าจะใช่ พวกเรารีบไปลงชื่อสมัครกันเถอะ”

บนถนนใหญ่คึกคักมาก มุกตลกที่บอกว่าเป็นการประลองยุทธ์เลือกคู่ก็ดึงดูดให้ฝูงชนเข้ามาล้อมดูเช่นกัน เพียงแต่บรรดา NPC ที่เข้ามาล้อมดูล้วนมีคุณสมบัติค่อนข้างสูง ต่อให้จะเบียดกันสักเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงขั้นอุดทางให้ตัน ทั้งยังเหลือเส้นทางเล็กๆ ที่เพียงพอให้คนสองคนเดินเคียงกันได้เอาไว้ด้วย ทำให้ผู้เล่นที่ตั้งใจเข้าร่วมการประลองยุทธ์ไปหามู่อี้ได้โดยไร้อุปสรรค

กว้างเพียงสองคนเดินผ่านได้ย่อมเป็นขีดจำกัดสูงสุด หากมีสองคนเดินเคียงกันจริงๆ ก็จะทำให้เบียดมาก ดังนั้นเยี่ยเว่ยหมิงกับสะพานสวรรค์น้อยจึงเดินตามหลังกันไป โดยที่สะพานสวรรค์น้อยคอยเบิกทางอยู่ข้างหน้า ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็เดินตามหลัง

จนกระทั่งทั้งสองมาถึงตรงหน้ามู่อี้แล้ว ยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นข้างหูของทั้งสองคน

[ติ๊ง! เข้าสู้ขอบเขตฉากภารกิจพิเศษ ‘การประลองยุทธ์เลือกคู่’ คุณจะเลือกเข้าร่วมสังเวียนประลองยุทธ์หรือไม่]

การประลองยุทธ์มีกติกาโดยละเอียดดังนี้

1. ขอเพียงผู้เล่นขึ้นสังเวียน ก็เท่ากับยอมรับโดยปริยายว่าเข้าร่วมการประลองยุทธ์ครั้งนี้

2. ในวันแรกของการประลองรอบคัดเลือก ผู้เล่นที่เข้าร่วมประลองจะต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ NPC ให้ได้สิบคน ถึงจะได้รับสิทธิ์เข้าประลองรอบตัดสิน

3. ไม่ว่าจะผ่านการประลองรอบคัดเลือกหรือไม่ หลังจากประลองแล้วล้วนได้รับรางวัลภารกิจที่ระบบแจก จำนวนรางวัลขึ้นอยู่กับการแสดงความสามารถในสังเวียนประลองยุทธ์

4. ผู้เล่นที่ผ่านการประลองรอบคัดเลือก พรุ่งนี้ยามเฉิน[1]ค่อยมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อเข้าร่วมการประลองรอบตัดสิน

5. ผู้เล่นที่ผ่านการประลองรอบคัดเลือก รับข้อมูลกติกาการประลองรอบตัดสินได้ที่หน้าภารกิจของระบบ

อืม หรือพูดได้อีกอย่างว่า

หากเจ้าไม่ผ่านแม้กระทั่งการประลองรอบคัดเลือก ยังจะถามถึงกติกาการประลองรอบตัดสินไปทำไมอีก

มองสังเวียนกว้างโล่งแวบหนึ่ง สะพานสวรรค์น้อยเอ่ยก่อนว่า “ดูท่าแล้ว NPC ที่มาท้ารบเหล่านั้นจะต้องรอให้ผู้เล่นขึ้นไปก่อนถึงจะปรากฏตัวได้ พี่ใหญ่เยี่ย เจ้าจะขึ้นไปก่อน หรือจะให้ข้าไปก่อน”

“ไม่รู้ว่าผู้เล่นจะได้เจอคู่ต่อสู้เหมือนกันหมดหรือเปล่า” เยี่ยเว่ยหมิงเอามือลูบคางครู่หนึ่ง จากนั้นก็บอกอีกว่า “ให้ข้าไปก่อนแล้วกัน แล้วเจ้าคอยสังเกตคู่ต่อสู้ของข้าอยู่ข้างล่าง บางทีอาจจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง”

เยี่ยเว่ยหมิงเสนอเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะห่วงสหาย ส่วนตัวเขาเองนั้น หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด แล้วสู้ไม่ได้แม้แต่การประลองรอบคัดเลือก…แบบนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร

ทว่า ยังไม่ทันรอให้เยี่ยเว่ยหมิงเคลื่อนไหวอะไร ทั้งสองก็เห็นเงาร่างสีแดงแฉลบผ่านข้างกายพวกเขาแล้ว อีกฝ่ายทะยานขึ้นไปบนสังเวียนทันที

ตอนที่พวกเขาหันกลับไปมอง เตรียมจะดูว่าใครกันแน่ที่ชอบแย่งซีนกันขนาดนี้ กลับพบว่าบนสังเวียนไม่มีใครอยู่สักคน มีเพียงเสียร้องเชียร์ของกลุ่มคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านข้างล่างเท่านั้น

ยอดเยี่ยม!

เหมือนสังเวียนของราชสีห์ขนทองที่เขาหวังผานอีกแล้ว จัดเป็นประเภทดันเจี้ยนที่แยกตัวเป็นอิสระ

เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่แล้วอดหลุดขำไม่ได้ “ดูท่าแล้ว ไม่ว่าจะมีคนเข้าร่วมประลองยุทธ์มากเท่าไร สังเวียนก็จุคนไหว แต่ศึกสังเวียนนี้ไม่อนุญาตให้จัดทีม ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว ขอขึ้นไปก่อนแล้วกัน”

เมื่อพูดจบแล้ว ปลายเท้าของเยี่ยเว่ยหมิงก็แตะบนพื้น ร่างกายทะยานขึ้นมากลางอากาศ แล้วไปเหยียบลงบนสังเวียน

เมื่อขึ้นมาบนสังเวียนแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้พบว่าทุกอย่างที่อยู่โดยรอบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

สังเวียนที่อยู่ใต้เท้า กลุ่มคนที่มามุงดู มู่อี้ที่นั่งอยู่ข้างสังเวียน รวมทั้งป้าย ‘การประลองยุทธ์เลือกคู่’ ที่แขวนอยู่เหนือสังเวียนก็เหมือนกับก่อนที่เขาจะขึ้นมาไม่มีผิด

สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ ตอนหันตัวกลับมา กลับมองไม่เห็นเงาของสะพานสวรรค์น้อยแล้ว แน่นอน บรรดาผู้เล่นที่มาล้อมดูเอาสนุกก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็ไม่เห็นแล้วสักคนเหมือนกัน

เมื่อได้เห็นฉากนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดส่ายหน้าน้อยๆ ไม่ได้

ช่างเป็นมุกเดิมๆ!

ในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเงาร่างสีเหลืองทะยานขึ้นมาบนสังเวียน พอหันกลับไปมอง กลับเห็นหลวงจีนจีวรเหลืองรูปหนึ่งที่เป็นผู้เล่นศิษย์เส้าหลิน หลังจากขึ้นสังเวียนมาแล้วก็ประนมมือสองข้าง ขณะโค้งตัวทักทายเยี่ยเว่ยหมิง ก็ยังไม่ลืมที่จะเอ่ยนามพระพุทธเจ้า “อมิตตาภพุทธ!”

เมื่อได้เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า ทั้งตัวเยี่ยเว่ยหมิงก็ตะลึงค้าง!

ก่อนหน้านี้บอกไว้แล้วไม่ใช่หรือ

การประลองยุทธ์เลือกคู่ สำหรับผู้เล่นก็คือการประลองยุทธ์ สำหรับ NPC ก็คือการเลือกคู่

และในกติกาการประลองก็ได้บอกไว้แล้ว ว่าคู่ต่อสู้ที่ผู้เล่นเจอในการประลองรอบคัดเลือกล้วนเป็น NPC

ตามที่กล่าวข้างต้น ตรงหน้าเขาคือหลวงจีนรูปหนึ่ง ต้องเป็น NPC ที่มีจุดประสงค์ที่จะเลือกคู่ครอง ถึงได้ขึ้นสังเวียนมาเพื่อประลองยุทธ์แน่ๆ!

แต่ปัญหาก็คือ

หลวงจีนหัวโล้นอย่างเจ้าถ่อขึ้นมาเลือกคู่ บรรพบุรุษบ้านเจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า

[ติ๊ง! ในระหว่างประลองยุทธ์บนสังเวียน คู่ต่อสู้ที่เป็น NPC ทั้งหมดจะถูกกำหนดให้เป็นมอนสเตอร์ธรรมดา หรือไม่ก็ BOSS สังหารแล้วผู้เล่นจะไม่ถูกหักค่าวีรบุรุษ!]

เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วตาเป็นประกาย หรือพูดได้อีกอย่างว่า สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งเลยก็ได้อย่างนั้นหรือ

เพื่อให้ว่าที่ไต้ซือท่านนี้ละทิ้งชีวิตทางโลกได้ เยี่ยเว่ยหมิงชักกระบี่อาญาสิทธิ์ออกมาอย่างไม่ลังเล แล้วเริ่มด้วยท่าพเนจรสุดขอบฟ้า ต่อด้วยท่ากวาดหิมะต้มชา…

ฉึก!

จัดการหลวงจีนที่ยังไม่บรรลุ พรึ่บ!

จากนั้นศพก็หายไป

ศึกบนสังเวียนไม่มีไอเทมให้ดรอป ไม่ต้องมีขั้นตอนคลำศพที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้น รางวัลทั้งหมดรอนับทีเดียวหลังจากสู้เสร็จ

เมื่อสู้กับหลวงจีนเสร็จแล้ว สถานะทั้งหมดของเยี่ยเว่ยหมิงก็กลับมาเต็มอีกครั้งในชั่วพริบตาเดียว ในขณะเดียวกันนี้เอง คู่ต่อสู้คนที่สองก็กระโดดขึ้นมาบนสังเวียนแล้ว

เป็นชายชราร่างอ้วนคนหนึ่งที่ดูแก่กว่าเมื่อเทียบกับมู่อี้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา รอยยิ้มดูเจ้าเล่ห์เป็นพิเศษ ทำให้คนเห็นแล้วอดใจไม่ไหว อยากแทงสักกระบี่

ในเมื่ออดใจไม่ไหว เช่นนั้นก็ไม่ต้องอดใจรอแล้ว อย่างไรเสียหากอิงตามกติกาบนสังเวียน แทงให้ตายทันทีก็คือเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

จากนั้นก็เป็นคู่ต่อสู้คนที่สาม เป็นคนหลังค่อม…

คนที่สี่ เป็นผู้ที่หน้ามีรอยฝ้าเต็มไปหมด ชื่อหม่านเทียนซิง

คนที่ห้า…

เมื่อต่อสู้มาเรื่อยๆ ก็ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ไม่ใช่เพราะทักษะยุทธ์ของคนเหล่านี้มีจุดเด่นอะไร แต่เป็นเพราะหน้าตาของพวกเขาแต่ละคนล้วนมีจุดเด่น

หลังจากเขาจัดการชายตาเหล่คนที่เก้าตายแล้ว สุดท้ายก็มีคู่ต่อสู้ที่นับว่าความสามารถเข้าขั้นกระโดดขึ้นมา

อย่างน้อยเมื่อเทียบกับหลวงจีน คนแก่ที่พอได้ยินชื่อก็รู้ว่าตั้งชื่อไปเรื่อยเปื่อย ชายคนที่อยู่ตรงหน้าก็ยังมีชื่อและฉายาเป็นของตัวเอง

[เฉียนชิงเจี้ยน]

ฉายาขวานดาวร้าย เดิมทีเป็นโจรลำน้ำคาบสมุทร หลังจากยอมสวามิภักดิ์ต่อแคว้นจินแล้วได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่

เลเวล: 21

พลังชีวิต: 8300/8300

กำลังภายใน: 1300/1300

นี่คือ BOSS เฝ้าด่านหรือ เหมือนจะอ่อนด้อยฝีมือไปหน่อยนะ

พอใช้มือซ้ายงอนิ้วคำนวณ เฉียนชิงเจี้ยนก็ถือขวานพุ่งเข้ามาราวกับถูกกระตุ้นทันที ขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงถลันตัวหลบขวานของฝ่ายตรงข้าม กระบี่อาญาสิทธิ์ก็แทงออกมาในแนวเฉียง ถูกตรงคอหอยของอีกฝ่ายพอดี

พเนจรสุดขอบฟ้า!

ฉึก!

-4550!

ภายใต้กระบี่นี้ ทำให้พรากพลังชีวิตของ BOSS ไปแล้วเกินครึ่ง ทั้งยังโจมตีจนติดสถานะสถานะแช่แข็งด้วย

ชักกระบี่ ส่งกระบี่ ไซซีกุมดวงใจ!

ฉึก!

-4030!

เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างนี้ BOSS เลเวลยี่สิบเอ็ดคนหนึ่งถูกตัวละครเจ้าเสน่ห์สุดน่ารักตามต้นฉบับนิยายทะลุมิติโจมตีหายไปแล้ว

จนกระทั่งตอนนี้ ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็สังหารคู่ต่อสู้บนสังเวียนตายหมดสิบคนแล้ว

สังหารต่อเนื่องสิบครั้ง แข็งแกร่งมาก เพลงเดียวก็…

แค่กๆ…สงบเสงี่ยมหน่อย ลำพองใจไม่ได้

จะร้องเพลงซี้ซั้วไม่ได้!

หลังจากศพของเฉียนชิงเจี้ยนหายไปจากบนสังเวียน กลับเห็นสาวน้อยชุดแดงที่หน้าตางดงามคนหนึ่งทะยานขึ้นมาบนสังเวียนแล้ว หลังจากลอยลงมาเหยียบตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง นางก็ยิ้มบางๆ แล้วกุมหมัดคารวะเขา

เมื่อเห็นสาวน้อยชุดแดงคนนี้ปรากฏตัวกะทันหัน เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าตัวเองได้ปรับทัศนคติการมองโลกใหม่อีกครั้ง “ก่อนหน้านี้บอกไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าสู้สิบครั้ง เหตุใดสู้จบแล้วยังมีคนขึ้นมาท้าสู้อีก อีกทั้ง แม่นางคนนี้…ขออภัยที่พูดตรงๆ หากเจ้าต้องการจะการประลองยุทธ์เลือกคู่ เกรงว่าในด้านเพศสภาพนั้นจะไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก”

สาวน้อยชุดแดงได้ยินแล้วหน้าแดง จากนั้นอธิบายว่า “จอมยุทธ์น้อยท่านนี้เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้มาเข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ ในทางกลับกัน นี่คือสังเวียนที่ข้าใช้เลือกคู่ ท่านพ่อของข้าตั้งขึ้นเพื่อข้า”

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ที่จริงแล้วต้องการเลือกคู่อย่างนั้นหรือ

เขาอดมองประเมินสาวน้อยชุดแดงที่อยู่ตรงหน้าหลายครั้งไม่ได้ หน้าตาบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดวงตาเป็นประกาย ฟันขาวเรียงตัวสวย จัดเป็นสาวงามคนหนึ่งจริงๆ มีสาวงามมาเลือกคู่เช่นนี้ หากพวกหน้าตาประหลาดก่อนหน้านี้ประลองชนะขึ้นมา ก็จะเกิดฉากที่สยองเกินไปแล้ว

หากถ่ายเป็นผลงานภาพยนตร์ เกรงว่าคงมีเพียงไฟล์วิดีโอรูปแบบ AVI ถึงจะรองรับได้

ดีลเลอร์กำลังแจกไพ่ออนไลน์…

ตอนที่ในหัวเยี่ยเว่ยหมิงกำลังเริ่มจินตนาการไม่หยุด สาวน้อยชุดแดงคนนั้นก็กุมหมัดคารวะเขาอีกครั้ง แล้วบอกว่า “ผู้น้อยมู่เนี่ยนฉือ มาเพื่อแสดงความยินดีกับจอมยุทธ์น้อยเยี่ยที่ผ่านรอบคัดเลือกของการประลองยุทธ์เลือกคู่ครั้งนี้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ ก็จะแจ้งจอมยุทธ์น้อยด้วยว่าพรุ่งนี้อย่าลืมมาร่วมการประลองรอบตัดสินที่นี่ก่อนยามเฉิน”

หลังจากเสียของมู่เนี่ยนฉือเงียบลง เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นอย่างตรงเวลา

[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณประลองชนะสิบสังเวียนอย่างราบรื่น ได้รับรางวัล: ค่าประสบการณ์ 30000 แต้ม ค่าตบะ 3000 แต้ม เงิน 30 เหรียญทอง รวมทั้งสิทธิ์ในการเข้าร่วมการประลองรอบตัดสิน]

การประลองยุทธ์นี่ไม่เลวจริงๆ ด้วย แค่จัดการกับพวกขยะไปสิบคนเรื่อยเปื่อย ก็ได้รับค่าตบะสามพันแต้มแล้ว ต้องทราบไว้ว่าแม้จำนวนจะไม่สูง แต่ก็ไม่ธรรมดา!

นี่ยังเป็นเพียงการประลองรอบคัดเลือกเท่านั้น รอให้ถึงการประลองรอบตัดสินพรุ่งนี้ รางวัลจะต้องเจ๋งกว่านี้แน่นอน

หลังจากตรวจนับผลกำไรที่ได้รับจากศึกนี้เสร็จแล้ว จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็ถามสาวน้อยชุดแดงที่ชื่อมู่เนี่ยนฉือว่า “แม่นาง ผู้น้อยขอเสียมารยาทถามสักหน่อย มู่อี้ท่านนั้น คงจะไม่ใช่บิดาของท่านสินะ”

มู่เนี่ยนฉือได้ยินแล้วอึ้งทันที “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยทราบได้อย่างไร”

ถามอะไรเหลวไหล

ลองนึกถึงผู้ท้าชิงที่หน้าตาเหนือมนุษย์เหล่านั้นสิ พ่อแท้ๆ ที่ไหนจะวางกับดักลูกสาวสุดที่รักของตัวเองอย่างนี้

เพียงแต่ต่อให้เป็นบิดาบุญธรรม แต่ทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า

มู่อี้นั่นเป็นคนไร้คุณธรรม มารดาเจ้าเถอะ เปิดประตูให้คนไร้คุณธรรม คนไร้คุณธรรมบุกมาถึงบ้านแล้ว!

[1] ยามเฉิน 辰时 เวลา 07.00 – 08.59 น.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+